ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

ดิฉันเรียนรู้ที่จะวางใจในพระเจ้า

ดิฉันเรียนรู้ที่จะวางใจในพระเจ้า

ดิฉัน​เรียน​รู้​ที่​จะ​วางใจ​ใน​พระเจ้า

เล่า​โดย​เอลลา โทม

ครอบครัว​ของ​เรา​อาศัย​อยู่​ใกล้​เมือง​เล็ก ๆ ชื่อ​โอเตปา ทาง​ใต้​ของ​เอสโตเนีย ห่าง​จาก​พรม​แดน​รัสเซีย​ประมาณ 60 กิโลเมตร. ใน​เดือน​ตุลาคม 1944 ไม่​กี่​เดือน​หลัง​จาก​ที่​ดิฉัน​จบ​การ​ศึกษา​ระดับ​มัธยม สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่ 2 ใกล้​จะ​ยุติ​ลง​แล้ว. ขณะ​ที่​กองทัพ​รัสเซีย​ขับ​ไล่​พวก​เยอรมัน​ผ่าน​เอสโตเนีย พวก​เรา​กับ​เพื่อน​บ้าน​ซึ่ง​มี​ทั้ง​หมด​ประมาณ 20 คน ได้​ซ่อน​ตัว​ใน​ป่า​พร้อม​กับ​สัตว์​เลี้ยง​ใน​ฟาร์ม​ของ​เรา.

เป็น​เวลา​สอง​เดือน​ที่​มี​การ​ทิ้ง​ระเบิด​ไป​ทั่ว​ทุก​แห่ง ราว​กับ​ว่า​เรา​ติด​อยู่​กลาง​สมรภูมิ. เรา​จะ​นั่ง​อยู่​ด้วย​กัน และ​ดิฉัน​จะ​อ่าน​คัมภีร์​ไบเบิล​บาง​ตอน โดย​เฉพาะ​อย่าง​ยิ่ง​ใน​พระ​ธรรม​บทเพลง​ร้อง​ทุกข์. นั่น​เป็น​ครั้ง​แรก​ใน​ชีวิต​ที่​ดิฉัน​ได้​อ่าน​คัมภีร์​ไบเบิล. วัน​หนึ่ง​ดิฉัน​ปีน​ขึ้น​ไป​บน​เนิน​เขา​สูง คุกเข่า​ลง​แล้ว​อธิษฐาน​ว่า “เมื่อ​สงคราม​ยุติ​ลง ข้าพเจ้า​สัญญา​ว่า​จะ​ไป​โบสถ์​ทุก​วัน​อาทิตย์.”

ไม่​นาน​นัก​แนว​รบ​ก็​เคลื่อน​ไป​ทาง​ตะวัน​ตก. ใน​ที่​สุด เมื่อ​เยอรมนี​ยอม​แพ้​ใน​เดือน​พฤษภาคม 1945 สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่ 2 ก็​ยุติ​ลง​ใน​ยุโรป. ใน​ช่วง​นี้​เอง ดิฉัน​ทำ​ตาม​ที่​สัญญา​ไว้​กับ​พระเจ้า​โดย​ไป​โบสถ์​ทุก​อาทิตย์. แต่​ทว่า​มี​เพียง​ผู้​หญิง​สูง​อายุ​ไม่​กี่​คน​เท่า​นั้น​ที่​ไป​โบสถ์. ดิฉัน​รู้สึก​อาย​ที่​จะ​ไป​ที่​นั่น. ถ้า​มี​แขก​มา​เยี่ยม​ที่​บ้าน​เรา ดิฉัน​ก็​เอา​คัมภีร์​ไบเบิล​ไป​ซ่อน​ไว้​ใต้​โต๊ะ.

ไม่​นาน​ดิฉัน​ก็​ได้​งาน​เป็น​ครู​ที่​โรง​เรียน​ใกล้​บ้าน. พอ​ถึง​ตอน​นั้น​รัฐบาล​คอมมิวนิสต์​ก็​ยึด​อำนาจ​และ​ความ​คิด​เรื่อง​ไม่​มี​พระเจ้า​ก็​กำลัง​แพร่​หลาย. แต่​ดิฉัน​ไม่​ยอม​เข้า​ร่วม​กับ​พรรค​คอมมิวนิสต์. ดิฉัน​ง่วน​อยู่​กับ​งาน​ช่วยเหลือ​สังคม​หลาย​อย่าง เช่น จัด​งาน​เต้น​รำ​แบบ​พื้น​บ้าน​สำหรับ​เด็ก ๆ.

ได้​รู้​จัก​กับ​พยาน​ฯ

เนื่อง​จาก​เด็ก ๆ จำเป็น​ต้อง​ใช้​ชุด​เต้น​รำ ดิฉัน​จึง​ไป​หา​เอมิลี ซานนามีส์ ซึ่ง​เป็น​ช่าง​เย็บ​ผ้า​ฝีมือ​ดี นั่น​เป็น​ช่วง​เดือน​เมษายน 1945. ดิฉัน​ไม่​รู้​ว่า​เธอ​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา. เธอ​ถาม​ว่า “คุณ​คิด​อย่าง​ไร​เรื่อง​สถานการณ์​ใน​โลก?” เนื่อง​จาก​กำลัง​มี​การ​ประชุม​เพื่อ​สันติภาพ​ใน​นคร​ซานฟรานซิสโก สหรัฐ​อเมริกา ดิฉัน​จึง​ตอบ​ว่า “อีก​ไม่​นาน​นัก​รัฐบาล​ชุด​นี้​จะ​สิ้น​อำนาจ และ​ฉัน​มั่น​ใจ​ว่า​การ​ประชุม​เพื่อ​สันติภาพ​ครั้ง​นี้​จัด​ขึ้น​เพื่อ​ทำ​ให้​แน่​ใจ​ว่า​รัฐบาล​นี้​จะ​สิ้น​อำนาจ​จริง ๆ.”

