เพื่อนดีเพื่อนเลว
เพื่อนดีเพื่อนเลว
หญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเราจะเรียกชื่อเธอว่า ซาราห์ กำลังระบายความทุกข์ในใจของเธอ. ผู้ชายที่เธอเคยคิดว่าเป็นเพื่อนปรากฏว่าเป็นฆาตกร. ซาราห์ถามว่า ‘ถ้าคนที่ฉันไว้ใจทำอะไรอย่างนั้นได้ แล้วฉันจะไว้ใจใครได้อีกล่ะ?’ คนที่ฟังเธออยู่นั้นได้ถามซาราห์ว่า เธอรู้ไหมว่าผู้ชายคนนี้มีค่านิยมอย่างไร. เธอถามกลับว่า “คุณหมายความว่าอะไร?” ซาราห์ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “ค่านิยม” หมายถึงอะไร. แล้วคุณล่ะ? คุณรู้ไหมว่าเพื่อนของคุณมีค่านิยมอย่างไร?
คำตอบนั้นอาจเป็นเรื่องของความเป็นความตายจริง ๆ ดังที่เราเห็นจากกรณีของซาราห์. สุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลข้อหนึ่งกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “จงดำเนินกับคนมีปัญญา; แต่การคบค้ากับคนโฉดเขลาจะได้รับความเจ็บแสบ.” (สุภาษิต 13:20) แต่หลายคนเป็นเหมือนซาราห์ คือเลือกคบเพื่อนโดยดูแค่ว่า “เข้ากันได้” หรือถูกคอกันไหมเท่านั้น. เป็นเรื่องธรรมดาที่เราชอบอยู่กับคนที่ทำให้เราสบายใจ. แต่ถ้าเราเลือกคบเพื่อนโดยดูแต่เรื่องนี้อย่างเดียว และไม่ค่อยดูว่า ลึก ๆ แล้วคนนั้นเป็นคนอย่างไร เราอาจจะต้องผิดหวังอย่างมากก็ได้. คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคนนั้นมีค่านิยมที่ดี?
จำเป็นต้องมีค่านิยมสูงทางศีลธรรม
แรกทีเดียว ตัวเราเองต้องมีค่านิยมที่ดีก่อน. เราต้องรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรดีอะไรชั่ว และยึดมั่นกับมาตรฐานสูงทางศีลธรรมตลอดเวลา. สุภาษิตอีกข้อหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “เหล็กลับเหล็กให้คมได้ฉันใด, คนเราก็ลับเพื่อนของเราให้เฉียบแหลมขึ้นได้ฉันนั้น.” (สุภาษิต 27:17) ถ้าสองคนที่เป็นเพื่อนกันต่างก็มีค่านิยมทางศีลธรรมที่แข็งแกร่งปานเหล็ก ทั้งสองจะสามารถช่วยกันและกันให้มีความอาวุโสมากขึ้น และพวกเขาก็จะเป็นเพื่อนที่ผูกพันกันเหนียวแน่นยิ่งขึ้น.
ปาโกมซึ่งอยู่ที่ฝรั่งเศสกล่าวว่า “สำหรับดิฉัน เพื่อนแท้คือคนที่รับฟังและพูดกับดิฉันอย่างนุ่มนวล แต่ถ้าดิฉันทำอะไรโง่ ๆ เขาก็จะตักเตือนดิฉันได้.” ใช่แล้ว เพื่อนที่ดีที่สุดของเรา ไม่ว่าเขาจะอายุน้อยหรืออายุมาก ก็คือคนที่พาเราไปในทางที่ถูกและคอยตักเตือนแก้ไขเราเมื่อเรากำลังจะทำอะไรที่ไม่ฉลาด. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “บาดแผลที่เพื่อนเขาทำแก่เรานั้นเป็นการสุจริต.” (สุภาษิต 27:6) เพื่อเราจะเข้มแข็งมากขึ้นทางศีลธรรมและฝ่ายวิญญาณ เราต้องคบหากับคนที่รักพระเจ้าและรักหลักการของพระองค์. เซลีนซึ่งอยู่ที่ฝรั่งเศสกล่าวว่า “เมื่อไม่มีใครเลยในโรงเรียนของหนูที่มีค่านิยมและความเชื่อแบบคริสเตียนเหมือนกับหนู หนูได้เห็นว่าที่จะมีเพื่อนแท้ในประชาคมคริสเตียนนั้นสำคัญจริง ๆ. เพื่อนเหล่านี้ช่วยหนูให้มีทัศนะที่เหมาะสมได้มากจริง ๆ.”
