เผชิญการทดลองโดยอาศัยพละกำลังจากพระเจ้า
เผชิญการทดลองโดยอาศัยพละกำลังจากพระเจ้า
เล่าโดยสเตปัน โคเชมบา
คืนหนึ่ง ต้นเดือนเมษายน 1951 รถบรรทุกกองทหารโซเวียตแล่นเข้าหมู่บ้านสเตนยาตินของเราที่ยูเครน. เหล่าทหารติดอาวุธได้ล้อมบ้านที่เลือกไว้ก่อนแล้ว และจับทุกคนในครอบครัวพยานพระยะโฮวาส่งไปไซบีเรีย. ผมอายุ 12 ขวบในวัยที่อ่อนไหวง่าย ผมรู้สึกแปลกใจที่พวกเขาได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น และพวกเขาสามารถทนความยากลำบากดังกล่าวได้อย่างไร.
ผมเกิดเมื่อเดือนตุลาคม 1938 ณ หมู่บ้านสเตนยาติน. แม่เสียชีวิตหลังจากผมเกิดเพียงสองสัปดาห์ และพ่อถูกฆ่าในปี 1944 ขณะที่กองทัพโซเวียตสู้รบกับฝ่ายเยอรมัน. น้องสาวและพี่สาวของพ่อคือโอเลนากับแอนนาได้รับผมไปอยู่ที่บ้านของท่านและเอาใจใส่เลี้ยงดูผม.
ตอนเป็นเด็ก ผมรู้จักพยานพระยะโฮวาหลายคนในหมู่บ้านของเรา. พวกเขาพูดกับผมและคนอื่น ๆ ถึงเรื่องราชอาณาจักรมาซีฮาเมื่อสบโอกาส. ในเวลาต่อมา ผมกลายเป็นเพื่อนกับพยานฯ รุ่นเยาว์บางคน. ครั้นพวกเขาถูกกองกำลังโซเวียตจับตัวส่งไปยังไซบีเรีย ผมรู้สึกประหลาดใจเป็นที่สุด.
แต่ไม่ใช่พยานฯ ทุกคนถูกเนรเทศ. สเตปัน พยานฯ คนหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้บ้านผมได้รับอนุญาตให้อยู่ที่เดิมเนื่องจากครอบครัวของเขาไม่ใช่พยานฯ. เขาแก่กว่าผมหกปี และเมื่อผมออกจากโรงเรียน ผมทำงานเป็นช่างไม้กับเขา. เขานำการศึกษาพระคัมภีร์กับผมโดยใช้หอสังเกตการณ์ ฉบับใดก็สุดแท้แต่จะหาได้. สเตปัน ซึ่งเวลานี้รับใช้พระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้ในเอสโตเนีย ตื่นเต้นดีใจมากเมื่อผมรับบัพติสมาในเดือนกรกฎาคม ปี 1956.
การต่อต้านขัดขวางเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผู้รับใช้พระยะโฮวาในยูเครน. พวกเจ้าหน้าที่ได้ออกปฏิบัติการตามบ้านเรือนค้นหาสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมจึงมีที่ซุกซ่อนหนังสือหลายแห่ง. โอเลนาและแอนนา อาและป้าของผมซึ่งเป็นชาวกรีกคาทอลิกไม่พอใจที่ผมติดต่อคบหากับพยานพระยะโฮวา. ท่านทั้งสองถึงกับพยายามเกลี้ยกล่อมผมให้เลิกคบพยานฯ. คล้ายกันกับอัครสาวกเปาโล บางครั้งผมรู้สึก ‘หนักใจเหลือกำลัง.’ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพระยะโฮวาพระเจ้าได้ชูกำลังผมให้เข้มแข็งเพื่อทนทานการทดลองทุกอย่าง.—2 โกรินโธ 1:8; ฟิลิปปอย 4:13.
