พวกที่เสาะหาความตื่นเต้น—ทำไมจึงชอบเสี่ยงตาย?
พวกที่เสาะหาความตื่นเต้น—ทำไมจึงชอบเสี่ยงตาย?
ในสนามต่อสู้ของชาวโรมันสมัยโบราณ ฝูงชนที่ตื่นเต้น 50,000 คนนั่งคอยอย่างใจจดใจจ่อบนที่นั่ง. พวกเขาคาดหมายที่จะได้ชมการแสดงนี้มาหลายวันแล้ว เนื่องจากมีการโฆษณาไปทั่วว่าการแสดงซึ่งจะเกิดขึ้นนี้จะ “น่าตื่นเต้นอย่างที่ไม่ควรพลาด.”
แม้ว่าการแสดงมายากล, ละครใบ้, ตัวตลก, ละครชวนหัวในโรงละครท้องถิ่นยังคงดึงดูดความสนใจของประชาชน แต่การแสดงในสนามต่อสู้นี้ต่างออกไปมาก. อีกไม่นานที่นั่งแข็ง ๆ ซึ่งนั่งไม่สบายและความกังวลของวันนั้นจะถูกลืมเลือนไปเนื่องจากความตื่นเต้นที่ปรากฏต่อสายตาผู้ชม.
ตอนนี้กลุ่มนักร้องปรากฏตัวขึ้นแล้วตามด้วยนักบวชที่สวมเสื้อคลุมยาว. จากนั้นผู้ถือเครื่องหอมก็นำขบวนแห่รูปปั้นเทพเจ้าและเทพธิดาต่าง ๆ โดยชูขึ้นสูงเพื่อให้ทุกคนมองเห็น. นั่นทำให้การแสดงครั้งนี้ดูราวกับว่าได้รับความเห็นชอบจากเหล่าเทพเจ้า.
ฆ่าสัตว์จำนวนมาก
ตอนนี้ความบันเทิงครั้งยิ่งใหญ่กำลังจะเริ่มขึ้น. แรกทีเดียวนกกระจอกเทศและยีราฟ ถูกปล่อยออกมาในสังเวียนซึ่งไม่มีทางออก. มีไม่กี่คนในฝูงชนที่เคยเห็นสัตว์เหล่านี้. นักแม่นธนูกลุ่มหนึ่งพร้อมสรรพด้วยคันธนูและลูกธนูฆ่าสัตว์ที่ช่วยตัวเองไม่ได้เหล่านี้ทุกตัวจนหมด ซึ่งทำผู้ชมที่เสาะหาความตื่นเต้นพึงพอใจ.
ฝูงชนที่กำลังโห่ร้องจะได้ชมการแสดงชุดต่อไปคือ การต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งระหว่างช้างขนาดใหญ่สองเชือก ซึ่งมีตะปูยาวแหลมติดไว้ที่งาของมัน. มีเสียงปรบมือดังสนั่นเมื่อสัตว์ที่ทรงพลังตัวหนึ่งล้มลงบนพื้นทรายที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือด เนื่องจากมีแผลฉกรรจ์. ฉากการต่อสู้นี้เพียงแต่กระตุ้นผู้ชมให้รู้สึกอยากดูการแสดงหลัก ซึ่งจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจ.
การแสดงหลัก
ฝูงชนที่ชอบความตื่นเต้นก็ลุกขึ้นยืนขณะที่นักสู้ปรากฏตัวในสนาม ท่ามกลางการประโคมดนตรีอย่างยิ่งใหญ่. บางคนมีดาบ, โล่, และหมวกเหล็กหรือมีดสั้นเป็นอาวุธ ส่วนบางคนแทบไม่มีอาวุธหรือเสื้อผ้าปิดกาย. พวกเขาสู้กันแบบประชิดตัวจนหลายครั้งต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายตาย ขณะที่ฝูงชนก็ส่งเสียงเชียร์. ประวัติบันทึกกล่าวว่า ในการแสดงคราวหนึ่ง มีสัตว์ถูกฆ่า 5,000 ตัวภายในเวลา 100 วัน. ในการแสดงอีกคราวหนึ่ง นักสู้ถูกฆ่าถึง 10,000 คน. ถึงอย่างนั้นประชาชนก็ยังตะโกนให้แสดงต่อไปอีก.
