“ติดเชื้อครั้งเดียวแต่ป่วยถึงสองครั้ง”
“ติดเชื้อครั้งเดียวแต่ป่วยถึงสองครั้ง”
เล่าโดยแจ็ก เมนส์มา
เนื่องจากวัคซีนที่มีประสิทธิภาพและโครงการสร้างภูมิคุ้มกันโรคที่เอาจริงเอาจัง วงการวิทยาศาสตร์จึงก้าวหน้าอย่างมากในความพยายามที่จะกำจัดโปลิโอ โรคที่ทำให้พิการซึ่งเกิดกับเด็ก. อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะฟื้นตัวจากโรคโปลิโอเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว ผู้ที่ฟื้นตัวบางรายพบว่า พวกเขากลับมาเป็นโรคนั้นอีก โดยเผชิญกับสิ่งที่เรียกกันว่า กลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอ (พีพีเอส).
คุณอาจไม่เคยได้ยินชื่อกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอมาก่อน. ผมก็ไม่เคยได้ยินเช่นกัน จนกระทั่งผมเจอกับตัวเอง. แต่เพื่อจะเข้าใจว่ากลุ่มอาการเหล่านี้มีผลกระทบต่อผมอย่างไร ขอให้ผมเล่าย้อนไปถึงวันหนึ่งในปี 1941 เมื่อผมอายุประมาณหนึ่งขวบ.
แม่สังเกตเห็นผมฟุบอยู่กับเก้าอี้เด็ก. แม่รีบพาผมไปหาหมอ. หลังจากตรวจร่างกายแล้ว หมอบอกแม่ว่า “ลูกของคุณเป็นโรคโปลิโอ.” ไม่นาน ผมก็เป็นอัมพาตตั้งแต่เอวลงไป.
หลังจากอยู่ในรายชื่อผู้ป่วยที่รอการรักษานานถึงหกเดือน ผมก็ถูกรับตัวเข้าโรงพยาบาล. หลายปีหลังจากนั้นผมป่วยซ้ำหลายครั้ง. โดยการทำกายภาพบำบัดอย่างจริงจัง ผมค่อย ๆ ฟื้นตัวจนสามารถใช้ขาของตัวเองได้. เมื่ออายุ 14 ปี ผมเดินได้อีกครั้ง. แต่ปัญหาอื่น ๆ ก็ยังมีอยู่ อย่างเช่น การกลั้นปัสสาวะไม่อยู่. ตลอดหลายปีที่ผ่านไป ผมต้องวนเวียนอยู่กับการผ่าตัดหลายครั้งหลายหน, การถูกจำกัดให้นั่งอยู่แต่ในเก้าอี้ล้อ, และการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย. กระนั้น เท้าซ้ายของผมต้องใส่รองเท้าที่มีขนาดเล็กกว่าข้างขวาสามเบอร์ และขาซ้ายก็สั้นกว่าขาขวาหนึ่งนิ้ว. กระทั่งผมอายุย่าง 20 ปี ผมจึงเอาชนะปัญหาที่น่าอับอายเรื่องการ
กลั้นปัสสาวะไม่อยู่. ในที่สุด ผมหายขาดจากโรคโปลิโอ—หรืออย่างน้อยผมก็คิดอย่างนั้น!ต่อมา เมื่ออายุ 45 ปี ผมเริ่มรู้สึกปวดขา ตามด้วยความรู้สึกอ่อนเพลีย. นอกจากนี้ กล้ามเนื้อขาก็ยังกระตุกเองในตอนกลางคืน ทำให้ผมแทบจะนอนไม่ได้. อาการเหล่านี้ไม่ทุเลาลงเลย มีแต่จะหนักขึ้นด้วยซ้ำ. คุณคงนึกออกว่า ผมจะประหลาดใจสักเพียงไรเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่า ผมเกิดภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอ—เป็นเวลา 44 ปีหลังจากที่แม่สังเกตเห็นอาการป่วยครั้งแรกของผม.
โปลิโอคืออะไร?