ประเมินค่าคนที่จะมาเป็นเพื่อน
ถ้าคุณพบใครสักคนที่คุณอยากเป็นเพื่อนกับเขา คุณอาจต้องถามตัวเองว่า ‘เพื่อนของเขาคือใคร?’ เรารู้อะไรได้หลายอย่างเกี่ยวกับตัวเขาถ้าเราดูว่าเขาคบสนิทกับคนชนิดไหน. อีกเรื่องหนึ่งคือ คนที่เป็นผู้ใหญ่และผู้ที่น่าเคารพนับถือในชุมชนมองคนนั้นอย่างไร? นอกจากนั้น นับว่าเป็นเรื่องสุขุมที่จะไม่เพียงแต่ดูว่าคนที่เราจะคบเป็นเพื่อนนั้นปฏิบัติต่อเราอย่างไร แต่ดูว่าเขาปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างไรด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อคนที่พวกเขาจะไม่ได้รับผลประโยชน์ส่วนตัวใด ๆ. ถ้าคนนั้นไม่ได้แสดงคุณลักษณะที่ดี—เช่น ความซื่อสัตย์, ความภักดี, ความอดทน, และการคำนึงถึงคนอื่น—ตลอดเวลาและกับทุกคนแล้ว จะมีอะไรรับประกันว่าเขาจะปฏิบัติกับคุณอย่างดีเสมอ?
การรู้จักตัวตนที่แท้จริงของใครสักคนจำเป็นต้องใช้ความอดทนและทักษะ อีกทั้งต้องใช้เวลาเพื่อสังเกตคนคนนั้นในชีวิตจริง ๆ. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ความมุ่งหมายในใจคนลึกเหมือนน้ำลึก; แต่คนที่มีความเข้าใจจะยกขึ้นมาได้.” (สุภาษิต 20:5) เราต้องคุยกับคนที่จะมาเป็นเพื่อนของเราในเรื่องที่จริงจัง เรื่องที่เผยให้เห็นบุคลิกภาพที่แท้จริง, แรงจูงใจ, และที่สำคัญคือ ค่านิยมของเขา. นิสัยเขาเป็นอย่างไร? เขาเป็นคนใจดีหรือเย็นชา? ปกติแล้วเขามอง โลกในแง่ดีและร่าเริง หรือมองโลกในแง่ร้ายและชอบสงสัยเจตนาของคนอื่น? เขาเป็นคนที่พร้อมจะเสียสละหรือเห็นแก่ตัว? ไว้ใจได้หรือคิดไม่ซื่อ? ถ้าคนนั้นนินทาคนอื่นให้คุณฟัง เขาก็คงจะนินทาคุณให้คนอื่นฟังด้วย. พระเยซูตรัสว่า “ด้วยว่าใจเต็มบริบูรณ์ด้วยอะไรปากก็พูดอย่างนั้น.” (มัดธาย 12:34) ดังนั้นเมื่อเขาพูดอะไร เราควรตั้งใจฟัง.
สิ่งสำคัญที่สุดที่น่าจะมีเหมือนกัน
บางคนคิดว่าเพื่อนของเขาต้องชอบอะไรเหมือนกับเขาทุกอย่าง. เด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งยืนยันว่า เขาไม่มีทางเป็นเพื่อนกับคนที่ไม่ชอบกินเค้กชนิดเดียวกับเขา. เป็นเรื่องจริงที่ว่า คนที่เป็นเพื่อนกันต้องมีนิสัยใจคอคล้าย ๆ กันเพื่อจะเข้าใจกันได้ และจะดีที่สุดถ้าพวกเขามีค่านิยมทางศีลธรรมและฝ่ายวิญญาณอย่างเดียวกัน. แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีบุคลิกภาพและภูมิหลังเหมือนกันทุกอย่าง. ที่จริง ถ้าพวกเขามีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน มิตรภาพนั้นก็อาจจะมีค่ามากขึ้นและทั้งสองฝ่ายจะได้รับประโยชน์.