คนที่ถูกนำตัวไปต่อสู้กันนั้นได้มาจากเหล่าอาชญากรและพวกเชลยศึกซึ่งมีมาอย่างไม่ขาดสาย. อย่างไรก็ตาม แหล่งข้อมูลหนึ่งกล่าวว่า “คนเหล่านี้เป็นคนละกลุ่มกับนักสู้ที่เก่งกาจที่ต่อสู้ด้วยอาวุธชนิดต่าง ๆ ซึ่งได้เงินมากทีเดียวและไม่ได้ถูกพิพากษาลงโทษให้เป็นนักสู้ไปตลอดชีวิต.” ในบางแห่ง นักสู้ได้เข้าเรียนในโรงเรียนพิเศษที่สอนศิลปะการต่อสู้แบบประชิดตัว. นักสู้เหล่านั้นที่เต็มไปด้วยความคึกคะนอง รู้สึกติดใจกีฬาที่น่าตื่นเต้นชนิดนี้และชอบการเสี่ยงตาย. ความต้องการที่จะมาต่อสู้อีกในวันหน้านั้นเป็นความปรารถนาอันแรงกล้าที่ครอบงำเขา. แหล่งข้อมูลหนึ่งลงความเห็นว่า “นักสู้ที่สู้ชนะได้ถึงห้าสิบครั้งก่อนจะเกษียณไปนั้นเป็นนักสู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง.”
การสู้วัว
ในสมัยของเรานี้ โลกได้เข้าสู่สหัสวรรษใหม่แล้ว. แต่เห็นได้ชัดว่า ความปรารถนาอันแรงกล้าแบบเดียวกันนั้นยังพบเห็นได้ท่ามกลางผู้คนมากมายที่หลงใหลกีฬาเสี่ยงอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกีฬาท้ามฤตยู. ตัวอย่างเช่น
การสู้วัวเป็นสิ่งที่ผู้คนนิยมกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วในอเมริกาใต้และเม็กซิโก. ปัจจุบัน การสู้วัวมีแพร่หลายมากในลาตินอเมริกา, โปรตุเกส, และสเปน.มีรายงานว่า เม็กซิโกมีสนามสู้วัวประมาณ 200 แห่งและสเปนมีมากกว่า 400 แห่ง. สนามแห่งหนึ่งในเม็กซิโกจุผู้ชมได้ถึง 50,000 คน. สนามสู้วัวเหล่านี้หลายแห่งเต็มแน่นไปด้วยผู้คนที่ตั้งใจมาดูพวกผู้ชายทดสอบความกล้ากับวัวที่วิ่งเข้าใส่. ถ้านักสู้วัวแสดงความขลาดออกมา ฝูงชนก็จะโห่ไล่อย่างไม่พอใจ.
ในปัจจุบัน ผู้หญิงก็เป็นมาทาดอร์ด้วย และหาเงินได้หลายล้านดอลลาร์จากการฆ่าวัว. มาทาดอร์หญิงคนหนึ่งซึ่งให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์พูดว่า ไม่มีอะไรจะสนองความรู้สึกตื่นเต้นได้สมดั่งใจเธอเท่ากับการอยู่ในสนามสู้วัวขณะที่วัววิ่งเข้าใส่ แม้ว่าจะต้องเสี่ยงกับการถูกวัวขวิดตาย.
