การดื่มมากเกินไปกับสุขภาพ
การดื่มมากเกินไปกับสุขภาพ
“ซองเต!” “ซาลูเต!” “ซา วาเชอ ซโดโรยฟ์เย!” “ชุก ซุก เคว!” ไม่ว่าที่ฝรั่งเศส, อิตาลี, รัสเซีย, หรือเวียดนาม ก่อนที่เพื่อนฝูงจะดื่มร่วมกัน ก็มักจะพร้อมใจกันพูดอย่างนี้ ซึ่งแปลว่า “เพื่อสุขภาพ!” กระนั้น น่าแปลกที่คนมากมายทั่วโลกกลับตายเพราะดื่มแอลกอฮอล์.
การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นปัญหาที่มีหลายแง่มุม เช่น การดื่มที่เสี่ยงอันตราย, การดื่มที่ก่อความเสียหาย, และการติดแอลกอฮอล์. องค์การอนามัยโลกนิยามการดื่มที่เสี่ยงอันตราย ไว้ว่า เป็น “นิสัยการดื่มแอลกอฮอล์ที่เสี่ยงต่อการเกิดผลเสีย” ทั้งทางร่างกาย, ทางจิตใจ, หรือทางสังคม. การดื่มแบบนี้คือการดื่มเกินขีดที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขแนะนำหรือเกินขีดที่กฎหมายกำหนด. การดื่มที่ก่อความเสียหาย ซึ่งเรียกด้วยว่าเป็นการใช้แอลกอฮอล์ในทางที่ผิด คือ
การดื่มที่ก่อความเสียหายต่อร่างกายหรือจิตใจแล้ว แต่ยังไม่ถึงขั้นติด. ส่วนการติดแอลกอฮอล์ ได้รับการพรรณนาว่าเป็น “การไม่สามารถควบคุมตัวเองให้เลิกดื่มได้.” ผู้ที่ติดแอลกอฮอล์จะรู้สึกอยากดื่ม และยังคงดื่มต่อไปแม้จะมีปัญหาหลายอย่างจากการดื่ม อีกทั้งมีอาการถอนยาเมื่อไม่ได้ดื่ม.ไม่ว่าคุณจะมีอายุเท่าไร, เป็นผู้ชายหรือผู้หญิง, หรือมีเชื้อชาติอะไร คุณก็ไม่ได้รอดพ้นจากความเสี่ยงของการดื่มอย่างที่เป็นอันตรายได้. ที่แท้แล้วแอลกอฮอล์ส่งผลเช่นไรต่อร่างกาย? การดื่มมากเกินไปมีอันตรายอะไรบ้างต่อสุขภาพ? และโดยทั่วไปแล้ว ดื่มแค่ไหนจึงถือได้ว่าเป็นการดื่มที่ปลอดภัย?
อันตรายต่อจิตใจ
เอทานอล ซึ่งเป็นสารประกอบทางเคมีในเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่ เป็นสารที่มีพิษต่อประสาท กล่าวคือสามารถทำความเสียหายหรือทำลายระบบประสาทได้. จริง ๆ แล้ว อาการเมาก็คืออาการที่ร่างกายได้รับพิษในรูปแบบหนึ่ง. ถ้าได้รับเอทานอลในปริมาณมาก ๆ ก็อาจทำให้เกิดภาวะโคม่าและเสียชีวิตได้. ตัวอย่างเช่น ท่ามกลางนักศึกษาญี่ปุ่น การดื่มที่เรียกว่าอิคคิโนมิ หรือการดื่มรวดเดียวโดยไม่หยุด เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตทุกปี. ร่างกายสามารถเปลี่ยนเอทานอลให้เป็นสารที่ไม่มีพิษได้ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันใด. ถ้ามีการบริโภคแอลกอฮอล์ในอัตราที่เร็วกว่าที่ร่างกายจะจัดการได้ เอทานอลจะสะสมมากขึ้นในร่างกายและเริ่มขัดขวางการทำงานของสมองจนเห็นได้ชัด. ในทางใดบ้าง?