ตัวอย่างของมิตรภาพที่เป็นอมตะสองกรณีในคัมภีร์ไบเบิล—ระหว่างโยนาธานกับดาวิด และรูธกับนาอะมี—เป็นมิตรภาพที่อาศัยความเลื่อมใสในพระเจ้าและการยึดมั่นกับหลักการของพระองค์. * น่าสังเกตที่ในทั้งสองกรณี มิตรภาพก้าวข้ามวัยและภูมิหลังที่ต่างกันมาก. ทั้งสองกรณีนี้จึงสอนให้เรารู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับมิตรภาพ นั่นคือเมื่อคนหนุ่มสาวและคนที่มีอายุมากกว่าเป็นเพื่อนกัน ทั้งสองฝ่ายก็มีอะไรมากมายที่จะให้อีกฝ่ายหนึ่งได้.
ได้รับประโยชน์จากวัยที่ต่างกัน
การเป็นเพื่อนกับคนที่มีอายุมากกว่าหรือน้อยกว่าตัวเราจะทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์. ขอสังเกตคำพูดต่อไปนี้จากคนหนุ่มสาวซึ่งพูดจากประสบการณ์ของตัวเอง.
มานูเอลา (อิตาลี): “หนูเริ่มเป็นเพื่อนกับสามีภรรยาคู่หนึ่งที่เป็นผู้ใหญ่แล้วมานานพอสมควร. หนูเล่าความรู้สึกของตัวเองให้พวกเขาฟัง และที่ทำให้หนูดีใจมากคือพวกเขาก็เล่าความรู้สึกของเขาให้หนูฟังเหมือนกัน. พวกเขาไม่ได้ดูถูกที่หนูอายุน้อย. นี่ทำให้หนูอยากสนิทกับพวกเขา. การได้เป็นเพื่อนกับพวกเขามีประโยชน์มากตอนที่หนูมีปัญหา. หนูเห็นว่าเมื่อเอาปัญหาไปปรึกษาเพื่อนผู้หญิงวัยเดียวกัน บางครั้งพวกเขาจะให้คำแนะนำที่ไม่ได้คิดให้
รอบคอบเสียก่อน. แต่เพื่อนที่มีอายุมากกว่ามีประสบการณ์, มองอะไรได้ลึกซึ้ง, และมีความสมดุลซึ่งพวกเราที่เป็นเด็กยังไม่มี. เพราะพวกเขาช่วยหนู หนูจึงตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ได้ดีขึ้น.”ซูเลกา (อิตาลี): “เมื่อจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ พวกเราไม่ได้เชิญแต่พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ แต่เชิญบางคนที่เป็นผู้ใหญ่ด้วย. โดยส่วนตัวแล้ว หนูรู้สึกว่าเมื่อผู้อาวุโสและพวกเด็ก ๆ มาสังสรรค์กัน เราทุกคนต่างก็รู้สึกอิ่มอกอิ่มใจจริง ๆ เมื่องานเลิก. เราชอบงานสังสรรค์แบบนี้เพราะแต่ละคนก็มีมุมมองไม่เหมือนกัน.”
พวกคุณที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว คุณเป็นฝ่ายเริ่มเอาใจใส่คนหนุ่มคนสาวได้เช่นกัน. คนหนุ่มสาวหลายคนชอบประสบการณ์ของคุณที่สะสมมานานและชอบคบหากับคุณอย่างที่เห็นได้จากคำพูดข้างบน. อะมีเลีย แม่ม่ายวัย 80 เศษกล่าวว่า “ดิฉันเริ่มเข้าไปพูดคุยกับคนหนุ่มสาว. พวกเขามีพลังและมีชีวิตชีวาจนทำให้ดิฉันรู้สึกกระปรี้กระเปร่า!” การให้กำลังใจกันและกันอย่างนี้มีผลดีมากมาย. หลายคนที่ผ่านพ้นวัยรุ่นมาแล้วและตอนนี้เป็นผู้ใหญ่ที่มีความสุขได้กล่าวว่า ที่พวกเขาประสบความสำเร็จได้นั้น ก็เพราะตอนที่เป็นหนุ่มสาว พวกเขามีเพื่อนที่อายุมากกว่าเขาเล็กน้อยซึ่งวางตัวอย่างที่ดีและคอยแนะคอยเตือนเขาในเรื่องต่าง ๆ.