การวิ่งวัว
รายงานหนึ่งกล่าวว่า “ฝูงชนออกันอยู่สองข้างทางถึงสี่แถวที่ร้านอาหารซิกซ์โตส์บนถนนกาเย เอสตาเฟตาแห่งเมืองปัมโปลนา และส่งเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ. ภาษาที่คุยกันมีหลายภาษา เช่น บาสก์, คาสติเลียน, คาตาลัน, อังกฤษ.” ฝูงชนมาชุมนุมกันตั้งแต่เช้าเพื่อดูเหตุการณ์นี้. วัวที่จะใช้ในการสู้วัวถูกขังไว้ในคอกห่างจากสนามไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตรเท่านั้น.
ตอนเช้าวันที่จะมีการสู้วัว มีการเปิดประตูคอกเพื่อปล่อยวัวหกตัว รวมทั้งตัวสำรองอีกตัวหนึ่ง ซึ่งจะสู้ในคืนนั้น. สองข้างถนนมีตึกเรียงรายอยู่ และมีรั้วกั้นปากถนนตรงทางแยก. นี่ทำเป็นทางอย่างดีให้วัววิ่งเข้าสู่สนาม ซึ่งจะใช้เวลาประมาณสองนาทีถ้าทุกอย่างราบรื่น.
เมื่อหลายปีก่อนคนที่อยากท้าทายความหายนะ ได้ตัดสินใจจะทดสอบความเก่งกาจของตัวเองโดยพยายามวิ่งแซงหน้าวัว. บางคนยังพยายามทำอย่างนั้นอยู่ทุก ๆ ปี. เมื่อเวลาผ่านไป นี่กลายเป็นเรื่องที่นานาชาติให้ความสนใจ. หลายคนบาดเจ็บสาหัส และบางคนถูกขวิดจนตาย. คนที่ชอบวิ่งวัวคนหนึ่งบอกว่า “ถ้าคุณคิดว่าคุณวิ่งได้เร็วกว่าวัว คุณก็เข้าใจผิดอย่างมาก.” ตามรายงานของสภากาชาดแห่งสเปน ในช่วง 20 ปีมี “คนถูกขวิดจนได้รับบาดเจ็บเฉลี่ยแล้ววันละหนึ่งคน.” อีก 20 ถึง 25 คนก็ต้องได้รับการรักษาพยาบาลทุกวัน.
ทำไมผู้คนจึงชอบเสี่ยงตายกันเช่นนี้? คนที่ชอบวิ่งวัวคนหนึ่งตอบว่า “ช่วงไม่กี่วินาทีที่คุณอยู่ใกล้ ๆ วัว, วิ่งอยู่ข้าง ๆ มัน, ได้กลิ่นตัวมัน, ได้ยินเสียงกีบกระทบพื้น, และดูเขาของมันขวิดขึ้นขวิดลงเฉียดไปไม่กี่นิ้ว—เราวิ่งเพื่อสิ่งเหล่านี้แหละ.” คนที่ชอบวิ่งวัวได้รับการสนับสนุนจากเสียงเชียร์ของฝูงชน. คนดูบางคนจะผิดหวังไหมถ้าไม่ได้เห็นวัวขวิดใครตายหรือไม่ได้เห็นคนวิ่งวัวถูกวัวหนัก 680 กิโลกรัมขวิดจนกระเด็นลอยขึ้นไปบนอากาศ? บางคนในหมู่ฝูงชนจะชอบเห็นการนองเลือดพอ ๆ กันกับฝูงชนในสังเวียนโรมันไหม?