เอมิลี​บอก​ว่า​การ​ประชุม​เพื่อ​สันติภาพ​ครั้ง​นี้​จะ​ไม่​แก้​ปัญหา​อย่าง​ยั่งยืน และ​เธอ​ขอ​เปิด​คัมภีร์​ไบเบิล​ให้​ดิฉัน​ดู​ว่า​ทำไม​จึง​เป็น​เช่น​นั้น. ตอน​นั้น​ดิฉัน​ยัง​ไม่​พร้อม​จะ​ฟัง​หญิง​วัย​กลาง​คน​ซึ่ง​มี​กิริยา​ท่า​ทาง​อ่อนโยน​ผู้​นี้ เธอ​จึง​ถาม​ดิฉัน​ข้อ​หนึ่ง​ว่า “คุณ​รู้​ไหม​ว่า​พระเจ้า​ประสงค์​ให้​อาดาม​กับ​ฮาวา​อยู่​ที่​ไหน?” เนื่อง​จาก​ดิฉัน​ตอบ​ไม่​ได้ เธอ​จึง​บอก​ว่า “ลอง​ไป​ถาม​คุณ​พ่อ​คุณ​ดู​นะ.”

เมื่อ​กลับ​ถึง​บ้าน ดิฉัน​ถาม​คุณ​พ่อ. ท่าน​ตอบ​ไม่​ได้​และ​บอก​ว่า​เรา​ไม่​จำเป็น​ต้อง​สนใจ​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล แค่​เรา​เชื่อ​ก็​พอ​แล้ว. เมื่อ​ดิฉัน​กลับ​ไป​รับ​ชุด​เต้น​รำ ดิฉัน​บอก​เอมิลี​ว่า​คุณ​พ่อ​ตอบ​คำ​ถาม​ของ​เธอ​ไม่​ได้. เธอ​กับ​พี่​สาว​จึง​เอา​คัมภีร์​ไบเบิล​ออก​มา​และ​อ่าน​คำ​สั่ง​ของ​พระเจ้า​ที่​มี​ต่อ​อาดาม​และ​ฮาวา ซึ่ง​ให้​เขา​ดู​แล​รักษา​สวน​อุทยาน และ​ให้​อาศัย​อยู่​ที่​นั่น​อย่าง​มี​ความ​สุข​ตลอด​ไป. พวก​เธอ​เปิด​คัมภีร์​ไบเบิล​ให้​ดิฉัน​ดู​ว่า​พระเจ้า​ประสงค์​ให้​อาดาม​กับ​ฮาวา​มี​ลูก​หลาน​และ​ขยาย​อุทยาน​ออก​ไป​ทั่ว​โลก. ดิฉัน​รู้สึก​ตื่นเต้น​เมื่อ​เห็น​หลักฐาน​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล!—เยเนซิศ 1:28; 2:8, 9, 15; บทเพลง​สรรเสริญ 37:29; ยะซายา 45:18; วิวรณ์ 21:3, 4.

การ​ประชุม​คริสเตียน​ครั้ง​แรก​ของ​ดิฉัน

เนื่อง​จาก​ใน​ฤดู​ร้อน​ปี​นั้น​ดิฉัน​ต้อง​เข้า​รับ​การ​อบรม​หลัก​สูตร​สำหรับ​ครู​เป็น​เวลา​สาม​เดือน​ที่​เมือง​ตาร์ตู เอมิลี​จึง​ให้​ที่​อยู่​ของ​พยาน​ฯ ใน​เมือง​นั้น​แก่​ดิฉัน. เธอ​ยัง​ให้​หนังสือ​การ​ทรง​สร้าง​แก่​ดิฉัน​ด้วย ซึ่ง​เสนอ​ความ​จริง​พื้น​ฐาน​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล​ไว้​อย่าง​ชัดเจน​และ​ตราตรึง​อยู่​ใน​หัวใจ​ของ​ดิฉัน. ดัง​นั้น ใน​วัน​ที่ 4 สิงหาคม 1945 ดิฉัน​ไป​ตาม​ที่​อยู่​ที่​เธอ​ให้​มา.

เมื่อ​ไม่​มี​ใคร​เปิด​ประตู ดิฉัน​จึง​เคาะ​ประตู​เสียง​ดัง​จน​คน​ข้าง​บ้าน​เปิด​ประตู​ออก​มา​และ​ให้​ที่​อยู่​อีก​แห่ง​หนึ่ง​แก่​ดิฉัน นั่น​คือ​บ้าน​เลข​ที่ 56 ถนน​ซาลเม. เมื่อ​ไป​ถึง​ที่​นั่น ดิฉัน​ถาม​ผู้​หญิง​คน​หนึ่ง​ซึ่ง​กำลัง​ปอก​มันฝรั่ง​อยู่​ใน​ห้อง​ว่า “มี​การ​ประชุม​ศาสนา​ที่​นี่​ใช่​ไหม​คะ?” เธอ​ไล่​ดิฉัน​ออก​ไป​ด้วย​ความ​ฉุนเฉียว และ​บอก​ว่า​ที่​นี่​ไม่​ต้อนรับ​ดิฉัน. แต่​เนื่อง​จาก​ดิฉัน​ยัง​ยืนกราน เธอ​จึง​เชิญ​ดิฉัน​ขึ้น​ไป​ชั้น​บน​เพื่อ​ร่วม​กลุ่ม​การ​ศึกษา​พระ​คัมภีร์. ไม่​นาน​ก็​มี​การ​พัก​กลางวัน และ​ดิฉัน​ก็​เตรียม​ตัว​กลับ. แต่​ผู้​เข้า​ร่วม​คน​อื่น ๆ กระตุ้น​ให้​ดิฉัน​อยู่​ต่อ.

