วิธีที่ความฝันของฉันเป็นจริง
วิธีที่ความฝันของฉันเป็นจริง
เล่าโดยอะเลนา ซิดนิโกวา
เมื่อฉันเติบโตในเชโกสโลวะเกีย ประเทศบริวารของโซเวียต ครอบครัวของเราใฝ่ฝันจะเห็นโลกที่สงบสุขตามที่ลัทธิคอมมิวนิสต์สัญญาไว้. อย่างไรก็ดี ความฝันของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเรื่องการสร้างสังคมที่มีความสุขและสมานฉันท์สิ้นสุดลงเมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลายในปี 1991. ฉันขอเล่าให้ฟังว่ามีอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้ความฝันของฉันเป็นจริง.
ฉันเกิดวันที่ 12 กันยายน 1962 ในครอบครัวที่ศรัทธาระบอบคอมมิวนิสต์อย่างแรงกล้า ที่หมู่บ้านฮอร์นี เบเนชอฟ ซึ่งไกลจากกรุงปรากประมาณ 290 กิโลเมตร. พ่อของฉันไว้วางใจอุดมการณ์ของคอมมิวนิสต์และดำเนินชีวิตสอดคล้องกับอุดมการณ์เหล่านั้น. อนึ่ง พ่อยังได้อบรมเลี้ยงดูพี่ชายสองคนและพี่สาวคู่แฝดกับฉันตามอุดมการณ์ดังกล่าวด้วย. ท่านสั่งสอนพวกเราว่าเมื่อทุ่มเทกำลังทำงานหนักและดำเนินชีวิตในทางที่ดี เราสามารถช่วยกันสร้างสังคมที่ดีกว่าเดิมได้. ท่านถือว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุดและจึงได้ส่งเสริมสนับสนุนระบอบนี้อย่างจริงจัง.
พ่อมักเข้าร่วมประชุมในที่ ๆ มีการยกย่องลัทธิคอมมิวนิสต์. ท่านเหยียดหยามศาสนาเนื่องจากความหน้าซื่อใจคดในคริสตจักรต่าง ๆ และพวกเราถูกสอนจนเกิดความเชื่อว่าไม่มีพระเจ้า. พ่อเชื่อว่าจริง ๆ แล้ว ในที่สุดปวงประชาจะมีบ้านอยู่และมีอาหารพอเพียง พวกเขาจะเป็นประชาชนที่ดีและดำเนินชีวิตอย่างสงบสุข. นั่นเป็นความหวังอันสดใสงดงามตามที่ฉันได้ยินได้ฟังมามากตลอดช่วงเวลาที่ฉันเติบโต. ฉันเชื่อทุกอย่างที่พ่อสอนพวกเรา และฉันเองก็มุ่งมั่นจะสนับสนุนลัทธิคอมมิวนิสต์เหมือนกัน.
เมื่อฉันยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ฉันเตรียมตัวจะเป็นไพโอเนียร์ ดังที่สมาชิกองค์การยุวชนไพโอเนียร์วัยหนุ่มสาวที่นิยมกันของพรรคคอมมิวนิสต์ถูกเรียกกัน. พวกไพโอเนียร์เหล่านี้ได้รับการกระตุ้นให้พัฒนาคุณลักษณะที่ดีหลาย ๆ ด้านและให้เป็นผู้รักชาติ. ตอนอายุเก้าขวบ ฉันกล่าวคำปฏิญาณตนเป็นไพโอเนียร์อย่างตั้งใจจริงและได้รับมอบผ้าพันคอสีแดงใช้ผูกแสดงสถานะ. นอกจากนั้น เขายังอนุญาตให้ฉันแต่งเครื่องแบบไพโอเนียร์อย่างเป็นทางการได้ในโอกาสพิเศษ. ฉันพยายามทำตัวเป็นไพโอเนียร์ที่ดี. เมื่อได้ยินเพื่อน ๆ ที่โรงเรียนใช้คำหยาบคาย ฉันมักว่ากล่าวตักเตือนพวกเขาว่าเด็กสาวไพโอเนียร์ไม่สมควรพูดแบบนั้น.
