ความหลากหลาย—สำคัญยิ่งต่อชีวิต
ความหลากหลาย—สำคัญยิ่งต่อชีวิต
ในทศวรรษ 1840 ประชากรของไอร์แลนด์เพิ่มขึ้นกว่าแปดล้านคน ทำให้ไอร์แลนด์เป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในยุโรป. มันฝรั่งเป็นอาหารหลักของที่นี่ และพันธุ์เดียวที่มีการปลูกกันแพร่หลายที่สุดคือพันธุ์ลัมเปอร์.
ในปี 1845 ชาวไร่ปลูกมันฝรั่งพันธุ์ลัมเปอร์กันตามปกติ แต่โรคใบไหม้เกิดระบาดและทำลายพืชผลเกือบทั้งหมด. พอล เรเบิร์น เขียนในหนังสือชื่อการเก็บเกี่ยวครั้งสุดท้าย—ความเสี่ยงทางพันธุกรรมซึ่งส่อเค้าว่าจะทำลายการเกษตรของอเมริกา (ภาษาอังกฤษ) ดังนี้: “ส่วนใหญ่ของประเทศไอร์แลนด์รอดพ้นปีที่ยากลำบากนั้นมาได้. ความหายนะเกิดขึ้นในปีถัดไป. ชาวไร่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะปลูกมันฝรั่งพันธุ์เดิมอีกครั้ง. พวกเขาไม่มีพันธุ์อื่น. โรคใบไหม้ระบาดอีกครั้ง คราวนี้ด้วยความรุนแรงอย่างยิ่ง. ความทุกข์นั้นเหลือที่จะพรรณนา.” นักประวัติศาสตร์ประมาณว่า มีคนเสียชีวิตเพราะความอดอยากถึง 1 ล้านคน ขณะที่อีก 1.5 ล้านคนอพยพออกนอกประเทศ ส่วนใหญ่ไปสหรัฐ. คนที่ยังเหลืออยู่ก็ประสบกับความยากจนสุดขีด.
ในแถบเทือกเขาแอนดีสแห่งอเมริกาใต้ ชาวไร่ปลูกมันฝรั่งหลายพันธุ์ และมีไม่กี่พันธุ์เท่านั้นที่เป็นโรคใบไหม้. ดังนั้น จึงไม่มีโรคระบาด. เห็นได้ชัดว่า ความหลากหลายของชนิดพืชและความหลากหลายภายในชนิดเดียวกันช่วยป้องกันได้. การปลูกพืชชนิดเดียวกันไม่ได้เป็นไปตามมาตรการพื้นฐานเพื่อการอยู่รอดนี้และทำให้พืชเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือศัตรูพืช ซึ่งอาจทำลายพืชผลทั้งหมดของพื้นที่นั้นได้. นั่นเป็นเหตุผลที่เกษตรกรหลายคนอาศัยยากำจัดศัตรูพืช, ยาฆ่าวัชพืช, และยาฆ่าเชื้อรากันอยู่บ่อย ๆ แม้ว่าสารเคมีเหล่านี้เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม.