ความพยายามของผมในการรักษาความเป็นกลาง
การรับใช้ในกองทัพโซเวียตเป็นกฎข้อบังคับสำหรับผู้ชายอายุ 18 ปี. เนื่องด้วยผมมีความรู้พื้นฐานทางด้านคัมภีร์ไบเบิล ผมได้ตั้งใจแน่วแน่จะรักษาตัวเป็นกลางเกี่ยวกับกิจการงานต่าง ๆ ของโลก ซึ่งก็หมายความว่าผมปฏิเสธการร่วมสมทบกับกองทัพโซเวียต. (ยะซายา 2:4; โยฮัน 17:14-16) โอเลนาและแอนนาสนับสนุนให้ผม เป็นทหาร ทั้ง ๆ ที่พี่ชายแท้ ๆ ของท่านซึ่งเป็นพ่อผมต้องเสียชีวิตในสงคราม.
หลังจากผมรับหมายเกณฑ์ ผมได้ไปที่กองบัญชาการทหารในท้องที่ของเราและชี้แจงจุดยืนของผม. ผมถูกจับกุมทันที แล้วเขากักตัวผมไว้ ขณะเดียวกันเขาเตรียมตั้งข้อหากล่าวโทษผม. มีการพิจารณาคดีอย่างลับ ๆ; แม้แต่อาและป้าของผมก็ไม่ได้รับแจ้งวันพิจารณาคดี. ผมให้คำพยานอย่างถี่ถ้วนต่อผู้พิพากษา, อัยการ, และลูกขุนสองคน. ทุกอย่างจบลงภายในเวลา 20 นาที. คำพิพากษาวางโทษผมคือถูกขังห้าปีเพิ่มอีกห้าปีข้างหน้าระหว่างที่ผมในฐานะพลเมืองอาจจะสูญเสียสิทธิบางอย่าง.
รับโทษทัณฑ์ตามคำพิพากษา
หลังการพิจารณาคดี ผมถูกจำคุกในเมืองลวิฟ. นานถึงสามเดือนตั้งแต่ผมถูกจับกระทั่งถูกย้ายเข้าค่ายกรรมกร ผมไม่มีเพื่อนคริสเตียน, ไม่มีคัมภีร์ไบเบิล, ไม่มีหนังสือใด ๆ เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล. อย่างไรก็ดี ผมยังคงแข็งขันฝ่ายวิญญาณ โดยการให้คำพยานแก่พวกนักโทษซึ่งรู้สึกว่าการที่ผมไม่ยอมเป็นทหารนั้นเป็นเรื่องยากจะเข้าใจ. ตลอดช่วงหลายเดือนนั้น ผมพึ่งอาศัยการศึกษาส่วนตัวซึ่งผมเคยปฏิบัติมาก่อนถูกคุมขัง. ประสบการณ์นี้สอนบทเรียนอันมีค่าแก่ผมที่ว่า การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นส่วนตัวนั้นช่วยเราเสริมสร้างสภาพฝ่ายวิญญาณที่ยังพอมีอยู่ ซึ่งค้ำจุนเราไว้ได้ในยามที่เกิดการทดลอง.—โยฮัน 14:26.
เดือนเมษายน 1958 ผมโดนย้ายไปอยู่ค่ายกรรมกร 21 ใกล้เมืองนิโปรเปตรอฟสค์ ไกลจากบ้านประมาณ 700 กิโลเมตร เพื่อรับโทษที่ยังเหลืออยู่ตามคำพิพากษา. ที่ค่ายแห่งนี้ เราตื่นนอนเวลา 6:00 น. และหลังอาหารเช้า เราถูกต้อนขึ้นรถบรรทุกและถูกพาไปยังที่ทำงานนอกค่าย ไกลออกไปประมาณ 50 กิโลเมตร. เราทำงานแปดชั่วโมงในบริเวณก่อสร้าง พอตกค่ำเราก็กลับมาที่ค่ายพัก.
ที่พักหลับนอนของเราเป็นเรือนไม้ซึ่งแต่ละหลังจัดให้นักโทษอยู่ได้ประมาณหนึ่งร้อยคน. อาหารอัตคัดและขาดคุณค่า และมีสภาพความเป็นอยู่แบบสปาร์ตา คืออยู่อย่างทรหดอดทน; แต่อย่างน้อยผมก็ได้เพื่อนพยานฯ สองคนอยู่โรงเรือนเดียวกันกับผม. พวกเราแต่ละคนมุ่งมั่นตั้งใจจะหนุนกำลังใจเพื่อนอีกสองคน. นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่พระยะโฮวาทรงเสริมพละกำลังแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ที่ตกอยู่ในสภาพทุกข์ยากเดือดร้อน—โดยทางมิตรสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมความเชื่อ.—2 โกรินโธ 7:6.