ขณะ​ที่​ดิฉัน​มอง​ไป​รอบ ๆ ใน​ช่วง​พัก​กลางวัน ดิฉัน​เห็น​ชาย​หนุ่ม​สอง​คน ซึ่ง​ผอม​และ​ซีด​เซียว​กว่า​ปกติ​กำลัง​นั่ง​อยู่​ใกล้​หน้าต่าง. ต่อ​มา​ดิฉัน​ได้​รู้​ว่า​ระหว่าง​สงคราม ชาย​สอง​คน​นี้​ซ่อน​ตัว​อยู่​ใน​ที่​ซ่อน​ต่าง ๆ เป็น​เวลา​กว่า​หนึ่ง​ปี​เพื่อ​จะ​ไม่​ถูก​จับ. * ระหว่าง​การ​ประชุม​ภาค​บ่าย ฟรีดริก อัลต์เปเร ใช้​คำ​ว่า “อาร์มาเก็ดดอน” ใน​คำ​บรรยาย​เรื่อง​หนึ่ง. เนื่อง​จาก​ดิฉัน​ไม่​รู้​จัก​คำ​นี้ ตอน​หลัง​ดิฉัน​จึง​ถาม​เขา เขา​จึง​เปิด​คัมภีร์​ไบเบิล​ให้​ดิฉัน​ดู​คำ​นี้. (วิวรณ์ 16:16) เมื่อ​เขา​เห็น​ดิฉัน​แปลก​ใจ เขา​ก็​ดู​เหมือน​จะ​แปลก​ใจ​เช่น​กัน​ที่​ดิฉัน​ไม่​รู้​จัก​คำ​นี้.

ดิฉัน​เริ่ม​เข้าใจ​ว่า​การ​ประชุม​นี้​จัด​ขึ้น​สำหรับ​พยาน​ฯ ที่​รู้​จัก​และ​ไว้​ใจ​กัน​เท่า​นั้น. ต่อ​มา​ดิฉัน​ได้​มา​รู้​อีก​ว่า​นี่​เป็น​การ​ประชุม​ครั้ง​แรก​ของ​พวก​เขา​หลัง​สงคราม! นับ​แต่​นั้น​มา ดิฉัน​ตระหนัก​ดี​ถึง​ความ​จำเป็น​ต้อง​วางใจ​ใน​พระเจ้า. (สุภาษิต 3:5, 6) หนึ่ง​ปี​ต่อ​มา ใน​เดือน​สิงหาคม 1946 เมื่อ​อายุ​ได้ 20 ปี ดิฉัน​รับ​บัพติสมา​ซึ่ง​เป็น​สัญลักษณ์​แห่ง​การ​อุทิศ​ตัว​แด่​พระ​ยะโฮวา พระเจ้า​องค์​เที่ยง​แท้.

รับมือ​กับ​การ​ต่อ​ต้าน​จาก​ครอบครัว

รัฐบาล​บังคับ​ให้​โรง​เรียน​สอน​แนว​คิด​เรื่อง​ไม่​มี​พระเจ้า และ​เรื่อง​นี้​เป็น​การ​ทดสอบ​สติ​รู้สึก​ผิด​ชอบ​ของ​ดิฉัน​ที่​ได้​รับ​การ​ฝึกฝน​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล. ดิฉัน​อยาก​เปลี่ยน​อาชีพ. เมื่อ​ดิฉัน​เล่า​เรื่อง​นี้​ให้​คุณ​แม่​ฟัง ท่าน​เดือดดาล​มาก​และ​กระชาก​ผม​ของ​ดิฉัน​จน​หลุด​ออก​มา​กระจุก​หนึ่ง. ดิฉัน​จึง​ตัดสิน​ใจ​ว่า​จะ​ออก​จาก​บ้าน. แต่​คุณ​พ่อ​หนุน​ใจ​ให้​ดิฉัน​อด​ทน และ​บอก​ว่า​ท่าน​จะ​ช่วย​ดิฉัน.

อันส์ น้อง​ชาย​ก็​ช่วย​คุณ​แม่​ต่อ​ต้าน​ดิฉัน​ด้วย. แต่​วัน​หนึ่ง​เขา​ขอ​หนังสือ​ของ​ดิฉัน​ไป​อ่าน แล้ว​ก็​ชอบ​มาก. คุณ​แม่​โกรธ​มาก. อันส์​ถึง​กับ​เริ่ม​พูด​เรื่อง​พระเจ้า​ที่​โรง​เรียน แต่​เมื่อ​ถูก​ต่อ​ต้าน เขา​ก็​เลิก​คบหา​กับ​พยาน​ฯ. ไม่​นาน​หลัง​จาก​นั้น เขา​ประสบ​อุบัติเหตุ​จาก​การ​กระโดด​น้ำ​และ​ได้​รับ​บาดเจ็บ​ที่​ศีรษะ. เขา​นอน​อยู่​บน​เปล​หาม เป็น​อัมพาต แต่​ความ​คิด​จิตใจ​ของ​เขา​ยัง​ดี​อยู่. เขา​ถาม​ว่า “พระ​ยะโฮวา​จะ​ให้​อภัย​ผม​ไหม?” ดิฉัน​ตอบ​ว่า “ให้​อภัย​สิ.” ไม่​กี่​วัน​ต่อ​มา​อันส์​ก็​เสีย​ชีวิต. เขา​มี​อายุ​แค่ 17 ปี.