การพูด, การมองเห็น, การประสานงานระหว่างส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย, ความคิด, และพฤติกรรมล้วนเชื่อมโยงกับปฏิกิริยาทางเคมีอันสลับซับซ้อนอย่างเหลือเชื่อซึ่งอยู่ในเซลล์ประสาทของสมอง หรือเซลล์มูลฐาน. เมื่อร่างกายได้รับเอทานอล ปฏิกิริยาเหล่านี้ก็เปลี่ยนไป และสารเคมีที่ถ่ายทอดสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทบางเซลล์ถูกกด ส่วนบางเซลล์ก็ถูกกระตุ้น. กระแสข้อมูลในสมองจึงผิดเพี้ยนไป ทำให้สมองไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ. นั่นคือสาเหตุซึ่งทำให้คนที่ดื่มมากเกินไปเริ่มพูดตะกุกตะกัก, สายตา
พร่ามัว, เชื่องช้า, และเหนี่ยวรั้งตัวเองได้น้อยลง—ซึ่งล้วนเป็นอาการที่เกิดขึ้นกับคนเมาทั่ว ๆ ไป.ถ้าได้รับแอลกอฮอล์อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ เคมีในสมองก็จะปรับตัวให้สามารถต้านทานพิษของเอทานอลและพยายามรักษาการทำงานของระบบประสาทให้เป็นปกติ. นี่ทำให้ร่างกายทน ต่อฤทธิ์แอลกอฮอล์ ซึ่งหมายความว่าการดื่มในปริมาณเท่าเดิมกลับทำให้มีผลกระทบน้อยกว่าแต่ก่อน. การติด เกิดขึ้นเมื่อสมองปรับตัวกับการที่มีแอลกอฮอล์อยู่ในร่างกายมากเสียจนไม่สามารถทำงานได้ตามปกติถ้าขาดแอลกอฮอล์. ร่างกายจะอยากได้รับแอลกอฮอล์เพื่อรักษาความสมดุลทางเคมีไว้. เมื่อคนหนึ่งขาดแอลกอฮอล์ เคมีในสมองของเขาก็เสียสมดุลโดยสิ้นเชิงและอาการถอนยาก็ตามมา เช่น กระสับกระส่าย, สั่น, หรือแม้กระทั่งชัก.
นอกจากทำให้เคมีในสมองเปลี่ยนแปลงไปแล้ว การดื่มมากเกินไปยังอาจทำให้เซลล์ฝ่อหรือตาย และจึงทำให้โครงสร้างของสมองเปลี่ยนไป. แม้ว่าการงดดื่มอาจทำให้ฟื้นตัวได้บ้าง แต่ความเสียหายบางอย่างดูเหมือนไม่มีทางแก้ไขได้. ดูเหมือนว่าเซลล์ประสาทที่ตายไปแล้วจะไม่มีเซลล์ใหม่มาทดแทน และยิ่งทำให้ความจำและความสามารถในการรับรู้อื่น ๆ ได้รับผลเสีย. ความเสียหายที่เกิดแก่สมองไม่ได้เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลานานเท่านั้น. การวิจัยดูเหมือนจะบ่งชี้ว่าการดื่มมากเกินไปแม้ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก็อาจเป็นอันตรายได้.
โรคตับและมะเร็ง
ตับมีบทบาทสำคัญในการเผาผลาญอาหาร, สู้กับการติดเชื้อ, ควบคุมการไหลเวียนของเลือด, และขจัดสารพิษต่าง ๆ รวมทั้งแอลกอฮอล์ ออกจากร่างกาย. การดื่มแอลกอฮอล์เป็นเวลานานนั้นทำให้ตับได้รับความเสียหายในสามระยะ. ระยะแรก การย่อยสลายเอทานอลมีผลทำให้การย่อยไขมันช้าลง ทำให้มีไขมันสะสมในตับ ซึ่งเรียกว่าภาวะไขมันสะสมในตับ. ในเวลาต่อมา ก็จะเกิดโรคตับอักเสบเรื้อรัง. แม้ว่าแอลกอฮอล์อาจทำให้เป็นโรคตับอักเสบได้โดยตรง แต่ก็ดูเหมือนว่าแอลกอฮอล์ยังทำให้ร่างกายต้านทานเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีได้น้อยลงด้วย. * ถ้าปล่อยไว้ การอักเสบอาจทำให้เซลล์แตกตัวและตายได้. สิ่งที่ทำให้ ความเสียหายร้ายแรงยิ่งขึ้นก็คือ ดูเหมือนแอลกอฮอล์กระตุ้นให้เกิดการทำงานของระบบเซลล์ตายตามธรรมชาติ ซึ่งเรียกด้วยว่า อะพอพโตซิส (apoptosis).
