วิทยาศาสตร์เคยเป็นศาสนาของผม
วิทยาศาสตร์เคยเป็นศาสนาของผม
เล่าโดยเคนเนท ทานากะ
“ความจริงจะทำให้เจ้าเป็นอิสระ.” ถ้อยคำเหล่านั้นซึ่งอยู่บนตราดวงหนึ่งของสถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนีย (แคลเทค) เป็นแรงบันดาลใจที่ช่วยให้ผมบรรลุความเป็นเลิศด้านความรู้ทางวิทยาศาสตร์. การเข้าเรียนที่นั่นในปี 1974 เป็นการปูทางสำหรับผมเพื่อเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านการวิจัย. หลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและปริญญาโทในสาขาธรณีวิทยาแล้ว ผมศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานตาบาร์บารา.
ขณะที่กำลังก้าวหน้าในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ผมยังได้ทำการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในเรื่องทัศนะและค่านิยมฝ่ายวิญญาณด้วย. แม้ว่าทฤษฎีวิวัฒนาการที่ผมร่ำเรียนมาทำให้ผมไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า แต่ต่อมา ผมจำต้องยอมทบทวนแง่คิดของผมเสียใหม่. ผมในฐานะที่เป็นนักธรณีวิทยาด้านการวิจัยกลายเป็นผู้นมัสการที่อุทิศตัวแด่พระเจ้าด้วยได้อย่างไร? ขอให้ผมอธิบาย.
เด็กชายตัวน้อยรู้สึกประทับใจเอกภพ
ผมเริ่มสนใจวิทยาศาสตร์ตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ. ตอนเป็นเด็ก ผมเติบโตในซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา พ่อแม่สนับสนุนผมอย่างแข็งขันให้ทุ่มเทกับการเรียนให้ดีเลิศ. ผมชอบอ่านเรื่องที่เกี่ยวกับเอกภพ ไม่ว่าจะเป็นองค์ประกอบของวัตถุและสิ่งมีชีวิต, แรงพื้นฐานต่าง ๆ, อวกาศ, เวลา, และทฤษฎีสัมพัทธภาพ. ตอนผมอายุราว ๆ แปดขวบ มีคนสังเกตเห็นว่าผมหลงใหลวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก และทางโรงเรียนจึงได้ให้ผมเรียนกวดวิชากับครูวิทยาศาสตร์เป็นส่วนตัวทุกสัปดาห์.
ผมเคยเข้าร่วมโรงเรียนรวีวารศึกษาที่โบสถ์แบพติสต์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เพื่อมีโอกาสเดินป่าและไปเข้าค่าย. คนอื่น ๆ ในครอบครัวผมไม่มีใครสนใจศาสนาหรือพระเจ้า. เมื่อผมได้รู้
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความเหี้ยมโหดที่ศาสนาได้กระทำนั้น สติรู้สึกผิดชอบกระตุ้นผมให้ถอนตัวจากกิจกรรมต่าง ๆ ของโบสถ์. ผมยังเริ่มสงสัยการดำรงอยู่ของพระเจ้าด้วยซ้ำ เนื่องจากวิทยาศาสตร์ดูเหมือนจะอธิบายได้แทบทุกสิ่ง.การเปลี่ยนแนวคิด—ซึ่งยังจะต้องเปลี่ยนอีก
ผมสมัครเรียนในวิทยาลัยโดยตั้งใจจะศึกษาด้านฟิสิกส์ แต่ขณะที่เรียนชั้นมัธยมปีสุดท้าย ผมได้เรียนวิชาธรณีวิทยาด้วย. วิชานี้มีการออกภาคสนามเพื่อศึกษาหินโผล่ที่มีชื่อเสียงในรัฐวอชิงตัน. ผมคิดว่า ‘คงวิเศษจริง ๆ หากจะเอาชีวิตกลางแจ้งที่ผมชอบกับความรักที่มีต่อวิทยาศาสตร์มารวมเข้าด้วยกัน!’