เดือน​กันยายน 1947 ดิฉัน​ออก​จาก​งาน​ที่​โรง​เรียน. คุณ​แม่​ยัง​คง​ต่อ​ต้าน​ดิฉัน​อย่าง​รุนแรง. เมื่อ​ท่าน​ขน​เสื้อ​ผ้า​ทั้ง​หมด​ของ​ดิฉัน​ออก​ไป​ทิ้ง​นอก​บ้าน ดิฉัน​จึง​ออก​จาก​บ้าน​และ​สอง​พี่​น้อง​ซานนามีส์​ก็​รับ​ดิฉัน​ไป​อยู่​ด้วย. เมื่อ​พวก​เธอ​กระตุ้น​เตือน​ดิฉัน​ว่า​พระ​ยะโฮวา​ไม่​มี​วัน​ทอดทิ้ง​ผู้​รับใช้​ของ​พระองค์ ดิฉัน​ก็​ได้​รับ​กำลังใจ​มาก.

การ​ทดลอง​ใน​เอสโตเนีย​ช่วง​หลัง​สงคราม

สอง​พี่​น้อง​ซานนามีส์​ให้​ดิฉัน​ทำ​งาน​กับ​พวก​เธอ​โดย​เย็บ​ผ้า​ให้​ครอบครัว​ที่​อาศัย​ใน​ฟาร์ม​ต่าง ๆ. เรา​สามารถ​บอก​เล่า​ความ​จริง​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล​ให้​คน​เหล่า​นี้​ได้​บ่อย ๆ. ช่วง​นั้น​เป็น​ช่วง​ที่​มี​ความ​สุข​มาก เพราะ​ดิฉัน​ไม่​เพียง​ได้​เรียน​รู้​การ​เย็บ​ผ้า แต่​ยัง​มี​ประสบการณ์​มาก​ขึ้น​ใน​งาน​เผยแพร่​แบบ​คริสเตียน​ด้วย. นอก​จาก​การ​เย็บ​ผ้า​แล้ว ดิฉัน​ยัง​ได้​งาน​เป็น​ครู​สอน​พิเศษ​วิชา​คณิตศาสตร์. อย่าง​ไร​ก็​ตาม ใน​ปี 1948 พวก​เจ้าหน้าที่​เริ่ม​จับ​กุม​พยาน​ฯ.

ใน​เดือน​ตุลาคม​ปี​ต่อ​มา บังเอิญ​วัน​นั้น​ดิฉัน​ทำ​งาน​อยู่​ใน​ฟาร์ม​แห่ง​หนึ่ง มี​คน​มา​บอก​ดิฉัน​ว่า​พวก​เจ้าหน้าที่​ไป​ที่​บ้าน​ของ​สอง​พี่​น้อง​ซานนามีส์​เพื่อ​จับ​ดิฉัน. เมื่อ​ดิฉัน​หนี​ไป​ซ่อน​ตัว​ที่​ฟาร์ม​ของ​บราเดอร์​ฮูโก ซูซี ดิฉัน​จึง​ได้​ทราบ​ว่า​เขา​เพิ่ง​ถูก​จับ​ไป. ผู้​หญิง​คน​หนึ่ง​ซึ่ง​ดิฉัน​เคย​เย็บ​ผ้า​ให้​ชวน​ดิฉัน​ไป​อยู่​กับ​เธอ. ต่อ​มา ดิฉัน​ย้าย​ไป​ตาม​ฟาร์ม​ต่าง ๆ ทำ​งาน​เย็บ​ผ้า​และ​ยัง​คง​ทำ​งาน​ประกาศ​ต่อ​ไป.

พอ​เริ่ม​เข้า​สู่​ฤดู​หนาว คณะ​กรรมการ​ตำรวจ​ลับ​แห่ง​โซเวียต (เคจีบี) ก็​พบ​ตัว​ดิฉัน​จน​ได้​ที่​เมือง​ตาร์ตู ใน​บ้าน​ของ​หญิง​สาว​คน​หนึ่ง​ที่​ชื่อ​ลินดา เมตติก ซึ่ง​เป็น​พยาน​ฯ ที่​กระตือรือร้น​อีก​คน​หนึ่ง​และ​มี​อายุ​มาก​กว่า​ดิฉัน​ไม่​กี่​ปี. พวก​เขา​จับ​กุม​ดิฉัน​และ​ส่ง​ตัว​ดิฉัน​ไป​สอบสวน. ดิฉัน​ถูก​บังคับ​ให้​ถอด​เสื้อ​ผ้า​ออก​ทั้ง​หมด​โดย​มี​ตำรวจ​หนุ่ม​ยืน​จ้อง​อยู่ ซึ่ง​ดิฉัน​ถือ​เป็น​การ​เหยียด​หยาม​อย่าง​มาก. แต่​หลัง​จาก​ดิฉัน​อธิษฐาน​ต่อ​พระ​ยะโฮวา สันติ​สุข​และ​ความ​สงบ​ใจ​ก็​เกิด​ขึ้น​ใน​ใจ​ดิฉัน.

