เหตุผลที่ผมเชื่อคัมภีร์ไบเบิล—นักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์เล่าอัตชีวประวัติ
เหตุผลที่ผมเชื่อคัมภีร์ไบเบิล—นักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์เล่าอัตชีวประวัติ
เล่าโดยอัลตัน วิลเลียมส์
ในปี 1978 มีเหตุการณ์สำคัญสองอย่างเกิดขึ้นในชีวิตของผม. ณ วันที่ 1 กันยายน ผมได้รับปริญญาสาขาฟิสิกส์นิวเคลียร์ และในเดือนธันวาคมผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้เผยแพร่ของพยานพระยะโฮวา.
เมื่อผู้คนรู้ว่าผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ทั้งยังเป็นพยานฯ อีกด้วย พวกเขามักจะแปลกใจว่าผมทำให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เข้ากันได้อย่างไรกับความเชื่อในคัมภีร์ไบเบิล. จริงอยู่ ผมต้องยอมรับว่าตัวเองก็สงสัยอยู่หลายปีว่าความรู้ด้านวิทยาศาสตร์กับความเชื่อในคัมภีร์ไบเบิลจะสอดคล้องกันหรือไม่. แต่ในที่สุด ผมก็เกิดความเชื่อมั่นเต็มที่ว่าคัมภีร์ไบเบิลสอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์. ผมสรุปเช่นนั้นได้อย่างไร? ก่อนอื่น ขอให้ผมเล่าความเป็นมาที่ผมได้กลายเป็นนักวิทยาศาสตร์.
โครงการ 19 ปี
ผมเกิดปี 1953 ในเมืองแจ็กสัน รัฐมิสซิสซิปปี สหรัฐอเมริกา เป็นคนที่สามในจำนวนบุตร 11 คน. ครอบครัวของเรายากจน. เราต้องย้ายบ้านจากหลังหนึ่งไปอีกหลังหนึ่งกันบ่อย ๆ เพราะพ่อแม่ไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้. อาหารส่วนใหญ่ที่เรากินได้รับมาจากโครงการอาหารของรัฐ และเสื้อผ้าที่เราใส่ก็เป็นเสื้อผ้าใช้แล้วซึ่งได้จากคนที่แม่ไปทำความสะอาดบ้านและสำนักงานให้.
พ่อแม่ผมเคยเตือนพวกเราบ่อย ๆ ว่า วิธีเดียวที่จะหลุดพ้นจากความยากจนได้คือต้องมีการศึกษาสูง. ด้วยเหตุนี้ ผมตั้งเป้าตั้งแต่เป็นเด็กว่าจะเรียนให้ได้ปริญญา. ผมเริ่มเข้าโรงเรียนเมื่ออายุหกขวบ และเรียนต่อเนื่องไม่ขาดช่วงตลอด 19 ปี. ผมชอบวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ดังนั้น พอผมเข้ามหาวิทยาลัย ผมเริ่มมุ่งมั่นที่จะยึดอาชีพเป็นนักวิทยาศาสตร์.
ระหว่างเรียนในมหาวิทยาลัย ผมได้รู้จักหญิงสาวคนหนึ่งชื่อเดล. ศาสตราจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ได้แนะเธอให้มาพบผมเพื่อให้ผมช่วยสอนวิชาวิทยาศาสตร์ที่เดลกำลังเรียนอยู่. แต่ต่อมาไม่นาน การสนทนาของเรา
ไปไกลกว่าเรื่องวิทยาศาสตร์ และเราชอบพอรักใคร่กัน. เราแต่งงานกันเมื่อวันที่ 10 มกราคม 1974 ระหว่างช่วงพักเรียนสองชั่วโมง! สี่ปีต่อมา คือในปี 1978 ผมก็ได้รับปริญญาเอกสาขาทฤษฎีฟิสิกส์นิวเคลียร์.ผมบรรลุเป้าหมายตามที่ผมคิดว่าเป็นวิถีทางสู่ความสำเร็จ. ผมเป็นถึงนักวิทยาศาสตร์และเป็นนักฟิสิกส์นิวเคลียร์ด้วยซ้ำ! ด้วยปริญญาสาขาทฤษฎีฟิสิกส์นิวเคลียร์ที่ผมเพิ่งได้รับ ผมจะเริ่มเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการศึกษาที่ร่ำเรียนมาเป็นเวลาหลายปี. ผมกระตือรือร้นอยากสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองด้านวิทยาศาสตร์. นอกจากนั้น ตอนนี้ผมสามารถเลือกงานที่มีข้อเสนอหลายอย่าง ทั้งจากภาคเอกชนและสถาบันของรัฐ ซึ่งจะทำให้ผมมีรายได้สูง.
