มีอันตรายสำหรับผู้เล่นเกมไหม?
มีอันตรายสำหรับผู้เล่นเกมไหม?
เด็กชายวัย 12 ปีคนหนึ่ง “ต้อนคู่ต่อสู้ที่ไม่มีอาวุธจนหมดทางหนีและเอาปืนจ่อหัวเขา. เจ้าหนูเยาะเย้ยคู่ต่อสู้ที่อยู่บนจอภาพด้วยความสะใจว่า ‘แกหนีไม่พ้นหรอก! แกอยู่ในกำมือฉันแล้ว!’ เจ้าหนูกดปุ่มยิงเข้าที่ใบหน้าของตัวละครนั้น. เลือดสาดเปื้อนเสื้อคลุมของเขาขณะที่ตัวเขาหมุนคว้างแล้วก็ล้มลง. เจ้าหนูคนนั้นพูดว่า ‘แกเสร็จฉันแล้ว!’ พร้อมกับหัวเราะ.”
ตัวอย่างนี้เป็นฉากในเกมคอมพิวเตอร์เกมหนึ่ง ยกมาจากบทความเรื่อง “ความรุนแรงในคอมพิวเตอร์: ลูกของคุณเสี่ยงอันตรายไหม?” (ภาษาอังกฤษ) โดยสตีเฟน บารร์ ซึ่งทำให้เกิดคำถามตามชื่อเรื่องของเรา. มีเกมคอมพิวเตอร์และวิดีโอเกมมากกว่า 5,000 เกมที่ซื้อหาได้. ถือกันว่าเกมบางประเภทให้ความรู้และความบันเทิงที่ไม่มีพิษภัย.
เกมประเภทนี้เกมหนึ่งสอนวิชาภูมิศาสตร์; และอีกเกมหนึ่งสอนวิธีขับเครื่องบิน. ส่วนเกมอื่น ๆ ฝึกให้ผู้เล่นคิดอย่างมีเหตุผลและแก้ปัญหา. มีแม้กระทั่งเกมที่มุ่งหมายให้มีผลในทางรักษาแก่ผู้เล่น. ตัวอย่างเช่น มีเกมหนึ่งที่ออกแบบขึ้นเพื่อช่วย
คนที่มีความผิดปกติในการอ่านชนิดหนึ่ง. นอกจากนี้ เกมบางเกมอาจช่วยเด็ก ๆ ให้มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์มากขึ้น ซึ่งมีความสำคัญยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคที่เทคโนโลยีเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้.ผู้เชี่ยวชาญชี้ถึงผลเสีย
เดวิด วอลช์ ประธานสถาบันสื่อและครอบครัวแห่งสหรัฐ กล่าวว่า “เกมประเภทหนึ่งมีเนื้อหาต่อต้านสังคม เช่น เกี่ยวกับความรุนแรง, เพศ, และคำหยาบคาย. น่าเป็นห่วง เกมประเภทนี้ดูเหมือนเป็นที่นิยมมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่เด็กอายุ 8 ถึง 15 ปี.”
การศึกษาวิจัยรายหนึ่งในสหรัฐแสดงว่า เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของวิดีโอเกมที่เยาวชนชอบเล่นมีความรุนแรง. ริก ไดเออร์ ประธานบริษัทเวอร์ชัวล์ อิมิจ โพรดักชัน กล่าวว่า “สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่เกมอีกต่อไป. มันเป็นอุปกรณ์สำหรับการเรียนรู้. เรากำลังสอนเด็กในวิธีที่ไม่น่าเชื่อที่สุดว่า การเหนี่ยวไกนั้นเป็นอย่างไร. . . . สิ่งที่พวกเขาไม่ได้เรียนรู้คือผลที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง.”