โปลิโอเป็นโรคติดเชื้ออย่างรุนแรงซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัสที่เข้าสู่ร่างกายทางปากและแบ่งตัวในลำไส้. หลังจากบุกรุกระบบประสาทแล้ว เชื้อไวรัสนี้จะทำให้เป็นอัมพาตอย่างรวดเร็ว. เมื่อไวรัสลุกลามไปที่สมองและลามต่อไปยังไขสันหลัง จะทำให้เกิดอาการขั้นต้นคือ มีไข้, อ่อนเพลีย, ปวดศีรษะ, คลื่นไส้อาเจียน, คอแข็ง, และปวดเมื่อยตามแขนขา. เส้นประสาทหลายเส้นหยุดทำงาน ยังผลให้กล้ามเนื้อบางส่วนของแขน, ขา, และหน้าอกเป็นอัมพาต.
แต่พลังในการฟื้นตัวของร่างกายเป็นเรื่องที่น่าทึ่ง. เส้นประสาทที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสจะงอก “แขนง” เส้นใหม่ ๆ ออกมา ราวกับมีการติดตั้งสายโทรศัพท์พิเศษเพื่อเชื่อมต่อกับเซลล์กล้ามเนื้อที่ก่อนหน้านี้สูญเสียเส้นประสาทไป. เซลล์ประสาทสั่งงานหนึ่งเซลล์ในไขสันหลังอาจมีแอกซอนงอกออกมาหลายเส้น ทำให้มีการเชื่อมต่อกับเซลล์กล้ามเนื้อได้มากกว่าเดิม จึงเป็นการเพิ่มขีดความสามารถให้เซลล์ประสาท. ก่อนหน้านี้ เซลล์ประสาทสั่งงานเคยกระตุ้นเซลล์กล้ามเนื้อ 1,000 เซลล์ ในที่สุดเซลล์นี้อาจกลับมาเชื่อมต่อกับเซลล์กล้ามเนื้อได้ราว ๆ 5,000 ถึง 10,000 เซลล์. เห็นได้ชัดว่า กรณีของผมก็เป็นอย่างนี้ด้วย ดังนั้น ผมจึงเดินได้อีกครั้ง.
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้มีการคิดกันว่า หลังจากช่วงเวลา 15 ถึง 40 ปี หน่วยเซลล์ประสาท-กล้ามเนื้อเหล่านี้อาจเริ่มแสดงสัญญาณของการหมดสภาพเนื่องจากทำงานหนักเกินไป. กลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอหรือพีพีเอสคือ ภาวะที่อาการต่าง ๆ ของโรคปรากฏขึ้นอีกครั้งในรายที่เคยฟื้นตัวจากโรคโปลิโอเมื่อหลายสิบปีก่อน. ผู้ป่วยหลายรายมีอาการกล้ามเนื้อไม่มีแรง, อ่อนเพลีย, ปวดตามข้อต่อและกล้ามเนื้อ, ทนต่ออากาศเย็นไม่ได้, และมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ. แม้ว่าอาจเป็นเรื่องยากที่จะหาตัวเลขที่แน่นอน แต่องค์การอนามัยโลกได้กะประมาณว่า ทั่วโลกมีผู้ที่ฟื้นตัวจากการเป็นโรคโปลิโอถึง 20 ล้านคน. หลักฐานเมื่อเร็ว ๆ นี้บ่งชี้ว่า ในจำนวนนี้มี 25 ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ที่ได้รับผลกระทบจากกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอ.
จะช่วยอะไรได้บ้าง?
