ธนาคารเชื้อพันธุ์—การแข่งกับเวลา
ธนาคารเชื้อพันธุ์—การแข่งกับเวลา
โดยผู้เขียนตื่นเถิด! ในบริเตน
ชีวิตของเราพึ่งพาอาศัยพืช. พืชเป็นแหล่งอาหารและเครื่องนุ่งห่ม. เราได้เชื้อเพลิง, วัสดุก่อสร้าง, และยารักษาโรคจากพืช. สัตว์, นก, และแมลงต่างก็พึ่งพาอาศัยพืชเช่นกัน. แต่ตามคำกล่าวของนักวิจัยบางคน พืชหนึ่งในสี่ของโลกเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ไปภายใน 50 ปีข้างหน้า. ผู้ที่นำหน้าในการแข่งกับเวลาคือโครงการธนาคารเชื้อพันธุ์แห่งสหัสวรรษ.
โดยได้รับการยกย่องว่าเป็น “เรือโนฮาสำหรับพืช” และ “หลักประกันการคุ้มครองสำหรับโลก” อาคารมูลค่า 80 ล้านปอนด์แห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคใต้ของอังกฤษจะเก็บรักษาเมล็ดพืชนับล้าน ๆ เมล็ดซึ่งรวบรวมมาจากพืชบางชนิดที่ใกล้จะสูญพันธุ์มากที่สุดในโลก.
ธนาคารเชื้อพันธุ์คืออะไร?
คุณเคยฝากสิ่งของมีค่าไว้ในธนาคารเพื่อเก็บรักษาอย่างปลอดภัยจนกว่าคุณต้องการจะใช้มันอีกไหม? ธนาคารเชื้อพันธุ์ก็ทำหน้าที่คล้าย ๆ กันสำหรับพืช. นี่เป็นวิธีง่าย ๆ และประหยัดในการเก็บรักษาพืชที่มีเมล็ด ตั้งแต่ไม้ล้มลุกขนาดเล็กที่สุดจนถึงไม้ยืนต้นที่สูงที่สุด. เมื่อเก็บไว้แล้ว เมล็ดเหล่านั้นก็ไม่ต้องการการเอาใจใส่ดูแลอะไรมากนัก และส่วนใหญ่ก็ใช้ที่เก็บไม่มาก. ขวดแก้วเล็ก ๆ สามารถเก็บเมล็ดกล้วยไม้ได้ถึงหนึ่งล้านเมล็ด! ขวดโหลทั่วไปที่ใช้ดองผักอาจเก็บเมล็ดพันธุ์ชนิดอื่น ๆ ได้เท่ากับจำนวนผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองเมืองหนึ่ง. หลังจากผ่านกรรมวิธีพิเศษแล้ว เมล็ดพืชเหล่านี้ที่งอกเป็นต้นใหม่ได้จะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยเป็นเวลาหลายสิบปี หรือแม้แต่หลายร้อยปี ซึ่งนานกว่าที่มันจะอยู่รอดได้ในธรรมชาติ.
ธนาคารเชื้อพันธุ์ไม่ใช่เพิ่งเริ่มมีขึ้น แต่ในอดีตธนาคารเหล่านี้ส่วนใหญ่เก็บพืชเศรษฐกิจ. ในปี 1974 นักวิทยาศาสตร์ที่สวนพฤกษชาติหลวงคิว กรุงลอนดอน เริ่มศึกษาวิธีเก็บรักษาเมล็ดพืชป่าในสำนักงานสาขาของพวกเขาซึ่งตั้งอยู่ที่เวกเฮิสต์เพลส ในเขตชนบทของซัสเซกซ์. เมื่อได้เก็บพันธุ์พืชต่าง ๆ 4,000 ชนิดจากทั่วโลก พวกเขาก็ตระหนักว่าจำเป็นต้องมีองค์กรที่ใหญ่กว่านั้นมากเพื่อป้องกันไม่ให้พืชและถิ่นกำเนิดของมันที่มีอยู่ทั่วโลกสูญหายไป. ดังนั้น ในปี 1998 สวนคิวจึงเริ่มสร้างธนาคารเชื้อพันธุ์ที่ใหญ่ขึ้นบนพื้นที่ที่เวกเฮิสต์เพลส.