มีพยานฯ รวมทั้งสิ้น 12 คนในค่าย. บางคนในจำนวนนี้มีญาติอยู่ข้างนอก ซึ่งได้ลอบเอาหอสังเกตการณ์ หลายหน้าซุกซ่อนไว้ในกล่องอาหารที่ส่งให้เรา. ยามจะเปิดตรวจกล่องอาหารส่วนใหญ่ก่อนส่งถึงมือเรา. แต่เพื่อเลี่ยงการตรวจพบ จึงมีการพับหน้าต่าง ๆ ของหอสังเกตการณ์ ใส่ในพลาสติก แล้วยัดในกระป๋องแยม ซึ่งยามก็ไม่อยากเปิดดูสักเท่าใด. ครั้นเราได้รับบทความเหล่านั้น เราคัดลอกด้วยมือและแจกไปในหมู่พวกเราเอง.
อนึ่ง เราได้ทำงานประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้าอย่างสุดความสามารถและพระยะโฮวาได้อวยพรความพยายามของเรา. ตัวอย่างเช่น ผมได้รู้จักนักโทษคนหนึ่งชื่อเซียร์เกย์ เขาเคยทำงานเป็นนักบัญชีของรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งในรัฐยูเครนตะวันออก. เมื่อมีการตรวจพบการฉ้อฉล ณ ที่ทำงานของเขา เขาต้องรับผิดชอบและถูกตัดสินจำคุกสิบปี. พยานพระยะโฮวาหลายคนในคุกเคยนำการศึกษากับเขา โดยการใช้วารสารเท่าที่หาได้. เซียร์เกย์แสดงปฏิกิริยาตอบรับ และในที่สุดเขาบอกผมว่า “เมื่อผมได้รับการปล่อยตัวจากค่ายแห่งนี้ ผมต้องการจะรับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวา!” เซียร์เกย์รักษาคำพูด และได้รับบัพติสมาหลังจากรับการปล่อยตัวไม่นาน และเขาได้รับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์ตราบเท่าวันตาย.
ความสับสนเกี่ยวด้วยพระธรรมโรมบท 13
ผมถูกปล่อยตัวในเดือนมกราคม 1963 และได้กลับบ้านมาที่หมู่บ้านสเตนยาติน. แทบจะทันทีทันใดนั้นเอง ผมรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติในประชาคมท้องถิ่นที่เมืองโชกัล. บรรยากาศท่ามกลางพวกพี่น้องตึงเครียด. อะไรคือปัญหา? อะไรก่อให้เกิดสภาพที่เปลี่ยนไปเช่นนี้?
ผู้มีอำนาจของโซเวียตได้พยายามอยู่นานหลายปีเพื่อหว่านความแตกแยกท่ามกลางไพร่พลของพระยะโฮวา โดยนำตัวพี่น้องชายไปสอบสวนและชี้นำว่าพวกพยานฯ กำลังถูกใช้เพื่อขยายผลประโยชน์ของสหรัฐอเมริกา. เจ้าหน้าที่แนะว่าพยานฯ ในสหภาพโซเวียตน่าจะตั้งองค์การของเขาเองต่างหาก แล้วก็เสริมว่าพวกพยานฯ จะมีความสัมพันธ์อันสงบสุขกับรัฐบาลและจะได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติกิจทางศาสนาโดยไม่ถูกกดขี่ข่มเหง. เจ้าหน้าที่ทำให้เรื่องทั้งหมดนี้ฟังแล้วน่าดึงดูดใจ.