เล่นกับความตาย
นอกจากนั้นก็มีคนที่ชอบเล่นกับความตายในวิธีอื่น ๆ ด้วย. มีนักขี่มอเตอร์ไซค์ผาดโผนซึ่งกล้าท้ามฤตยูและเสี่ยงต่อการบาดเจ็บสาหัสโดยเหินข้ามรถยนต์ที่จอดติด ๆ กัน 50 คันหรือข้ามรถบัสโดยสารคันใหญ่หลายคันหรือข้ามหุบ
เหวที่กว้าง ๆ. นักแสดงผาดโผนคนหนึ่งกล่าวว่า เขาเคยกระดูกหัก 37 แห่งและเคยเจ็บหนักอยู่ในขั้นโคม่าถึง 30 วัน. เขากล่าวว่า “กระดูกหักหรือแขนหักเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วสำหรับผม. . . . ผมเคยผ่าตัดต่อกระดูกครั้งใหญ่สิบสองครั้ง. นั่นหมายถึงการผ่ากระดูกแล้วเอาเหล็กดามไว้หรือใส่สกรูเข้าไป. ผมคิดว่ามีสกรูประมาณสามสิบห้าถึงสี่สิบตัวในตัวผมเพื่อยึดกระดูกไว้ด้วยกัน. ผมเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลอยู่เสมอ.” ครั้งหนึ่งเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บจากการซ้อมและไม่อาจฝืนตัวกระโดดข้ามรถยนต์หลาย ๆ คันได้ ฝูงชนก็โห่แสดงความผิดหวัง.ผู้ที่ชอบความตื่นเต้นหลายคนเล่นกีฬาผาดโผน รวมทั้งอะไรที่เป็นการเสี่ยงตาย เช่น ปีนผนังด้านนอกของตึกสูง ๆ โดยไม่มีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย, เล่นสโนว์บอร์ดลงจากภูเขาสูง 6,000 เมตร, กระโดดบันจีจัมป์จากหอสูงและสะพาน, กระโดดร่มจากเครื่องบินขณะที่ถูกมัดติดกับหลังของคนกระโดดร่มอีกคนหนึ่ง, หรือปีนหน้าผาสูงชันที่มีแต่น้ำแข็งโดยไม่มีอุปกรณ์อะไรเลยนอกจากอีเต้ออันเล็ก ๆ. นักปีนภูเขาน้ำแข็งคนหนึ่งโอดครวญว่า “ดิฉันรู้ว่าจะต้องสูญเสียเพื่อนไปปีละสามหรือสี่คน.” ที่กล่าวมาเป็นเพียงการเล่นผาดโผนเสี่ยงตายบางอย่างซึ่งกลายเป็นสิ่งที่นิยมกันในโลกแห่งกีฬา. นักเขียนคนหนึ่งกล่าวว่า “สิ่งที่ทำให้กีฬาผาดโผนน่าดึงดูดใจมากคือโอกาสที่จะเกิดความหายนะ.”
วารสารยู. เอส. นิวส์ แอนด์ เวิลด์ รีพอร์ต เขียนว่า “แม้แต่กีฬาที่อันตรายที่สุดในบรรดากีฬาผาดโผนทั้งหลายก็กำลังเป็นที่นิยมกันเพิ่มขึ้น. การโต้คลื่นบนท้องฟ้า ซึ่งนักกระโดดร่มที่เชี่ยวชาญแสดงท่าหมุนตัวและกลับตัวบนกระดานแกรไฟต์คล้าย ๆ กับการแสดงกายกรรมขณะตกลงมาจากระดับความสูง 4,000 เมตรนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีใครทำมาก่อนในปี 1990; แต่ปัจจุบันกิจกรรมนี้ดึงดูดใจผู้คลั่งไคล้หลายพันคน. และกีฬาที่รู้จักกันว่าการกระโดด BASE (ย่อมาจาก Buildings, Antennas, Spans, และ Earth [ตึก, เสาอากาศ, สะพาน, และแผ่นดิน]) ซึ่งก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในปี 1980 นั้น ดึงดูดหลายร้อยคนในเวลานี้ให้กระโดดร่มลงมาจากสิ่งที่ถูกยึดอยู่กับที่ เช่น หอเสาอากาศวิทยุหรือสะพาน ซึ่งมักจะลักลอบทำกันในตอนกลางคืน.” กีฬานี้คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วหลายสิบคน. นักกระโดดที่มีประสบการณ์คนหนึ่งกล่าวว่า “ไม่ค่อยมีใครบาดเจ็บจากการกระโดด BASE. มีแต่รอดชีวิตมาได้หรือไม่ก็ตาย.”
