โรมในหลายโฉมหน้า
โรมในหลายโฉมหน้า
โดยผู้เขียนตื่นเถิด! ในอิตาลี
“สำหรับข้าพเจ้าแล้วดูเหมือนว่า โรมูลุส [บุคคลในตำนานซึ่งก่อตั้งกรุงโรมในปี 753 ก่อน ส.ศ.] คงต้องรู้สึกตั้งแต่เริ่มแรกแล้วว่า สักวันหนึ่งกรุงนี้จะเป็นที่ตั้งของจักรวรรดิอันเกรียงไกร.” ซิเซโร นักพูดและรัฐบุรุษชาวโรมัน ศตวรรษที่หนึ่ง ก่อน ส.ศ.
เช่นเดียวกับเมืองอื่น ๆ ซึ่งมีประวัติอันยาวนานนับพัน ๆ ปี กรุงโรมมีหลายโฉมหน้า และขณะที่ศตวรรษต่าง ๆ ผ่านไป โฉมหน้าเหล่านั้นก็ทิ้งร่องรอยไว้. คุณอยากจะเห็นโฉมหน้าเหล่านั้นไหม? ตอนนี้เป็นช่วงที่เหมาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณได้รับเชิญให้ร่วมการประชุมภาคของพยานพระยะโฮวา ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 10-12 สิงหาคม 2001 ณ กรุงโรม, บารี, ตูริน, และมิลาน.
แต่คุณอยากจะเห็นโฉมหน้าไหนของกรุงโรมล่ะ? มีโรมยุคโบราณ, โรมยุคสาธารณรัฐ, และโรมยุคจักรวรรดิ. ที่ใกล้สมัยเราขึ้นมาอีกก็มีโรมยุคกลาง, โรมยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา, โรมยุคบาโรก, และสุดท้ายคือโรมยุคใหม่. เพื่อให้ได้ภาพครบก็มีโรมของโปป, โรมของสามัญชน, และโรมของชนชั้นสูง. มีสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจอยู่ทุกหนทุกแห่งในมหานครแห่งนี้.
นครยุคโบราณ
การตั้งถิ่นฐานที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งเป็นหมู่บ้านกระท่อมในยุคเหล็กดูเหมือนปรากฏขึ้นเป็นเวลานานก่อนศตวรรษที่แปดก่อน ส.ศ. โดยตั้งอยู่บนเขาลูกต่าง ๆ บริเวณกรุงโรม และล้อมรอบแอ่งซึ่งอยู่ใกล้ที่ลุยน้ำข้ามฟากในสมัยโบราณของแม่น้ำไทเบอร์. เนื่องจากในสมัยก่อน เนินเขารอบ ๆ บริเวณนั้นสูงเด่น จึงมีคำกล่าวว่านครนี้ถูกสร้างขึ้นบนเขาเจ็ดลูก—ควิรินัล, วีมีนัล, เอสควิไลน์, ซีลีอัน, อะเวนไทน์, ปาลาไตน์, และแคพีโทไลน์. จนถึงสมัยนี้ มีการตั้งชื่อบางพื้นที่ในกรุงนี้ตามชื่อเขาเหล่านี้บางลูก.
ถ้าคุณตัดสินใจจะไปเที่ยวโรม อย่าลืมนำหนังสือคู่มือการท่องเที่ยวที่ถูกต้องและแผนที่ไปด้วย. คุณอาจนึกภาพได้ว่าชาวโรมันโบราณเห็นอะไรบ้างเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว.
ให้เราไปชมลานประชาคม
หนังสือคู่มือการท่องเที่ยวเล่มหนึ่งบอกว่า “ลานประชาคมเป็นศูนย์รวมของชีวิตทางการเมือง, การค้าและตุลาการในกรุงโรมสมัยโบราณ.” ทางเข้าหลักสู่บริเวณนี้อยู่ที่วีอา เดอี โฟรี อิมเปรีอาลี. รถไฟใต้ดินและรถประจำทางหลายสายจะพาคุณไปที่นั่น.