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเข้าเรียนในวิทยาลัย ผมจึงเปลี่ยนสาขาวิชาที่จะเรียนเป็นธรณีวิทยาทันที. บางวิชาที่ผมลงทะเบียนมีการศึกษาเกี่ยวกับยุคทางธรณีวิทยาและความเป็นมาของโลกดังที่สังเกตเห็นได้จากหลักฐานทางฟอสซิล. เกี่ยวกับหลักฐานทางฟอสซิล ผมได้รับการสอนว่าสิ่งมีชีวิตวิวัฒนาการเป็นขั้น ๆ. ผมเข้าใจว่า หลักวิวัฒนาการยังไม่ได้รับการพิสูจน์. อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกว่า วิวัฒนาการเป็นทฤษฎีหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นคำอธิบายที่มีเหตุผลสำหรับหลักฐานทางธรณีวิทยาที่มีอยู่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคตินิยมการทรงสร้างซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป. เมื่อผมได้ยินว่าที่มหาวิทยาลัยจะมีการโต้วาทีระหว่างนักคตินิยมการทรงสร้างกับนักวิวัฒนาการ ผมตัดสินใจว่าจะไม่ไปฟัง. เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าโลกไม่ได้ถูกสร้างภายในช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์อย่างที่พวกคตินิยมการทรงสร้างบางคนอ้าง!
แม้ว่าผมมีความคิดที่ต่อต้านศาสนาอย่างรุนแรง แต่การเดินทางเพื่อไปศึกษาธรณีวิทยาทางฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐคราวนั้นทำให้ผมต้องทบทวนแง่คิดของผมอีกครั้งในเรื่องการดำรงอยู่ของพระเจ้า. คืนหนึ่งที่นั่น ขณะกำลังมองทัศนียภาพอันงดงามแห่งท้องฟ้าเหนือทะเลทราย ผมอดไม่ได้ที่จะสรุปว่าพระเจ้าต้องเป็นผู้สร้างเอกภพแน่ ๆ. นักดาราศาสตร์ยืนยันว่าเอกภพมีจุดเริ่มต้น แต่ผมเห็นว่าวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวไม่มีวันอธิบายได้ว่าทำไม เอกภพจึงต้องเกิดขึ้น. นี่ทำให้ดูเหมือนมีเหตุผลที่จะเชื่อว่า พระผู้สร้างที่ทรงไว้ซึ่งสติปัญญาและอำนาจเป็นผู้ออกแบบและสร้างเอกภพรอบตัวเรา.
การสำรวจดาวอังคารก่อให้เกิดข้อสงสัยมากมาย
เมื่อถึงตอนที่ผมได้รับปริญญาเอกในสาขาธรณีวิทยาในปี 1983 เมื่ออายุ 27 ปี ผมกำลังทำการสำรวจลักษณะทางธรณีวิทยาของดาวอังคารให้กับสำนักสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งสหรัฐ. ผมตีพิมพ์บทความสำหรับผู้อ่านที่เป็นนักวิทยาศาสตร์และผู้อ่านทั่วไปหลายสิบเรื่องแล้ว รวมทั้งแผนที่แสดงลักษณะทางธรณีวิทยาของดาวเคราะห์ต่าง ๆ ด้วย. ในฐานะสมาชิกคณะกรรมการที่ปรึกษาขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ ผมทำหน้าที่ช่วยเหลือยานอวกาศที่ส่งไปยังดาวอังคาร. เนื่องจากงานวิจัยและหน้าที่รับผิดชอบในอาชีพของผม ผมจึงมีโอกาสพบกับนักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับดาวเคราะห์ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องจากหลายประเทศและจากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยหลายแห่ง.