ครั้นแล้วในวารสารหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 15 พฤศจิกายน 1962 ซึ่งต่อมาแปลเป็นภาษายูเครน ฉบับ 1 กรกฎาคม 1964 เสนอความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับพระธรรมโรม บท 13. กระทั่งถึงเวลานั้น พวกเราเคยเข้าใจว่า “อำนาจที่สูงกว่า” ที่กล่าวในข้อ 1 นั้นได้แก่พระยะโฮวาพระเจ้าและพระเยซูคริสต์ แต่หอสังเกตการณ์ ฉบับดังกล่าวให้ข้อสังเกตว่า “อำนาจที่สูงกว่า” โดยแท้แล้วหมายถึงรัฐบาลทั้งหลายทางแผ่นดินโลก และว่ารัฐบาลเหล่านี้ “ตั้งอยู่ในตำแหน่งสูงต่ำโดยพระเจ้า.”—โรม 13:1, ล.ม.
พยานฯ บางคนรู้สึกว่ายากจะเชื่อทัศนะที่ปรับเปลี่ยนไปเช่นนี้ เนื่องด้วยบรรดาผู้นำรัฐบาลฝ่ายโลกในสหภาพโซเวียตได้ทำทารุณกรรมเพื่อพยายามกวาดล้างการนมัสการแท้ของพระเจ้าให้หมดสิ้น. ดังนั้น พยานฯ เหล่านี้คิดว่าวารสารหอสังเกตการณ์ ซึ่งบรรจุความเข้าใจใหม่ ๆ ไม่ได้ออกมาจากองค์การของพยานพระยะโฮวาที่ถูกต้องเป็นทางการ. พวกเขากลับคิดว่าข้อมูลนั้นแต่งขึ้นโดยบางคนที่อะลุ่มอล่วยกับเจ้าหน้าที่เพื่อให้เหล่าพยานฯ เชื่อฟังรัฐบาลโซเวียตมากขึ้น.
ดังนั้น ผู้รับใช้แต่ละคนของพระยะโฮวาในยูเครนจึงต่างก็เผชิญประเด็นที่ว่าฝ่ายไหนถูกฝ่ายไหนผิด? ผมเฝ้าสังเกตพยานฯ ที่ได้สนับสนุนข้อโต้แย้งของแต่ละฝ่าย และถามตัวเองว่า ‘พวกเขามีเจตนารมณ์เช่นไร?’ ไม่ช้า ผมก็สามารถบอกได้ถึงความแตกต่างที่ชัดเจนของทั้งสองฝ่าย.
พยานพระยะโฮวาส่วนใหญ่ บางคนซึ่งอาจไม่ค่อยเข้าใจเต็มที่เกี่ยวกับคำอธิบายใหม่ในพระธรรมโรมบท 13 ต้องการยึดมั่นในพระยะโฮวาและองค์การของพระองค์ด้วยความภักดี. แต่ก็มีบางคนเริ่มสงสัยว่าสิ่งพิมพ์ของสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ ที่ออกมาก่อนหน้านั้นไม่นานยังคงมาจากองค์การของพยานพระยะโฮวาที่ถูกต้องเป็นทางการหรือเปล่า. อนึ่ง คนเหล่านั้นที่สงสัยมักมีแนวคิดแบบเลยเถิดในเรื่องต่าง ๆ อยู่ไม่น้อย. เป็นต้นว่า พวกเขาคิดว่าไม่ถูกต้องที่เจ้าสาวจะสวมชุดสีขาวในวันแต่งงาน และคู่
สมรสจะสวมแหวนแต่งงาน. มีคนจำนวนหนึ่งได้ละองค์การไป. อย่างไรก็ดี ในเวลาต่อมา มีจำนวนไม่น้อยสำนึกถึงความผิดของตนและกลับมารับใช้พระยะโฮวา.กิจกรรมใต้ดิน
แม้ว่ากิจกรรมของคริสเตียนถูกสั่งห้าม แต่เมื่อใดก็ตามที่เราทำได้เราก็จะจัดการประชุมประจำสัปดาห์เป็นกลุ่มเล็กประมาณ 10 ถึง 15 คน. พวกเราได้รับความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณจากการประชุมต่าง ๆ ทั้งจากการศึกษาพระคัมภีร์และจากการสมาคมคบหากันภายหลังการศึกษา. เรามักจะเปรียบเทียบประสบการณ์ของกันและกัน และเรื่องนี้ช่วยให้เราตระหนักว่าพวกเราแต่ละคนต่างก็ต่อสู้อุปสรรคมาแล้วเหมือนกัน. พวกเราจำใส่ใจเสมอถึงสิ่งที่เปโตรเขียนไว้ว่า “สิ่งเดียวกันในด้านความลำบากเกิดขึ้นอยู่ในสังคมพี่น้องทั้งสิ้นของท่านทั้งหลายในโลก.”—1 เปโตร 5:9, ล.ม.