ระยะสุดท้ายคือโรคตับแข็ง. การอักเสบและการทำลายเซลล์อย่างต่อเนื่องเป็นวัฏจักรที่ทำให้อาการรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ และทำให้เกิดแผลเป็นที่ไม่อาจรักษาได้. สิ่งที่ตามมาคือ ตับกลายเป็นก้อนแข็ง แทนที่จะเป็นรูพรุนเหมือนฟองน้ำ. ในที่สุด เนื้อเยื่อที่เหมือนแผลเป็นก็ทำให้เลือดไม่อาจไหลเวียนได้ตามปกติ ทำให้ตับล้มเหลวและเสียชีวิต.
แอลกอฮอล์มีผลข้างเคียงต่อตับอีกอย่างหนึ่งที่แฝงเร้น—คือทำให้ตับมีความสามารถในการต้านสารก่อมะเร็งลดลง. นอกจากจะทำให้เกิดมะเร็งที่ตับง่ายขึ้นแล้ว แอลกอฮอล์ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งในปาก, คอหอย, กล่องเสียง, และหลอดอาหารอีกด้วย. นอกจากนั้น แอลกอฮอล์ทำให้สารก่อมะเร็งจากบุหรี่ซึมผ่านเยื่อเมือกในปากได้ง่ายขึ้น ทำให้ผู้สูบบุหรี่มีความเสี่ยงสูงขึ้น. ผู้หญิงที่ดื่มแอลกอฮอล์ทุกวันมีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมมากขึ้น. ตามงานวิจัยงานหนึ่ง คนที่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์วันละสามแก้วขึ้นไปมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมสูงกว่าคนที่ไม่ดื่ม 69 เปอร์เซ็นต์.
ทารกรับพิษ
ผลที่น่าเศร้าเป็นพิเศษของการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปคือผลกระทบที่มีต่อทารกในครรภ์. “แอลกอฮอล์เป็นพิษต่อทารกที่กำลังเจริญเติบโตในครรภ์มากกว่ายาเสพติดชนิดใด ๆ” หนังสือพิมพ์อินเตอร์แนชันแนล เฮรัลด์ ทริบูน รายงาน. เมื่อหญิงมีครรภ์ดื่ม ลูกในครรภ์ของเธอก็ได้รับแอลกอฮอล์ด้วย และพิษของแอลกอฮอล์ก็ก่อความเสียหายมากเป็นพิเศษในระยะที่ทารกเพิ่งเริ่มเจริญเติบโตนี้. แอลกอฮอล์ทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบประสาทส่วนกลางอย่างที่ไม่สามารถรักษาได้. เซลล์ประสาทไม่อาจก่อตัวขึ้นได้อย่างปกติ. เซลล์ต่าง ๆ ถูกทำลาย. ส่วนบางเซลล์ก็อยู่ผิดที่.
ผลก็คือโรคทารกพิษสุราในครรภ์ ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ที่สุดของโรคปัญญาอ่อนในทารกแรกเกิด. เด็กที่เป็นโรคทารกพิษสุราในครรภ์นั้นมีปัญหาหลายอย่างเช่น สติปัญญาบกพร่อง, ปัญหาเรื่องภาษา, พัฒนาการช้ากว่าปกติ, ความผิดปกติด้านพฤติกรรม, เติบโตช้า, อยู่ไม่สุข, และมีความผิดปกติในการได้ยินและการมองเห็น. เด็กหลายคนที่เป็นโรคทารกพิษสุราในครรภ์เกิดมาพร้อมกับมีใบหน้าผิดรูป อันเป็นลักษณะเด่นของโรคนี้.