การปรับปรุงมิตรภาพของคุณ
เพื่อจะมีมิตรภาพที่ดี คุณไม่จำเป็นต้องหาเพื่อนใหม่. ถ้าคุณมีเพื่อนที่น่าคบอยู่แล้ว คุณลองคิดหาวิธีที่จะใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาให้มากขึ้นดูสิ. คนที่เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่เป็นเหมือนกับสมบัติที่ล้ำค่า และเราควรทะนุถนอมความเป็นเพื่อนกับเขาไว้นาน ๆ. อย่ามองข้ามความภักดีของพวกเขา.
เหนือสิ่งอื่นใด จำไว้ว่าคุณจะมีความสุขจริง ๆ และมีเพื่อนแท้ได้ถ้าคุณยอมสละตัวเอง รวมทั้งสละเวลาและทรัพยากรของคุณ. ผลตอบแทนที่คุณจะได้นั้น ยิ่งกว่าคุ้มเมื่อเทียบกับความพยายามและการเสียสละของคุณ. อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณคิดถึงแต่ตัวเองเวลาที่คุณเลือกเพื่อน คุณจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ. ดังนั้น เมื่อคิดว่าจะเป็นเพื่อนกับใคร อย่าเลือกเฉพาะคนที่คุณชื่นชอบ หรือคนที่คุณจะได้ผลประโยชน์บางอย่างจากเขา. จงสนใจคนที่คนอื่นอาจมองข้ามหรือคนที่ตัวเขาเองก็หาเพื่อนไม่ค่อยได้. กาเอลซึ่งอยู่ในฝรั่งเศสกล่าวว่า “เมื่อเรารวมกลุ่มกันทำอะไรบางอย่าง และเรารู้ว่ามีคนหนุ่มสาวบางคนที่รู้สึกเหงา เราก็จะเชิญพวกเขามาร่วมด้วย. เราจะบอกว่า ‘อย่าอยู่บ้านคนเดียวเลย. มาหาเราสิ. จะได้รู้จักกันมากขึ้น.’”—ลูกา 14:12-14.
ในอีกด้านหนึ่ง ถ้ามีคนดี ๆ หยิบยื่นมิตรภาพให้คุณ อย่ารีบปฏิเสธ. เอลิซาซึ่งอยู่ในอิตาลีกล่าวว่า “คุณอาจรู้สึกน้อยใจบ้างเมื่อคิดว่าเมื่อก่อนไม่มีใครสนใจคุณเลย. คุณอาจเริ่มคิดว่า ‘จริง ๆ แล้ว ถ้าฉันไม่มีเพื่อนก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร.’ แล้วคุณก็ปิดตัวเอง, แยกตัว, และคิดถึงแต่ตัวเอง. แทนที่จะมองหาเพื่อน คุณกลับสร้างกำแพงกั้นตัวเองไว้.” แทนที่จะคิดกลัวเรื่องนั้นเรื่องนี้หรือสนใจแต่ตัวเองจนไม่ยอมหาเพื่อนใหม่ จงเปิดเผยความรู้สึกให้คนอื่นรู้. เราน่าจะรู้สึกขอบคุณที่คนอื่นสนใจเราถึงขนาดที่อยากให้เราเป็นเพื่อนกับเขา.
คุณก็มีเพื่อนแท้ได้
คุณคงจะมีเพื่อนแท้ไม่ได้ถ้าคุณเอาแต่หวัง, เอาแต่นั่งคอย, และอ่านบทความทำนองนี้. การเรียนวิธีหาเพื่อนก็เหมือนกับการเรียนขี่จักรยาน. เราไม่อาจเรียนรู้วิธีหาเพื่อนหรือวิธีขี่จักรยานได้ทั้งหมดโดยอ่านจากตำรา. เราต้องออกไปฝึกจริง ๆ แม้จะต้องพลาดหรือล้มบ้างเป็นครั้งคราว. คัมภีร์ไบเบิลแสดงว่าความสัมพันธ์ที่มั่นคงแน่นแฟ้นที่สุดเกิดขึ้นได้เฉพาะเมื่อทั้งสองฝ่ายเป็นมิตรกับพระเจ้า. แต่พระเจ้าคงอวยพรความพยายามของเราที่จะมีเพื่อนไม่ได้ถ้าเราเองไม่พยายามหาเพื่อนเสียก่อน. คุณตั้งใจที่จะมีเพื่อนแท้จริง ๆ ไหม? ขออย่ายอมแพ้! จงอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงช่วย, จงเป็นฝ่ายริเริ่มอย่างไม่เห็นแก่ตัว, และจงทำตัวเป็นเพื่อนก่อน.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 12 คุณอ่านเรื่องมิตรภาพทั้งสองกรณีนี้ได้ในคัมภีร์ไบเบิลที่พระธรรมประวัตินางรูธ, หนึ่งซามูเอล, และสองซามูเอล.