ถ้าอย่างนั้น ทำไมเกษตรกรจึงเลิกปลูกพืชพันธุ์พื้นเมือง
ซึ่งมีหลากหลายพันธุ์แล้วหันไปปลูกพืชพันธุ์เดียวกัน? บ่อยครั้งเนื่องจากความกดดันทางเศรษฐกิจ. การปลูกพืชชนิดเดียวกันทำให้มีโอกาสที่การเก็บเกี่ยวจะทำได้ง่าย, ให้ผลผลิตที่น่าดึงดูดใจ, ป้องกันความเสียหาย, และได้ผลผลิตมาก. แนวโน้มนี้เริ่มแพร่หลายมากขึ้นในทศวรรษ 1960 พร้อมกับสิ่งที่เรียกว่าการปฏิวัติเขียว.การปฏิวัติเขียว
โดยการรณรงค์ขนานใหญ่จากรัฐบาลและบริษัทต่าง ๆ เกษตรกรในดินแดนที่มักขาดแคลนอาหารถูกโน้มน้าวให้เลิกปลูกพืชที่หลากหลายพันธุ์แล้วหันไปปลูกธัญพืชที่ให้ผลผลิตสูงชนิดเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวเจ้าและข้าวสาลี. เมล็ดพันธุ์ “มหัศจรรย์” เหล่านี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นทางแก้สำหรับความอดอยากในโลก. แต่เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ไม่ได้มีราคาถูก ๆ คือแพงกว่าปกติถึงสามเท่า. นอกจากนั้น ผลผลิตที่ได้ก็ต้องอาศัยสารเคมีเป็นอย่างมาก รวมทั้งปุ๋ย และยังไม่ต้องพูดถึงอุปกรณ์ราคาแพงอย่างเช่นรถแทรกเตอร์. ถึงกระนั้น โดยอาศัยงบประมาณจากรัฐบาล การปฏิวัติเขียวจึงแพร่หลาย. เรเบิร์นกล่าวว่า “แม้ว่าการปฏิวัติเขียวได้ช่วยชีวิตหลายล้านคนจากการอดตาย แต่ตอนนี้ [มัน] กำลังคุกคามความมั่นคงของอาหารโลก.”
ที่แท้แล้ว การปฏิวัติเขียวอาจมีผลดีในระยะสั้นแต่เสี่ยงต่อความเสียหายในระยะยาว. การเพาะปลูกพืชพันธุ์เดียวกลายเป็นสิ่งที่ทำกันแพร่หลายตลอดทั่วทวีป—ขณะที่การใช้ปุ๋ยปริมาณมากกระตุ้นให้วัชพืชเจริญเติบโต และการใช้ยากำจัดศัตรูพืชได้ทำลายแมลงที่เป็นประโยชน์ไปพร้อม ๆ กับศัตรูพืช. ในนาข้าว สารเคมีที่เป็นพิษทำให้ปลาตาย รวมทั้งกุ้ง, ปู, กบ, สมุนไพรและพืชป่าที่กินได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอาหารเสริมที่มีคุณค่า. การได้รับสารเคมียังทำให้เกิดอาการถูกพิษท่ามกลางเกษตรกรด้วย.
ดร. เม-วัน โฮ อาจารย์ภาควิชาชีววิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเปิดในสหราชอาณาจักร เขียนว่า “บัดนี้ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ แล้วว่าการปลูกพืชชนิดเดียวกันซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ ‘การปฏิวัติเขียว’ นั้นได้ส่งผลเสียต่อความหลากหลายทางชีวภาพและความมั่นคงของอาหารตลอดทั่วโลก.” ตามรายงานขององค์การอาหารและเกษตรกรรมแห่งสหประชาชาติ 75 เปอร์เซ็นต์ของความหลากหลายทางพันธุกรรมที่เคยมีในพืชซึ่งเพาะปลูกเมื่อศตวรรษก่อนได้สูญหายไปหมดแล้วในเวลานี้ ส่วนใหญ่เนื่องจากการทำไร่แบบอุตสาหกรรม.
เอกสารซึ่งจัดพิมพ์โดยสถาบันเวิลด์วอตช์เตือนว่า “ความเสี่ยงทางนิเวศวิทยาที่เรารับเอาจากความเหมือนกันทางพันธุกรรมนั้นมีมากมหาศาล.” เราจะควบคุมความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างไร? จำเป็นต้องมีนักวิทยาศาสตร์ที่ชำนาญในด้านการเกษตรและสารเคมีที่รุนแรงรวมทั้งเงินทุนสำหรับเกษตรกร. กระนั้น ก็ไม่อาจรับประกันความสำเร็จได้. ความเหมือนกันทางพันธุกรรมเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดโรคใบไหม้ในข้าวโพดซึ่งก่อความเสียหายร้ายแรงในสหรัฐและทำให้สูญเสียข้าวมากกว่าหนึ่งล้านสองแสนไร่ในอินโดนีเซีย. อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่ปีมานี้การปฏิวัติการเกษตรครั้งใหม่ได้เริ่มขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับการควบคุมชีวิตในระดับมูลฐานยิ่งขึ้น นั่นคือหน่วยพันธุกรรม (ยีน).