นักวิจัยแนะว่า บางทีเซลล์ประสาทสั่งงานที่อายุมากขึ้นและทำงานหนักเกินไปเริ่มหมดกำลัง เซลล์ประสาทเหล่านี้บางเซลล์จึงหมดสภาพ ทำให้เส้นใยกล้ามเนื้อจำนวนมากไม่ได้รับการกระตุ้นอีกครั้ง. เพื่อชะลอกระบวนการนี้ให้ช้าลง ผู้ที่ฟื้นตัวจากการเป็นโรคโปลิโอจำเป็นต้องลดการใช้กล้ามเนื้อส่วนที่เป็นโปลิโอ. นักบำบัดบางคนแนะนำให้ใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น ไม้เท้า, ไม้ค้ำยัน, เก้าอี้ล้อ, และรถสกูตเตอร์. ในกรณีของผม ผมจำเป็นต้องใส่อุปกรณ์เสริมขาและเท้า (หรือที่เรียกว่าเบรซ). นอกจากนี้ ผมยังมีรองเท้าที่สั่งทำพิเศษเพื่อพยุงข้อเท้าและช่วยป้องกันไม่ให้หกล้ม.
อาจจำเป็นต้องมีการออกกำลังกายแบบพอเหมาะและการยืดกล้ามเนื้อด้วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับสภาพของผู้ป่วย. การว่ายน้ำหรือการบำบัดในสระน้ำอุ่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อช่วยให้ระบบหัวใจและหลอดเลือดทำงานได้ดียิ่งขึ้นโดยไม่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง. นับว่าสำคัญที่ผู้ป่วยจะต้องให้ความร่วมมือกับแพทย์หรือนักบำบัดตามตารางการออกกำลังกาย.
สำหรับผู้ที่ฟื้นตัวจากการเป็นโรคโปลิโอ การใช้เซลล์ประสาทอยู่ตลอดเวลาทำให้เส้นใยกล้ามเนื้อบางส่วนทำงานได้ไม่เต็มที่. ดังนั้น กำลังวังชาของผู้ป่วยอาจลดลงหรือถึงกับอ่อนเปลี้ยด้วยซ้ำ. นอกจากนี้ การหมดเรี่ยวแรงอาจเกิดจากความเครียดซึ่งเป็นผลมาจากการมีอาการปวดอยู่ตลอดเวลาหรือการที่ต้องรับมือกับความพิการที่กลับมาอีกครั้ง. ผมรู้สึกว่า การพักผ่อนในช่วงกลางวันช่วยให้ผมหายเพลีย. แพทย์หลายคนเตือนคนไข้ให้ค่อย ๆ ทำกิจกรรมของตนเป็นวัน ๆ ไป แทนที่จะทำอย่างหักโหมจนหมดแรง.
ในกรณีของผม การปวดตามข้อต่อและกล้ามเนื้ออยู่เสมอเป็นหนึ่งในปัญหาที่ยากที่สุดที่ผมต้องรับมือ. บางคนอาจปวดกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนที่ต้องออกแรงระหว่างที่ทำกิจกรรมประจำวัน. ส่วนคนอื่น ๆ อาจมีอาการปวดกล้ามเนื้อทั้งตัวคล้ายกับคนที่เป็นไข้หวัดใหญ่ พร้อมกับรู้สึกหมดแรง.