แต่เมื่อเวลาผ่านไปฉันเริ่มรู้ว่าหลายคนที่อ้างตัวเป็นคอมมิวนิสต์ไม่ได้สนับสนุนอุดมการณ์ของคอมมิวนิสต์. แทนที่จะต้านทานแนวโน้มเอียงของมนุษย์ในเรื่องของความโลภหรือความอิจฉาริษยา พวกเขากลับขโมยทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติ. แม้ว่าหลายคนได้กระตุ้นเตือนผู้คนให้สร้างคุณประโยชน์เพื่อประชาชน แต่ตัวเขาเองกลับไม่ทำอย่างนั้นเลย. ที่จริง
คำพูดซึ่งชอบพูดกันมากคือ “คนที่ไม่ขโมยก็ได้ขโมยจากครอบครัวของเขาเอง.” ฉันเริ่มถามตัวเอง ‘ทำไมความหน้าซื่อใจคดมีอยู่ดาษดื่น? ทำไมคนที่พยายามส่งเสริมอุดมการณ์ดี ๆ ของลัทธิคอมมิวนิสต์จึงมีน้อยเหลือเกิน? ทำไมความบากบั่นพยายามจึงไม่บรรลุผลสำเร็จ?’เวลาที่ต้องทบทวนกันใหม่
ตอนเป็นสาววัยรุ่น ฉันได้ใช้เวลาพักร้อนช่วงหนึ่งกับอะเลนา เพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกัน. เย็นวันหนึ่ง เพื่อนของอะเลนาที่อายุมากกว่าชื่อทันยาได้แวะมาหาเรา. เธอบอกว่า “ฉันต้องพูดเรื่องสำคัญมาก ๆ กับเธอทั้งสองคน ฉันมั่นใจทีเดียวว่าพระเจ้ามีจริง.” เรารู้สึกประหลาดใจที่ทันยาสรุปแบบนั้น. หลังจากหายงงแล้ว เราระดมถามเธอหลายข้อ. อาทิ “เธอมีข้อพิสูจน์อะไรที่จะยืนยันเรื่องนี้?” “พระเจ้ามีรูปร่างลักษณะเช่นไร?” “พระองค์อยู่ที่ไหน?” “ทำไมพระองค์ไม่เข้าแทรกแซงช่วยเหลือมนุษย์ล่ะ?”
ทันยาตอบคำถามของเราเป็นเรื่อง ๆ ไป. เธออธิบายให้เราเข้าใจว่าการที่แผ่นดินโลกถูกสร้างเป็นสวนธรรมชาติให้มนุษย์อยู่อาศัยนั้นเป็นพระประสงค์แรกเดิมของพระเจ้า แล้วเธอยังอธิบายต่อไปอีกว่าในที่สุดพระประสงค์นี้จะสำเร็จได้อย่างไร. เมื่อเธอชี้ให้เราดูจากคัมภีร์ไบเบิลถึงคำสัญญาต่าง ๆ เกี่ยวกับแผ่นดินโลกที่สะอาด, คนดีมีศีลธรรมและมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง, คนที่เอื้ออาทรกันจะได้อาศัยอยู่ที่นั่น คำสัญญาเหล่านี้ทำให้ฉันนึกถึงคำสัญญาคล้าย ๆ กันที่ฉันเชื่ออยู่. แต่ฉันแน่ใจว่าถ้าพ่อได้ฟังคำบอกเล่าถึงเรื่องต่าง ๆ ที่ดีวิเศษเช่นนี้ว่าจะสัมฤทธิ์ผลโดยทางราชอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่จากลัทธิคอมมิวนิสต์ ท่านคงจะไม่พอใจแน่ ๆ.
ที่จริง ครั้งหนึ่งตอนที่ฉันอายุราว ๆ หกหรือเจ็ดขวบ เด็กผู้หญิงใกล้บ้านชวนฉันไปโบสถ์โดยที่พ่อแม่ไม่รู้. บาทหลวงเล่าเรื่องหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิล และฉันเองชอบมากถึงกับอยากจะรู้ข้อมูลมากขึ้น. ฉันยังรับหนังสือที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนามาอ่านด้วยซ้ำ. พอฉันบอกพ่อแม่ ท่านห้ามฉันไปโบสถ์อย่างเด็ดขาด และท่านยังทำลายทุกสิ่งที่ฉันนำเข้าบ้าน. เพื่อเน้นคำสั่งห้ามให้หนักแน่นยิ่งขึ้น พ่อฟาดฉันอย่างแรง.
หลังจากนั้น ไม่มีการพูดถึงเรื่องพระเจ้าในบ้านของเราอีกเลย. ฉันพลอยเชื่อตามที่ว่ากันว่าคนคร่ำครึไร้การศึกษาเท่านั้นที่เชื่อเรื่องพระเจ้า และศาสนาเป็นสิ่งที่มนุษย์คิดค้นขึ้นเอง. เราได้รับการสอนที่โรงเรียนว่า เนื่องจากพวกเราไม่สามารถเข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติบางอย่าง มนุษย์จึงแต่งแนวคิดเรื่องพระเจ้าขึ้นมา. แต่ตอนนี้ทันยา สตรีที่เฉลียวฉลาดอยู่ที่นี่ อันที่จริงเธอเป็นครูและเชื่อเรื่องพระเจ้า! ฉันรำพึง: ‘สิ่งที่เธอพูดนั้นคงต้องมีความจริงอยู่บ้าง!’