นอกจากนั้น แม้ว่าผู้เป็นแม่จะดื่มในปริมาณเล็กน้อยระหว่างการตั้งครรภ์ เด็กที่เกิดมาก็อาจมีความพิการบางอย่าง เช่น ปัญหาด้าน *
พฤติกรรมและการเรียนรู้. ศาสตราจารย์แอนน์ สไตรสส์กุท แห่งหน่วยงานพิเศษด้านแอลกอฮอล์และยาเสพติดในทารก ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน กล่าวว่า “แค่คุณดื่มระหว่างการตั้งครรภ์ก็เพียงพอที่จะทำร้ายลูกในครรภ์ได้แล้ว ไม่ต้องถึงขนาดเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง.” รายงานเรื่องแอลกอฮอล์—ผลกระทบต่อสุขภาพ (ภาษาฝรั่งเศส) ของสถาบันวิจัยสุขภาพและการแพทย์แห่งฝรั่งเศส กล่าวว่า “การดูดซึมแอลกอฮอล์เป็นอันตรายตลอดระยะเวลาตั้งครรภ์ และไม่เคยมีการกำหนดปริมาณขั้นต่ำที่จะให้ดื่มได้โดยไม่ก่อผลเสียหาย.” ผลก็คือ สิ่งที่สุขุมที่สุดสำหรับหญิงมีครรภ์หรือหญิงที่วางแผนจะมีครรภ์ก็คือไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลย.การดื่มในระดับที่ปลอดภัย
ยังมีอันตรายต่อสุขภาพอีกมากมายนอกจากที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว. ในปี 2004 บทความในวารสารเนเจอร์ ชี้ว่า “แม้แต่แอลกอฮอล์ปริมาณเพียงเล็กน้อยก็ทำให้มีโอกาสเสี่ยงมากขึ้นที่จะเกิดการบาดเจ็บและที่จะเป็นโรคต่าง ๆ ประมาณ 60 โรค.” เมื่อคำนึงถึงเรื่องนี้ ดื่มแค่ไหนจึงจะเรียกว่าดื่มในระดับที่ปลอดภัย? ในสมัยนี้ มีคนมากมายทั่วโลกดื่มเป็นครั้งคราวได้อย่างปลอดภัย. ปัจจัยสำคัญสำหรับการมีสุขภาพดีคือไม่ดื่มมากเกินไป. แต่แค่ไหนที่จะเรียกว่าไม่มากเกินไป? คนส่วนใหญ่คงจะคิดว่าตัวเขาเองไม่ได้ดื่มมากเกินไป โดยอาจหาเหตุผลว่าตราบใดที่ไม่เมา หรือไม่ติดแอลกอฮอล์ ก็ไม่มีปัญหา. กระนั้น ในยุโรป ผู้ชาย 1 ใน 4 ดื่มแอลกอฮอล์ในระดับที่ถือว่าเป็นอันตราย.
แหล่งอ้างอิงหลายแห่งนิยามการดื่มพอประมาณว่าเป็นการได้รับแอลกอฮอล์บริสุทธิ์วันละ 20 กรัมหรือสองแก้วมาตรฐานสำหรับผู้ชาย และ 10 กรัม หรือหนึ่งแก้วสำหรับผู้หญิง. หน่วยงานด้านสาธารณสุขของฝรั่งเศสและบริเตนแนะนำ “ขีดจำกัดที่เหมาะสม” คือวันละสามแก้วสำหรับผู้ชายและสองแก้วสำหรับผู้หญิง. สถาบันที่ดูแลเรื่องการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปและโรคพิษสุราเรื้อรังแห่งสหรัฐแนะนำว่า “คนที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าวันละหนึ่งแก้ว.” * อย่างไรก็ตาม เราทุกคนมีปฏิกิริยาต่อแอลกอฮอล์แตกต่างกันไป. สำหรับบางคน แม้แต่ขีดต่ำสุดก็อาจจะมากเกินไป. ตัวอย่างเช่น “แอลกอฮอล์ปริมาณเล็กน้อยก็อาจเป็นอันตรายต่อคนที่มีความผิดปกติทางอารมณ์และเป็นโรควิตกกังวล” รายงานพิเศษฉบับที่ 10 แก่รัฐสภาสหรัฐว่าด้วยแอลกอฮอล์และสุขภาพ กล่าว. อายุ, ประวัติการเจ็บป่วย, และขนาดของร่างกายล้วนเป็นปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง.—ดูกรอบ “ลดความเสี่ยง.”