อย่างไรก็ตาม วันที่ 30 ธันวาคม 1978 เพียงไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ผมได้ตัดสินใจทำสิ่งซึ่งในไม่ช้าปรากฏว่ามีผลกระทบต่อชีวิตและอนาคตของผมยิ่งเสียกว่าตอนที่ผมเพิ่งได้รับปริญญาใหม่ ๆ. วันนั้นเป็นวันที่ผมได้แสดงสัญลักษณ์แห่งการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาพระเจ้าโดยรับบัพติสมาในน้ำ และผมจึงได้มาเป็นพยานพระยะโฮวา. เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างไร?
หนังสือที่จุดประกายความสนใจของผม
ช่วงปลายปี 1977 ขณะที่ผมศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์ ในเมืองอัมเฮิสต์ พยานพระยะโฮวาสองคนได้มาเคาะประตูอพาร์ตเมนต์ของผม. ผมไม่อยู่ แต่ภรรยาอยู่บ้านกับลูกชายวัยสามขวบครึ่ง และลูกสาวที่เพิ่งเกิดอีกคนหนึ่ง. เดลได้เชิญพยานฯ สองคนเข้าไปในบ้าน. หลังจากสนทนากันอย่างเพลิดเพลิน ภรรยาผมอนุญาตให้พยานฯ มาเยี่ยมและนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเธอสัปดาห์ละครั้ง.
เมื่อภรรยาบอกเรื่องที่เธอจะศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ผมคัดค้านทันที. ผมไม่ว่าถ้าเธออยากสมทบกับศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่ต้องไม่ใช่พยานพระยะโฮวา! อันที่จริง ผมไม่รู้อะไรมากนักเกี่ยวกับพยานพระยะโฮวา ทว่า ผมมีความคิดอยู่ก่อนแล้วว่าพวกพยานฯ เป็นกลุ่มแปลก ๆ ที่ใช้พระคัมภีร์หลอกลวงผู้คน. ดังนั้น เพื่อช่วยภรรยาให้พ้นจากแรงชักจูงของพวกพยานฯ ผมจึงคิดจะใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์หักล้างคำสอนของเขา.
มีอยู่สัปดาห์หนึ่ง ผมปลีกเวลาจากงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยกลับมาบ้านเพื่อจะอยู่กับภรรยาระหว่างที่เธอศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. แต่ผมมาถึงบ้านช้ากว่าที่ตั้งใจไว้ และผู้หญิงที่นำการศึกษาพระคัมภีร์ก็จวนจะกลับอยู่แล้ว. เธอให้หนังสือผมเล่มหนึ่งชื่อมนุษย์เกิดขึ้นมาโดยวิวัฒนาการหรือการทรงสร้าง? (ภาษาอังกฤษ) * นอกจากนี้ เธอยังบอกภรรยาผมว่าในการศึกษาพระคัมภีร์ตามที่กำหนดไว้สำหรับสัปดาห์หน้าจะพิจารณาคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลที่แสดงให้เห็นว่าปี 1914 เป็นปีสำคัญ. นั่นตรงกับความต้องการของผมพอดี! ผมบอกพยานฯ ว่าคราวหน้าผมจะอยู่บ้านร่วมศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วย. ผมต้องการตรวจสอบความถูกต้องเกี่ยวกับการคำนวณปี 1914 ซึ่งเธอจะนำขึ้นมาพิจารณา.