อาการปวดอาจบรรเทาลงเมื่อใช้ยาแก้อักเสบหรือยาชนิดอื่น. แต่ถึงแม้จะใช้ยา หลายคนที่ฟื้นตัวจากการเป็นโรคโปลิโอต้องทนทุกข์กับอาการปวดเรื้อรังที่ทำให้ทุพพลภาพ. การทำกายภาพบำบัดร่วมกับการใช้ความร้อนและการยืดกล้ามเนื้ออาจช่วยได้. ผู้ป่วยคนหนึ่งซึ่งต้องเลิกอาชีพวิสัญญีแพทย์บอกผมว่า “ดิฉันสามารถลุกจากเก้าอี้ล้อและตะเกียกตะกายเดินไปอีกฝั่งหนึ่งของห้องได้ แต่มันเจ็บปวดมากซึ่งไม่คุ้มกัน
เลย.” ตอนนี้ แม้ว่าการรับประทานยาช่วยได้ แต่ก็มีหลายครั้งที่ผมต้องใช้เก้าอี้ล้อ.ร่างกายของผู้ที่ฟื้นตัวจากการเป็นโรคโปลิโอบางคนสูญเสียความสามารถในการโยกย้ายเลือดจากผิวหนัง ซึ่งตามปกติแล้วร่างกายจะทำเพื่อสงวนความร้อนไว้ในเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ. เมื่อร่างกายไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แขนขาข้างที่เป็นโปลิโอก็จะสูญเสียความร้อนมากขึ้นและทำให้แขนขาข้างนั้นเย็นลง. เมื่อกล้ามเนื้อเย็น การสื่อสารที่เซลล์ประสาทสั่งงานส่งไปยังกล้ามเนื้อก็จะไม่ดีพอ และกล้ามเนื้อจะทำงานไม่เต็มที่. ด้วยเหตุนี้ นับว่าสำคัญที่จะทำให้กล้ามเนื้อส่วนที่เป็นโปลิโออบอุ่นอยู่เสมอโดยการสวมเสื้อผ้าเพิ่มขึ้น. บางคนใช้ผ้าห่มไฟฟ้าหรือกระเป๋าน้ำร้อนในคืนที่อากาศเย็น. การหลีกเลี่ยงที่จะสัมผัสกับอากาศหนาวก็ช่วยได้. ผมรู้สึกว่าจำเป็นต้องย้ายไปอยู่ในเขตที่มีอากาศอุ่นกว่า.
ปัญหาเกี่ยวกับการหายใจถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคโปลิโอชนิดที่เป็นกับก้านสมองและระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งเป็นโปลิโอรูปแบบหนึ่งที่มีผลต่อไขสันหลังตรงช่วงต้นคอ และจึงทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจอ่อนแอลง. สมัยก่อน โปลิโอชนิดนี้ทำให้หลายคนต้องอยู่ในปอดเหล็ก. ทุกวันนี้ อาจมีการใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อช่วยคนที่มีกล้ามเนื้อปอดไม่แข็งแรง. ในกรณีของผม ผมจะหายใจลำบากมากตอนที่ผมออกแรง. ดังนั้น ผมจึงใช้อุปกรณ์เล็ก ๆ เพื่อบริหารกล้ามเนื้อปอดทุกวัน.
ผู้ที่ฟื้นตัวจำเป็นต้องระวังปัญหาอย่างอื่นที่อาจเกิดขึ้น. ไม่แนะนำให้พวกเขารับการผ่าตัดแล้วกลับบ้านในวันเดียวกัน. ดร. ริชาร์ด แอล. บรูโน จากสถาบันฟื้นฟูสมรรถภาพเคสเลอร์ กล่าวว่า “ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม ไม่ควรอนุญาตให้ผู้ที่ฟื้นตัวจากการเป็นโรคโปลิโอกลับบ้านในวันที่เขาผ่าตัด เว้นแต่จะมีการทำขั้นตอนที่ง่ายที่สุดซึ่งก็คือการให้ยาชาเฉพาะที่เท่านั้น.” เขากล่าวเสริมว่า ผู้ที่ฟื้นตัวจากการเป็นโรคโปลิโอต้องใช้เวลานานเป็นสองเท่าเพื่อจะฟื้นตัวจากยาสลบใด ๆ ก็ตาม และอาจจำเป็นต้องให้ยาแก้ปวดเพิ่มด้วย. ตามปกติแล้ว พวกเขาอาจอยู่ในโรงพยาบาลนานกว่าผู้ป่วยโรคอื่น ๆ. หากผมรู้เรื่องนี้ก่อน ผมอาจจะไม่ต้อง
เป็นโรคปอดบวมหลังการผ่าตัดเล็กเมื่อเร็ว ๆ นี้ก็ได้. นับว่าสุขุมที่จะปรึกษาปัญหาเหล่านี้กับศัลยแพทย์และวิสัญญีแพทย์ก่อนที่จะทำการผ่าตัด.ชีวิตของผมในปัจจุบัน
เมื่อผมเดินได้ตอนอายุ 14 ปี ผมคิดว่าปัญหาส่วนใหญ่หมดไปแล้ว. อย่างไรก็ตาม หลังจากหลายปีผ่านไป ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังประสบกับปัญหาเดิม ๆ ทั้งหมดอีกครั้ง. สำหรับผู้ที่ฟื้นตัวจากการเป็นโรคโปลิโออย่างผมซึ่งต่อมาก็เกิดภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโออีก มีสภาพเหมือนกับที่ผู้เขียนคนหนึ่งกล่าวว่า “ติดเชื้อครั้งเดียว แต่ป่วยถึงสองครั้ง.” แน่นอนว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่จะท้อใจในบางครั้ง. แต่กระนั้น ผมยังคงไปไหนมาไหนและดูแลตัวเองได้. ผมพบว่ายาที่ดีที่สุดสำหรับผมก็คือการมีทัศนะในแง่บวก, การปรับตัวให้เข้ากับสภาพการณ์ที่เปลี่ยนไปเมื่ออาการกำเริบ, และการหยั่งรู้ค่าในสิ่งที่ผมยังทำได้.