ต่อ​จาก​นั้น ดิฉัน​ถูก​ขัง​ใน​ห้อง​เล็ก ๆ ซึ่ง​ไม่​มี​แม้​แต่​ที่​ให้​นอน​ด้วย​ซ้ำ. ดิฉัน​ถูก​นำ​ตัว​ออก​มา​เฉพาะ​เมื่อ​มี​การ​สอบสวน. เจ้าหน้าที่​บอก​ว่า “เรา​ไม่​ได้​ขอ​ให้​แก​ปฏิเสธ​ว่า​ไม่​มี​พระเจ้า. แค่​ขอ​ให้​หยุด​ประกาศ​เรื่อง​โง่ ๆ พวก​นี้​เท่า​นั้น! แก​อาจ​จะ​มี​อนาคต​ที่​ดี​กว่า​นี้​ก็​ได้.” และ​พวก​เขา​ก็​จะ​ขู่​ว่า “แก​อยาก​จะ​มี​ชีวิต​อยู่​ต่อ​ไป​ไหม? หรือ​อยาก​จะ​ตาย​กับ​พระเจ้า​ของ​แก​ใน​ทุ่ง​ไซบีเรีย?”

เป็น​เวลา​สาม​วัน พวก​เขา​ไม่​ให้​ดิฉัน​นอน​หลับ​เลย​ระหว่าง​ที่​ถูก​สอบสวน​ครั้ง​แล้ว​ครั้ง​เล่า. การ​คิด​รำพึง​ถึง​หลักการ​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล​ช่วย​ดิฉัน​ให้​อด​ทน​ได้. ใน​ที่​สุด ผู้​สอบสวน​คน​หนึ่ง​ก็​ขอ​ดิฉัน​ให้​ลง​ชื่อ​ใน​เอกสาร​ที่​บอก​ว่า​ดิฉัน​จะ​หยุด​ประกาศ. ดิฉัน​ตอบ​ว่า “ดิฉัน​คิด​ใคร่ครวญ​เรื่อง​นี้​ดี​แล้ว ดิฉัน​ยอม​อยู่​ใน​คุก​และ​มี​สัมพันธภาพ​ที่​ดี​กับ​พระเจ้า​ดี​กว่า​ที่​จะ​เป็น​อิสระ​แต่​ทำ​ให้​พระองค์​ไม่​พอ​พระทัย.” ตอน​นั้น​ผู้​สอบสวน​ตะโกน​ว่า “ทำไม​ถึง​โง่​อย่าง​นี้! พวก​แก​ทุก​คน​จะ​ถูก​จับ​และ​ถูก​ส่ง​ไป​ไซบีเรีย!”

จู่ ๆ ก็​ถูก​ปล่อย​ตัว​เป็น​อิสระ

น่า​แปลก​ใจ ก่อน​เที่ยง​คืน​เล็ก​น้อย ผู้​สอบสวน​บอก​ดิฉัน​ให้​เก็บ​ข้าวของ​และ​ไป​เสีย. เนื่อง​จาก​ดิฉัน​รู้​ว่า​จะ​มี​คน​สะกด​รอย​ตาม​ดิฉัน ดิฉัน​จึง​ไม่​ได้​ไป​ที่​บ้าน​ของ​เพื่อน​คริสเตียน เนื่อง​จาก​นั่น​เท่า​กับ​เป็น​การ​ทรยศ​พวก​เขา. ขณะ​ที่​ดิฉัน​เดิน​ไป​ตาม​ถนน ผู้​ชาย​สาม​คน​ตาม​ดิฉัน​มา​จริง ๆ. ดิฉัน​อธิษฐาน​ขอ​ให้​พระ​ยะโฮวา​ทรง​นำ จาก​นั้น​ก็​เดิน​เลี้ยว​เข้า​ไป​ใน​ถนน​มืด ๆ และ​รีบ​วิ่ง​เข้า​ไป​ใน​สวน​แห่ง​หนึ่ง. ดิฉัน​นอน​ลง​บน​พื้น​และ​โกย​ใบ​ไม้​ปิด​คลุม​ตัว​ไว้. ดิฉัน​ได้​ยิน​เสียง​ผู้​ชาย​พวก​นั้น​เดิน​เหยียบ​ใบ​ไม้​ดัง​กรอบแกรบ​และ​เห็น​แสง​จาก​ไฟ​ฉาย​ของ​พวก​เขา.

หลาย​ชั่วโมง​ผ่าน​ไป และ​กระดูก​ของ​ดิฉัน​ชา​ไป​เนื่อง​จาก​ความ​หนาว​เย็น. ใน​ที่​สุด ดิฉัน​ก็​เดิน​ออก​มา​ตาม​ถนน​ที่​ปู​ด้วย​หิน​โดย​ถือ​รอง​เท้า​ไว้​เพื่อ​จะ​ไม่​ทำ​ให้​เกิด​เสียง. ดิฉัน​ออก​ไป​จาก​เมือง​และ​เดิน​ตาม​ท้อง​ร่อง​ข้าง​ถนน​หลวง. เมื่อ​รถยนต์​วิ่ง​ผ่าน​มา ดิฉัน​ก็​หมอบ​ลง. พอ​ตี​ห้า ดิฉัน​ไป​ถึง​บ้าน​ของ​ยู​รี​กับ​มีตา โทเมล ซึ่ง​อยู่​ไม่​ไกล​จาก​เมือง​ตาร์ตู.