ประชาชนเริ่มส่งเสียงต่อต้านเกมที่มีความรุนแรงมาตั้งแต่ปี 1976 เมื่อมีเกมหยอดเหรียญชื่อ เดท เรซ. แนวคิดของเกมนี้คือการขับรถชนคนที่เดินข้ามไปข้ามมาบนจอภาพ. ผู้เล่นที่ชนคนเดินถนนได้มากที่สุดก็ชนะ. เกมรุ่นใหม่ที่ซับซ้อนกว่ามีภาพกราฟิกที่ดีขึ้นและทำให้ผู้เล่นสามารถทำสิ่งรุนแรงเหมือนจริงมากยิ่งขึ้น.
ตัวอย่างเช่น ในเกมคาร์มาเก็ดดอน ผู้เล่นอาจต้องขับรถชนคนตายมากถึง 33,000 คนเมื่อเล่นเกมจบทั้งหมด. คำบรรยายในภาคต่อของเกมนี้คือ “เหยื่อของคุณไม่เพียงแต่จะถูกขยี้จนเละอยู่ใต้ล้อรถคุณและมีเลือดสาดเต็มกระจกหน้ารถเท่านั้น แต่พวกเขายังคุกเข่าลงอ้อนวอนขอความเมตตา หรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย. ถ้าคุณชอบ คุณอาจตัดแขนตัดขาของเขาก็ได้.”
ความรุนแรงที่ถูกจำลองขึ้นทั้งหมดนี้ไม่มีพิษภัยอย่างนั้นไหม? มีการศึกษาวิจัยประมาณ 3,000 รายในประเด็นนี้. การศึกษาวิจัยหลายรายบ่งชี้ว่า มีความเกี่ยวพันกันระหว่างความรุนแรงในเกมต่าง ๆ กับการที่ผู้เล่นมีความก้าวร้าวมากขึ้น. เหตุการณ์รุนแรงต่าง ๆ ในหมู่วัยรุ่นมักถูกมองว่าเป็นหลักฐานของความเกี่ยวพันนี้.
ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่าเกมไม่มีอิทธิพลขนาดนั้น โดยกล่าวว่าต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น อาจเป็นได้ว่าเด็กซึ่งมีแนวโน้มในด้านความรุนแรงอยู่แล้วเลือกที่จะเล่นเกมเช่นนั้น. แต่เป็นไปได้ไหมว่าเกมที่รุนแรงมีส่วนส่งเสริมด้วย? ดูเหมือนไม่ตรงกับความเป็นจริงที่จะยืนกรานว่าผู้คนไม่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เขาเห็น. หากเป็นเช่นนั้น ทำไมโลกแห่งการค้าจึงทุ่มเงินปีละหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อจะโฆษณาทางโทรทัศน์ล่ะ?
“ความชำนาญและความต้องการที่จะฆ่า”
นักจิตวิทยาการทหารชื่อ เดวิด กรอสส์แมน ผู้แต่งหนังสือชื่อ ว่าด้วยการฆ่า (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า ความรุนแรงในเกมคอมพิวเตอร์ฝึกสอนเด็ก ๆ ในวิธีเดียวกับที่มีการฝึกสอนทหารให้เอาชนะความไม่ต้องการที่จะฆ่าซึ่งมีมาแต่กำเนิด. ตัวอย่างเช่น ทางทหารได้ค้นพบว่า เพื่อจะขจัดความลังเลในการฆ่าซึ่งมีอยู่ในคนส่วนใหญ่ในกองทหารราบนั้น อาจทำได้โดยเพียงแค่เปลี่ยนเป้ายิงธรรมดาให้เป็นเป้ายิงรูปคนเมื่อซ้อมยิงปืน. ในลักษณะเดียวกัน กรอสส์แมนกล่าวว่า เกมที่มีความรุนแรงสอนเด็ก ๆ ให้มี “ความชำนาญและความต้องการที่จะฆ่า.”