ในคืนนั้นเองผมเริ่มอ่านหนังสือที่พยานฯ ให้ไว้. พูดตามตรง เนื้อหาในหนังสือนั้นประทับใจผม. แนวการเขียนของหนังสือนี้ถูกต้องตามหลักเหตุผล และมีข้ออ้างอิงมากมายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับเรื่องวิวัฒนาการ. ผมต้องประหลาดใจที่เรียนรู้ว่า คัมภีร์ไบเบิลมีข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำเรื่องการสร้างโลกมากยิ่งกว่าที่ผมเคยรู้มา. ผมตรวจสอบหนังสือเล่มนั้นเสร็จภายในเวลาสองสามวัน และต้องยอมรับว่าจริง ๆ แล้วสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวเกี่ยวกับการสร้างโลกไม่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นที่รู้กันเกี่ยวกับชีวิตบนแผ่นดินโลก.
ตั้งใจสืบค้นเรื่องที่ขัดแย้งกัน
ถึงกระนั้น ผมยังคงสงสัยเกี่ยวกับหลักคำสอนของพยานพระยะโฮวา และผมเฝ้ารอวันที่จะได้ตรวจสอบคำ
พยากรณ์ของคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับปี 1914 โดยทางคณิตศาสตร์. ผมคิดว่า การทำเช่นนี้คงจะสร้างความหวาดหวั่นให้แก่พยานฯ แน่ ๆ และผมหวังจะช่วยภรรยาให้มองเห็นข้อผิดพลาดในหลักข้อเชื่อที่พวกพยานฯ สอน.สัปดาห์ต่อมา พยานฯ คนนั้นกลับมาพร้อมกับชายคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ปกครองในประชาคมท้องถิ่นของพยานพระยะโฮวา. ผู้ปกครองเป็นผู้นำการศึกษาพระคัมภีร์. เขาพิจารณาคำพยากรณ์หลายข้อในพระธรรมดานิเอลบท 4 และบท 9 ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องการปรากฏตัวของพระเยซูฐานะมาซีฮาและกษัตริย์. ผมตั้งใจจะดูว่าการคำนวณผิดพลาดตรงจุดไหนบ้าง แต่กลับไม่พบเลย. ตรงกันข้าม ผมเป็นฝ่ายรู้สึกประทับใจอีกครั้งเพราะข้อมูลที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลนั้นถูกต้องตามหลักเหตุผล.
กระทั่งถึงจุดนี้ ผมก็ยังคิดว่าความเชื่อเรื่องพระเจ้าขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล. แต่ผมเข้าใจผิดถนัด! ผมขอบคุณพยานฯ สำหรับการพิจารณาที่ให้ความรู้ และผมบอกว่าอยากจะร่วมในการศึกษาสัปดาห์ต่อ ๆ ไป. นับแต่นั้น ผมยังคงศึกษาที่มหาวิทยาลัย และศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานฯ พร้อมกับภรรยา. นอกจากนั้น ทั้งภรรยาและตัวผมเริ่มเข้าร่วมประชุมกับพยานพระยะโฮวา ณ หอประชุมราชอาณาจักรอีกด้วย.
เพียงไม่กี่เดือน ผมได้เรียนรู้ความจริงใหม่ ๆ หลายเรื่องจากคัมภีร์ไบเบิล และจากนั้นไม่นาน ผมก็มีคุณสมบัติจะสมทบกับพยานพระยะโฮวาในงานเผยแพร่ตามบ้าน. ผมทำเช่นนี้จนกระทั่งถึงช่วงสุดท้ายของการทำปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัย ซึ่งทำให้ผมต้องใช้เวลามากจริง ๆ. ผมทำวิทยานิพนธ์เสร็จในช่วงฤดูร้อนปี 1978 และย้ายไปที่รัฐแอละแบมา ซึ่งผมได้เริ่มสอนวิชาฟิสิกส์ในมหาวิทยาลัยแอละแบมา เอ. แอนด์ เอ็ม. ในเมืองฮันต์สวิลล์. เรารีบติดต่อพยานฯ ในถิ่นที่อยู่ใหม่ของเราทันที และมีผู้ปกครองคนหนึ่งพร้อมกับภรรยาได้มานำการศึกษาพระคัมภีร์กับเราต่อ. สองสามเดือนถัดไป ผมและภรรยาได้รับบัพติสมาในวันเดียวกัน.
ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์และผู้เผยแพร่
สำหรับผม การเป็นนักวิทยาศาสตร์ปรากฏว่าไปกันได้กับการเป็นพยานของพระยะโฮวา. ในปี 1983 ผมเริ่มงานฐานะนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ที่ศูนย์การบินอวกาศจอร์จ ซี. มาร์แชล ของนาซา (องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ) ที่เมืองฮันต์สวิลล์ด้วย. * ผมทำงานทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติเกี่ยวกับกล้องโทรทรรศน์รังสีเอกซ์. (ในปี 1999 ยานขนส่งอวกาศชื่อโคลัมเบีย สามารถส่งกล้องโทรทรรศน์ที่ชื่อสถานีสังเกตการณ์รังสีเอกซ์จันทราเข้าสู่วงโคจรได้สำเร็จ.) ผมชอบทำงานในโครงการนี้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์รังสีเอกซ์ที่แผ่ออกมาจากดวงดาวและกาแล็กซีต่าง ๆ ด้วยความพยายามจะเข้าใจเอกภพให้ดีขึ้น.
งานของผมทำให้ผมชื่นชมยินดีเป็นทวีคูณ เพราะผมไม่เพียงแต่ทำงานที่น่าสนใจด้านวิทยาศาสตร์ แต่ยังเกิดความหยั่งรู้ค่าอย่างลึกซึ้งในเรื่องอำนาจและสติปัญญาของพระผู้สร้างอีกด้วย. ที่จริง ถ้อยคำของพระยะโฮวาที่ผ่านทางผู้ยะซายา 40:26, ล.ม.) ยิ่งผม “เงยหน้าขึ้น” เพื่อพินิจดูความกว้างใหญ่ไพศาล, ความซับซ้อน, และความงดงามของเอกภพ ผมก็ยิ่งรู้สึกหยั่งรู้ค่าผลงานของผู้ออกแบบที่มีเชาวน์ปัญญาซึ่งได้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวงและตั้งกฎควบคุมสิ่งต่าง ๆ ในเอกภพให้ดำเนินไปอย่างมีระเบียบ.
พยากรณ์ยะซายาในยุคโบราณนั้นมีความหมายต่อผมมากเป็นพิเศษ. พระผู้สร้างตรัสดังนี้: “จงเงยหน้าขึ้นและมองดู. ใครได้สร้างสิ่งเหล่านี้? พระองค์นั่นแหละที่ทรงนำกองทัพของสิ่งเหล่านี้ออกมาตามจำนวน พระองค์ถึงกับทรงเรียกพวกมันทั้งสิ้นตามชื่อ. เนื่องด้วยพลังงานอันล้นเหลือ อีกทั้งพระองค์ทรงมีกำลังแข็งขัน จึงไม่มีสักหนึ่งเดียวในสิ่งเหล่านี้ขาดไป.” (ในช่วงนั้น ผมวุ่นอยู่กับการจัดพิมพ์ข้อมูลข่าวสารใหม่ ๆ ซึ่งจะลงในวารสารทางวิทยาศาสตร์โดยอาศัยงานวิจัยของผมเกี่ยวกับดาราศาสตร์ฟิสิกส์ด้านรังสีเอกซ์. อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังขยันขันแข็งในประชาคมคริสเตียนด้วย. ผมรับใช้ฐานะผู้ปกครองในประชาคมและใช้เวลากว่า 20 ชั่วโมงทุกเดือนเพื่อทำงานเผยแพร่แก่สาธารณชน. ในเวลาเดียวกัน ภรรยาของผมก็เข้าสู่งานให้การศึกษาด้านคัมภีร์ไบเบิลประเภทเต็มเวลา.