[กรอบ/ภาพหน้า 11]
สารถึงคุณพ่อคุณแม่
การเรียนรู้เรื่องมิตรภาพก็เหมือนกับการเรียนรู้เรื่องอื่น ๆ ส่วนใหญ่ คือต้องเริ่มที่บ้าน. ในสภาพแวดล้อมที่ดีพร้อม เด็กเล็ก ๆ จะได้รับมิตรภาพจากคนในครอบครัวซึ่งก็พอกับความต้องการส่วนใหญ่ของเขา. แม้แต่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ความคิด, ความรู้สึก, และพฤติกรรมของเด็กก็ได้รับอิทธิพลอย่างมากเมื่อเขาติดต่อกับคนภายนอกครอบครัว. ตัวอย่างเช่น ขอสังเกตว่าลูกที่ยังเล็กของผู้อพยพเข้าเมืองเรียนภาษาใหม่ได้เร็วขนาดไหนโดยเพียงแค่ติดต่อพูดคุยกับเด็กคนอื่น ๆ เท่านั้น.
พวกคุณที่เป็นพ่อแม่มีโอกาสพิเศษที่จะช่วยลูก ๆ ของคุณให้เลือกเพื่อนอย่างสุขุม. เด็กเล็ก ๆ และวัยรุ่นยังไม่พร้อมจะตัดสินใจในเรื่องนี้เองโดยไม่มีการชี้นำจากพ่อแม่. อย่างไรก็ตาม มีปัญหาเรื่องหนึ่ง. เด็กและหนุ่มสาวหลายคนรู้สึกสนิทกับเพื่อนวัยเดียวกันมากกว่ากับพ่อแม่หรือผู้ใหญ่คนอื่น ๆ.
ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่า เหตุผลหนึ่งที่วัยรุ่นชอบปรึกษาเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ก็คือ พ่อแม่หลายคนไม่มั่นใจว่าตัวเองมีสิทธิ์จะสอนลูก ๆ ในเรื่องศีลธรรม. พ่อแม่ต้องทำตามหน้าที่ที่พระเจ้าประทานให้โดยเป็นฝ่ายเริ่มเอาใจใส่ลูก ๆ และหมั่นคอยสนใจชีวิตของลูก ๆ เสมอ. (เอเฟโซ 6:1-4) แต่จะทำอย่างนั้นโดยวิธีใด? นายแพทย์รอน ทัฟเฟล ผู้ให้คำปรึกษาด้านครอบครัว ได้พบกับพ่อแม่หลายคนที่จนปัญญา ไม่รู้ว่าจะดูแลลูกวัยรุ่นอย่างไร. เขาเขียนว่า หลายคน “ใช้วิธีเลี้ยงลูกแบบสมัยนิยมซึ่งมีการประโคมตามสื่อต่าง ๆ” แทนที่จะทำหน้าที่เป็นพ่อเป็นแม่ จริง ๆ. ทำไมพวกเขาทำอย่างนี้? เพราะ “พวกเขาไม่รู้จักลูกของตัวเองดีพอที่จะเอาใจใส่ดูแลเขาอย่างที่ลูกจำเป็นต้องได้รับ.”