ตามงานวิจัยที่ลงในวารสารจิตวิทยาบุคลิกภาพและสังคม (ภาษาอังกฤษ) วิดีโอเกมและเกมคอมพิวเตอร์ที่มีความรุนแรงอาจมีอันตรายมากกว่าความรุนแรงที่แพร่ภาพในโทรทัศน์หรือในภาพยนตร์เสียด้วยซ้ำ เนื่องจากผู้เล่นเกมรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ที่ทำความรุนแรงนั้น. โทรทัศน์อาจทำให้เราเป็นผู้ชมความรุนแรง แต่เกมคอมพิวเตอร์ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นคนที่มีส่วนร่วม. ยิ่งกว่านั้น เด็กอาจใช้เวลาดูภาพยนตร์เพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่เด็กอาจต้องใช้เวลาถึง 100 ชั่วโมงในการเล่นวิดีโอเกมทั่ว ๆ ไปให้ชำนาญ.
บางประเทศมีการกำหนดให้ใช้ระบบจัดประเภทซึ่งได้รับการออกแบบขึ้นเพื่อระบุว่าเกมที่มีความโหดเหี้ยมรุนแรงเป็นเกมสำหรับผู้ใหญ่เท่านั้น. แต่ระบบเช่นนี้จะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อมีการบังคับใช้. การศึกษาวิจัยในสหรัฐแสดงว่า บิดามารดา 66 เปอร์เซ็นต์ที่ถูกสำรวจไม่รู้จักระบบการจัดประเภทด้วยซ้ำ. ผู้อำนวยการคณะกรรมการจัดประเภทซอฟต์แวร์บันเทิงกล่าวว่า โดยหลักแล้ว ระบบนี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้เด็กซื้อเกมบางอย่าง. เขาอธิบายว่า “หน้าที่ของเราไม่ใช่การกำหนดรสนิยม. เราทำให้บิดามารดามีเครื่องมือที่จะตัดสินได้ว่าพวกเขาต้องการหรือไม่ต้องการให้ลูกของตนเล่นอะไร.”
เกมเสพติดหรือ?
เกมออนไลน์ชนิดใหม่ ซึ่งเล่นทางอินเทอร์เน็ตกับคนจากทั่วโลก ทำให้ผู้เล่นแต่ละคนสามารถเลือกเล่นเป็นตัวละครที่สามารถเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ได้ ทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าตนเองประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ. เวลาที่ผู้เล่นใช้ไปกับตัวละครของเขากลายเป็นการลงทุน และทำให้ผู้เล่นเกิดความรู้สึกว่าได้รับผลตอบแทนซึ่งทำให้อยากเล่นมากขึ้น. สำหรับบางคนแล้ว การเล่นเกมอาจแทบไม่ต่างอะไรกับสิ่งเสพติด ซึ่งอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เกมออนไลน์เกมหนึ่งดำเนินต่อไปเป็นเดือน ๆ หรือแม้กระทั่งเป็นปีด้วยซ้ำ.
วารสารไทม์ รายงานว่า ไม่นานมานี้ในประเทศเกาหลีใต้มีความสนใจกันมากในเกมออนไลน์ชื่อ ลินนิจ. ในเกมนี้ผู้เล่นจะต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะโดยอยู่ในสภาพแวดล้อมของยุคกลาง. ผู้เล่นจะผ่านเกมระดับต่าง ๆ โดยพยายามไปให้ถึงฐานะพิเศษ. หนุ่มสาวบางคนเล่นเกมนี้ตลอดทั้งคืนแล้วพอวันรุ่งขึ้นก็ไปนั่งหลับที่โรงเรียน. บิดามารดาเป็นห่วงแต่ก็มักไม่ทราบว่าจะจัดการกับปัญหานี้อย่างไร. ผู้เล่นเกมวัยเยาว์คนหนึ่งกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า “เมื่อผู้คนพบผมทางอินเทอร์เน็ต พวกเขาคิดว่าผมเท่ แต่เมื่อพวกเขาพบตัวจริงของผมพวกเขาแนะนำให้ผมลดน้ำหนัก.”