ทันยาพูดได้จับใจมากจนเรามั่นใจว่าเธอเชื่ออย่างที่เธอพูด. ฉะนั้น เราถามว่า “ทันยา อะไรทำให้เธอมั่นใจว่าพระเจ้ามีอยู่จริง?”
เธอตอบว่า “คัมภีร์ไบเบิลน่ะซี. ทุกข้อที่เธอถามนั้น คำตอบทั้งหมดอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล. เธออยากจะเข้าใจมากกว่านี้ไหม?”
ฉันรู้ดีว่าพ่อแม่คงไม่พอใจถ้าฉันเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. ถึงอย่างไรฉันก็กระหายเหลือเกินที่จะเรียนรู้มากขึ้น. ดังนั้น ทันยาได้ฝากที่อยู่ของลุดมีลาไว้กับฉัน เธอเป็นพยานพระยะโฮวาอยู่ใกล้บ้านของเราที่ฮอร์นี เบเนซอฟ. ขณะที่ฉันพิจารณากับลุดมีลาถึงเรื่องคำสัญญาของพระเจ้าเกี่ยวกับอุทยานบนแผ่นดินโลก ฉันมักจะถามตัวเอง ‘ฉันมีคำรับรองอะไรที่ว่าคำสัญญาเหล่านี้จะเป็นจริง?’
ลุดมีลาบอกว่าฉันจำเป็นต้องเรียนเรื่องพระเจ้ามากขึ้นเพื่อจะมีความเชื่อในพระองค์และคำสัญญาของพระองค์ได้. จากการที่ฉันศึกษา ฉันเริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าแผ่นดินโลกและรูปแบบชีวิตหลากหลายที่สลับซับซ้อนบนแผ่นดินโลกหาใช่ผลผลิตของความบังเอิญไม่. ฉันยอมรับว่าจะต้องมีพระผู้สร้างที่ทรงไว้ซึ่งสติปัญญาสูงส่ง. ฉันได้มาเข้าใจถ้อยคำที่ช่างสมเหตุผลในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “แน่นอน บ้านทุกหลังย่อมมีคนสร้าง แต่ผู้ที่ได้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงคือพระเจ้า.”—เฮ็บราย 3:4, ล.ม.
ฉันอยากให้ครอบครัวของฉันศึกษาเรื่องเหล่านี้. แต่ก็แคลงใจว่าพวกเขาคงไม่สนใจ ดังนั้น ฉันจึงยังไม่ได้เล่าให้เขาฟัง. อยู่มาวันหนึ่ง จากบรรดาข้าวของส่วนตัวของฉัน แม่พบกระดาษแผ่นหนึ่งหลุดจากพระคัมภีร์เล่มเก่าคร่ำคร่าซึ่งมีคนให้ฉันมา. พ่อกับแม่ต่างก็รู้สึกวุ่นวายใจมาก ๆ.
โต้เหตุผลกับพ่อ
เมื่อความระแวงของพ่อที่ว่าฉันติดต่อกับพยานพระยะโฮวานั้นได้รับการยืนยันชัดแจ้ง ท่านจึงชวนฉันออกไปเดินเล่น. ท่านกล่าวเตือนว่า “ลูกต้องตัดความสัมพันธ์ทุกอย่างจากคนเหล่านั้นทันที. หากลูกไม่ทำตามที่พ่อบอก พ่อ
ก็จะไม่สามารถเป็นเทศมนตรีในหมู่บ้านของเราได้อีกต่อไป. ลูกจะเป็นผู้ทำลายอาชีพของพ่อ. พ่อจะต้องออกจากสำนักงานและกลับไปโรงงานที่พ่อเคยทำเมื่อก่อน. ลูกจะทำให้ทุกคนในครอบครัวอับอายขายหน้า.”ฉันวิงวอนว่า “แต่พ่อคะ, คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มีเหตุผลนะคะ และมีคำแนะนำที่ดีเยี่ยมในเรื่องการดำเนินชีวิต.”
“ไม่หรอก อะเลนกา” พ่ออธิบาย “พ่อมีความสุขโดยไม่ต้องมีคัมภีร์ไบเบิลหรือพระเจ้า. พ่อทำทุกอย่างด้วยมือของพ่อแท้ ๆ. ไม่มีใครช่วยพ่อ. พ่อแปลกใจที่ลูกเชื่อเรื่องไร้สาระเช่นนั้น! ลูกต้องอยู่กับความเป็นจริงของชีวิต แต่งงานมีเหย้ามีเรือนและมีลูก แล้วลูกจะรู้เองว่าลูกมีความสุขได้โดยไม่ต้องพึ่งพระเจ้า.”