บรรลุเป้าหมาย
เป้าหมายแรกที่ตั้งไว้แม้แต่ก่อนที่จะสร้างธนาคารเสร็จ คือการเก็บเมล็ดของไม้ยืนต้น, ไม้หนาม, หญ้า, ไม้พุ่ม, และดอกไม้ป่าของบริเตนทุกชนิดภายในปี 2000. จากพืชพื้นเมือง 1,440 ชนิดมี 317 ชนิดที่ใกล้จะสูญพันธุ์. ตอนนั้นสวนคิวมีอยู่แล้ว 579 ชนิดในธนาคาร และทีมงานนักพฤกษศาสตร์กว่า 250 คนทั้งมืออาชีพและมือสมัครเล่นต่างก็ออกไปทั่วทุกแห่งเพื่อเสาะหาชนิดที่เหลือ. เหล่าผู้มีใจกระตือรือร้นปีนขึ้นภูเขา, โรยตัวลงตามหน้าผา, และลุยน้ำที่เย็นเป็นน้ำแข็งเพื่อค้นหาพืช
หายาก. มีการรวบรวมพืชได้ทันเวลากำหนดยกเว้นพืชหายากเพียงไม่กี่ชนิด.ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา เป้าหมายหลักคือการเก็บรวบรวมหนึ่งในสิบของพรรณไม้ที่มีเมล็ดในโลก หรือกว่า 24,000 ชนิด ก่อนสิ้นปี 2010 โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรณไม้ในดินแดนที่แห้งแล้ง. หนึ่งในห้าของประชากรโลกอาศัยอยู่ในเขตร้อน แห้งแล้ง และอาศัยพืชต่าง ๆ เพื่อจะอยู่รอด แต่ทุกปีพื้นที่บริเวณกว้างได้กลายเป็นทะเลทราย. การเดินทางไปเก็บรวบรวมเมล็ดพืชในบางประเทศเริ่มขึ้นเมื่อตอนต้นปี 1997 และพอถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2001 นักล่าเมล็ดพืชแห่งสวนคิวก็เก็บเมล็ดพันธุ์ต่าง ๆ ได้ 300 ล้านเมล็ดจาก 122 ประเทศ และยังเหลืออีกเกือบ 19,000 ชนิดที่ยังต้องหามาเก็บไว้.
การเก็บเมล็ดพืช
นานมาแล้วที่ชาวนาชาวไร่เคยเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้. อย่างไรก็ตาม เมล็ดพืชที่ผ่านกรรมวิธีในธนาคารเชื้อพันธุ์แห่งสหัสวรรษจะอยู่ได้นานกว่าช่วงชีวิตตามธรรมชาติของมันมากทีเดียว. เคล็ดลับอยู่ที่วิธีทำให้แห้งและการแช่แข็ง.
หลังจากเก็บเมล็ดได้มากพอและแยกสิ่งแปลกปลอมออกไปแล้ว เมล็ดก็จะถูกใส่ไว้ในถุงกระดาษหรือถุงผ้า หรือแม้แต่ในขวดน้ำอัดลมเพื่อทำให้แห้งก่อนจะส่งไปบริเตน. ในเวลาเดียวกัน ผู้เก็บรวบรวมก็จัดเตรียมตัวอย่างต้นพืชอัดแห้งเพื่อจะระบุชื่ออย่างเป็นทางการที่สวนคิว และมีการบันทึกตำแหน่งที่พบอย่างเที่ยงตรงโดยใช้ดาวเทียม.