นักจิตวิทยาชาวเกาหลีชื่อ จุนโม ควอน คิดว่าเกมลินนิจได้รับความนิยมมากขนาดนั้นเพราะว่า “ในโลกแห่งความจริง ที่เกาหลี คุณต้องข่มห้ามแรงกระตุ้นและความปรารถนาในส่วนลึกของคุณไว้. ในเกม สิ่งเหล่านั้นถูกปลดปล่อยออกมา.” ด้วยเหตุนี้ คนหนุ่มสาวจึงหนีจากความเป็นจริงเข้าไปสู่โลกในจินตนาการ. นักวิเคราะห์ที่มีความเข้าใจคนหนึ่งพรรณนาถึงผู้เล่นเกมดังนี้: “สำหรับคนที่เล่นเกม โลกของเกมน่าดึงดูดใจมากกว่าโลกแห่งความเป็นจริงมาก. โลกแห่งความเป็นจริงเป็นเพียงช่วงเวลาที่เขาจะหาเงินจำนวนเล็กน้อยที่จำเป็นเพื่อจะนำมาเล่นเกมต่อไป.”
ผลกระทบต่อสุขภาพ
สถิติจากสหรัฐแสดงว่า นักเรียนชั้นประถมปีที่หกโดยเฉลี่ยแล้วดูโทรทัศน์วันละสี่ชั่วโมง และนั่นยังไม่ได้รวมเวลาที่เขาใช้เล่นเกมโดยจ้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือจอทีวีด้วยซ้ำ. ในการสำรวจเมื่อปี 1995 เด็กมากกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ยอมรับว่าพวกเขามักจะเล่นเกมนานกว่าที่ตั้งใจไว้. ผลที่เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ คือการละเลยการบ้าน. การศึกษาวิจัยในญี่ปุ่นแสดงว่า เกมคอมพิวเตอร์กระตุ้นสมองของเด็กเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น. ตามการศึกษาวิจัยนั้น เด็กจำเป็นต้องอ่าน, เขียน, และทำคณิตศาสตร์มากขึ้น. แต่เพื่อสมองของพวกเขาจะได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ พวกเขาก็จำเป็นต้องมีการเล่นนอกบ้านแบบที่กระตุ้นสมองกับเด็กอื่น ๆ และต้องมีการติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่นด้วย.
มีรายงานว่า ในสหรัฐ เด็กอายุระหว่างห้าถึงแปดขวบประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์เป็นโรคอ้วน. สิ่งที่น่าจะมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้คือการขาดการออกกำลังกายเนื่องจากใช้เวลาอยู่หน้าจอทีวีหรือจอคอมพิวเตอร์มากเกินไป. บริษัทหนึ่งถึงกับพัฒนาอุปกรณ์ออกกำลังกายที่สามารถใช้ได้ขณะเล่นเกมคอมพิวเตอร์. แต่เห็นได้ชัดว่า คงดีกว่ามากถ้าจะจำกัดเวลาการเล่นเกมเหล่านี้ เพื่อจะมีเวลามากพอสำหรับกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยให้เด็กพัฒนาบุคลิกภาพในทุกด้าน.
ปัญหาสุขภาพอีกอย่างหนึ่งคือ ปัญหาสายตา ซึ่งอาจเกิดจากการเพ่งมองจอภาพเป็นเวลานาน ๆ. การสำรวจแสดงว่า อย่างน้อยหนึ่งในสี่ของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั้งหมดมี
ปัญหาสายตา. เหตุผลหนึ่งคืออาจมีการกะพริบตาน้อยลง ทำให้ตาแห้งและระคายเคือง. การกะพริบตาเป็นการทำความสะอาดตา, กระตุ้นการผลิตน้ำตา, และล้างสิ่งปนเปื้อนให้หลุดออกไป.เนื่องจากเล่นจนลืมตัว เด็ก ๆ อาจเล่นเกมคอมพิวเตอร์หลายชั่วโมงโดยแทบไม่ได้หยุดพัก. นี่อาจทำให้ตาล้าและมีปัญหาในการปรับสายตา. ผู้เชี่ยวชาญแนะให้หยุดพักเป็นระยะ ๆ ครั้งละสองสามนาทีหลังจากใช้คอมพิวเตอร์ทุก ๆ หนึ่งชั่วโมง. *
ธุรกิจระดับโลกกำลังขยายตัว
ดูเหมือนเกมออนไลน์กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดทั่วโลก. อินเทอร์เน็ตคาเฟ่กำลังเปิดกันแห่งแล้วแห่งเล่า. ร้านเหล่านี้มีคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่ง และลูกค้าก็จ่ายเงินเพื่อเล่นเกมทางเครือข่าย. ไม่แปลกที่หนุ่มสาวบางคนเสียเงินเดือนละ 200 ดอลลาร์ให้กับร้านอินเทอร์เน็ตเหล่านั้น.