การปฏิวัติพันธุกรรม
การศึกษาเกี่ยวกับพันธุกรรมได้ก่อให้เกิดอุตสาหกรรมแนวใหม่ที่ให้ผลกำไรงาม ซึ่งเรียกว่าเทคโนโลยีชีวภาพ. ดังที่ชื่อบ่งบอก อุตสาหกรรมนี้ผสมผสาน
ชีววิทยาเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วยกรรมวิธีอย่างเช่นพันธุวิศวกรรม. บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพใหม่ ๆ บางบริษัท เชี่ยวชาญเรื่องการเกษตรและกำลังทำงานอย่างขันแข็งเพื่อจะจดสิทธิบัตรเมล็ดพืชซึ่งให้ผลผลิตสูง ซึ่งทนทานต่อโรค, ความแห้งแล้ง, และความเย็นจัด รวมทั้งลดความจำเป็นในการใช้สารเคมีอันตราย. ถ้าสามารถบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นได้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมาก. แต่บางคนได้แสดงความเป็นห่วงเกี่ยวกับพืชที่ผ่านกรรมวิธีทางพันธุวิศวกรรม.หนังสือพันธุวิศวกรรม, อาหาร, และสิ่งแวดล้อมของเรา (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “ในธรรมชาติ ความหลากหลายทางพันธุกรรมถูกสร้างให้อยู่ภายในขอบเขตจำกัด. กุหลาบจะผสมข้ามพันธุ์กับกุหลาบอีกพันธุ์หนึ่งได้ แต่กุหลาบจะไม่มีทางผสมข้ามพันธุ์กับมันฝรั่ง. . . . ในทางกลับกัน พันธุวิศวกรรมมักเกี่ยวข้องกับการนำยีนจากสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งไปใส่ในสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งเพื่อพยายามถ่ายทอดลักษณะซึ่งเป็นที่ต้องการ. ตัวอย่างเช่น นี่อาจหมายถึงการคัดเลือกยีนซึ่งจะทำให้เกิดการผลิตสารเคมีที่มีคุณสมบัติต้านทานการเป็นน้ำแข็งจากปลาขั้วโลก (เช่น ปลาเฟลาน์เดอร์) และใส่เข้าไปในมันฝรั่งหรือสตรอเบอร์รีเพื่อให้มันทนต่อความหนาวเย็น. ตอนนี้เป็นไปได้ที่จะดัดแปลงพืชโดยใช้ยีนจากแบคทีเรีย, ไวรัส, แมลง, สัตว์ หรือแม้กระทั่งมนุษย์.” * ดังนั้น ที่แท้แล้วเทคโนโลยีชีวภาพทำให้มนุษย์ทำลายกำแพงทางพันธุกรรมซึ่งกั้นระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ.
เช่นเดียวกับการปฏิวัติเขียว สิ่งที่บางคนเรียกว่า การปฏิวัติพันธุกรรมก็มีส่วนทำให้เกิดปัญหาเรื่องความเหมือนกันทางพันธุกรรม—บางคนกล่าวว่าปัญหานั้นยิ่งรุนแรงขึ้นด้วยซ้ำ เนื่องจากนักพันธุศาสตร์สามารถใช้กรรมวิธีอย่างเช่นการโคลนนิงและการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อ อันเป็นกรรมวิธีซึ่งทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกันทุกประการ. ความห่วงใยเกี่ยวกับการลดลงของความหลากหลายทางชีวภาพจึงยังคงมีอยู่ต่อไป. อย่างไรก็ตาม พืชที่ตัดแต่งพันธุกรรมก่อให้เกิดประเด็นใหม่ ๆ เช่น ผลกระทบที่พืชเหล่านั้นอาจมีต่อเราและสิ่งแวดล้อม. เจเรมี ริฟกิน นักเขียนเรื่องทางวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า “เรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่แห่งเทคโนโลยีชีวภาพด้านการเกษตรโดยไม่รู้แน่ชัดว่ามันจะพาเราไปที่ไหน พร้อมด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่, ข้อจำกัดไม่กี่อย่าง, และแทบไม่รู้เลยเกี่ยวกับผลที่อาจเกิดขึ้น.” *
ในอีกด้านหนึ่ง อำนาจที่จะควบคุมชีวิตในระดับพันธุกรรมนั้นอาจเป็นแหล่งของผลประโยชน์มหาศาล และบริษัทต่าง ๆ ก็กำลังแข่งขันกันเพื่อจดสิทธิบัตรเมล็ดพันธุ์ใหม่ ๆ และสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการดัดแปลงชนิดอื่น ๆ. ในระหว่างนี้ การสูญพันธุ์ของพืชก็ยังดำเนินต่อไป. ดังที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ เพื่อจะหลีกเลี่ยงความหายนะ รัฐบาลบางประเทศและองค์กรเอกชนบางแห่งได้จัดตั้งธนาคารเชื้อพันธุ์. ธนาคารเหล่านี้จะช่วยคนรุ่นต่อ ๆ ไปให้มีเมล็ดพืชหลากหลายชนิดไว้เพื่อการเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวไหม?