คำพูดที่หนักแน่นของพ่อประทับใจฉันมาก. ขณะนั้นฉันชักเริ่มสงสัยความเชื่อที่ฉันมีอยู่ซึ่งพื้นฐานยังไม่มั่นคง. จริงอยู่ ฉันรู้จักพ่อมานาน นานกว่าที่ได้มารู้จักพยานพระยะโฮวาเสียอีก และฉันรู้สึกปลอดภัยตลอดเวลาที่อยู่บ้าน. พ่อมีเจตนาดี ฉันแน่ใจในข้อนี้. ฉันรู้ว่าท่านรักฉัน ดังนั้น ฉันให้สัญญากับพ่อว่าจะเลิกเรียนคัมภีร์ไบเบิล. หลังจากนั้นไม่นาน ตอนอายุ 18 ปี ฉันเรียนจบและไปทำงานในกรุงปราก เมืองหลวงของประเทศเรา.
ชีวิตฉันในกรุงปราก
ฉันได้งานทำที่ธนาคารแห่งหนึ่ง และเฝ้ารอจะเรียนรู้เกี่ยวกับชีวิตจริง ๆ ตามที่พ่อบอกว่าจะบรรลุความสำเร็จโดยทางรัฐบาลคอมมิวนิสต์. อย่างไรก็ดี ภายในเวลาสั้น ๆ ฉันมองเห็นว่าผู้คนในเมืองใหญ่ก็ใช่ว่าจะมีความสุขยิ่งกว่าคนชนบท. อันที่จริง การประพฤติผิดศีลธรรม, ความหน้าซื่อใจคด, ความเห็นแก่ตัว, และการดื่มอย่างหัวราน้ำเป็นรูปแบบชีวิตปกติทั่ว ๆ ไป.
ในที่สุด พยานฯ คนหนึ่งใกล้บ้านฉันในเมืองฮอร์นี เบเนซอฟ ซึ่งไปที่กรุงปรากได้เตรียมการเพื่อให้พยานฯ ติดต่อฉันได้. ด้วยวิธีนี้ ฉันจึงได้เริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอีกครั้งกับผู้หญิงที่ชื่ออีวาในกรุงปราก. ทุกครั้งเมื่อศึกษาเสร็จแล้ว อีวามักถามว่า “เธออยากให้ฉันกลับมาศึกษาด้วยกันอีกไหมในสัปดาห์หน้า?” อีวาไม่เคยยัดเยียดความคิดเห็นส่วนตัวของเธอให้ฉัน แม้บางครั้งยังเคยถามเธอด้วยซ้ำว่าจะทำอย่างไรหากตกอยู่ในภาวะอย่างฉัน.
“ฉันบอกไม่ได้ว่าคุณควรทำอย่างนี้อย่างนั้น” เธอพูด. ครั้นแล้วเธอชี้ให้ฉันดูบางสิ่งในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งได้ช่วยฉันทำการตัดสินใจ. ความห่วงใยหลักคือสายสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพ่อแม่ ฉะนั้น ฉันจึงถามว่าควรหรือไม่ที่จะตัดขาดจากท่าน. อีวาเปิดไปที่เอ็กโซโด 20:12 ซึ่งคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเราต้องนับถือบิดามารดา. แล้วเธอได้ถามว่า “ถ้าอย่างนั้น สมควรไหมที่จะถือว่าผู้อื่นสำคัญกว่าพ่อแม่ของเรา?”
เนื่องจากฉันไม่แน่ใจ เธอเปิดคัมภีร์ไบเบิลอ่านคำตรัสของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “ผู้ใดที่รักบิดามารดาหรือรักบุตรชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา, ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา.” (มัดธาย 10:37) ด้วยเหตุนี้ ฉันได้มาเข้าใจว่าแม้พ่อแม่สมควรได้รับความนับถือจากฉัน แต่พระเยซูและพระบิดาของพระองค์ผู้สถิตในภาคสวรรค์ยิ่งสมควรจะได้รับความรักมากกว่าด้วยซ้ำ. อีวาพยายามยกเอาหลักการอันสูงส่งของคัมภีร์ไบเบิลออกมาใช้เสมอ ครั้นแล้วปล่อยให้ฉันตัดสินใจเอง.