มีความช่วยเหลืออะไรสำหรับคนที่ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป? บทความถัดไปจะตอบคำถามข้อนี้.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 11 ตามงานวิจัยที่ฝรั่งเศส ผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีและยังเป็นคนดื่มจัดด้วยนั้นมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคตับแข็งสูงกว่าผู้ติดเชื้อตับอักเสบซีแต่ดื่มเพียงเล็กน้อยถึงสองเท่า. มีการแนะนำว่าผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีควรดื่มในปริมาณน้อย ๆ หรืองดดื่มเลย.
^ วรรค 17 ผู้หญิงที่ให้นมบุตรควรตระหนักว่าหลังจากดื่มแล้ว แอลกอฮอล์จะสะสมอยู่ในน้ำนมของเธอ. ที่จริง ความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในนมแม่มักจะสูงกว่าในเลือด เพราะนมมีน้ำมากกว่าเลือด ซึ่งดูดซึมแอลกอฮอล์ได้มากกว่า.
^ วรรค 20 เนื่องจากปริมาณของหนึ่ง “แก้ว” ในแต่ละท้องที่ไม่เท่ากัน แอลกอฮอล์ในแก้วจึงมีปริมาณแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับขนาดการเสิร์ฟตามที่นิยมกันในท้องถิ่นนั้น ๆ และควรคำนึงถึงเรื่องนี้ก่อนบริโภค.
[กรอบ/ภาพหน้า 5]
ดื่มแล้วขับ ควรไหม?
ข้อห้ามเรื่องการขับรถเมื่ออยู่ใต้ฤทธิ์แอลกอฮอล์มีมานานเกือบจะพอ ๆ กับเริ่มมีรถยนต์. ประเทศแรกที่กำหนดกฎหมายข้อนี้คือเดนมาร์ก เมื่อปี 1903.
เมื่อคุณดื่มตอนที่ท้องว่าง แอลกอฮอล์ในเลือดของคุณจะมีระดับที่สูงที่สุดประมาณครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากดื่มเข้าไป. ต่างจากที่คนทั่วไปเชื่อกัน การดื่มกาแฟ, การสูดอากาศบริสุทธิ์, และการออกกำลังกายไม่ได้ช่วยให้คุณสร่างเมา. สิ่งเดียวที่จะลดผลกระทบของแอลกอฮอล์ในร่างกายของคุณได้คือการให้เวลาผ่านไป. อย่าลืมด้วยว่า ไม่ว่าคุณจะดื่มไวน์, เบียร์, หรือสุราเพียงหนึ่งแก้วตามขนาดที่คนทั่วไปนิยมกันสำหรับเครื่องดื่มแต่ละชนิด ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ได้รับก็มีพอ ๆ กัน. *
แม้จะดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้ความสามารถในการขับขี่ของคุณลดลง. แอลกอฮอล์มีผลต่อการมองเห็น. ป้ายถนนจะดูเล็กลง. การมองเห็นรอบนอกรวมทั้งความสามารถในการกะระยะและการมองเห็นสิ่งที่อยู่ไกล ๆ จะลดลง. การประมวลผลข้อมูล, ปฏิกิริยาตอบสนอง, และการประสานงานของร่างกายก็ช้าลง.
ถ้ามีอุบัติเหตุหลังจากดื่มแอลกอฮอล์ คุณก็มีโอกาสบาดเจ็บรุนแรงกว่าตอนที่คุณไม่ได้ดื่ม. ยิ่งกว่านั้น โอกาสที่คุณจะรอดชีวิตจากการผ่าตัดฉุกเฉินใด ๆ ก็ลดน้อยลงเนื่องจากผลกระทบที่แอลกอฮอล์มีต่อหัวใจและระบบไหลเวียนโลหิต. “ด้วยเหตุนี้ ตรงข้ามกับที่คิดกันทั่วไป ผู้ที่เสียชีวิตเนื่องจากแอลกอฮอล์ส่วนใหญ่คือคนขับขี่ที่เมานั่นเอง” รายงานสถาบันวิจัยสุขภาพและการแพทย์แห่งฝรั่งเศสกล่าว. เมื่อคำนึงถึงอันตรายเหล่านี้ รายงานนี้จึงแนะนำดังต่อไปนี้:
▪ อย่าดื่มแล้วขับ.
▪ อย่าโดยสารรถไปกับคนขับที่ดื่ม.