มีตา รีบ​เปิด​ห้อง​อบ​ไอ​น้ำ​ให้​ดิฉัน​เพื่อ​จะ​ช่วย​ให้​ร่าง​กาย​อุ่น​ขึ้น. วัน​รุ่ง​ขึ้น​เธอ​ไป​ที่​เมือง​ตาร์ตู​และ​ติด​ต่อ​กับ​ลินดา เมตติก. ลินดา​กระตุ้น​ดิฉัน​ว่า “ให้​เรา​เริ่ม​ออก​ประกาศ​เดี๋ยว​นี้ และ​ประกาศ​ข่าว​ดี​ไป​ให้​ทั่ว​เอสโตเนีย​เลย.” หลัง​จาก​ที่​ดิฉัน​เปลี่ยน​โฉม​ใหม่​โดย​เปลี่ยน​ทรง​ผม, แต่ง​หน้า​เล็ก​น้อย, และ​ใส่​แว่นตา เรา​ก็​เริ่ม​งาน​ประกาศ​กัน. ใน​ช่วง​หลาย​เดือน​จาก​นั้น เรา​ขี่​จักรยาน​ไป​ไกล​มาก. ตลอด​ทาง​เรา​หนุน​กำลังใจ​เพื่อน​ร่วม​ความ​เชื่อ​ที่​อยู่​ใน​ฟาร์ม​ต่าง ๆ.

พยาน​ฯ จัด​เตรียม​การ​ประชุม​ใหญ่​ใน​วัน​ที่ 24 กรกฎาคม 1950 ใน​โรง​นา​ขนาด​ใหญ่​ของ​นัก​ศึกษา​พระ​คัมภีร์​คน​หนึ่ง​ใกล้​เมือง​โอเตปา. เมื่อ​เรา​รู้​ว่า​พวก​เค​จี​บี​สืบ​ทราบ​เรื่อง​แผนการ​ที่​เรา​จะ​ประชุม​กัน เรา​สามารถ​เตือน​พยาน​ฯ ส่วน​ใหญ่​ซึ่ง​กำลัง​เดิน​ทาง​มา​ให้​รู้. มี​การ​จัด​เตรียม​สถาน​ที่​อีก​แห่ง​หนึ่ง​ใน​วัน​ถัด​ไป และ​มี​คน​ประมาณ 115 คน​เข้า​ร่วม​ประชุม. แต่​ละ​คน​กลับ​บ้าน​ด้วย​ความ​ยินดี​และ​ตั้งใจ​แน่วแน่​ยิ่ง​กว่า​แต่​ก่อน​ที่​จะ​ซื่อ​สัตย์​ภักดี​แม้​เผชิญ​การ​ทดลอง. *

หลัง​จาก​นั้น ดิฉัน​กับ​ลินดา​ก็​ทำ​งาน​ประกาศ​และ​หนุน​กำลังใจ​เพื่อน​คริสเตียน​ต่อ ๆ ไป. ต่อ​มา​ใน​ปี​นั้น เรา​ทำ​งาน​เก็บ​มันฝรั่ง​และ​แบ่ง​ปัน​ข่าวสาร​ราชอาณาจักร​กับ​คน​ที่​ทำ​งาน​กับ​เรา​ได้. เจ้าของ​ไร่​ถึง​กับ​หยุด​งาน​และ​ฟัง​เรา​เป็น​เวลา​หนึ่ง​ชั่วโมง แล้ว​พูด​ว่า “เรา​ไม่​ค่อย​ได้​ยิน​ข่าว​ดี​แบบ​นี้​กัน​เลย!”

ดิฉัน​กับ​ลินดา​กลับ​ไป​ที่​เมือง​ตาร์ตู แล้ว​เรา​ได้​รู้​ว่า​มี​พยาน​ฯ ถูก​จับ​กุม​มาก​ขึ้น รวม​ทั้ง​คุณ​แม่​ของ​ลินดา​ด้วย. ตอน​นี้​เพื่อน​ของ​เรา​ส่วน​ใหญ่​ถูก​จับ รวม​ทั้ง​สอง​พี่​น้อง​ซานนามีส์. เนื่อง​จาก​เรา​รู้​ว่า​พวก​เคจีบี​กำลัง​ตาม​หา​เรา เรา​จึง​หา​จักรยาน​สอง​คัน​และ​ประกาศ​นอก​เมือง​ตาร์ตู​ต่อ​ไป. คืน​หนึ่ง พวก​เค​จี​บี​พบ​ดิฉัน​ที่​บ้าน​ของ​อัลมา วาร์ดจา ซึ่ง​เป็น​พยาน​ฯ ที่​เพิ่ง​รับ​บัพติสมา​ใหม่. เมื่อ​ตรวจ​หนังสือ​เดิน​ทาง​ของ​ดิฉัน เค​จี​บี​คน​หนึ่ง​ก็​ร้อง​ออก​มา​ว่า “เอลลา! เรา​ตาม​หา​คุณ​จน​ทั่ว​เลย!” นั่น​คือ​วัน​ที่ 27 ธันวาคม 1950.