ธนาคารเชื้อพันธุ์—หลักประกันการสูญพันธุ์หรือ?
สวนพฤกษชาติหลวงแห่งคิว ประเทศอังกฤษ ได้ดำเนินโครงการซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “โครงการอนุรักษ์ระดับนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมา” นั่นคือโครงการธนาคารเชื้อพันธุ์แห่งสหัสวรรษ. เป้าหมายหลักของโครงการนี้คือ (1) เพื่อรวบรวมและเก็บรักษาพรรณไม้ที่มีอยู่ในโลกซึ่งเป็นประเภทที่มีเมล็ดไว้ 10 เปอร์เซ็นต์—หรือกว่า 24,000 ชนิด—ก่อนถึงปี 2010 และ (2) นานก่อนหน้านั้น เพื่อรวบรวมและเก็บรักษาเมล็ดของพรรณไม้พื้นเมืองที่มีเมล็ดทั้งหมดในสหราชอาณาจักร. ประเทศอื่น ๆ ได้ก่อตั้งธนาคารเชื้อพันธุ์ขึ้นมาเช่นเดียวกัน ซึ่งบางทีเรียกกันว่าธนาคารยีน.
นักชีววิทยา จอห์น ทักซิลล์ กล่าวว่า อย่างน้อย 90 เปอร์เซ็นต์ของเมล็ดพืชหลายล้านเมล็ดซึ่งเก็บไว้ที่ธนาคารเชื้อพันธุ์เป็นพืชที่มีค่าซึ่งใช้เป็นอาหารและมีประโยชน์ เช่น ข้าวสาลี, ข้าวเจ้า, ข้าวโพด, ข้าวฟ่าง, มันฝรั่ง, หัวหอม, กระเทียม, อ้อย, ฝ้าย, ถั่วเหลือง, และถั่วชนิดอื่น ๆ อีกมาก. แต่เมล็ดพืชเป็นสิ่งมีชีวิตซึ่งจะอยู่ได้ตราบเท่าที่ยังมีพลังงานอยู่ภายใน. ดังนั้น ธนาคารเชื้อพันธุ์ไว้ใจได้เพียงใด?
ปัญหาที่ธนาคาร
ธนาคารเชื้อพันธุ์ต้องใช้เงินในการดำเนินงาน ซึ่งทักซิลล์กล่าวว่าต้องใช้ประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ต่อปี. อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่าแม้แต่เงินจำนวนนี้ก็อาจไม่เพียงพอ เพราะ “มีเพียง 13 เปอร์เซ็นต์ของเมล็ดพืชที่เก็บไว้ในธนาคารเชื้อพันธุ์ซึ่งอยู่ในที่ที่มีการดูแลอย่างดีและมีศักยภาพจะเก็บเมล็ดพืชไว้เป็นเวลานาน ๆ.” เนื่องจากเมล็ดพืชที่เก็บไว้ไม่ดีจะอยู่ได้ไม่นาน จึงต้องปลูกใหม่ตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อจะได้เมล็ดพืชรุ่นต่อไป; มิฉะนั้นธนาคารเชื้อพันธุ์ก็อาจกลายเป็นโรงเก็บเมล็ดพืชที่ตายแล้ว. แน่นอน งานเหล่านี้เป็นงานที่ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก ซึ่งทำให้เรื่องยากมากขึ้นสำหรับองค์กรที่ขาดเงินทุนอยู่แล้ว.