เมื่อมาถึงเวกเฮิสต์เพลส เมล็ดเหล่านั้นก็จะผ่านขั้นตอนการทำให้แห้งที่สำคัญสองช่วงซึ่งคั่นด้วยการทำความสะอาด. เมล็ดเหล่านั้นจะถูกเก็บไว้ระยะหนึ่งในห้องสองห้องที่มีความชื้นสัมผัสต่ำลงตามลำดับ ซึ่งทั้งสองห้องนี้แห้งกว่าทะเลทรายส่วนใหญ่. การทำเช่นนี้ทำให้ความชื้นของเมล็ดพืชลดลงจากเดิมที่มีอยู่อย่างน้อย 50 เปอร์เซ็นต์เหลือเพียงราว ๆ 5 เปอร์เซ็นต์. ขั้นตอนดังกล่าวจะทำให้เมล็ดไม่เกิดความเสียหายเมื่อถูกแช่แข็ง และทำให้กระบวนการทางชีวภาพช้าลงจนถึงขั้นพักตัวซึ่งเมล็ดจะคงสภาพอยู่ได้นาน. ก่อนที่จะเอาเมล็ดไปเก็บ บางเมล็ดจะถูกนำไปเอกซเรย์ดูว่ามันยังดีอยู่หรือถูกแมลงเจาะแล้ว. เมล็ดตัวอย่างอีกส่วนหนึ่งก็จะถูกนำไปทดสอบว่าจะงอกหรือไม่. ที่จริง ทุก ๆ สิบปี เมล็ดตัวอย่างจะถูกนำออกมาเพื่อดูว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่. ถ้ามีเมล็ดงอกได้ไม่ถึงสามในสี่ ก็จำเป็นต้องเก็บเมล็ดใหม่.
การรู้ว่าเมล็ดตอบสนองอย่างไรต่อการเก็บระยะยาวและการเข้าใจวิธีทำให้มันงอกขึ้นอีกในภายหลังนั้นเป็นแง่มุมที่สำคัญของการวิจัย. ในที่สุด เมล็ดก็ถูกบรรจุลงขวดแก้วที่กันไม่ให้อากาศเข้าแล้วถูกนำลงไปไว้ใต้ดินที่ห้องแช่แข็งหนึ่งในสองห้องที่มีเพดานโค้งขนาดใหญ่ทำด้วยคอนกรีต. ในห้องแช่แข็งนั้น เมล็ดที่อยู่ในขวดซึ่งวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบบนชั้นก็เริ่มต้นการหลับใหลอันยาวนานที่อุณหภูมิ –20 องศาเซลเซียส.
วิธีการนี้ได้ผลไหม? ได้ผลดีทีเดียว. ไม่กี่ปีที่แล้ว เมื่อเมล็ดพืชจำนวน 3,000 เมล็ดจากพืชชนิดต่าง ๆ กันซึ่งถูกเก็บไว้ครบสิบปีถูกนำออกมาทดสอบปรากฏว่า 94 เปอร์เซ็นต์ของเมล็ดเหล่านั้นงอกขึ้นได้.
เกิดปัญหากับพืชบางชนิด. เมล็ดของมันจะตายถ้าความชื้นลดต่ำเกินไป. ตัวอย่างคือเมล็ดของต้นโอ๊ก (คิวเออร์คุส), โกโก้ (เทโอโบรมา คาเคา), และยางพารา (เฮเวีย บราซิลิเอนซิส). แต่การแช่แข็งทั้ง ๆ ที่ยังมีความชื้นอยู่ก็ทำให้มันตายด้วย เพราะเมื่อน้ำกลายเป็นน้ำแข็งมันจะขยายตัวและทำให้ผนังเซลล์ฉีกขาด. พวกนักวิทยาศาสตร์กำลังทำการวิจัยเพื่อแก้ปัญหานี้. ทางแก้อย่างหนึ่งที่อาจทำได้คือการแยกเอมบริโอของเมล็ดออกมา, ทำให้แห้งทันที, แล้วเก็บไว้ในไนโตรเจนเหลวที่มีอุณหภูมิต่ำมาก ๆ.
ใครบ้างที่ได้รับผลประโยชน์?
เช่นเดียวกับธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเชื้อพันธุ์แห่งสหัสวรรษก็มีการจ่ายออก. มีการใช้ตัวอย่างเมล็ดพันธุ์เพื่องานวิจัย. หนึ่งในสี่ของยาได้มาจากพืช แต่สี่ในห้าของพรรณไม้ในโลกยังไม่มีการศึกษาวิจัย. มียาตัวใหม่ ๆ อะไรบ้างที่รอให้เราค้นพบ? มีการพบพืชตระกูลถั่วแห่งเมดิเตอร์เรเนียนชนิดหนึ่ง (วีเซีย ฟาบา) ซึ่งมีโปรตีนที่ทำให้เลือดแข็งตัวและช่วยตรวจหาความผิดปกติในเลือดของมนุษย์ซึ่งมีไม่มากนัก. บางทีอาจมีการค้นพบอาหาร, เชื้อเพลิง, หรือเส้นใยชนิดใหม่ด้วย.