ถูก​จำ​คุก​แล้ว​ถูก​ส่ง​ไป​ไซบีเรีย

ดิฉัน​กับ​อัลมา​เก็บ​ข้าวของ​เล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย​ความ​สงบ แล้ว​เรา​ก็​กิน​อาหาร​กัน. เจ้าหน้าที่​เค​จี​บี​แปลก​ใจ​มาก​และ​พูด​ว่า “พวก​คุณ​ไม่​ร้องไห้​ด้วย​ซ้ำ. คุณ​เอา​แต่​นั่ง​กิน​อาหาร​กัน​เฉย ๆ.” เรา​ตอบ​ว่า “เรา​กำลัง​จะ​ไป​ทำ​งาน​มอบหมาย​ใหม่​ของ​เรา และ​เรา​ไม่​รู้​ว่า​จะ​ได้​กิน​อาหาร​อีก​เมื่อ​ไร.” ดิฉัน​เอา​ผ้า​ห่ม​ไป​ด้วย ซึ่ง​ต่อ​มา​ดิฉัน​เอา​มา​ทำ​ถุง​เท้า​และ​ถุง​มือ​เพื่อ​ช่วย​ให้​อบอุ่น. หลัง​จาก​ถูก​จำ​คุก​หลาย​เดือน ใน​เดือน​สิงหาคม 1951 ดิฉัน​กับ​พยาน​ฯ คน​อื่น ๆ ใน​เอสโตเนีย​ก็​ถูก​เนรเทศ. *

จาก​เอสโตเนีย​เรา​ถูก​ส่ง​ขึ้น​รถไฟ​ไป​ยัง​เมือง​เลนินกราด (ปัจจุบัน​คือ​เมือง​เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก) รัสเซีย และ​จาก​ที่​นั่น​เรา​เดิน​ทาง​ต่อ​ไป​ยัง​ค่าย​แรงงาน​ที่​มี​ชื่อ​ฉาวโฉ่​ใน​เมือง​วอร์กูตา สาธารณรัฐ​โกมี ซึ่ง​อยู่​เหนือ​เส้น​อาร์กติก​เซอร์เคิล. มี​พยาน​ฯ สาม​คน​อยู่​ใน​กลุ่ม​ของ​เรา. ดิฉัน​เคย​เรียน​ภาษา​รัสเซีย​ใน​โรง​เรียน​และ​ได้​ฝึก​ใช้​ภาษา​นี้​นับ​ตั้ง​แต่​ดิฉัน​ถูก​จับ. ดิฉัน​จึง​พูด​ภาษา​รัสเซีย​ได้​คล่องแคล่ว​เมื่อ​เรา​มา​ถึง​ค่าย.

ใน​เมือง​วอร์กูตา เรา​พบ​หญิง​สาว​ชาว​ยูเครน​คน​หนึ่ง​ซึ่ง​เข้า​มา​เป็น​พยาน​ฯ ขณะ​อยู่​ใน​ค่าย​กัก​กัน​ของ​นาซี​ที่​โปแลนด์. ใน​ปี 1945 หญิง​สาว​คน​นี้​กับ​พยาน​ฯ อีก 14 คน​ถูก​นำ​ตัว​ไป​ลง​เรือ​ลำ​ที่​พวก​เยอรมัน​ตั้งใจ​จะ​จม​ใน​ทะเล​บอลติก. อย่าง​ไร​ก็​ตาม เรือ​ลำ​นั้น​เดิน​ทาง​ไป​ถึง​เดนมาร์ก​อย่าง​ปลอด​ภัย. ต่อ​มา หลัง​จาก​เธอ​กลับ​ไป​รัสเซีย เธอ​ถูก​จับ​เนื่อง​จาก​ทำ​งาน​ประกาศ และ​ถูก​ส่ง​ไป​ยัง​วอร์กูตา และ​ที่​นั่น​เอง​เธอ​เป็น​แหล่ง​แห่ง​กำลังใจ​สำหรับ​พวก​เรา.

เรา​ยัง​ได้​พบ​กับ​ผู้​หญิง​อีก​สอง​คน ซึ่ง​ถาม​เรา​ด้วย​ภาษา​ยูเครน​ว่า “มี​ใคร​ที่​นี่​เป็น​พยาน​ของ​พระ​ยะโฮวา​บ้าง?” เรา​รู้​ทันที​ว่า​พวก​เขา​เป็น​พี่​น้อง​คริสเตียน​ของ​เรา! พวก​เขา​หนุน​กำลังใจ​และ​ดู​แล​เรา. นัก​โทษ​คน​อื่น ๆ พูด​กัน​ว่า ราว​กับ​มี​ครอบครัว​ที่​คอย​ต้อนรับ​พวก​เรา​อยู่​เมื่อ​ไป​ถึง.

ย้าย​ไป​ค่าย​มอร์โดเวีย

ใน​เดือน​ธันวาคม 1951 ผล​การ​ตรวจ​ร่าง​กาย​พบ​ว่า​ดิฉัน​เป็น​โรค​ไทรอยด์ ดิฉัน​จึง​ถูก​ย้าย​ไป​อยู่​ที่​เรือน​จำ​ขนาด​ใหญ่​ใน​มอร์โดเวีย ซึ่ง​อยู่​ไกล​ออก​ไป​หนึ่ง​พัน​ห้า​ร้อย​กิโลเมตร​ทาง​ตะวัน​ตก​เฉียง​ใต้ และ​อยู่​ห่าง​จาก​กรุง​มอสโก​ประมาณ 400 กิโลเมตร​ทาง​ตะวัน​ออก​เฉียง​ใต้. ใน​ช่วง​หลัง​จาก​นั้น ดิฉัน​ได้​พบ​พยาน​ฯ ชาว​เยอรมัน, ฮังการี, โปแลนด์, และ​ยูเครน​ใน​ค่าย​ผู้​ต้อง​ขัง​หญิง​ที่​ดิฉัน​ถูก​คุม​ขัง. ดิฉัน​ยัง​พบ​กับ​ไมมู ซึ่ง​เป็น​นัก​โทษ​ทาง​การ​เมือง​จาก​เอสโตเนีย​อีก​ด้วย.