หนังสือเมล็ดแห่งความเปลี่ยนแปลง—ขุมทรัพย์ที่มีชีวิตอยู่ (ภาษาอังกฤษ) อธิบายว่า ห้องปฏิบัติการเก็บเมล็ดพืชแห่งชาติในโคโลราโด สหรัฐอเมริกา “ประสบกับความยุ่งยากหลายอย่าง รวมทั้งไฟฟ้าดับ, อุปกรณ์ทำความเย็นเสีย, และการขาดคนงานซึ่งทำให้มีเมล็ดพืชปริมาณมหาศาลที่ยังไม่ได้แยกประเภท.” ธนาคารเชื้อพันธุ์ยังได้รับผลกระทบจากความไม่สงบทางการเมือง, ความตกต่ำทางเศรษฐกิจ, และภัยพิบัติธรรมชาติอีกด้วย.
การเก็บรักษาเป็นเวลานานก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ เช่นกัน. ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติของมัน พืชมีความสามารถในการปรับตัวได้ในระดับหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญ และนี่ทำให้มันรอดจากโรคพืชและปัญหาอื่น ๆ. แต่ในสภาพแวดล้อมที่ได้รับการปกป้องในธนาคารเชื้อพันธุ์ มันอาจสูญเสียการต้านทานนั้นไปบางส่วนหลังจากมีการปลูกขึ้นใหม่ไม่กี่รุ่น. อย่างไรก็ดี เมล็ดพันธุ์ที่เก็บไว้อย่างดีอาจอยู่ได้นานนับร้อยปีก่อนจะถึงเวลาที่ต้องนำมาปลูกใหม่. แม้ว่ามีข้อจำกัดและความไม่แน่นอนเหล่านี้ แต่การที่มีธนาคารเชื้อพันธุ์อยู่ก็แสดงว่ามีความห่วงใยเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอนาคตของพืชผลที่เป็นอาหารของมนุษยชาติ.
แน่นอน วิธีที่ดีที่สุดที่จะลดการสูญพันธุ์คือการปกป้องถิ่นกำเนิดดั้งเดิมและทำให้ความหลากหลายของพืชที่เพาะปลูกกลับคืนมา. แต่ที่จะทำอย่างนั้น ทักซิลล์กล่าวว่า เราต้อง “สร้างความสมดุลใหม่ระหว่างความต้องการของมนุษย์และความต้องการของธรรมชาติ.” กระนั้น เป็นไปได้สักเพียงไรที่จะคิดว่ามนุษย์จะ “สร้างความสมดุลใหม่” กับโลกธรรมชาติขณะที่พวกเขามุ่งติดตามความก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมและทางเศรษฐกิจด้วยความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง? ดังที่เราได้เห็นแล้ว แม้แต่การเกษตรก็กำลังถูกดูดกลืนเข้าไปในโลกธุรกิจขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงและได้รับแรงผลักดันจากผลประโยชน์. จำต้องมีทางแก้ทางอื่น.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 13 ทฤษฎีเกี่ยวกับผลกระทบของอาหารที่ผ่านกรรมวิธีตัดแต่งพันธุกรรมที่อาจมีต่อสุขภาพของมนุษย์และสัตว์รวมทั้งสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นที่ถกเถียงกัน. การผสมยีนของสิ่งมีชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องกันเลยได้ทำให้บางคนตั้งคำถามเกี่ยวกับจริยธรรม.—ดูตื่นเถิด! (ภาษาอังกฤษ) 22 เมษายน 2000 หน้า 25-27.