นักวิทยาศาสตร์จากประเทศอื่น ๆ มาที่ธนาคารเชื้อพันธุ์และเรียนวิธีเก็บรักษาเมล็ดและเทคนิคการทำให้เมล็ดงอกขึ้นเพื่อพวกเขาจะกลับไปตั้งธนาคารเชื้อพันธุ์ที่ประเทศของเขาเอง. แต่ละประเทศที่ส่งเมล็ดพันธุ์มาให้ธนาคารดังกล่าวจะเก็บเมล็ดพันธุ์ส่วนใหญ่ไว้ และจะได้รับส่วนแบ่งเท่า ๆ กันจากผลประโยชน์และกำไรจากการวิจัย.
เมื่อมีการใช้ตัวอย่างเมล็ดพันธุ์เพื่อฟื้นฟูผืนดินที่เสื่อมโทรมและเพิ่มจำนวนสิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์ ก็มีความหวังว่ายุทธวิธีในการอนุรักษ์นี้จะช่วยพลิกสถานการณ์ของพรรณไม้ในโลกที่กำลังสูญหายไปอย่างรวดเร็วรวมทั้งสิ่งมีชีวิตอีกหลายชนิดที่พึ่งอาศัยพืชเหล่านั้น.
การแข่งกับเวลานี้จะชนะโดยวิธีใด?
ไม่มีใครสงสัยว่ามนุษยชาติอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายยิ่ง. โรเจอร์ สมิท หัวหน้าแผนกอนุรักษ์เมล็ดพืชแห่งคิว ให้เหตุผลสามประการที่มีการจัดโครงการนี้ขึ้นมา: “เหตุผลแรกคือการใช้โดยตรง. เรารู้จักพืชทุกชนิดมากพอแล้วหรือ ถึงขั้นที่ถ้าหากพืชชนิดหนึ่งสูญพันธุ์ไป เราก็ทราบว่ามีอะไรบ้างที่เป็นอาหารหรือยารักษาโรคที่สูญเสียไป? เหตุผลที่สองคือเครือข่ายแห่งชีวิต. ขอนึกภาพว่าบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งสิ้นในโลกเป็นเหมือนตาข่ายอันหนึ่ง สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดเป็นเหมือนปมในตาข่ายนั้น. คุณจะตัดปมออกไปได้มากเท่าไรก่อนที่ตาข่ายนั้นจะใช้งานไม่ได้อีกต่อไป? เหตุผลสำคัญที่สุดคือการจัดการและดูแลสิ่งมีชีวิตในโลก เครือข่ายแห่งชีวิต. คนยุคปัจจุบันมีสิทธิ์อะไรที่จะตัดทางเลือกสำหรับคนยุคอนาคตโดยไม่ส่งต่อสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ตนได้สืบทอดมา?”
ข้อท้าทายในอนาคตนั้นน่าเกรงขาม. สตีฟ ออลตัน ผู้ประสานงานโครงการ กล่าวว่า “คุณอาจมีเมล็ดพืชทั้งหมดในโลก แต่ถ้าไม่มีถิ่นที่อยู่ให้พืชเหล่านั้นกลับไปเติบโต ก็ไม่มีเหตุผลจะเก็บมันไว้.” เป็นไปได้ไหมที่จะเก็บรักษาสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะสูญหายไปนี้รวมทั้งทำให้แน่ใจว่าจะมีการดูแลโลกของเราอย่างดี?
คำตอบที่ทำให้มั่นใจคือ ใช่. พระผู้สร้างทรงสัญญาว่า “พืชข้าวกล้าจะจำเริญแลเถาองุ่นจะมีผล, แลแผ่นดินจะเกิดผลแลฟ้าอากาศจะมีน้ำค้าง, แลเราจะให้หมู่ชนที่เหลือนี้เป็นทายาทรับซึ่งสิ่งของเหล่านี้.”—ซะคาระยา 8:12.