บทความต่าง ๆ ในวารสารหอสังเกตการณ์ เป็นพื้นฐานในการสนทนาของเรา. วารสารมาถึงมือพวกเราอย่างไร? พวกพยานฯ ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งข่าวได้นำไมโครฟิล์มข้ามชายแดนเข้ามาในยูเครน. ฟิล์มเหล่านั้นถูกส่งไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้าจากพยานฯ คนหนึ่งถึงอีกคนหนึ่ง. ครั้นแล้วพยานฯ แต่ละคนจะทำสำเนาให้พอสำหรับประชาคมของตน. บางครั้งผมก็มีส่วนร่วมทำสำเนาเหล่านั้น. ผมทำงานตลอดวันและตอนกลางคืนก็ง่วนอยู่กับงานรับใช้พระยะโฮวา ด้วยการผลิตวารสารและทำงานอื่น ๆ หลายอย่าง. นับว่าเป็นข้อท้าทายที่จะทำให้ได้ตามเวลากำหนด แต่พวกเราซึ่งแบกความรับผิดชอบในองค์การเรียนรู้ว่าพระยะโฮวา “ทรงประทานแรงแก่ผู้ที่อิดโรย.”—ยะซายา 40:29.
พวกเราได้สร้างโอกาสต่าง ๆ เพื่อพูดคุยเรื่องคัมภีร์ไบเบิลกับผู้คนที่เราพบ. พวกเราหลายคนทำเช่นนี้ขณะโดยสารยานพาหนะประจำทาง. วิธีง่าย ๆ อย่างหนึ่งในการเริ่มการสนทนาก็แค่อ่านหนังสือพิมพ์รายวันแล้วพูดเปรย ๆ ถึงข่าวล่าสุดกับเพื่อนผู้โดยสาร. เมื่อการสนทนาเริ่มขึ้น เราก็นำเข้าสู่หัวเรื่องในคัมภีร์ไบเบิล. โดยวิธีนี้เราแพร่ข่าวดีไปทั่วเขตงานของเรา.
ภรรยาที่มีความสามารถ
ปี 1965 ผมแต่งงานกับตามารา ซึ่งได้รับการอบรมเลี้ยงดูให้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าองค์เที่ยงแท้ และรู้ถึงความสำคัญของการยืนหยัดเพื่อความเชื่อในระหว่างที่เธอถูกทดลอง. เซียร์เกย์ พี่ชายของเธอถูกจับและถูกดำเนินคดีถึงสามครั้งเพราะกิจกรรมที่เขากระทำฐานะเป็นพยานฯ คนหนึ่ง. ครั้งหลังสุด มีการค้นพบวารสารหอสังเกตการณ์ หลายฉบับรวมอยู่กับสัมภาระของเขา และเขาถูกพิพากษาให้อยู่ในสถานกักกันสิบปี. ส่วนตามาราก็ถูกเจ้าหน้าที่นำตัวไปยังกองบัญชาการเพื่อซักถาม แถมเอาเรื่องการติดคุกขึ้นมาข่มขู่.