^ วรรค 14 วารสารนิว ไซเยนติสต์ รายงานว่าต้นชูการ์บีต ยุโรป “ซึ่งถูกตัดแต่งพันธุกรรมเพื่อให้ต้านทานยากำจัดวัชพืชชนิดหนึ่งกลับได้รับยีนซึ่งต้านทานยากำจัดวัชพืชอีกชนิดหนึ่งโดยบังเอิญ.” ยีนที่ผิดพลาดนั้นได้เล็ดลอดเข้าสู่ต้นบีตเมื่อมีการผสมเกสรโดยบังเอิญจากบีตอีกพันธุ์หนึ่งซึ่งได้รับการดัดแปลงเพื่อต้านทานยากำจัดวัชพืชอีกชนิดหนึ่ง. นักวิทยาศาสตร์บางคนกลัวว่าการแพร่หลายของพืชที่ต้านทานยากำจัดวัชพืชอาจนำไปสู่การสร้างยอดวัชพืชซึ่งสามารถต้านทานยากำจัดวัชพืชได้.
[กรอบ/รูปภาพหน้า 7]
เกษตรกร—‘ใกล้สูญพันธุ์’ หรือ?
วารสารเวิลด์ วอตช์ กล่าวว่า “ตั้งแต่ปี 1950 จำนวนผู้ที่ถูกว่าจ้างในการเกษตรได้ลดลงอย่างมากในประเทศอุตสาหกรรมทุกประเทศ บางภูมิภาคลดลงมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์.” เพื่อเป็นตัวอย่าง ปัจจุบันสหรัฐมีจำนวนเกษตรกรน้อยกว่านักโทษในเรือนจำ. อะไรทำให้ผู้คนละทิ้งไร่นาครั้งใหญ่เช่นนี้?
ปัจจัยสำคัญคือรายได้ลดลง, หนี้สินจากการทำไร่ทำนาเพิ่มขึ้น, ความยากจนเพิ่มขึ้น, และการใช้เครื่องจักรกลมากขึ้น. ในปี 1910 เกษตรกรในสหรัฐได้เงินราว ๆ 40 เซนต์จากทุก ๆ หนึ่งดอลลาร์ที่ผู้บริโภคจ่ายเพื่อซื้ออาหาร แต่พอถึงปี 1997 ส่วนแบ่งของเกษตรกรลดลงเหลือแค่ประมาณ 7 เซนต์. วารสารเวิลด์ วอตช์ กล่าวว่า ชาวนาที่ปลูกข้าวสาลี “ได้เพียง 6 เซนต์จากหนึ่งดอลลาร์ที่ผู้บริโภคจ่ายไปเพื่อซื้อขนมปังหนึ่งแถว.” นี่หมายความว่า ลูกค้าจ่ายค่าข้าวสาลีให้ชาวนามากพอ ๆ กับจ่ายค่าพลาสติกห่อของ. เกษตรกรในประเทศกำลังพัฒนามีสภาพที่แย่กว่านี้อีก. เกษตรกรในออสเตรเลียและยุโรปอาจกู้เงินจากธนาคารได้เพื่อช่วยให้ผ่านพ้นปีที่ผลผลิตตกต่ำ แต่เกษตรกรในแอฟริกาตะวันตกอาจไม่สามารถแก้ตัวได้อีก. เขาอาจไม่รอดด้วยซ้ำ.
[ภาพหน้า 7]
“การปลูกพืชชนิดเดียวซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ ‘การปฏิวัติเขียว’ ได้ส่งผลเสียต่อความหลากหลายทางชีวภาพและความมั่นคงของอาหารตลอดทั่วโลก.”—ดร. เม-วัน โฮ
[ที่มาของภาพ]
Background: U.S. Department of Agriculture
Centro Internacional de Mejoramiento de Maíz y Trigo (CIMMYT)
[ภาพหน้า 8]
ธนาคารเชื้อพันธุ์แห่งสหัสวรรษในอังกฤษกำลังอนุรักษ์เมล็ดพืชที่มีค่า
[ที่มาของภาพหน้า 8]
© Trustees of Royal Botanic Gardens, Kew