[กรอบหน้า 25]
หนึ่งในหลาย ๆ แห่ง
สวนคิวเป็นเพียงหนึ่งในธนาคารเชื้อพันธุ์ 1,300 แห่งทั่วโลกที่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บรักษาเมล็ดพืชในห้องแช่แข็ง. สตีฟ เอ. เอเบอร์ฮาร์ต หัวหน้าห้องปฏิบัติการเก็บรักษาเมล็ดพืชแห่งชาติในรัฐโคโลราโด พรรณนาสถานที่แห่งนั้นว่าเหมือน “คลังเก็บทองที่ฟอร์ตนอกส์สำหรับพืช.”
[ภาพ]
โครงการธนาคารเชื้อพันธุ์แห่งสหัสวรรษ
[กรอบหน้า 26]
ใช้ประโยชน์จากกลุ่มพันธุกรรม
หน้าที่สำคัญของธนาคารเชื้อพันธุ์คือการเก็บรวบรวมพันธุ์พืชแบบต่าง ๆ และพืชที่อยู่ในวงศ์เดียวกัน. พืชที่เก็บรวบรวมไว้นี้จะทำให้มีกลุ่มพันธุกรรมซึ่งจะสามารถใช้สู้กับโรคระบาดหรือศัตรูพืชตัวใหม่ในพืชชนิดนั้น. โดยการผสมพันธุ์พืชแบบคัดเลือก นักวิทยาศาสตร์สามารถปรับปรุงผลผลิต, เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ, และเพิ่มการต้านทานโรคและแมลงให้กับพืช. กลุ่มพันธุกรรมนี้กลายเป็นสิ่งที่สำคัญมาก.
ตลอดทั่วโลก กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการแคลอรีของมนุษยชาติที่ได้รับอยู่ในขณะนี้มาจากพืชเพียง 103 ชนิด และกว่าครึ่งของพลังงานที่ผู้คนในโลกได้รับมาจากพืชหลัก ๆ เพียงสามชนิด นั่นคือข้าว, ข้าวสาลี, และข้าวโพด. ทำไมเรื่องนี้จึงเป็นปัญหา?
เมื่อพืชที่ปลูกกันอย่างแพร่หลายมีความคล้ายกันทางพันธุกรรม มันก็มีความเสี่ยงแบบเดียวกันหมดต่อโรคหรือศัตรูพืชชนิดเดียวกัน. ตัวอย่างที่โด่งดังที่สุดของอันตรายจากภาวะเอกรูปทางพันธุกรรมนี้เกิดขึ้นในทศวรรษ 1840 ในไอร์แลนด์. ในตอนนั้น มันฝรั่งถูกทำลายโดยโรคใบไหม้ (ไฟทอฟโทรา อินเฟสตันส์). เชื้อราชนิดนี้ทำให้เกิดสิ่งที่บางครั้งเรียกกันว่า การขาดแคลนอาหารครั้งใหญ่ และทำให้มีผู้เสียชีวิต 750,000 คน.
[กรอบหน้า 27]
ความหลากหลายถูกโจมตี
ดร. ปีเตอร์ เอช. เรเวน เตือนตัวแทนที่มาประชุม ณ การประชุมพฤกษศาสตร์สากลครั้งที่ 16 ซึ่งจัดขึ้นที่สหรัฐ ดังนี้: “[พืช] จำนวนมากถึง 100,000 ชนิดจากทั้งหมดที่ประมาณกันว่ามี 300,000 ชนิดอาจสูญหายหรือใกล้จะสูญพันธุ์เมื่อถึงกลางศตวรรษ [ที่ 21].” รายงานจากองค์การอาหารและเกษตรกรรมแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) กล่าวว่า การสูญเสียความหลากหลายในพืชผลที่เป็นอาหารของเรา “มีค่อนข้างมาก” อยู่แล้ว. การคุกคามหลัก ๆ ต่อความหลากหลายของพืชมาจากแหล่งที่ไม่น่าเป็นไปได้.