ขัดความสนใจ
ในที่สุด เดือนกันยายน 1982 ฉันถูกรับเข้าเป็นนักศึกษาในวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงปราก ซึ่งฉันได้เรียนด้านบริหารการเกษตร. แต่ไม่นาน ฉันรู้ตัวว่าฉันไม่สามารถเอาใจใส่หลักสูตรต่าง ๆ ในวิทยาลัยเท่าที่ควร และขณะเดียวกันก็เอาใจใส่การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลตามที่ฉันต้องการ. ดังนั้น ฉันแจ้งให้อาจารย์ท่านหนึ่งทราบว่าฉันคิดจะลาออกจากวิทยาลัย. ท่านบอกว่า “ฉันจะส่งเธอไปหาผู้หนึ่งซึ่งจะเข้าใจและช่วยเธอได้.” แล้วท่านก็จัดการให้ฉันได้คุยกับคณบดี.
คณบดีต้อนรับฉันและถามว่า “ทำไมนักเรียนคนเก่งที่สุดของเราคิดจะลาออก?”
ฉันตอบว่า “เพราะดิฉันไม่มีเวลาทำสิ่งอื่น ๆ ซึ่งดิฉันสนใจเหมือน ๆ กัน.” เนื่องจากประเทศเชโกสโลวะเกียสมัยนั้นสั่งห้ามกิจการของพยานพระยะโฮวา ฉันตั้งใจจะไม่บอกเขาว่าทำไมฉันคิดจะลาออก. แต่เมื่อได้สนทนากับเขาประมาณสองชั่วโมง ฉันเลยคิดว่าเขาเป็นคนไว้ใจได้. ดังนั้นฉันจึงบอกเขาว่าฉันกำลังศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอยู่.
คณบดีพูดว่า “ศึกษาทั้งคัมภีร์ไบเบิลควบไปกับลัทธิมาร์กซ์สิ แล้วค่อยตัดสินใจเลือกเอา.” ดูเหมือนเขาจะสนับสนุนให้ฉันเรียนคัมภีร์ไบเบิลด้วยซ้ำ!
ร่วมกันออกอุบายแต่ไม่สำเร็จ
อย่างไรก็ดี วันรุ่งขึ้น ทั้งอาจารย์และคณบดีได้เดินทางไปหาพ่อแม่ของฉันที่ชนบท. เขาเตือนพ่อแม่ว่าฉันติดต่อกับนิกายอันตรายและเป็นนิกายที่ถูกสั่งห้ามด้วย แถมบอกพ่อแม่ถึงเรื่องที่ฉันต้องการลาออกจากวิทยาลัย. คณบดีสัญญากับพ่อดังนี้: “ถ้าลูกสาวของคุณตัดสินใจลาออกจากวิทยาลัย เราจะจัดการไม่ให้เธอได้งานทำในกรุงปราก แล้วทีนี้เธอต้องยอมกลับมาหาคุณ และจะเลิกติดต่อนิกายนั้น.”
ฉันออกจากวิทยาลัยเดือนมกราคม 1983. เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเหมือนกันได้ช่วยเหลือฉันหาห้องเช่าจากสตรีสูงอายุคนหนึ่ง. เนื่องจากฉันไม่รู้เรื่องที่คณบดีไปพบพ่อแม่ของฉันและที่เขาสัญญากับพ่อ ฉันไม่เฉลียวใจสักนิดว่าทำไมฉันจึงหางานไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ฉันพยายามทุกวิธีแล้ว. เจ้าของห้องเช่าก็แปลกใจเช่นกัน ด้วยความอยากรู้ เธอไปพบคณบดีและไถ่ถามถึงสาเหตุที่ฉันออกจากวิทยาลัย.
“ระวังนะ!” เขาเตือน. “เด็กคนนี้เป็นสมาชิกคณะพยานพระยะโฮวาซึ่งเป็นนิกายอันตราย. เพราะเหตุนี้เธอจึงต้องออกจากวิทยาลัย. เธอจะต้องกลับไปอยู่บ้านและเลิกเกี่ยวข้องกับนิกายนี้. ผมจะคอยดูไม่ให้เธอได้งานทำในกรุงปรากแน่!”
เมื่อหญิงเจ้าของห้องเช่ากลับบ้านคืนนั้น เธอเรียกฉันไปพบและพูดว่า “นี่อะเลนกา วันนี้ฉันไปวิทยาลัยที่หนูเคยเรียน.” ฉันคิดในใจว่าฉันคงต้องเก็บข้าวของลงกระเป๋าและออกจากห้องเช่าคืนนั้นทีเดียว. แต่เธอพูดว่า “ฉันไม่เห็นด้วยกับการกระทำของคณบดี. หนูจะเชื่ออะไรก็ได้ตามที่ใจปรารถนา แต่สิ่งสำคัญคือหนูประพฤติตนอย่างไรต่างหาก. ฉันจะช่วยหนูให้ได้งานทำ.” คืนนั้น ฉันอธิษฐานขอบคุณพระยะโฮวาที่พระองค์ทรงโปรดช่วย.