การอบรมทั้งหมดที่ได้รับและประสบการณ์จากการทำงานวิจัยค่อย ๆ เปลี่ยนทัศนะแบบเพ้อฝันที่ผมมีต่อวิทยาศาสตร์ตอนเป็นเด็ก ๆ. ผมได้มาเข้าใจว่าวิทยาศาสตร์ยังไม่มีและจะไม่มีวันให้คำตอบสำหรับทุกเรื่องได้. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมได้มาตระหนักว่า วิทยาศาสตร์ไม่สามารถให้คำอธิบายเรื่องความมุ่งหวังหรือจุดมุ่งหมายที่แท้จริงสำหรับชีวิตได้. แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันทำนายว่าเอกภพจะยุบตัวเอง หรือไม่ก็ขยายตัวไปเรื่อย ๆ เข้าสู่สภาพเป็นมวลสารที่ไร้โครงสร้างใด ๆ. ความเป็นอยู่ของสิ่งต่าง ๆ จะมีความหมายอะไรถ้าจุดมุ่งหมายท้ายสุดของทุกสิ่งคือการดับสูญอย่างสิ้นเชิง?
วางแผนแนวทางชีวิตใหม่
ในเดือนกันยายนปี 1981 ขณะที่อาศัยอยู่ที่เมืองแฟล็กสตัฟฟ์ รัฐแอริโซนา ผมได้พบพยานพระยะโฮวา. ผมตกลงศึกษาคัมภีร์ไบเบิลโดยมุ่งหวังที่จะพิสูจน์ว่าทั้งพวกเขาและคัมภีร์ไบเบิลไม่ถูกต้อง. นอกจากนั้น ในที่สุดผมจะได้เห็นสิ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลจริง ๆ.
ผมเริ่มใช้เวลาหลายชั่วโมงในแต่ละสัปดาห์เพื่อตรวจสอบคำสอนของพระคัมภีร์อย่างถี่ถ้วน. แต่ผมก็ต้องแปลกใจที่ได้พบความรู้มิใช่น้อยและความหยั่งเห็นเข้าใจที่ลึกซึ้งในหน้าต่าง ๆ ของคัมภีร์ไบเบิล. ผมรู้สึกทึ่งเมื่อได้ค้นคว้าเรื่องความถูกต้องแม่นยำทางวิทยาศาสตร์ของคัมภีร์ไบเบิล และความสำเร็จสมจริงของคำพยากรณ์ที่มีรายละเอียดเป็นร้อย ๆ เรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดช่วงหลายพันปีในประวัติศาสตร์มนุษย์. ผมรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งในเรื่องที่ว่าการพิจารณาคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลหลายข้อพร้อม2 ติโมเธียว 3:1, ล.ม.
กัน—ในพระธรรมดานิเอลและวิวรณ์—จะช่วยให้มีพื้นฐานอันหนักแน่นที่ทำให้ตัดสินได้ว่า เรามีชีวิตอยู่ใน “สมัยสุดท้าย.”—ขณะที่กำลังศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ผมได้ทำเช่นเดียวกับคนที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งโดยไม่รู้ตัว. ผมได้มารู้ภายหลังว่า เซอร์ไอแซก นิวตัน ซึ่งถือกันว่าเป็นหนึ่งในอัจฉริยบุคคลทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล เป็นผู้ที่ชื่นชอบและค้นคว้าคัมภีร์ไบเบิลอย่างจริงจัง. เช่นเดียวกับนิวตัน ผมมุ่งความสนใจไปที่คำพยากรณ์ในดานิเอลและวิวรณ์ซึ่งบอกล่วงหน้าเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ ทางประวัติศาสตร์ซึ่งได้เกิดขึ้นจริง. * อย่างไรก็ดี ผมได้เปรียบกว่าอย่างเห็นได้ชัดเนื่องจากผมมีชีวิตอยู่ในช่วงที่คำพยากรณ์หลายข้อกำลังสำเร็จอยู่หรือไม่ก็สำเร็จเป็นจริงไปแล้วหลังสมัยของนิวตัน. ผมพบว่าคำพยากรณ์เหล่านี้มีความหลากหลายอย่างน่าทึ่ง และมีขอบเขตกว้างขวางทั้งยังไม่ผิดพลาดและไม่มีใครปฏิเสธได้. สิ่งนี้ทำให้ผมเข้าใจกระจ่างแจ้งว่า คัมภีร์ไบเบิลตลอดทั้งเล่ม ซึ่งเขียนโดยมนุษย์กว่า 40 คนในช่วงเวลา 1,600 ปีนั้นมีเนื้อหาที่สอดคล้องลงรอยกัน อีกทั้งยังมีข่าวสารอันทรงพลังซึ่งเกี่ยวข้องกับประเด็นสำคัญที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่และที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของมนุษย์.