รายงานจากเอฟเอโอกล่าวว่า “สาเหตุสำคัญในปัจจุบันที่ความหลากหลายทางพันธุกรรมสูญหายไปคือการแพร่หลายของการเกษตรเชิงพาณิชย์สมัยใหม่. ผลลัพธ์ที่ส่วนใหญ่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้าเกี่ยวกับการเริ่มนำพืชชนิดใหม่ ๆ มาปลูกคือ พืชพันธุ์พื้นเมืองที่ชาวไร่ปลูกกันซึ่งมีความหลากหลายสูงนั้นถูกแทนที่และสูญหายไป.”
ในประเทศจีน มีการปลูกข้าวสาลีเกือบ 10,000 ชนิดในปี 1949. ปัจจุบัน มีการปลูกกันไม่ถึง 1,000 ชนิด. ในสหรัฐ ต้นแอปเปิลเกือบ 6,000 ชนิดสูญพันธุ์ไปในช่วงเวลา 100 ปีที่ผ่านมา และ 95 เปอร์เซ็นต์ของกะหล่ำปลีหลากหลายพันธุ์รวมทั้ง 81 เปอร์เซ็นต์ของมะเขือเทศพันธุ์ต่าง ๆ ดูเหมือนสูญหายไปแล้ว.
สงครามยังเป็นเหตุให้พืชสูญพันธุ์ไปด้วย เมื่อชาวไร่ชาวนาจำต้องทิ้งไร่นาไปหลายปีและปล่อยให้พืชพื้นเมืองหลายหลากชนิดสูญพันธุ์ไป. วารสารเดอะ ยูเนสโก คูเรียร์ รายงานว่า “สงคราม . . . ได้ส่งผลกระทบต่อทุกประเทศในแถบชายฝั่งแอฟริกาตะวันตกซึ่งมีการปลูกข้าวมาตั้งแต่โบราณ. ภูมิภาคนี้เป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับความหลากหลายทางพันธุกรรมของข้าวแอฟริกา (โอริซา กลาเบอร์ริมา) ซึ่ง . . . ตอนนี้สามารถนำไปผสมพันธุ์กับข้าวเอเชีย พืชที่ใช้เป็นอาหารที่สำคัญที่สุดชนิดหนึ่ง. ถ้า . . . ข้าวแอฟริกานี้ซึ่งมีการศึกษาวิจัยกันเพียงเล็กน้อยถูกทำลายโดยสงครามในภูมิภาคนั้น สิ่งนี้ก็จะส่งผลกระทบไปทั้งโลก.”
ปลอดภัยกว่าธนาคารเชื้อพันธุ์
จอห์น ทักซิลล์ นักวิจัยจากสถาบันเวิลด์วอตช์ เตือนว่า “เรามีความชำนาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการโยกย้ายยีน แต่ธรรมชาติเท่านั้นที่สร้างยีนได้. ถ้าพืชที่มีลักษณะทางพันธุกรรมไม่เหมือนใครสูญหายไป ก็จะไม่มีทางได้ยีนนั้นกลับคืนมา.” ด้วยเหตุนี้จึงมีการลงทุนหลายล้านดอลลาร์เพื่อเก็บรักษาเมล็ดพืชไว้อย่างปลอดภัยในธนาคารเชื้อพันธุ์.
แต่สิ่งที่ปลอดภัยกว่านี้ก็คือคำสัญญาของพระผู้ทรงสร้างสิ่งมหัศจรรย์ขนาดจิ๋วเหล่านี้ ซึ่งทรงให้คำรับรองนานมาแล้วว่า “แต่นี้ไปจนสิ้นโลกจะมีฤดูหว่านกับฤดูเกี่ยว, . . . ไม่ขาดอีกเลย.”—เยเนซิศ 8:22.
[ภาพหน้า 24]
การเก็บรวบรวมเมล็ดพืชในบูร์กินาฟาโซ
[ภาพหน้า 25]
การเก็บในอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
[ภาพหน้า 26]
นักพฤกษศาสตร์จากเคนยาเรียนวิธีตรวจความชื้นในเมล็ดพืช
[ที่มาของภาพหน้า 24]
All pictures on pages 24-7: The Royal Botanic Gardens, Kew