ไม่นานหลังจากนั้น พ่อมาที่กรุงปรากเพื่อจะรับฉันกลับบ้าน. แต่ข้อโต้แย้งของท่านคราวนี้ไม่ได้โน้มน้าวใจฉัน. ความเชื่อศรัทธาในพระยะโฮวาและคำสัญญาต่าง ๆ ของพระองค์มีรากฐานมั่นคงยิ่งกว่าที่แล้ว ๆ มา. ท้ายที่สุด พ่อกลับบ้านเพียงลำพังโดยที่ฉันไม่ได้ไปด้วย และฉันเห็นพ่อร้องไห้เป็นครั้งแรกในชีวิต. แม้การพบกันครั้งนั้นก่อความสะเทือนใจ ทว่าเป็นประสบการณ์ที่นำฉันเข้าใกล้ชิดพระยะโฮวามากขึ้น. ฉันต้องการอยู่ฝ่ายพระยะโฮวาและรับใช้พระองค์. ดังนั้น วันที่ 19 พฤศจิกายน 1983 ฉันแสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาโดยการรับบัพติสมาในอ่างอาบน้ำที่อพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่งในกรุงปราก.
การตัดสินใจของฉันมีบำเหน็จ
ต่อมา ฉันเข้าไปช่วยงานผลิตสรรพหนังสือของเหล่าพยานฯ ที่ถูกห้ามจำหน่าย. งานนี้จำต้องมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด เนื่องจากพวกเจ้าหน้าที่ได้คุมขังบางคนเมื่อจับได้ว่าผลิตหนังสือ. ภารกิจแรกของฉันคือการทำสำเนาวารสารหอสังเกตการณ์ ที่แปลออกเป็นภาษาเชกโดยใช้เครื่องพิมพ์ดีด. จากนั้นสำเนาเหล่านี้ก็ถูกนำไปแจกจ่ายแก่พยานพระยะโฮวาเพื่อใช้ในการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล.
ต่อมา ฉันได้รับเชิญให้ร่วมกับกลุ่มที่ไปพบกันในอพาร์ตเมนต์ในกรุงปรากเพื่อทำหนังสือ. เครื่องเรือนส่วนใหญ่ภายในห้องถูกย้ายออกไป แล้วพวกเราก็เอาหน้าหนังสือแต่ละหน้าที่พิมพ์แล้วซึ่งวางอยู่บนโต๊ะยาวกลางห้องมาเรียงเข้าด้วยกัน. ต่อจากนั้นก็ทากาวหรือไม่ก็เย็บเป็นเล่ม. ฉันคิดบ่อย ๆ ว่าน่าเพลิดเพลินเพียงใดหากได้ทำงานนี้เต็มเวลา.
ตอนที่เป็นไพโอเนียร์ในองค์การหนุ่มสาวคอมมิวนิสต์ ฉันเคยพยายามสอนเด็กให้เป็นคนดี. ในฐานะพยานพระยะโฮวา ฉันยังคงทำงานร่วมกับคนหนุ่มสาว และได้ช่วยหลายคนเข้ามาเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวาที่รับบัพติสมาแล้ว. ถึงแม้สมาชิกครอบครัวของฉันยังไม่มีใครเป็นพยานฯ แต่ดังคำสัญญาในคัมภีร์ไบเบิล ฉันมีทั้งบิดาและมารดา รวมถึงพี่น้องชายหญิงฝ่ายวิญญาณมากมาย.—มาระโก 10:29, 30.
ปี 1989 การปกครองระบอบประชาธิปไตยเข้ามาแทนระบอบคอมมิวนิสต์ในประเทศของเรา. การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้พยานพระยะโฮวามีเสรีภาพตามกฎหมาย ซึ่งยังผลให้พวกเราสามารถจัดการประชุมได้อย่างเปิดเผยเพื่อศึกษาคัมภีร์ไบเบิล, ออกเผยแพร่ตามบ้านเรือนได้โดยไม่กลัวว่าจะถูกจับกุม, และที่จะเดินทางออกนอกประเทศเพื่อเข้าร่วมการประชุมนานาชาติ. ยิ่งกว่านั้น เราไม่ต้องวิตกกังวลอีกต่อไปในเรื่องของการสืบสวน, การจับกุม, หรือการขู่ขวัญ!