การปีนหน้าผาสูงชันซึ่งแทบไม่มีอะไรเลยนอกจากชะง่อนเล็ก ๆ สำหรับให้นิ้วมือและนิ้วเท้ายึดเกาะเป็นสิ่งที่หลายพันคนชื่นชอบ. แม้แต่โฆษณาทางโทรทัศน์หรือในนิตยสารไม่ว่าจะโฆษณาอะไรตั้งแต่รถบรรทุกจนถึงยาแก้ปวดศีรษะก็มีภาพนักปีนเขาห้อยตัวอยู่กลางอากาศอย่างน่าหวาดเสียวบนภูเขาสูงชันซึ่งสูงหลายร้อยเมตรโดยมีเพียงเชือกเส้นเล็ก ๆ ยึดไว้เท่านั้น. มีการรายงานว่า ในปี 1989 ประมาณ 50,000 คนในสหรัฐกล้าลองเล่นกีฬาชนิดนี้; แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ ประมาณกันว่าราว ๆ ห้าแสนคนหลงใหลกับกีฬาท้ามฤตยูนี้. ตลอดทั่วโลกมีจำนวนคนที่สนใจเพิ่มขึ้น.
ในสหรัฐ วารสารแวดวงครอบครัว (ภาษาอังกฤษ) รายงานว่า “มีเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง ‘ทั่ว ๆ ไป’ จำนวน
มากขึ้นเสียชีวิตหรือไม่ก็พิการเนื่องจากการเล่นเกมเสี่ยงอันตรายแปลก ๆ ใหม่ ๆ.” “การโต้คลื่นบนรถยนต์” คือการปีนออกนอกหน้าต่างไปยืนบนหลังคารถขณะที่รถวิ่งไปอย่างเร็ว หรือยืนบนหลังคาลิฟต์ที่กำลังเคลื่อนขึ้นลงหรือยืนบนหลังคารถไฟใต้ดินที่กำลังวิ่ง เป็นสาเหตุให้เยาวชนหลายคนเสียชีวิต.แม้แต่ภูเขาเอเวอเรสต์ที่สูงตระหง่านก็เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน. นักปีนเขาซึ่งไม่ได้ผ่านการฝึกฝนอย่างเพียงพอจ่ายเงินถึง 65,000 ดอลลาร์เพื่อให้คนนำทางขึ้นเขาและพากลับลงมา. ตั้งแต่ปี 1953 มีนักปีนเขามากกว่า 700 คนขึ้นไปถึงยอด. หลายคนไม่ได้ลงมาอีกเลย. ศพของบางคนยังคงอยู่บนนั้น. นักหนังสือพิมพ์คนหนึ่งเขียนว่า “ตอนนี้นักปีนเขาแข่งกันสร้างสถิติใหม่ในฐานะนักปีนเขาเอเวอเรสต์ที่อายุน้อยที่สุด, อายุมากที่สุด, และเร็วที่สุด.” อีกคนหนึ่งเขียนว่า “ไม่เหมือนกีฬาชนิดอื่น การปีนเขาเรียกร้องให้ผู้เล่นกีฬาชนิดนี้ต้องพร้อมจะตาย.” คนเราจำเป็นต้องพิสูจน์ความกล้าด้วยการท้าทายความหายนะไหม? นักปีนเขาที่มีประสบการณ์มานานเตือนว่า “ความกล้าไม่ได้หมายถึงการทำสิ่งโง่ ๆ.” “สิ่งโง่ ๆ” อย่างหนึ่งที่เขาบอกไว้คือ “‘การท่องเที่ยวแบบผจญภัย’ ขึ้นไปบนภูเขาเอเวอเรสต์โดยนักปีนเขาที่ไม่เชี่ยวชาญ.”
และนี่ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น. กิจกรรมท้ามฤตยูซึ่งกำลังกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปทั่วโลกมีจำนวนและชนิดเพิ่มขึ้นโดยถูกจำกัดไว้เพียงแค่จินตนาการของคนที่คิดสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ ๆ. นักจิตวิทยาคนหนึ่งคาดว่ากีฬาผาดโผน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ผู้ร่วมเล่นจะอยู่เฉียดความตายชั่วระยะหนึ่ง “จะกลายเป็นกีฬาที่มีผู้ชมและผู้เล่นมากที่สุดในศตวรรษที่ 21.”