บรรดาอนุสรณ์สถานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในบริเวณนี้คือโคโลเซียม ซึ่งเป็นที่รู้จักกันด้วยว่าโรงมหรสพแห่งฟลาเวียน สัญลักษณ์แห่งยุคจักรวรรดิ. โคโลเซียมมีความสูงถึง 48 เมตร เท่ากับตึกสมัยใหม่ที่สูง 16 ชั้น มีความยาวประมาณ 190 เมตรและกว้างประมาณ 155 เมตร. มีประตูทางเข้า 80 ประตูและจุผู้ชมได้ 55,000 คน! จักรพรรดิเวสปาเชียนบัญชาให้สร้างขึ้นในปี ส.ศ. 72. ลองคิดถึงเรื่องนี้เมื่อคุณยืนอยู่ใกล้ ๆ. หากกำแพงสามารถบอกเรื่องราวได้ . . .
การค้นพบเมื่อเร็ว ๆ นี้แสดงว่าโคโลเซียมสร้างเสร็จได้เนื่องจากทรัพย์สมบัติที่มัดธาย 24:1, 2; ลูกา 21:5, 6) เป็นเวลาหลายศตวรรษ โรงมหรสพแห่งนี้มีเกมส์การต่อสู้อันโหดร้าย. แต่ต่างกับความคิดที่แพร่หลายของคนทั่วไป ดูเหมือนว่าไม่มีคริสเตียนสละชีวิตเพื่อความเชื่อที่นี่. *
กองทหารโรมันยึดได้และนำกลับมาที่กรุงนี้หลังจากการรบชนะที่แคว้นยูเดีย ซึ่งถึงจุดสุดยอด ณ การทำลายกรุงเยรูซาเลมในปี ส.ศ. 70. (ใกล้กับโคโลเซียมคือประตูโค้งแห่งทิทุส ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยการรบครั้งเดียวกันนั้น. ภายในประตูโค้ง คุณจะเห็นภาพขบวนฉลองชัย โดยมีเชลยชาวยิวและเครื่องประดับศักดิ์สิทธิ์จากพระวิหารในขบวนแห่นั้น. เชลยชาวยิวคงได้เดินผ่าน ณ จุดนี้เอง!
โบราณสถานที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งน่าประทับใจและได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี คือวิหารปันเตออน. วิหารนี้เคยเป็นวิหารนอกรีตซึ่งอุทิศแด่เทพเจ้าทั้งมวล; ตอนนี้เป็นโบสถ์คาทอลิก. จักรพรรดิเฮเดรียน (ส.ศ. 76-138) ซึ่งมีชื่อเสียงจากการสร้างกำแพงป้องกันทางตอนเหนือของอังกฤษ เป็นผู้สร้างผลงานชิ้นเอกทางวิศวกรรมของชาวโรมันนี้ในช่วงปี ส.ศ. 118-128. ความสูงและเส้นผ่าศูนย์กลางของอาคารรูปโดมนั้นเท่ากันพอดี—43.4 เมตร.
เซอร์คุส มักซิมุส, เขาปาลาไตน์, รวมทั้งสถานที่และอนุสรณ์สถานอื่น ๆ เชื้อเชิญเราให้เดินทางย้อนไปกับกาลเวลา. สิ่งที่เตือนใจเรามากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับความสง่าและความยิ่งใหญ่ของมหาอำนาจโลกที่หกตามประวัติศาสตร์ในคัมภีร์ไบเบิลคือเสายอดแหลมและเสาสลักโบราณ เช่น เสาของทราจันและมาร์คุส เอาเรลีอุส ซึ่งยังคงตั้งอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในกรุงนี้.
โรมสมัยอัครสาวก
แม้ว่าไม่นานนัก ศาสนาคริสเตียนของเหล่าอัครสาวกก็ถูกแทนกิจการ 28:14-16) แต่เราต้องระวังที่จะไม่เชื่อเรื่องที่เล่าสืบกันมาทุกอย่าง. เพื่อเป็นตัวอย่าง ใกล้กับลานประชาคมมีคุกที่เรียกกันว่า คุกแมเมอร์ทีน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสถานที่ซึ่งอัครสาวกเปโตรถูกขัง. แต่ไม่มีหลักฐานใด ๆ เลยจากคัมภีร์ไบเบิลว่าเปโตรเคยมาที่เมืองนี้.