ทำการรับใช้ร่วมกับสามี
ปี 1990 ฉันแต่งงานกับปีเตอร์ ซึ่งเป็นคริสเตียนเช่นเดียวกับฉัน. เดือนเมษายน 1992 เราสองคนได้บรรลุ
เป้าหมายการเป็นไพโอเนียร์ ดังที่พยานฯ เรียกคนเหล่านั้นที่ทำงานเผยแพร่เต็มเวลา. ในที่สุด เดือนมิถุนายน 1994 เราได้รับเชิญไปทำงานที่สำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในกรุงปราก. ตอนนี้ แทนที่จะผลิตสรรพหนังสือด้านคัมภีร์ไบเบิลแบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ เราสามารถมีส่วนร่วมในงานรับใช้อย่างเปิดเผยเพื่อผลประโยชน์ฝ่ายวิญญาณของประชาชนทั่วสาธารณรัฐเชก.เมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ฉันกับปีเตอร์ปลื้มใจเหลือล้นเมื่อพ่อกับแม่ตอบรับการเชิญของเราโดยที่ท่านได้มาเยี่ยมชมอาคารที่ทำงานของเราและที่อยู่อาศัยของสมาชิกครอบครัวมากกว่า 60 คน. หลังจากสำรวจตรวจตราที่อยู่อาศัยและห้องทำงานของพวกเราอย่างละเอียดแล้ว พ่อพูดดังนี้: “ใช่แล้ว พ่อรู้สึกว่าความรักแท้มีอยู่ท่ามกลางพวกคุณ.” คำพูดนี้แสนไพเราะเสนาะหูเท่าที่ฉันสามารถได้ยินจากพ่อ.
พอใจสิ่งที่ลัทธิคอมมิวนิสต์สัญญาไว้
ความหวังของเราที่จะชื่นชมโลกที่ดีกว่าจากระบอบคอมมิวนิสต์นั้น จริง ๆ แล้วมันเป็นแค่ความเพ้อฝันเท่านั้น. ประวัติศาสตร์มนุษยชาติเผยให้เห็นว่า แม้แต่ความพยายามบากบั่นอย่างจริงใจที่สุดของมนุษย์ก็ไม่อาจสร้างสังคมที่ชอบธรรมได้สำเร็จ. ฉันเชื่อว่ายังมีผู้คนอีกมากมายซึ่งจะสำนึกว่ามนุษย์ไม่อาจชื่นชมกับชีวิตที่สุขสบายได้หากไม่ได้รับการสงเคราะห์จากพระเจ้า.—ยิระมะยา 10:23.
บ่อยครั้ง ฉันมักนึกถึงความปรารถนาดีของพ่อที่อยากให้ฉันได้ชื่นชมกับสิ่งที่ท่านเรียกว่า “ชีวิตแท้” ซึ่งท่านสอนเราว่าลัทธิคอมมิวนิสต์สามารถบันดาลได้. กระนั้น ฉันได้มารู้ประจักษ์ชัดจากการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลว่าสิ่งที่เรียกว่า “ชีวิตแท้”—ชีวิตในโลกใหม่ที่ชอบธรรมของพระเจ้า—เป็นคำสัญญาที่แน่นอนเพียงอย่างเดียวซึ่งมนุษย์วางใจได้. (1 ติโมเธียว 6:19, ล.ม.) ฉันพูดเช่นนี้เพราะถึงแม้เป็นทาสบาปและความไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อคนเหล่านั้นมุ่งมั่นตั้งใจนำคำสอนจากคัมภีร์ไบเบิลไปใช้ในชีวิต เขาสามารถจะอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุขได้อย่างน่าทึ่งทีเดียว. พวกเขาบรรลุผลสำเร็จในการต้านทานความพยายามทั้งสิ้นที่คอยบั่นทอนความเป็นเอกภาพท่ามกลางพวกเขา หรือที่จะทำลายความผูกพันอันซื่อสัตย์ภักดีซึ่งเขาได้อุทิศแด่พระยะโฮวาพระเจ้า.