อย่างไรก็ดี ที่จะเลิกเชื่อเรื่องวิวัฒนาการไม่ใช่เรื่องง่าย. ผมได้ถือว่าหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ซึ่งสนับสนุนทฤษฎีนี้มีน้ำหนักมิใช่น้อย. แต่กระนั้น ผมได้ค้นพบว่า ทุกข้อความในคัมภีร์ไบเบิลที่เกี่ยวกับลักษณะโลกทางกายภาพสอดคล้องกันอย่างเต็มที่กับข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กัน และไม่อาจหักล้างได้.
ผมเริ่มตระหนักว่า เพื่อจะได้ความเข้าใจอย่างถี่ถ้วนและต่อเนื่องเกี่ยวกับเนื้อหาของคัมภีร์ไบเบิลซึ่งมีขอบเขตกว้างและสอดคล้องกันโดยตลอดนั้น คนเราต้องไม่มองข้ามคำสอนแม้แต่เรื่องเดียว ซึ่งรวมถึงเรื่องการทรงสร้างในพระธรรมเยเนซิศด้วย. ดังนั้น ผมจึงเข้าใจว่าการยอมรับคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มว่าเป็นความจริง เป็นข้อสรุปเพียงอย่างเดียวที่สมเหตุสมผล.
การแสวงหาที่ไม่หยุดยั้งเพื่อความจริง
ระหว่างนั้น ในฐานะที่ผมมีส่วนร่วมอย่างเป็นทางการในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ผมสังเกตว่า หลายครั้งทฤษฎีต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในช่วงเวลาหนึ่งกลับได้รับการพิสูจน์ว่าไม่ถูกต้องในเวลาต่อมา. ส่วนที่เป็นข้อท้าทายสำหรับนักวิทยาศาสตร์ก็คือ หัวข้อที่เรากำลังศึกษาพิจารณาเป็นสิ่งที่ซับซ้อน ขณะที่เรามีข้อมูลและอุปกรณ์ที่ใช้ในการค้นคว้าวิจัยอยู่เพียงจำกัด. ด้วยเหตุนี้ ผมได้เรียนรู้ที่จะระมัดระวังในการยอมรับทฤษฎีที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริง ไม่ว่าอาจมีการหาเหตุผลเกี่ยวกับทฤษฎีเหล่านั้นอย่างเชี่ยวชาญและถี่ถ้วนเพียงไรก็ตาม.
โดยความเป็นจริงแล้ว วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายแง่มุมพื้นฐานหลายอย่างในโลกแห่งธรรมชาติได้. ตัวอย่างเช่น ทำไม องค์ประกอบของชีวิตและกฎทางกายภาพที่ควบคุมองค์ประกอบเหล่านี้ จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะค้ำจุนกระบวนการแห่งชีวิตและระบบนิเวศที่ซับซ้อน? ขณะที่วิทยาศาสตร์ไม่พร้อมจะเปิดเผยเรื่องพระเจ้า แต่ถ้อยคำที่ได้รับการดลใจของพระองค์กลับให้หลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับการดำรงอยู่และพระราชกิจของพระองค์ในฐานะพระผู้สร้าง. (2 ติโมเธียว 3:16) ด้วยความเข้าใจฝ่ายวิญญาณนี้ เราจึงได้มารู้จักกับผู้หนึ่งซึ่งเป็นบ่อเกิดของพลัง, สติปัญญา, และความงดงามที่ปรากฏชัดในโลกของเรา.