▪ อย่าให้เพื่อนหรือพ่อแม่ขับรถ เมื่อพวกเขาอยู่ใต้ฤทธิ์แอลกอฮอล์.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 29 โดยทั่วไปแล้ว แอลกอฮอล์จะถูกขจัดออกไปประมาณ 7 กรัมทุก ๆ หนึ่งชั่วโมง. ขนาดของแก้วมาตรฐานจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ. องค์การอนามัยโลกกำหนดแก้วมาตรฐานว่าจะมีปริมาณแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 10 กรัม. นี่เท่ากับเบียร์ 250 มิลลิลิตร, ไวน์ 100 มิลลิลิตร, หรือ สุรา 30 มิลลิลิตร.
[ภาพ]
ขนาดเครื่องดื่มที่กล่าวต่อไปนี้มีปริมาณแอลกอฮอล์พอ ๆ กัน
เบียร์ธรรมดาหนึ่งขวด (330 มล. แอลกอฮอล์ 5%)
สุราหนึ่งแก้วเล็ก (วิสกี้, ยิน, วอดก้า) (40 มล. แอลกอฮอล์ 40%)
ไวน์หนึ่งแก้ว (140 มล. แอลกอฮอล์ 12%)
เหล้าหลังอาหาร (ลิเคียวร์) หนึ่งแก้วเล็ก (70 มล. แอลกอฮอล์ 25%)
[กรอบ/ภาพหน้า 6]
การติดแอลกอฮอล์—เกิดจากยีนไหม?
ด้วยความพยายามที่จะหาวิธีรักษาโรคพิษสุรา นักวิทยาศาสตร์พยายามศึกษาเพื่อจะเข้าใจว่ายีนมีบทบาทอย่างไรต่อการเกิดและการพัฒนาของโรคนี้. ตั้งแต่นั้นมานักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบยีนหลายตัวซึ่งดูเหมือนมีอิทธิพลต่อปฏิกิริยาที่คนนั้นมีต่อแอลกอฮอล์. อย่างไรก็ตาม ปัจจัยทางพันธุกรรมไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยเดียวที่ทำให้เป็นโรคพิษสุรา. แม้ว่าบางคนมีแนวโน้มทางพันธุกรรมบางอย่าง แต่การติดแอลกอฮอล์ก็ไม่ใช่เรื่องที่เลี่ยงไม่ได้. ปัจจัยทางสภาพแวดล้อมก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย. การขาดการอบรมจากพ่อแม่, การใช้แอลกอฮอล์อย่างผิด ๆ ของคนในครอบครัวหรือเพื่อนฝูง, สถานการณ์ที่เกิดการขัดแย้งกับคนอื่น, ปัญหาทางอารมณ์, ความซึมเศร้า, ความก้าวร้าว, การพยายามเสาะหาความตื่นเต้น, การทนต่อฤทธิ์ของแอลกอฮอล์, หรือการติดสารเสพติดอย่างอื่น ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ถูกกล่าวถึง. ปัจจัยเหล่านี้และปัจจัยอย่างอื่นอาจนำไปสู่การติดแอลกอฮอล์ได้.
[กรอบ/ภาพหน้า 6]
ฝรั่งเศส:
งานศึกษาวิจัยกะประมาณว่า จำนวนคนที่ดื่มแอลกอฮอล์มากเกิน ไปมีราว ๆ ห้าล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้ สองถึงสามล้านคนติดแอลกอฮอล์
ไนจีเรีย:
ตามรายงานในหนังสือพิมพ์เดลี แชมเปียน แห่งกรุงลากอส “ชาวไนจีเรียกว่า 15 ล้านคนติดแอลกอฮอล์”—คือเกือบเท่ากับ 12 เปอร์เซ็นต์ของประชากร
โปรตุเกส:
ประเทศนี้มีปริมาณการบริโภคแอลกอฮอล์บริสุทธิ์เฉลี่ยต่อคนสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก. หนังสือพิมพ์ปูบลิโก แห่งกรุงลิสบอนรายงานว่า สิบเปอร์เซ็นต์ของประชากรประสบกับ “ปัญหาสุขภาพร้ายแรงซึ่งเกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์”
สหรัฐ:
รายงานพิเศษฉบับที่ 10 ถึงรัฐสภาสหรัฐว่าด้วยแอลกอฮอล์และสุขภาพ กล่าวว่า “ชาวอเมริกันราว ๆ 14 ล้านคน—หรือ 7.4 เปอร์เซ็นต์ของประชากร—จัดได้ว่าเป็นผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปหรือเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง”
[กรอบ/ภาพหน้า 8]
ลดความเสี่ยง
ต่อไปนี้คือคำนิยามของขีดที่มีความเสี่ยงต่ำซึ่งได้รับการจัดพิมพ์โดยแผนกสุขภาพจิตและการติดสารเสพติดแห่งองค์การอนามัยโลก. ความเสี่ยงต่ำไม่ได้หมายความว่าไม่มีความเสี่ยงเลย. แต่ละคนจะมีปฏิกิริยาต่อแอลกอฮอล์แตกต่างกันไป.