การจะได้ที่อยู่อาศัยหลังการแต่งงานของเราเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ครอบครัวหนึ่งในเมืองโชกัลซึ่งแสดงน้ำใจเป็นมิตรกับพวกพยานฯ ได้แบ่งห้องเล็ก ๆ ในบ้านให้เราเช่าในราคาไม่แพง. ครอบครัวนี้รับรองว่าตามาราจะอยู่ที่ห้องนั้นได้ต่อไปหากผมถูกจับและต้องติดคุกอีก. ผมกับภรรยารู้สึกขอบคุณพระยะโฮวาที่เราได้รับพระพรจากพระองค์ อีกทั้งสำนึกในความกรุณาของครอบครัวนั้นด้วย. ต่อมา เมื่อครอบครัวนั้นตรมทุกข์เศร้าโศก ตามาราจึงใช้โอกาสนั้นอธิบายให้กาลีนาผู้เป็นลูกสาวเข้าใจเรื่องความหวังเกี่ยวกับการกลับเป็นขึ้นจากตาย. เมล็ดความจริงของคัมภีร์ไบเบิลเกิดผล และกาลีนาได้กลายเป็นคนที่รักพระผู้สร้างของเรา. เธอได้รับบัพติสมาและเวลานี้รับใช้พระยะโฮวาด้วยกันกับสามีของเธอ.
สุภาษิต 31:10, ล.ม.
วันสุดสัปดาห์ส่วนใหญ่ในช่วงทศวรรษ 1970 ผมได้เดินทางไปภูมิภาคต่าง ๆ ในยูเครน และก็มอลดาเวีย (มอลโดวา) และแถบภูเขาคาร์ปาเตียนอีกด้วย เพื่อร่วมประชุมและเสริมกำลังใจคนเหล่านั้นที่นำหน้าในองค์การของพระยะโฮวา. ปกติแล้วผมออกจากบ้านตอนเย็นวันศุกร์และกลับถึงบ้านวันอาทิตย์ตอนดึก. ตามาราแทบไม่รู้ว่าผมไปไหนและบางครั้งไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผมจะกลับบ้านหรือไม่. สภาพการณ์ทำนองนี้ยืดเยื้ออยู่หลายปี. ผมยืนยันได้ถึงสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเกี่ยวกับภรรยาที่มีความสามารถดังนี้: “ค่าของนางสูงกว่าหินปะการังมากนัก.”—สมัยนั้น พยานพระยะโฮวาทำกิจกรรมใด ๆ ก็เป็นการเสี่ยงไม่มากก็น้อย. พวกเราสามารถดำเนินการได้โดยอาศัยกำลังซึ่งได้รับจากพระยะโฮวาเท่านั้น. ผมเผชิญสภาพการณ์ยุ่งยากเดือดร้อนนับครั้งไม่ถ้วนและไม่รู้จะทำอย่างไร. ดังนั้น ผมจะทูลอธิษฐานในใจและหมายพึ่งพละกำลังจากพระยะโฮวา. การทำอย่างนั้นกลายมาเป็นวิถีชีวิตของเรา.—กิจการ 4:29.
เมื่อไม่นานนี้
พร้อมกับเวลาที่ล่วงผ่านไป ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาในยูเครนมีชีวิตที่ง่ายขึ้น. การข่มเหงลดลง, และแทนที่จะต้องโทษติดคุกก็เป็นการจ่ายเงินค่าปรับ. ในทศวรรษ 1980 เจ้าหน้าที่ของรัฐเริ่มเข้าใจว่าพยานพระยะโฮวาเป็นองค์การนานาชาติอย่างแท้จริง. ดังนั้น โดยการคุมขังเหล่าพยานฯ ในยูเครนและที่อื่น ๆ ในสหภาพโซเวียต รัฐบาลกำลังทำลายชื่อเสียงของประเทศไปทั่วทุกหัวระแหง. ผมนึกถึงคราวที่ถูกสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งบอกผมว่า “เดี๋ยวนี้เราตระหนักว่าศาสนาไม่ใช่จะเลวร้ายเสียทั้งหมด. เรื่องหลักที่เราสนใจคือกลุ่มศาสนาไม่ควรเป็นภัยต่อรัฐบาล.”