หลังจากทำงานที่องค์การนาซาได้ราว ๆ สี่ปี ผมปรารถนาจะอุทิศเวลามากขึ้นในการทำงานอาสาสมัครเพื่อช่วยอีกหลายคนให้มาเรียนความจริงอันเยี่ยมยอดซึ่งพบได้ในคัมภีร์ไบเบิล. ทว่า ผมจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? หลังจากได้หารือกับภรรยา และทูลอธิษฐานต่อพระยะโฮวาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมตระหนักดีว่าผมต้องทำการตัดสินใจที่สำคัญบางอย่าง.
การตัดสินใจครั้งสำคัญ
ผมเข้าพบหัวหน้างานที่ทำงานใกล้ชิดกับผมในองค์การนาซาและบอกเขาว่าผมต้องการเปลี่ยนเวลาทำงานจากสัปดาห์ละห้าวันเป็นสี่วัน. แน่นอน ผมจะยอมรับรายได้ที่ลดลง. ผมชี้แจงแก่หัวหน้าว่าผมต้องการใช้เวลาสามวันนอกนั้นเพื่อทำงานเผยแพร่. หัวหน้างานตอบตกลง แม้ไม่เคยมีการจัดเตรียมเช่นนี้มาก่อนสำหรับนักวิทยาศาสตร์คนใด ๆ ที่ทำงานในองค์การนาซา. อย่างไรก็ตาม เขาบอกผมให้ไปพูดกับหัวหน้าใหญ่ของเขา. ผมเข้าพบหัวหน้าใหญ่และรู้สึกประหลาดใจทั้งยินดีอย่างยิ่งเมื่อหัวหน้าผู้มีตำแหน่งสูงตกลงตามที่ผมขอเช่นกัน. ดังนั้น ในเดือนกันยายน 1987 ผมจึงเริ่มงานประจำชีพฐานะเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลา ผมใช้เวลาในการประกาศตามบ้านและในงานรับใช้ด้านอื่น ๆ เดือนละประมาณ 90 ชั่วโมง.
ต่อมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยแอละแบมา เอ. แอนด์ เอ็ม. ในเมืองฮันต์สวิลล์ได้โทรศัพท์คุยกับผม. เขาเสนอให้ผมเป็นอาจารย์ในภาควิชาฟิสิกส์. ผมตอบว่า ผมจะรับงานนั้นได้ต่อเมื่อผมสามารถใช้เวลาส่วนใหญ่ออกทำงานเผยแพร่. แต่ผมก็รับรองกับเขาว่า กิจกรรมใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานเผยแพร่จะไม่ทำให้คุณภาพการสอนของผมลดลง. อธิการบดีตอบตกลง. เวลานี้ ผมยังสอนที่มหาวิทยาลัยและรับใช้ฐานะเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลาด้วย. ผมถึงกับมีเวลาเรียนภาษาสเปนด้วยซ้ำ. เวลานี้ ผมกับภรรยารับใช้ในประชาคมของพยานพระยะโฮวาที่พูดภาษาสเปนในเมืองฮันต์สวิลล์.