ไม่ต้องสงสัย อุตสาหกรรมเกมกำลังขยายตัว. เป็นที่คาดกันว่าตลาดเกมออนไลน์จะเพิ่มขึ้นถึงกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ในระยะห้าปีข้างหน้า.
อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าอุตสาหกรรมที่กำลังเฟื่องฟูนี้มีข้อเสีย. อันตรายมีอยู่จริง. ไม่มีใครในพวกเราที่ไม่ได้รับผลเสียจากการทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ, ทำให้เสียเวลาและเสียเงินมากมาย, หรือทำให้เราชินชากับความรุนแรงและการฆ่า. เด็ก ๆ ของเรายิ่งต้องได้รับผลเสียหายมากกว่า. ดังนั้น ที่ว่าเกมคอมพิวเตอร์ทุกเกมให้ความรู้หรือความสนุกสนานที่ไม่มีพิษภัยนั้น จึงไม่เป็นความจริง. เดวิด วอลช์ ซึ่งกล่าวถึงข้างต้น เตือนว่า “สื่อต่าง ๆ อาจมีอิทธิพลมากกว่าที่เราคิด.” เขาเสริมว่า “ถ้าบิดามารดาเป็นผู้รับผิดชอบในการดูแลลูก ๆ แล้วล่ะก็ คำนิยามในการดูแลนี้ก็ต้องปรับให้ทันกับโลกของสื่อที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ.”
ที่จริง เป็นอย่างที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ “ฉากของโลกนี้กำลังเปลี่ยนไป.” (1 โกรินโธ 7:31, ล.ม.) และดูเหมือนไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเร็วยิ่งกว่าสื่อบันเทิง. บิดามารดาหลายคนรู้สึกหมดแรงกับการที่ต้องพยายามไล่ให้ทันกับแนวโน้มที่เปลี่ยนไปตลอดเวลาและอิทธิพลที่จู่โจมลูก ๆ ของตนทุกวัน. แต่อย่าท้อใจ. บิดามารดาหลายคนกำลังประสบความสำเร็จในการเลี้ยงดูลูกโดยช่วยให้พวกเขาจดจ่อกับสิ่งที่สำคัญจริง ๆ. เช่นเดียวกับเราทุกคน เด็ก ๆ ต้องรู้ว่าความบันเทิงไม่สามารถสนองความจำเป็นที่สำคัญที่สุดของเรา ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์, ทีวี, หรือสื่อบันเทิงอื่น ๆ. ดังที่พระเยซูเคยตรัสไว้ ความสุขแท้มีแก่คนที่ “รู้สำนึกถึงความจำเป็นฝ่ายวิญญาณของตน.—มัดธาย 5:3, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 24 นอกจากนั้น บางคนแนะนำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกคนพักสายตาทุก ๆ 15 นาทีโดยมองวัตถุที่อยู่ไกลออกไปนอกจอภาพ. คนอื่น ๆ แนะให้นั่งห่างจากจอภาพอย่างน้อยสองฟุตและหลีกเลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์เมื่อรู้สึกเหนื่อย.
[กรอบ/ภาพหน้า 6]
เกมอิเล็กทรอนิกส์—บทสรุปของความเสี่ยง
▸ การเล่นเกมคอมพิวเตอร์และวิดีโอเกมที่มีความรุนแรงอาจกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่ก้าวร้าว.