ตัวอย่างเช่น เมื่อผมเริ่มทำงานเผยแพร่ของคริสเตียนแบบเต็มเวลาเมื่อประมาณสิบปีมาแล้ว ผมไปไหนมาไหนง่ายกว่าตอนนี้. ผมเดินได้ไกลพอสมควรก่อนที่จะเหนื่อยหรือปวดมาก. แต่ตอนนี้ ผมเดินได้แค่ใกล้ ๆ. เพื่อเป็นการออมแรง ผมจะพยายามไม่ขึ้นบันไดและไม่เดินขึ้นเนินเขา. ผมจะใช้เก้าอี้ล้อเมื่อมีโอกาสทำได้. โดยการปรับงานรับใช้ในหลากหลายวิธี ผมรู้สึกมีความสุขมากและถึงกับเป็นประโยชน์ต่อร่างกายด้วยซ้ำ.
ถูกแล้ว กลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอมีผลกระทบต่อชีวิตของผม. เป็นไปได้ว่าสุขภาพของผมจะแย่ลง. แต่ผมก็พบคำปลอบโยนอันล้ำเลิศในคำสัญญาของคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับโลกใหม่ ที่ซึ่งทุกคนจะกลับเป็นหนุ่มอีกครั้งพร้อมกับมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์. ตลอดระยะเวลาหลายปี ผมมักจะคิดถึงถ้อยคำที่หนุนกำลังใจจากยะซายา 41:10 ที่ว่า “อย่ากลัวเลย, ด้วยว่าเราอยู่กับเจ้า. อย่าท้อใจ, เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า. เราจะหนุนกำลังเจ้า. เออ, เราจะช่วยเจ้า.” ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า ผมตั้งใจแน่วแน่ที่จะอดทนต่อไปจนกว่าภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอจะเป็นเพียงอดีต.
[กรอบหน้า 20]
‘เป็นไปได้ไหมว่าฉันเกิดภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอ?’