แต่อาจแก้ไขเรื่องนี้ได้. พ่อแม่ต้องเข้าใจว่าเด็กจะหันไปหาเพื่อนถ้าพวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่เขาจำเป็นต้องได้รับจากที่บ้าน. เขาจำเป็นต้องได้รับอะไร? นายแพทย์ทัฟเฟลกล่าวว่า “พวกเขาจำเป็นต้องได้รับสิ่งที่คนหนุ่มสาวต้องได้รับเสมอมา นั่นคือ การดูแลเอาใจใส่, ความรู้สึกว่าตัวเองมีค่า, ความมั่นคงปลอดภัย, กฎและการคาดหมายที่ชัดเจนและความรู้สึกว่าเขาเป็นที่ยอมรับ. เรื่องน่าเศร้าในสมัยนี้คือ วัยรุ่นส่วนใหญ่ไม่ได้รับสิ่งจำเป็นพื้นฐานเหล่านี้จากผู้ใหญ่และรู้สึกว่าไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวของเขาเอง.”
คุณจะช่วยลูก ๆ ของคุณในเรื่องการมีเพื่อนที่ดีได้อย่างไร? ขั้นแรกคือต้องดูว่าคุณมีแนวทางชีวิตอย่างไรและดูว่าคุณคบเพื่อนชนิดใด. เป้าหมายและรูปแบบชีวิตของคุณและของเพื่อนคุณมีคุณค่าและไม่เห็นแก่ตัวไหม? เป็นฝ่ายวิญญาณหรือเป็นแบบนิยมวัตถุ? ดักลาส ซึ่งเป็นผู้ปกครองคริสเตียนและเป็นพ่อคนหนึ่ง กล่าวว่า “การกระทำดังกว่าคำพูด และแน่นอนว่าลูกของคุณจะรับเอาเจตคติและการกระทำที่เขาเห็นในตัวคุณ, เพื่อนของคุณ, และลูก ๆ ของเพื่อนคุณ.”
แม้แต่สัตว์หลายชนิดก็ปกป้องลูกของมันจากสัตว์อื่น ๆ ที่เป็นอันตราย เนื่องจากสัญชาตญาณและบ่อยครั้งด้วยความดุร้าย. ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับหมีคนหนึ่งรายงานว่า “แม่หมีเป็นที่ร่ำลือในเรื่องที่มันปกป้องลูกจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ดูเหมือนจะเป็นอันตราย.” พ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ควรทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ? รูเบนซึ่งอยู่ที่อิตาลีกล่าวว่า “พ่อแม่ของผมหาเหตุผลกับผมจากพระคัมภีร์. ท่านช่วยผมให้เข้าใจว่าผมควรเลี่ยงไม่คบหากับคนบางประเภท. ตอนแรกผมคิดว่า ‘อะไรกัน! ผมจะมีเพื่อนสักคนก็ยังไม่ได้!’ แต่เวลาก็พิสูจน์แล้วว่าพ่อกับแม่เป็นฝ่ายถูก และเนื่องจากความอดทนของพวกท่าน ผมจึงได้รับการปกป้อง.”
นอกจากนั้น จงให้ลูกของคุณได้คบหากับคนที่เป็นตัวอย่างที่ดีและคนที่จะช่วยพวกเขาตั้งเป้าหมายซึ่งมีคุณค่าในชีวิตของเขา. ชายหนุ่มที่ประสบความสำเร็จและมีความสุขชื่อฟรานซิสเล่าว่า “แม่ของผมสังเกตว่าพวกเราที่เป็นเด็กหนุ่ม ๆ ชอบทำอะไรในกลุ่มของเราเอง แม่จึงช่วยพวกเราโดยเชิญคนที่มีความกระตือรือร้นมากในงานรับใช้เต็มเวลาแบบคริสเตียนมาที่บ้าน. โดยวิธีนี้ เราจึงรู้จักและเริ่มสนิทกับเขาที่บ้านของเรานี่เอง.” ถ้าคุณพยายามทำในลักษณะนี้ ช่วงชีวิตที่ลูกอยู่กับคุณจะเป็นพื้นฐานที่ยอดเยี่ยมซึ่งทำให้มิตรภาพที่ดีงอกงามขึ้น.
[ภาพหน้า 9]
จงสังเกตว่าคนที่เราคิดจะคบเป็นเพื่อนนั้นประพฤติตัวอย่างไร
[ภาพหน้า 10]
มิตรภาพที่ไม่เห็นแก่ตัวเจริญงอกงามได้แม้จะมีอายุและภูมิหลังต่างกัน