พวกเขาทำอย่างนั้นทำไม?
ผู้คลั่งไคล้กีฬาเหล่านี้หลายคนโต้แย้งว่าการที่พวกเขาเล่นกีฬาท้ามฤตยูนี้ก็เพื่อหนีความเบื่อหน่าย. เนื่องจากเบื่อหน่ายงานที่ทำอยู่เป็นประจำ บางคนลาออกจากงานแล้วไปหาอาชีพใหม่ในโลกของกีฬาผาดโผน. คนหนึ่งกล่าวว่า “ผมเริ่มใช้การกระโดดบันจีจัมป์เป็นเสมือนยาเสพติด เพื่อลืมปัญหาต่าง ๆ และเริ่มต้นใหม่. ผมจะกระโดดแล้วก็จะรู้สึกเหมือนกับว่า ‘ปัญหาเหรอ? ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย.’” วารสารฉบับหนึ่งรายงานว่า “เขาผ่านมาอย่างโชกโชนโดยกระโดดมาแล้วถึง 456 ครั้ง รวมทั้งกระโดดจากเขาเอล กับปิตัน ในโยเซไมต์, สะพานข้ามอ่าวซานฟรานซิสโก, และรถกระเช้าที่สูงที่สุดในโลกซึ่งอยู่ที่ฝรั่งเศส.”
คนที่เล่นกีฬาผาดโผนอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “เวลาหยุดนิ่ง. คุณไม่สนใจว่าโลกจะเป็นไปอย่างไร.” อีกคนหนึ่งกล่าวว่า “สิ่งที่เราทำเพื่อความสนุกนั้น [ซึ่งสำหรับหลายคนนั่นรวมถึงเงินตอบแทน] คนส่วนใหญ่จะไม่ยอมทำแม้ว่าจะมีปืนจ่อหัวก็ตาม.” วารสารนิวส์วีก ให้ความเห็นว่า “บรรดาคนเหล่านี้มุ่งแต่จะได้ความตื่นเต้นจนยอมทำทุกอย่าง.”
นักจิตวิทยาบางคนทำการวิจัยอย่างมากมายเกี่ยวกับการเสาะหาความตื่นเต้น. นักจิตวิทยาคนหนึ่งจัดพวกที่ชอบ
เสาะหาความตื่นเต้นว่าเป็นคนที่มีบุคลิกภาพประเภทที. ‘คนประเภทนี้ชอบเสี่ยง, ชอบลอง, ชอบความตื่นเต้น, และชอบความหวาดเสียว.’ เขากล่าวว่า “คนบางคนเกาะราวบันไดแห่งชีวิตไว้แน่น ซึ่งก็คือกฎหรือประเพณีต่าง ๆ ที่สืบทอดกันมา. ผู้ที่ชอบความตื่นเต้นปล่อยราวบันไดนี้. พวกเขาสร้างชีวิตของตนเองขึ้น.” เขาอ้างว่า การศึกษาวิจัยพบว่าผู้ที่ชอบความตื่นเต้นมีอุบัติเหตุบนทางหลวงมากกว่าคนอื่น ๆ ถึงสองเท่า. “อุบัติเหตุเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้วัยรุ่นเสียชีวิต บ่อยครั้งเนื่องจากพวกเขาพาตัวเองเข้าไปในที่ที่มีอันตรายเพื่อความตื่นเต้น.”นักวิทยาศาสตร์และนักจิตวิทยายอมรับว่าเป็นเรื่องผิดปกติที่ใครสักคนจะเล่นกีฬาที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเสียชีวิต. ข้อเท็จจริงที่ว่า หลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งอาจถึงแก่ชีวิต และพักฟื้นเป็นเวลานานที่โรงพยาบาลและศูนย์พักฟื้นแล้วก็กลับไปทำกิจกรรมท้ามฤตยูอีก บ่งชี้ว่าความสามารถในการคิดของคนนั้นผิดปกติ. กระนั้น คนเหล่านี้ก็มักเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถมาก.