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ถือว่าต้องมีสิ่งต่อไปนี้มากกว่าหนึ่งอย่างเพื่อจะวินิจฉัยว่าเกิดภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอ:
▪ มีการวินิจฉัยอย่างแน่นอนว่าเมื่อก่อนเคยเป็นโรคโปลิโอ
▪ มีช่วงเวลาที่ร่างกายฟื้นตัวบางส่วนหรือทั้งหมด ตามด้วยช่วงที่ระบบประสาททำงานได้อย่างสม่ำเสมอ (อย่างน้อย 15 ปี)
▪ มีอาการบางอย่างแบบค่อย ๆ เกิดขึ้นหรือเป็นอย่างกะทันหัน เช่น กล้ามเนื้อไม่มีแรง, รู้สึกอ่อนเพลีย, กล้ามเนื้อลีบ, หรือปวดตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
▪ อาจมีปัญหาเรื่องการหายใจหรือการกลืนอาหาร
▪ มีอาการเรื้อรังอย่างน้อยหนึ่งปี
▪ ไม่มีปัญหาอื่น ๆ ทางระบบประสาท, ทางสุขภาพ, หรือเรื่องกระดูก
ใช่ว่าทุกคนที่ฟื้นตัวจากการเป็นโรคโปลิโอจะต้องป่วยด้วยภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอ แต่เมื่อพวกเขาอายุมากขึ้น ก็อาจเป็นเรื่องปกติที่หน่วยเซลล์ประสาท-กล้ามเนื้อจะมีอาการล้าและเสื่อมลงก่อนเวลาเนื่องจากถูกใช้งานหนักเกินไป. ยิ่งกว่านั้น กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่ฟื้นตัวจากการเป็นโรคโปลิโอที่ไปพบแพทย์ด้วยอาการใหม่ ๆ นั้นไม่ได้เกิดภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอ. ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งกล่าวว่า “หกสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ฟื้นตัวที่มีอาการใหม่ ๆ นั้น มีปัญหาทางสุขภาพหรือทางระบบประสาทซึ่งไม่เกี่ยวกับโปลิโอ และปัญหานั้นอาจรักษาได้. ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่เหลือกำลังมีปัญหาเรื่องกระดูกเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับอาการที่ยังหลงเหลืออยู่ของโปลิโอ.”
[กรอบหน้า 21]
มีวิธีรักษาไหม?
เนื่องจากไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด และด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีผลการทดสอบที่แน่นอนจากห้องปฏิบัติการ ตอนนี้จึงยังไม่มีวิธีรักษาภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอ (พีพีเอส) จริง ๆ. อย่างไรก็ตาม มีวิธีปฏิบัติที่มุ่งเน้นไปยังแนวทางการฟื้นฟูสภาพสามแง่มุม. ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งกล่าวว่า “ผู้ที่ป่วยด้วยภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอมากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์จะได้รับประโยชน์จากเทคนิคการฟื้นฟูดังกล่าว.”
สามแนวทางนั้นคือ:
1. การปรับเปลี่ยนรูปแบบชีวิต
▪ การออมแรง
▪ การใช้อุปกรณ์ช่วย
▪ การออกกำลังกายแบบที่ไม่ทำให้เหนื่อยล้า
▪ การทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ
2. ยาและอาหารเสริม
แม้ว่ามีการทดลองใช้ยาหลายขนาน ไม่ว่าจะเป็นยาตามที่แพทย์สั่งหรืออาหารเสริมที่สกัดจากธรรมชาติ ก็ปรากฏว่าไม่ได้ช่วยอะไร. มีรายงานจากประสบการณ์ของหลายคนบอกว่าอาการดีขึ้น แต่ก็ต้องมีการศึกษาค้นคว้ากันต่อไป. จำไว้ว่า สมุนไพรอาจมีผลต่อยาที่แพทย์สั่ง ดังนั้น จงแจ้งให้แพทย์ทราบว่าคุณคิดจะรับประทานอะไร.
3. คุณภาพชีวิต
“ยาที่ได้ผลที่สุดซึ่งแพทย์อาจให้แก่ผู้ที่ป่วยด้วยภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอคือการให้ความรู้และการหนุนกำลังใจ. . . . ผู้ป่วยที่สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบชีวิตได้มากกว่า (คือผู้ที่มีทักษะในการแก้ปัญหาดีกว่า, ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้มากกว่า, ได้รับข้อมูลและการสนับสนุนจากคนอื่น ๆ มากกว่า, และพร้อมที่จะใช้ประโยชน์จากเครื่องช่วยต่าง ๆ) จะปรับการดำเนินชีวิตประจำวันของตนได้ดีกว่า.”—ดร. ซูซาน เพิร์ลแมน.
[กรอบหน้า 22]
การออกกำลังกายล่ะ?
สมัยก่อน มีการสนับสนุนให้ผู้ที่ฟื้นตัวจากการเป็นโรคโปลิโอออกกำลังกาย “จนกว่าจะรู้สึกเจ็บ.” ต่อมาในทศวรรษ 1980 มีการเตือนเกี่ยวกับอันตรายของการออกกำลังกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับ “การผลาญ” เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่ใช้การได้จนหมดเกลี้ยง.