ยิ่งกว่านั้น ความเชื่อมั่นว่าคัมภีร์ไบเบิลถูกต้องแม่นยำทางวิทยาศาสตร์ได้รับการเสริมให้แข็งแกร่งขึ้นโดยที่ผมตรวจสอบหนังสือของพยานพระยะโฮวาหลายเล่มอย่างถี่ถ้วน รวมทั้งหนังสือชีวิต—เกิดขึ้นมาอย่างไร? โดยวิวัฒนาการหรือมีผู้สร้าง? และ พระผู้สร้างผู้ใฝ่พระทัยใน
ตัวคุณมีไหม? หนังสือเหล่านี้วิเคราะห์หัวเรื่องทางวิทยาศาสตร์ที่ลึกซึ้งและให้ความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับการค้นคว้าในปัจจุบัน รวมทั้งการลงความเห็นของผู้เชี่ยวชาญชั้นแนวหน้าหลายคน. นอกจากนี้ หนังสือดังกล่าวยังพิจารณาความสอดคล้องลงรอยกันระหว่างข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันและความเข้าใจอันถูกต้องของคัมภีร์ไบเบิล.ตัวอย่างเช่น มีการแสดงว่าหลักฐานทางฟอสซิลสอดคล้องกันกับลำดับการปรากฏขึ้นของสิ่งมีชีวิตรูปแบบต่าง ๆ ตามที่พรรณนาไว้ในพระธรรมเยเนซิศ. ยิ่งกว่านั้น วันแห่งการทรงสร้างตามที่คนในสมัยก่อนเข้าใจ อาจหมายถึงช่วงเวลาที่ยาวนาน เช่นเดียวกับคำว่า “สมัย” หรือ “ยุค” ที่วิทยาศาสตร์ใช้พรรณนาความเป็นมาของโลก. ด้วยเหตุนี้ คัมภีร์ไบเบิลจึงไม่ได้ขัดแย้งกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์. คัมภีร์ไบเบิลบ่งชี้ว่าวันแห่งการทรงสร้างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานมาก. คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้สนับสนุนการลงความเห็นของพวกนักคตินิยมการทรงสร้างที่เชื่อว่าวันเหล่านั้นยาว 24 ชั่วโมง.
ความเชื่อต่างกับความงมงาย
ในฐานะนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ผมไม่ชอบความงมงาย. แต่ผมมีความนับถืออย่างสุดซึ้งต่อความเชื่อที่มีเหตุผล. ความเชื่อที่วางใจได้เช่นนั้นได้รับการนิยามไว้ในเฮ็บราย 11:1 (ล.ม.) ว่า “ความเชื่อคือความคาดหมายที่แน่นอนในสิ่งซึ่งหวังไว้ เป็นการแสดงออกเด่นชัดถึงสิ่งที่เป็นจริง ถึงแม้ไม่ได้เห็นสิ่งนั้นก็ตาม.” ความไว้วางใจในคำสัญญาของพระเจ้ามีรากฐานมาจากข้อพิสูจน์ซึ่งได้รับการยืนยันแล้วว่า คัมภีร์ไบเบิลได้รับการดลใจจากพระเจ้า. ผมมองเห็นความจำเป็นที่จะหลีกเลี่ยงหลักคำสอนของศาสนาซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปแต่ไม่มีมูลความจริง และขัดแย้งกับพระคัมภีร์. หลักคำสอนเหล่านี้รวมถึงคำสอนเรื่องจิตวิญญาณอมตะ, ไฟนรก, ตรีเอกานุภาพ, และอื่น ๆ. หลักคำสอนเท็จมากมายเช่นว่านั้นมาจากนักปรัชญาและเทพนิยายโบราณ หรือมาจากผู้คงแก่เรียนด้านคัมภีร์ไบเบิลที่ไม่ชำนาญ. การยึดมั่นกับคำสอนเท็จนำไปสู่ ‘ความเชื่อแบบงมงาย’ ซึ่งเกิดขึ้นจริงกับนักศาสนาส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ อันเป็นเหตุให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนไม่ค่อยเชื่อถือศาสนา.
ความรับผิดชอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของผมในฐานะนักวิทยาศาสตร์คืออธิบาย, ปกป้อง, และเผยแพร่ผลงานการวิจัยของผมเอง. ในทำนองเดียวกัน ผมรู้สึกว่าจำเป็นต้องสอนความจริงในคัมภีร์ไบเบิลแก่คนอื่น ๆ เพราะไม่มีความรู้ใดที่สำคัญยิ่งไปกว่านี้. ผมได้รับเอางานที่น่ายินดีนี้และรับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งมาราว ๆ 20 ปีแล้ว. ครั้นแล้ว ในเดือนกันยายนปี 2000 ผมสามารถเพิ่มเวลาที่ใช้ในกิจกรรมงานเผยแพร่เฉลี่ยแล้วเดือนละ 70 ชั่วโมง. ตั้งแต่นั้นมา ผมมีสิทธิพิเศษได้นำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับผู้สนใจมากถึงสิบรายในแต่ละเดือน และได้เห็นนักศึกษาหลายคนก้าวหน้าเป็นผู้สอนคัมภีร์ไบเบิลที่เอาจริงเอาจังเองเช่นกัน.
ผมยังคงชื่นชมกับการสำรวจดาวอังคารและส่วนอื่น ๆ ของจักรวาลผ่านทาง “ตา” ของยานอวกาศที่ทรงประสิทธิภาพ ซึ่งถูกส่งไปสำรวจเทห์ฟากฟ้าใกล้ ๆ โลกของเรา. ยังมีความลึกลับอีกหลายอย่างที่ท้าทายวิทยาศาสตร์. ผมมองไปยังอนาคต เมื่อมนุษย์เราจะแสวงหาความรู้ทั้งทางฝ่ายวิญญาณและทางวิทยาศาสตร์เพื่อสนองความกระหายใคร่รู้และตอบคำถามที่หาคำตอบได้ยากที่สุด. ผมได้มาเข้าใจว่า ความหมายที่แท้จริงของชีวิตเกิดจากการที่คนเรามีความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับพระเจ้าและพระประสงค์ของพระองค์สำหรับมนุษยชาติ ซึ่งเป็นความหมายที่แท้จริงของคำตรัสของพระเยซูที่ปรากฏอยู่บนตราของแคลเทคที่ว่า “ความจริงจะทำให้เจ้าเป็นอิสระ.”—โยฮัน 8:32, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 18 ในหนังสือของเซอร์ไอแซก นิวตันที่ชื่อข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับคำพยากรณ์ของดานิเอล, และวิวรณ์ของนักบุญโยฮัน (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งตีพิมพ์ในปี 1733 ได้มีการพิจารณาคำพยากรณ์ในพระธรรมดานิเอลและพระธรรมวิวรณ์.
[คำโปรยหน้า 19]
“วิทยาศาสตร์ดูเหมือนจะอธิบายได้แทบทุกสิ่ง”
[คำโปรยหน้า 20]
“วิทยาศาสตร์ยังไม่มีและจะไม่มีวันให้คำตอบสำหรับทุกเรื่องได้”
[คำโปรยหน้า 21]
“ผมกลับพบความรู้มิใช่น้อยและความหยั่งเห็นเข้าใจที่ลึกซึ้งในหน้าต่าง ๆ ของคัมภีร์ไบเบิล”
[แผนที่หน้า 18]
แผนที่ดาวอังคาร
[ภาพหน้า 20]
เช่นเดียวกับนิวตัน ผมรู้สึกประทับใจพระธรรมดานิเอลและวิวรณ์
[ที่มาของภาพ]
University of Florida
[ภาพหน้า 21]
ผมแบ่งปันสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จาก คัมภีร์ไบเบิลให้กับคนอื่น ๆ
[ที่มาของภาพหน้า 18]
Top left: Courtesy USGS Astrogeology Research Program, http://astrogeology.usgs.gov; Mars map: National Geographic Society, MOLA Science Team, MSS, JPL, NASA; Mars surface: NASA/JPL/Caltech
[ที่มาของภาพหน้า 21]
Space photo: J. Hester and P. Scowen (AZ State Univ.), NASA