ที่โดยคริสต์ศาสนจักรที่ออกหาก แต่เรื่องราวของชีวิตคริสเตียนยุคแรกก็ยังพอมองเห็นได้ในกรุงโรม. ตัวอย่างเช่น เมื่อไปชมทางหลวงแอปเปียน เวย์ เราคงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเรื่องราวของอัครสาวกเปาโลตอนที่พี่น้องคริสเตียนมาส่งท่านไกลถึงกรุงนี้. (เมื่อไปเยี่ยมชมบริเวณทางหลวงแอปเปียน เวย์ คุณอาจต้องการไปเยี่ยมชมสุสานใต้ดินที่มีชื่อเสียง—อุโมงค์ใต้ดินที่ยาวหลายร้อยกิโลเมตรซึ่งใช้เป็นที่เก็บศพ. การค้นพบเกี่ยวกับการนมัสการคนตายและผู้สละชีพเพื่อความเชื่อทั้งหลายและแนวคิดเรื่องจิตวิญญาณเป็นอมตะบ่งชี้ว่าผู้ใช้สุสานโบราณเหล่านี้ไม่ได้เป็นสาวกแท้ซึ่งติดตามคำสอนดั้งเดิมของพระเยซูอีกต่อไป. *
ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาเปลี่ยนแปลงโรมอย่างไร?
นับตั้งแต่ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (ศตวรรษที่ 14 ถึง 16) กรุงโรมประสบการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่โปปมีอำนาจและอิทธิพลเพิ่มขึ้น. ศิลปิน, สถาปนิก, และช่างฝีมือถูกเรียกตัวมาที่ราชสำนักของโปป. ศิลปินที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งคือ ไมเคิลแอนเจโล. ผลงานชิ้นเอกของเขาบางชิ้นถูกเก็บรักษาไว้ในนครรัฐวาติกัน. ผลงานที่มีชื่อเสียงของเขาได้แก่ “เดอะ ลาส จัดจ์เมนต์” (วันล้างโลก) ในโบสถ์เล็กซิสตินและภาพปูนเปียกบนเพดานโบสถ์นี้จะเห็นได้เมื่อเข้าไปทางพิพิธภัณฑสถานวาติกัน. น่าสังเกตว่า “เดอะ ลาส จัดจ์เมนต์” ไม่มีภาพไฟชำระ.
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของไมเคิลแอนเจโลคือรูปปั้นของโมเซ ซึ่งพบในโบสถ์เซนต์ปีเตอร์ อิน เชนส์. เรายังเห็นอิทธิพลของเขาได้จากรายละเอียดหลายอย่างของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์. โบสถ์แห่งนั้นมีผลงานชิ้นเอกหลายชิ้น รวมทั้งรูปประติมากรรม “ปีเอตา” ซึ่งสร้างโดยไมเคิลแอนเจโล. รูปนี้เป็นรูปพระศพของพระคริสต์ในอ้อมแขนของมารดาของพระองค์.
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับพยานพระยะโฮวาคือที่ว่ามหาวิหารหลังนั้นมีเททรากรัมมาทอนอักขระภาษาฮีบรูซึ่งเป็นพระนามของพระยะโฮวาพระเจ้าปรากฏอยู่หลายแห่ง. ลองมองหาดูได้ที่สุสานรำลึกของเคลเมนต์ที่ 13 และที่โบสถ์เล็กแห่งการถวาย.
โรมยุคบาโรกอันตระการตา
โฉมหน้าอันตระการตาที่สุดของโรมอาจเป็นเมืองในยุคบาโรก. สารานุกรมฉบับหนึ่งกล่าวว่า ศิลปะแบบบาโรก “มีขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยรายละเอียดอันงดงาม.” ศิลปะแบบนี้ปรากฏขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 16 และพอถึงศตวรรษที่ 18 ก็กลายเป็นรูปแบบที่อบอุ่นและเป็นกันเองมากกว่า คือแบบโรโกโก. งานศิลปะแบบบาโรกที่มีชื่อเสียงชิ้นหนึ่งคืออนุสาวรีย์ของโปปอะเล็กซานเดอร์ที่ 7 โดยเบร์นีนี ในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์. เบร์นีนีเป็นศิลปินคนโปรดของโปป. เขาแปลงโฉมโบสถ์, วัง, รูปปั้น, และน้ำพุต่าง ๆ ในกรุงโรม. ลองเข้าไปชมในปีอัซซา (จัตุรัส)
หน้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ดูสิ จะเห็นเสาหินอันงดงามของเบร์นีนีเรียงรายอยู่เป็นระยะ ๆ หรือเข้าไปชมในปีอัซซา เดล โปโปโล ซึ่ง “เป็นห้องโถงทรงสมมาตรขนาดใหญ่สู่ใจกลางของกรุงโรม.” ศิลปะแบบบาโรกกับผลงานของเบร์นีนีมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง! ขออย่าพลาดชมภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่น้ำพุเทรวีหรือที่น้ำพุในปีอัซซา นาโวนา เช่น ผลงานของเบร์นีนี โฟนตานา เดย์ ฟีอูมี (น้ำพุแห่งแม่น้ำสี่สาย) และโฟนตานา เดล โมโร (น้ำพุแห่งพวกมัวร์).เมืองยุคใหม่
ปัจจุบันนี้แทบไม่มีแนวคิดใหม่ ๆ ในการวางผังเมือง. โครงการขนาดใหญ่ล่าสุดนั้นย้อนไปถึงทศวรรษ 1930 คือการก่อสร้างเอสโปซิซีออนเน อูนิเวอร์ซาเล ดิ โรมา (เอ.อู.แอร์เร.). ตำบลนั้นถูกสร้างขึ้นเพื่อเสริมบารมีแก่ระบอบฟาสซิสต์ระหว่างการปกครองของมุสโสลินี.