เรื่องนี้ประทับใจฉันเป็นพิเศษในคราวที่ฉันกับสามีได้รับสิทธิพิเศษฐานะแขกรับเชิญไปร่วมการอุทิศสำนักงาน
สาขาแห่งใหม่ของพยานพระยะโฮวาใกล้เมืองลวิฟ สาธารณรัฐยูเครน เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2001. ที่นั่น ฉันพบพยานพระยะโฮวาคนอื่น ๆ ซึ่งเคยเป็นสมาชิกองค์การไพโอเนียร์ยุวชนของพวกคอมมิวนิสต์. คนเหล่านี้เคยหวังเช่นเดียวกันกับฉันว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์จะทำให้มวลมนุษย์มีสันติภาพและเอกภาพอย่างแท้จริง. วลาดิเมียร์ กรีกอริฟ ซึ่งเวลานี้ทำงานรับใช้กับภรรยาที่สำนักงานสาขาในรัสเซียก็เคยเป็นหนึ่งในกลุ่มไพโอเนียร์ยุวชน.เป็นเรื่องน่าแปลกที่ตอนนี้พยานพระยะโฮวาได้ก่อสร้างสำนักงานสาขาแห่งใหม่ขึ้น ณ บริเวณซึ่งเคยเป็นค่ายพักฤดูร้อนสำหรับไพโอเนียร์ยุวชน. เนื่องจากสาขาแห่งนี้มีพื้นที่จำกัด จึงมีเพียง 839 คนจาก 35 ประเทศที่ได้เข้าร่วมระเบียบวาระการอุทิศอาคารสำนักงาน. อย่างไรก็ดี เช้าวันรุ่งขึ้น ณ สนามฟุตบอลในเมืองลวิฟมี 30,881 คนได้ฟังคำบรรยายซึ่งทบทวนระเบียบวาระของวันก่อน. * ในกลุ่มที่มาร่วมประชุมนี้ บางคนได้ใช้เวลาเดินทางถึงหกชั่วโมงหรือมากกว่าจากที่ห่างไกลเพื่อจะอยู่ที่นั่น.
กระนั้น เมื่อผู้คนเหล่านี้รู้ว่ามีการจัดเตรียมนำชมอาคารสาขาใหม่ พวกเขาได้ขึ้นรถบัสนับสิบ ๆ คันซึ่งได้นำพวกเขามายังสนามกีฬา. พอตกบ่าย รถบัสเหล่านั้นได้ทยอยไปถึงสาขาเพื่อจะเดินชมให้ทั่วอาคารเหล่านั้น ซึ่งฉันกับสามีถือว่าเป็นสิทธิพิเศษที่ได้เป็นแขกพักค้างคืน. ตกเย็น เพื่อนร่วมความเชื่อซึ่งเป็นที่รักของเรากว่า 16,000 คนก็เสร็จสิ้นการเดินชมอย่างทั่วถึงแล้วจึงขึ้นรถกลับ สำหรับหลายคนถือว่าเป็นการเดินทางระยะไกลมาก!
ที่สาธารณรัฐยูเครนก็เหมือนกับประเทศอื่นทางยุโรปตะวันออก หลายล้านคนเคยเชื่อว่าระบอบคอมมิวนิสต์เป็นความหวังอันดีเยี่ยมในการสร้างสังคมใหม่ให้ผาสุก. แต่เวลานี้ เฉพาะที่ยูเครนแห่งเดียว มากกว่า 120,000 คนมีส่วนบอกเล่าข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าแก่ผู้อื่น. แท้จริง พวกเราหลายคนซึ่งแต่ก่อนเป็นคอมมิวนิสต์ได้เข้ามาเชื่อว่ารัฐบาลนี้ของพระเจ้าเป็นความหวังแท้เพียงอย่างเดียวที่บันดาลให้เกิดภราดรภาพและสันติสุขอย่างแท้จริงท่ามกลางประชาชาติทั้งปวง!
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 51 อีก 41,143 คนได้ร่วมประชุมในเวลาเดียวกัน ณ สนามกีฬาแห่งหนึ่งในเมืองเคียฟ ห่างออกไปประมาณ 500 กิโลเมตร ที่นี่ก็เช่นกัน พวกเขาได้ฟังการทบทวนระเบียบวาระการอุทิศดังกล่าว. ผู้ฟังทั้งหมดที่ถูกรวบรวมเข้ามา 72,024 คนทำให้การชุมนุมครั้งนี้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่พยานพระยะโฮวาเคยจัดขึ้นในยูเครน.
[ภาพหน้า 12]
เมื่ออายุสิบขวบ ไม่นานหลังจากฉันเข้าร่วมกับไพโอเนียร์ยุวชนแห่งพรรคคอมมิวนิสต์
[ภาพหน้า 16]
กับปีเตอร์ สามีของฉัน
[ภาพหน้า 16]
วลาดิเมียร์ อดีตไพโอเนียร์ยุวชนแห่งพรรคคอมมิวนิสต์ ซึ่งฉันได้พบเขาเมื่อมีการอุทิศสำนักงานสาขาในยูเครน
[ภาพหน้า 16, 17]
มากกว่า 30,000 คนได้ฟังการทบทวนระเบียบวาระการอุทิศ
[ภาพหน้า 17]
มากกว่า 16,000 คนเข้าเที่ยวชมอาคารสำนักงานสาขา