วิทยาศาสตร์กับความเชื่อ
ในช่วงหลายปีที่ผมทำการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ ผมไม่เคยพบข้อขัดแย้งระหว่างข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ *
ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วกับคำสอนของคัมภีร์ไบเบิล. บ่อยครั้ง สิ่งที่ดูเหมือนขัดแย้งกันมักเกิดจากการขาดความรู้ ไม่ว่าด้านการสอนทางวิทยาศาสตร์หรือสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้จริง ๆ. ยกตัวอย่าง นักวิทยาศาสตร์บางคนและคนอื่น ๆ คิดผิดไปว่าคัมภีร์ไบเบิลสอนว่าพืช, สัตว์, และมนุษย์ล้วนเกิดขึ้นมาบนแผ่นดินโลกภายในเวลาหกวันซึ่งแต่ละวันมี 24 ชั่วโมง. เรื่องนี้ย่อมขัดแย้งกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นที่ทราบกัน. แต่คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้สอนเช่นนั้น. คัมภีร์ไบเบิลเปิดเผยว่า “วัน” แห่งการทรงสร้างนั้นนานหลายพันปี.นอกจากนั้น ความสับสนยังเกิดจากความเข้าใจผิดที่ว่า ความเชื่อในพระเจ้าเป็นเพียงประสบการณ์ด้านอารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น. ในทางกลับกัน ความเชื่อในพระเจ้าอาศัยข้อเท็จจริงซึ่งสามารถพิสูจน์ได้. ดังที่คัมภีร์ไบเบิลนิยามไว้ “ความเชื่อคือความคาดหมายที่แน่นอนในสิ่งซึ่งหวังไว้ เป็นการแสดงออกเด่นชัดถึงสิ่งที่เป็นจริง [หรือ “หลักฐานที่เชื่อได้,” เชิงอรรถ] ถึงแม้ไม่ได้เห็นสิ่งนั้นก็ตาม.” (เฮ็บราย 11:1, ล.ม.) ถูกแล้ว ความเชื่อย่อมอาศัยหลักฐาน. คำพยากรณ์หลายร้อยข้อได้สำเร็จสมจริงทั้งในอดีตและในสมัยของเรา. ด้วยเหตุนี้ แม้จะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์ใช้กันเพื่อตั้งทฤษฎีขึ้นมา แต่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าคำพยากรณ์ต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคตย่อมจะสำเร็จเป็นจริง.
หนึ่งในคำพยากรณ์เหล่านั้นได้แก่คำสัญญาที่ว่า เราจะชื่นชมกับสภาพอุทยานบนแผ่นดินโลกได้ในอนาคตอันใกล้นี้. ผลกระทบที่ยังความเสียหายของวัยชรา, ความเจ็บป่วย, ความตาย, สงคราม, และความอยุติธรรมจะไม่มีอีกต่อไป. (วิวรณ์ 21:3, 4) ครั้นแล้วเราก็จะมีเวลาสำรวจและศึกษาอย่างละเอียดเกี่ยวกับสิ่งน่าพิศวงทั้งมวลที่พระยะโฮวาพระเจ้าได้สร้างขึ้น รวมทั้งกฎต่าง ๆ มากมายที่พระองค์ทรงตั้งไว้เพื่อควบคุมเอกภพอันน่าสะพรึงกลัวนี้.
ผมขอบคุณพระยะโฮวาพระเจ้าที่ทรงช่วยผมให้ค้นพบทางที่นำไปสู่ความสุขแท้ นั่นคือความจริงอันน่ามหัศจรรย์ซึ่งพบได้ในคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระองค์. ผมอธิษฐานขอให้คนอื่นอีกหลายคน รวมทั้งนักวิทยาศาสตร์ ได้ค้นพบข้อมูลอันมีค่ายิ่งนี้.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 14 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา แต่ตอนนี้งดพิมพ์แล้ว.
^ วรรค 22 นาซาคือองค์กรของรัฐบาลสหรัฐซึ่งปฏิบัติงานโดยไม่ขึ้นกับหน่วยงานอื่นของรัฐบาล.
^ วรรค 30 โปรดดูบท 6 เรื่อง “บันทึกเก่าแก่เรื่องการทรงสร้าง—คุณไว้ใจได้ไหม?” ในหนังสือพระผู้สร้างผู้ใฝ่พระทัยในตัวคุณมีไหม? จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
[คำโปรยหน้า 14]
ผมเคยคิดว่าความเชื่อเรื่องพระเจ้าขึ้นอยู่กับอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล
[คำโปรยหน้า 16]
ผมไม่เคยพบข้อขัดแย้งระหว่างข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วกับคำสอนของคัมภีร์ไบเบิล
[ภาพหน้า 15]
ผมเลี้ยงดูครอบครัวด้วยการสอนซึ่งไม่ต้องทำทุกวัน
[ภาพหน้า 17]
สถานีสังเกตการณ์รังสีเอกซ์จันทราของนาซาในวงโคจรและภาพรังสีเอกซ์ของหลุมดำในระบบดาวคู่
[ที่มาของภาพหน้า 17]
NASA Photo
NASA/CfA/J. McClintock et al.
[ภาพหน้า 17]
ผมกับภรรยาเพลิดเพลินในงานรับใช้เต็มเวลา