ตอนนี้ผู้บริหารนครกำลังมุ่งไปที่การอนุรักษ์และให้ความสำคัญตามสมควรต่อมรดกทางศิลปะอันประมาณค่ามิได้ของกรุงโรม ซึ่งจะชื่นชมได้ไม่เฉพาะตามถนนและจัตุรัสต่าง ๆ เท่านั้น แต่ในพิพิธภัณฑสถานกว่า 100 แห่งทั่วเมืองด้วย. แต่ก่อนที่จะไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑสถาน, อนุสาวรีย์, และสถานที่ทางโบราณคดีต่าง ๆ คงเป็นการสุขุมที่จะหาข้อมูลในเรื่องเวลาเปิดให้เข้าชมโดยตรวจดูที่เว็บไซต์ที่เหมาะสมในอินเทอร์เน็ตหรือคู่มือการท่องเที่ยวที่ดีสักเล่มหนึ่ง.
ถึงแม้เป็นที่รู้กันว่ากรุงโรมเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน แต่กรุงนี้ก็มีความหลากหลายทางศาสนาด้วย. พยานพระยะโฮวามีสำนักงานสาขาและหอประชุมใหญ่ที่นั่น. ในเขตนครและปริมณฑล มีพยานฯ เกือบ 10,000 คนซึ่งประชุมกันในประชาคมและกลุ่มต่าง ๆ 130 แห่ง. พวกเขาจัดการประชุมใน 12 ภาษานอกจากภาษาอิตาลี. คุณจะได้รับการต้อนรับที่ซาลา เดล เรญโญ (หอประชุมราชอาณาจักร) ไม่ว่าที่ใดก็ตาม.
ดังนั้น ไม่ว่าคุณอยากชมกรุงโรมในโฉมหน้าไหนจากหลาย ๆ โฉมหน้าที่มีอยู่ เราก็ขอเชิญคุณมา เพราะดังที่นักเขียนชาวเยอรมันชื่อ โยฮันน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเท เขียนไว้ “มีแต่ในโรมเท่านั้นที่คนเราจะเรียนรู้เรื่องของโรมได้.”
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 12 ดูตื่นเถิด! ฉบับ 8 เมษายน 1991 หน้า 18-21.
^ วรรค 18 ดูตื่นเถิด! ฉบับ 8 สิงหาคม 1995 หน้า 12-16.
[กรอบ/รูปภาพหน้า 18, 19]
บารี—เมืองหลวงที่มีชีวิตชีวาของอะปูลีอา
อะปูลีอาเป็นแคว้นซึ่งเป็นส่วน “ส้น” ของ “รองเท้าบูต” อิตาลี. (ดูแผนที่ในหน้า 14.) แคว้นนี้มีชื่อเสียงเรื่องน้ำมันมะกอกและไวน์. บารีเป็นเมืองหลวงของแคว้นนี้ มีประชากรประมาณ 350,000 คน. เชื่อกันว่าเมืองนี้มีอายุย้อนไปก่อนสมัยโรมัน. ครั้งหนึ่งเมืองนี้เคยตกอยู่ภายใต้อิทธิพลกรีก. พวกโรมันซึ่งบุกเข้ามาในแถบนี้ในศตวรรษที่สี่ก่อน ส.ศ. เรียกเมืองนี้ว่าบารีอุม และทำให้เมืองนี้เป็นมูนีคิบยุม คือเป็นที่ตั้งถิ่นฐานซึ่งพลเมืองโรมันอาศัยอยู่และคงไว้ซึ่งความเป็นเอกราชด้านการบริหาร.