ผู้เชี่ยวชาญต่างก็ไม่แน่ใจว่าอะไรกระตุ้นให้คนที่ชอบเสาะหาความตื่นเต้นอยากเอาชีวิตและแขนขาของตัวเองไปเสี่ยง. พวกเขากล่าวว่า คำตอบอาจอยู่ในสมอง. พวกเขาอธิบายว่า “คุณไม่อาจทำให้คนที่ชอบเสาะหาความตื่นเต้นเลิกจากสิ่งนั้นได้ กระนั้น คุณพยายามจะป้องกันพวกเขาไว้จากการเสี่ยงที่นำไปสู่ความตาย. อย่างน้อยที่สุดคุณก็คงไม่อยากให้พวกเขาทำให้คนอื่นเสี่ยงอันตรายไปด้วย.”
ทัศนะของคริสเตียน
คริสเตียนถือว่าชีวิตเป็นของประทานอันล้ำค่าจากพระยะโฮวาพระเจ้า. เมื่อคนหนึ่งเจตนาเสี่ยงชีวิตของตัวเองโดยไม่จำเป็นเพียงเพื่อแสดงความกล้าบ้าบิ่นของตน หรือเพื่อทำให้คนดูรู้สึกตื่นเต้น หรือเป็นความต้องการของตนเองเพื่อความสนุกสุดเหวี่ยง ที่จริงแล้วเขากำลังแสดงการดูหมิ่นชีวิตซึ่งเป็นของประทานอันน่าพิศวงที่พระเจ้าทรงประทานแก่เรา. แน่นอน พระเยซูทรงแสดงความนับถือต่อชีวิตของพระองค์เป็นอย่างยิ่ง และไม่ยอมเสี่ยงชีวิตโดยไม่จำเป็น. พระองค์ไม่ยอมทดลองพระเจ้า.—มัดธาย 4:5-7.
คริสเตียนก็เช่นเดียวกัน มีพันธะต้องแสดงความนับถือต่อชีวิต. คริสเตียนคนหนึ่งเขียนว่า “ครั้งหนึ่งดิฉันเคยปีนหน้าผาหินที่ชันมาก และไปติดอยู่ในที่ซึ่งจะถอยก็ไม่ได้จะไปต่อก็ไม่ได้. จนถึงวันนี้ดิฉันยังรู้สึกใจหายที่เคยเข้าไปเฉียดความตายขนาดนั้น. ช่างจะเป็นการเสียชีวิตที่เปล่าประโยชน์อะไรเช่นนั้น!”
วัยรุ่นคนหนึ่งเขียนว่า ‘ในที่ที่ดิฉันอยู่ พวกวัยรุ่นจะเล่นกีฬาที่น่าตื่นเต้นเหล่านี้หลายอย่าง. พวกเขาชักชวนดิฉันไปเล่นด้วยเสมอ ๆ. แต่ดิฉันมักจะเห็นในข่าวบ่อย ๆ ซึ่งรายงานเกี่ยวกับคนที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกีฬาที่คิดกันว่าสนุกซึ่งพวกเขาเล่าให้ดิฉันฟัง. ดิฉันรู้ว่า เป็นเรื่องไม่ฉลาดที่จะเอาชีวิตดิฉันไปเสี่ยง ชีวิตซึ่งพระยะโฮวาพระเจ้าทรงประทานแก่ดิฉัน เพียงเพื่อจะได้ความตื่นเต้นช่วงสั้น ๆ.’ ขอให้คุณมีความคิดและวิจารณญาณที่ดีอย่างเดียวกัน.
[ที่มาของภาพหน้า 21]
© Reuters NewMedia Inc./CORBIS
[ที่มาของภาพหน้า 24]
Steve Vidler/SuperStock