ในยุโรปตะวันออกม่านเหล็กได้เริ่มเปิดในตอนปลายทศวรรษ 1980 และนับแต่นั้นพวกเรามีอิสระมากขึ้นในยูเครน. ปี 1991 งานประกาศของเราเป็นที่ยอมรับตามกฎหมาย. ครั้นแล้ว เมื่อเดือนกันยายน 1998 สมาคมว็อชเทาเวอร์ได้จัดตั้งสำนักงานสาขาขึ้นในเมืองลวิฟ. ต้นปี 1999 เริ่มมีการก่อสร้างอาคารสาขาแห่งใหม่ ซึ่งมีที่พักสำหรับคนทำงานกว่า 170 คน. เวลานี้ในสาธารณรัฐยูเครนมี 112,000 กว่าคนร่วมงานประกาศ และมากกว่า 250,000 คนร่วมการประชุมอนุสรณ์ในปี 2000. ที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือคนหนุ่มสาวจำนวนมากในขบวนของเรา. ณ การประชุมภาคปี 1991 ในเมืองเคียฟ นักข่าวหญิงได้ถามผมว่า:
“ผู้คนมากมายเหล่านี้มาจากที่ไหน? ดิฉันคิดว่าไม่มีพยานพระยะโฮวาในสหภาพโซเวียต แต่จู่ ๆ ก็มีพยานฯ ตั้งหลายพันคน!”
“พวกเราไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็นในทันทีทันใด หรือแค่ชั่วข้ามคืน” ผมบอกเขา. “พวกเรารับใช้พระยะโฮวาในประเทศนี้มาหลายปีแล้ว.”
“คุณดึงดูดหนุ่มสาวมากมายอย่างนี้มาเข้าศาสนาของคุณโดยวิธีใด?” นักข่าวอยากรู้.
“ดีที่สุดหากคุณจะถามหนุ่มสาวเหล่านี้เอง. ให้เขาบอกคุณก็แล้วกันว่าเขาปรารถนาจะรับใช้พระยะโฮวาเพราะอะไร.”
นักข่าวพูดว่า “ดิฉันถามแล้ว เขาบอกว่าเขาชื่นชอบงานรับใช้.”
“นั่นแหละคือเหตุผล” ผมพูดเสริม. “ถ้าพวกหนุ่มสาวของเราว่าอย่างนั้น นั้นก็คือคำอธิบาย.”
ไม่ใช่เฉพาะหนุ่มสาวกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ชื่นชอบงานรับใช้พระยะโฮวา. ผมกับตามาราได้รับใช้พระองค์เมื่อรวมกันแล้วก็มากกว่า 80 ปีทีเดียว และไม่ต้องการแลกความเชื่อของเรากับอะไรทั้งสิ้น. ถึงแม้เราเป็นพยานพระยะโฮวา เราก็ยังคงมีปัญหา. เราตระหนักว่าตราบใดระบบเก่านี้ยังอยู่ ตราบนั้นทุกคนจะคงเผชิญความเดือดร้อนยุ่งยากต่อไป. แต่พวกเราได้ถูกเตรียมไว้พร้อมเพื่อจะเผชิญการทดลองได้ดีกว่าประชาชนกลุ่มอื่นบนแผ่นดินโลก. พวกเรายังคงแน่วแน่จะเผชิญการทดลองเหล่านี้อย่างที่เคยรับมือมาแล้วในอดีต โดยอาศัยพละกำลังจากพระยะโฮวา พระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ. พวกเรารู้สึกเช่นเดียวกันกับโมเซตอนที่ท่านร้องเพลงแห่งชัยชนะดังนี้: “ยาห์ทรงเป็นกำลังและความเข้มแข็งของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นความรอดของข้าพเจ้า.”—เอ็กโซโด 15:2, ล.ม.
[ภาพหน้า 22]
กับเพื่อนพยานฯ ในค่ายกรรมกร 21
[ภาพหน้า 22]
ไมโครฟิล์มวารสาร “หอสังเกตการณ์” ภาษายูเครน (ขนาดจริง)
[ภาพหน้า 23]
กับตามารา ภรรยาของผม
[ภาพหน้า 24, 25]
จิตรกรได้วาดภาพอาคารสำนักงานสาขาแห่งใหม่ในเมืองลวิฟ ซึ่งกำลังดำเนินการก่อสร้าง
[ภาพหน้า 25]
ทำไมหนุ่มสาวจำนวนมากมายในสาธารณรัฐยูเครนรับใช้พระยะโฮวา?