ตั้งแต่สมัยสงครามครูเสดครั้งแรก (ส.ศ. 1096) บารีมีความสำคัญเพิ่มขึ้นในฐานะทางผ่านไปสู่ประเทศทางตะวันออก. เมืองนี้ยังเป็นเมืองท่าที่เรือครูเสดหลายลำออกเดินทางด้วย.
เมืองแห่ง “คุณพ่อคริสต์มาส” หรือ?
อนุสรณ์สถานที่สำคัญที่สุดของบารีมีความเกี่ยวพันอย่างใกล้ชิดกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์. อาคารหลังหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของบารีโดยเฉพาะคือบาซิลิกา ดิ ซาน นิโคลา. กล่าวกันว่านิโคลาคนนี้คือบิชอปแห่งไมรา เมืองแห่งหนึ่งในเอเชียน้อย อยู่ในศตวรรษที่สี่ ส.ศ. ในสมัยโบราณ รายละเอียดของชีวิตเขาถูกนำไปสับสนกับบาทหลวงอีกคนหนึ่งที่มีชื่อเหมือนกัน ซึ่งมีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่หก ส.ศ. ดังนั้น จึงมีตำนานเล่าขานซึ่งมีที่มาต่าง ๆ กันเกี่ยวข้องกับบุคคลนี้. หนึ่งในตำนานหลายเรื่องเรียกนิโคลาผู้นี้ว่าผู้คุ้มครองเด็ก ๆ เนื่องจากกล่าวกันว่าเขาปลุกเด็กสามคนให้เป็นขึ้นจากตาย ซึ่งเด็กเหล่านี้ถูกเจ้าของโรงแรมที่ชั่วร้ายหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วนำไปดอง! ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจที่ระหว่างยุคกลาง การนมัสการบุคคลผู้นี้ซึ่งไม่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์จึงแพร่ไปทั่วและสิ่งที่คิดกันว่าเป็นเถ้ากระดูกของเขาจึงเป็นที่นิยมกันมาก.
หนังสือปุกเลีย-ดัล การ์กาโน อัล ซาเลนโต กล่าวว่า นิโคลาซึ่งเป็นที่รู้จักกันในภาษาลาตินว่าซางตุส นิโคลาอุส “กลายมาเป็นซานตาคลอสในดินแดนทางเหนือของเทือกเขาแอลป์ และต่อมาในอเมริกาเหนือ; เสื้อคลุมตำแหน่งบิชอปของเขาถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อแคสซอกขลิบด้วยขนสัตว์, หมวกไมเตอร์เปลี่ยนเป็นผ้าคลุมที่ติดกับคอ *
เสื้อ, และนักบุญเปลี่ยนเป็นคนแก่เคราขาวท่าทางใจดีแบกถุงที่เต็มไปด้วยของขวัญ.” นี่แหละ คุณพ่อคริสต์มาส!มีอนุสรณ์สถานที่น่าสนใจอีกหลายแห่งในเมืองนี้ แต่สำหรับพยานพระยะโฮวาแล้ว อาคารที่น่าสนใจเป็นพิเศษอาจเป็นโบสถ์แห่งตรีเอกานุภาพบริสุทธิ์และนักบุญคอสมาและดามีอาโน ซึ่งสร้างในปี 1960. มุขโค้งด้านสกัดของโบสถ์นี้มีภาพโมเสกเขียนเป็นอักขระเททรากรัมมาทอน.
คุณเคยเห็นทรูลโลแล้วหรือยัง?