▪ ไม่ดื่มเกินวันละสองแก้วมาตรฐาน *
▪ งด ดื่มอย่างน้อยสัปดาห์ละสองวัน
ในสภาพการณ์ต่อไปนี้ การดื่มแม้แต่หนึ่งหรือสองแก้วก็อาจมากเกินไป:
▪ เมื่อขับขี่ยานยนต์หรือควบคุมเครื่องจักรกล
▪ เมื่อตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
▪ เมื่อกำลังใช้ยาบางอย่าง
▪ เมื่อคุณมีอาการเจ็บป่วยบางอย่าง
▪ ถ้าคุณไม่สามารถควบคุมการดื่มของตัวเองได้
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 58 หนึ่งแก้วมาตรฐานเท่ากับแอลกอฮอล์ 10 กรัมต่อแก้ว.
[ที่มาของภาพ]
ที่มา: Brief Intervention for Hazardous and Harmful Drinking
[กรอบ/ภาพหน้า 9]
แอลกอฮอล์—มีประโยชน์ต่อหัวใจหรือ?
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารเคมีในไวน์แดง (polyphenols) เป็นตัวยับยั้งสารเคมีที่ทำให้เส้นเลือดตีบ.
ยิ่งกว่านั้น ตามปกติแอลกอฮอล์จะมีส่วนทำให้ระดับคอเลสเทอรอลที่ดีสูงขึ้น และยังช่วยลดสารที่ทำให้เลือดจับตัวเป็นลิ่มด้วย.
ประโยชน์ใด ๆ ที่ได้จากแอลกอฮอล์ดูเหมือนจะมาจากการดื่มในปริมาณเล็กน้อย เป็นช่วง ๆ ระหว่างสัปดาห์ ไม่ใช่การดื่มในปริมาณมาก ๆ ในคืนเดียว. การดื่มมากกว่าวันละสองแก้วมีส่วนทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และการดื่มจัดทำให้มีโอกาสเป็นโรคเส้นเลือดสมองเพิ่มขึ้นและอาจทำให้หัวใจบวมและเต้นไม่สม่ำเสมอ. การดื่มมากเกินไปทำให้ความเสี่ยงเหล่านี้และความเสี่ยงอื่น ๆ ทางสุขภาพมีมากกว่าผลดีใด ๆ ที่แอลกอฮอล์มีต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด. แม้ว่าแอลกอฮอล์จะมีประโยชน์ แต่ถ้าดื่มมากเกินไป ก็ยังมีอันตรายอยู่ดี.
[แผนภูมิ/ภาพหน้า 7]
แอลกอฮอล์ ทำร้ายคุณได้ในทางใดบ้าง
สมอง
เซลล์ประสาทตาย, ความจำเสื่อม, ซึมเศร้า, พฤติกรรมก้าวร้าว
การมองเห็น, การพูด, การประสานงานของร่างกายเสียไป
มะเร็งที่ลำคอ, ปาก, เต้านม, ตับ
หัวใจ
กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอ, อาจเกิดภาวะหัวใจวาย
ตับ
ไขมันสะสม, มีขนาดโตขึ้น, แล้วเกิดเป็นแผลเป็น (โรคตับแข็ง)
ความเสี่ยงอื่น ๆ
ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ, แผลเปื่อย, ตับอ่อนอักเสบ
หญิงมีครรภ์
ลูกที่จะเกิดมามีโอกาสที่จะพิการหรือเติบโตช้า
[ภาพหน้า 8]
“แอลกอฮอล์เป็นพิษต่อทารกที่กำลังเจริญเติบโตในครรภ์มากกว่ายาเสพติดชนิดใด ๆ”