▸ เกมอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้ทำให้คุณเป็นเพียงผู้ชมความรุนแรงเท่านั้น; เกมเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อทำให้คุณรู้สึกเหมือนเป็นผู้มีส่วนร่วม.
▸ สำหรับคนที่ถูกชักจูงง่าย เกมอาจทำให้แยกความแตกต่างระหว่างความเป็นจริงกับความฝันได้ไม่ชัดเจน.
▸ เหมือนกับสิ่งเสพติด การเล่นเกมอาจทำให้ละเลยพันธะหน้าที่และสัมพันธภาพที่สำคัญ.
▸ เกมอาจผลาญเวลาที่เด็กควรใช้กับกิจกรรมอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น การเรียน, การติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่น, และการเล่นที่เป็นแบบสร้างสรรค์.
▸ การเพ่งมองจอภาพนาน ๆ อาจทำให้สายตาล้าได้.
▸ การขาดการออกกำลังกาย ซึ่งอาจเกิดจากการเล่นเกม จะทำให้เป็นโรคอ้วนได้.
▸ เกมอาจทำให้คุณเสียเงินและเวลา.
[กรอบ/ภาพหน้า 8]
วิธีหนึ่งในการเลิกนิสัยนี้
โทมัส คริสเตียนวัย 23 ปีเล่าว่า “ตอนที่ผมเป็นเด็กนักเรียน การเล่นเกมมีผลกระทบต่อการบ้านของผมในด้านลบอย่างมาก. เมื่อผมโตขึ้น การเล่นเกมก็ส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่น ๆ ด้วย. ผมยังคงเล่นเกมต่อไป แม้กระทั่งหลังจากที่ผมเริ่มเป็นอาสาสมัครผู้เผยแพร่เต็มเวลาแล้วก็ตาม. ในที่สุด ผมได้มาตระหนักว่าการเล่นเกมทำให้ผมเสียเวลาและเสียกำลังมากเกินไป. บางครั้งเมื่อผมเล่นเกมก่อนออกไปในงานเผยแพร่หรือไปยังการประชุมคริสเตียน ผมรู้สึกว่ายากที่จะมีสมาธิ. ผมแทบจะคิดอยู่ตลอดว่าผมจะแก้ปัญหาบางอย่างในเกมอย่างไรหลังจากกลับบ้านแล้ว. การศึกษาส่วนตัวและการอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำก็ได้รับผลเสีย. ความยินดีในการรับใช้พระเจ้าก็เริ่มลดลง.
“ตอนดึกของคืนหนึ่งเมื่อผมเข้านอนแล้ว ผมรู้สึกว่าผมจะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว. ผมลุกขึ้น, เปิดคอมพิวเตอร์, เลือกเกมทั้งหมด, แล้วก็กดปุ่มลบทิ้ง. ทุกอย่างหายไปในพริบตา! นั่นเป็นเรื่องยากมาก. ผมยอมรับว่าผมติดเกมมากกว่าที่เคยคิด. แต่ผมก็ยังเกิดความรู้สึกที่ดีมากเหมือนกับได้ชัยชนะเนื่องจากผมรู้ว่าผมทำสิ่งนั้นเพื่อประโยชน์ของตัวผมเอง. ผมยอมรับว่าตั้งแต่นั้นผมก็ยังซื้อเกมอยู่บ้าง. แต่ตอนนี้ผมเข้มงวดกับตัวเองมากขึ้น. เมื่อใดก็ตามที่ผมรู้สึกว่ายากที่จะรักษาความสมดุลในการเล่นเกม ผมก็เพียงแต่กดปุ่มลบทิ้งอีก.”
[ภาพหน้า 6]
บางคนกล่าวว่ามีความเกี่ยวพันกันระหว่างความรุนแรงในเกมกับการที่ผู้เล่นมีความก้าวร้าวมากขึ้น
[ภาพหน้า 7]
ห้องเล่นเกมอินเทอร์เน็ตในกรุงโซล เกาหลี