คุณไม่ต้องออกไปไกลนักจากบารีก็มีสถานที่น่าสนใจให้เยี่ยมชมมากมาย. ในเมืองอัลเบโรเบลโล ประมาณ 55 กิโลเมตรทางตะวันออกเฉียงใต้ของบารี มีทรูลโลที่มีชื่อเสียง. ทรูลโลเหล่านี้คืออาคารสีขาวรูปร่างแปลกประหลาดและมีหลังคาทรงกรวย. อาคารเหล่านี้ถูกเรียกว่ากระโจมหินและศาลาประหลาดซึ่งสร้างขึ้นท่ามกลางหมู่ต้นไม้. มันถูกสร้างขึ้นด้วยการวางหินซ้อนกันโดยไม่ได้ใช้ปูน. วิธีก่อสร้างอาจทำให้ทรูลโลดูไม่ค่อยมั่นคง หรือกระทั่งไม่ปลอดภัย กระนั้นมันก็ทนทานอยู่ได้. ทรูลโลหลายหลังมีอายุนานนับศตวรรษ. มันยังกันความร้อนและความเย็นได้ดีอีกด้วย ซึ่งทำให้เย็นในฤดูร้อนและอบอุ่นในฤดูหนาว.
ถ้าคุณชอบถ่ายภาพ คุณอาจอยากจะถ่ายภาพปราสาทคาสเทล เดล มอนเต อันน่าประทับใจ ซึ่งอยู่ประมาณ 40 กิโลเมตรไปทางตะวันตกของบารี. ปราสาทหลังนี้เริ่มสร้างโดยพวกนอร์มันในศตวรรษที่ 12. ดังที่หนังสือคู่มือการท่องเที่ยวเล่มหนึ่งกล่าวไว้ ปราสาทหลังนี้ “เด่นกว่าปราสาทหลังอื่น ๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับเฟรเดอริกที่ 2. นอกจากนี้ยังเป็นอาคารที่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาที่ซับซ้อนที่สุดแห่งหนึ่งในยุคกลางอีกด้วย.” หนังสือนั้นพรรณนาว่าปราสาทหลังนี้เป็น “ตัวอย่างอันยอดเยี่ยมของสถาปัตยกรรมแบบเรขาคณิตซึ่งได้สัดส่วน มีสองชั้น ชั้นละแปดห้อง.” อาคารทรงแปดเหลี่ยมนี้เชื่อมติดกับหอข้างเคียงแปดหอ. นับว่าคุ้มค่าที่จะไปเยี่ยมชม.
ในเมืองบารี พยานพระยะโฮวาประมาณ 1,600 คนและผู้ที่สมทบกับพวกเขาประชุมกันใน 18 ประชาคม. ทุกคนต่างก็กระตือรือร้นที่จะต้อนรับตัวแทนมากมายสู่การประชุมภาคปี 2001 “ผู้สอนพระคำของพระเจ้า” ซึ่งจะจัดขึ้นที่สนามกีฬาซาน นิโคลาในเมืองนี้.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 39 ดูหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 ธันวาคม 1989 หน้า 26-28 และตื่นเถิด! ฉบับ 8 ธันวาคม 1989 หน้า 14.
[รูปภาพ]
อักขระเททรากรัมมาทอนในโบสถ์แห่งตรีเอกานุภาพบริสุทธิ์และนักบุญคอสมาและดามีอาโน
ทางเดินริมทะเล
คาสเทล เดล มอนเต
ทรูลโลในอัลเบโรเบลโล
[แผนที่หน้า 14]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
โรม
บารี
[ที่มาของภาพ]
Mountain High Maps® Copyright © 1997 Digital Wisdom, Inc.
[ภาพหน้า 14]
ประตูโค้งแห่งทิทุส พร้อมกับภาพสลักแสดงถึงทรัพย์ที่ยึดมาจากพระวิหารในกรุงเยรูซาเลม
[ภาพหน้า 14]
โคโลเซียม
[ภาพหน้า 15]
เสาของมาร์คุส เอาเรลีอุส
[ภาพหน้า 15]
ทางหลวงแอปเปียน เวย์
[ภาพหน้า 15]
วิหารปันเตออน เคยเป็นวิหารนอกรีตซึ่งอุทิศแด่เทพเจ้าทั้งมวล ตอนนี้เป็นโบสถ์คาทอลิก
[ภาพหน้า 16]
รายละเอียดจากผลงานของไมเคิลแอนเจโล “เดอะ ลาส จัดจ์เมนต์” ในโบสถ์เล็กซิสติน
[ภาพหน้า 16, 17]
น้ำพุแห่งแม่น้ำสี่สายของเบร์นีนี
[ภาพหน้า 17]
สำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวา
[ภาพหน้า 17]
น้ำพุเทรวี
[ภาพหน้า 17]
ตำนานกล่าวไว้ว่าโรมูลุสกับเรมุส ผู้ก่อตั้งกรุงโรมในตำนาน ดูดนมหมาป่า