ปัจจุบันนี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำทางสายกลางระหว่างคำแนะนำทั้งสองที่ต่างกันแบบสุดขั้ว. ตอนนี้พวกเขาแนะนำว่า ‘อย่าหักโหมเกินไป แต่ระวังอย่านั่ง ๆ นอน ๆ.’ ศูนย์การออกกำลังกายและทุพพลภาพแห่งชาติกล่าวว่า “จากความรู้ใหม่ ไม่ว่าความทุพพลภาพของเราจะอยู่ในระดับใด เราควรได้รับการกระตุ้นให้เห็นคุณค่าของการออกกำลังกาย โดยมีความกล้าพอที่จะคิดแผนการออกกำลังกายที่เหมาะกับความจำเป็นของเรา และทำนานพอที่จะเกิดประโยชน์.”
สรุปแล้ว แผนการออกกำลังกายของแต่ละคนควร:
▪ ทำโดยอาศัยความช่วยเหลือจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดที่มีความรู้
▪ เริ่มทำช้า ๆ หรือด้วยความเร็วพอประมาณ และค่อย ๆ ทำเร็วขึ้นทีละน้อย
▪ มีการอบอุ่นร่างกายก่อนและเมื่อออกกำลังกายเสร็จต้องผ่อนร่างกายให้เย็นลง
▪ เน้นการยืดแขนยืดขาและการออกกำลังกายแบบแอโรบิกทั่วไป
▪ มีการออกกำลังกายในสระน้ำอุ่น หากเป็นไปได้
ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งกล่าวไว้ในจดหมายข่าวของจอนส์ ฮอปกินส์ ดังนี้ “หากรู้สึกเหนื่อยล้าและเจ็บปวดนานกว่าหนึ่งชั่วโมง นั่นบ่งชี้ว่ากล้ามเนื้อถูกใช้งานหนักเกินไป.” ดังนั้น จงฟังร่างกายของคุณ และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายจนรู้สึกปวด, อ่อนเพลีย, และหมดแรง.
[กรอบหน้า 23]
อะไรคือปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสเป็นโรคนี้?
แม้ว่าทุกกรณีจะแตกต่างกัน แต่ปัจจัยดังต่อไปนี้อาจทำให้ผู้ที่ฟื้นตัวจากการเป็นโรคโปลิโอมีโอกาสมากขึ้นที่จะเกิดภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอ:
▪ ขนาดความรุนแรงของการติดเชื้อโปลิโอในตอนแรก. กล่าวโดยทั่วไป หากการติดเชื้อโปลิโอในตอนแรกยิ่งรุนแรงเท่าไร โอกาสที่จะเกิดภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น
▪ อายุตอนที่เริ่มติดเชื้อครั้งแรก. ที่จริง คนที่เป็นโรคโปลิโอตอนอายุน้อยกว่าไม่ค่อยเกิดภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอ
▪ การฟื้นตัว. น่าประหลาดที่ว่า หากตอนแรกฟื้นตัวได้เต็มที่มากเท่าไร โอกาสที่จะเกิดภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอในที่สุดก็จะมากขึ้นเท่านั้น
▪ การออกกำลังกาย. หากผู้ที่ฟื้นตัวจากการเป็นโรคโปลิโอมีนิสัยชอบออกกำลังกายจนหมดแรงเป็นเวลาหลายปี นี่อาจทำให้โอกาสที่จะเกิดภาวะกลุ่มอาการหลังเป็นโรคโปลิโอมีเพิ่มขึ้น
[ภาพหน้า 19]
พยาบาลกำลังช่วยผมให้ฟื้นตัวจากการผ่าตัด ตอนที่ผมอายุ 11 ปี
[ภาพหน้า 23]
ปัจจุบัน ขณะทำงานรับใช้ของคริสเตียนแบบเต็มเวลากับภรรยาของผม