เมื่อ​อยู่​ใน​เรือน​จำ​ที่​เอสโตเนีย ไมมู​ให้​กำเนิด​ลูก​คน​หนึ่ง แล้ว​ผู้​คุม​ที่​ใจ​ดี​นำ​ลูก​ของ​เธอ​ไป​ให้​คุณ​แม่​ของ​ไมมู. ที่​เรือน​จำ​มอร์โดเวีย เรา​ศึกษา​พระ​คัมภีร์​กับ​ไมมู และ​เธอ​ก็​ยอม​รับ​สิ่ง​ที่​เธอ​ได้​เรียน​รู้. เธอ​ยัง​เขียน​จดหมาย​ไป​ถึง​คุณ​แม่ ซึ่ง​ก็​ยอม​รับ​ความ​จริง​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล​และ​สอน​คา​ริน ลูก​สาว​ตัว​น้อย​ของ​ไมมู​ด้วย. หก​ปี​ต่อ​มา ไมมู​ถูก​ปล่อย​ตัว​จาก​เรือน​จำ​และ​ได้​ไป​อยู่​กับ​ลูก​ของ​เธอ​อีก. เมื่อ​คา​ริน​โต​ขึ้น เธอ​ก็​แต่งงาน​กับ​เพื่อน​พยาน​ฯ คน​หนึ่ง. ทั้ง​สอง​รับใช้​ด้วย​กัน​ใน​ช่วง 11 ปี​ที่​ผ่าน​มา​ใน​สำนักงาน​สาขา​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ที่​กรุง​ทาลลินน์ เอสโตเนีย.

เรือน​จำ​แห่ง​หนึ่ง​ใน​ค่าย​ขนาด​ใหญ่​ที่​มอร์โดเวีย​มี​ส่วน​ที่​เรียก​ว่า​กรง​ขัง. มัน​เป็น​โรง​ที่​พัก​เล็ก ๆ ซึ่ง​มี​ทหาร​เฝ้า​อยู่​อย่าง​ใกล้​ชิด​ภาย​ใน​กำแพง​สูง. พยาน​ฯ คน​อื่น ๆ อีก​หก​คน​กับ​ดิฉัน​ถูก​ส่ง​ตัว​ไป​ที่​นั่น​เนื่อง​จาก​กิจกรรม​คริสเตียน​ของ​เรา. แต่​แม้​จะ​อยู่​ที่​นั่น เรา​ก็​ทำ​สำเนา​หอสังเกตการณ์ ฉบับ​จิ๋ว​ที่​เขียน​ด้วย​มือ​และ​ลักลอบ​ส่ง​ไป​ให้​คน​อื่น​ใน​ค่าย​ใกล้​เคียง. วิธี​หนึ่ง​ที่​เรา​ใช้​คือ​เจาะ​ก้อน​สบู่​ให้​เป็น​โพรง​ข้าง​ใน แล้ว​ใส่​บทความ​ลง​ไป จาก​นั้น​ก็​ปิด​รู​ก้อน​สบู่​นั้น.

ช่วง​หลาย​ปี​ที่​ดิฉัน​อยู่​ใน​ค่าย​มอร์โดเวีย ดิฉัน​สามารถ​ช่วย​คน​ให้​มา​เป็น​ผู้​รับใช้​พระเจ้า​ได้​มาก​กว่า​สิบ​คน. ใน​ที่​สุด วัน​ที่ 4 พฤษภาคม 1956 เจ้าหน้าที่​บอก​ดิฉัน​ว่า “ตอน​นี้​คุณ​มี​อิสระ​ที่​จะ​ไป​ไหน​ก็​ได้​และ​มี​อิสระ​ที่​จะ​เชื่อ​ใน​พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า​ของ​คุณ​แล้ว.” ภาย​ใน​เดือน​นั้น​เอง ดิฉัน​เดิน​ทาง​กลับ​เอสโตเนีย.

เกือบ 50 ปี​ที่​กลับ​มา​อยู่​บ้าน

ดิฉัน​ไม่​มี​งาน​ทำ, ไม่​มี​เงิน, และ​ไม่​มี​บ้าน. แต่​ภาย​ใน​ไม่​กี่​วัน​หลัง​จาก​มา​ถึง​เอสโตเนีย ดิฉัน​พบ​กับ​ผู้​หญิง​คน​หนึ่ง​ซึ่ง​สนใจ​คำ​สอน​ของ​คัมภีร์​ไบเบิล. เธอ​ยอม​ให้​ดิฉัน​อาศัย​อยู่​กับ​เธอ​และ​สามี​ใน​แฟลต​ขนาด​ห้อง​เดียว​ของ​เธอ. ดิฉัน​ยืม​เงิน​มา​ซื้อ​ไหมพรม​แล้ว​ถัก​เสื้อ​สเวตเตอร์ จาก​นั้น​เอา​ไป​ขาย​ใน​ตลาด. ต่อ​มา มี​คน​เสนอ​งาน​ให้​ดิฉัน​ทำ​ที่​โรง​พยาบาล​โรค​มะเร็ง​ที่​เมือง​ตาร์ตู ที่​ซึ่ง​ดิฉัน​ทำ​งาน​หลาย​อย่าง​ใน​ช่วง​เจ็ด​ปี​ต่อ​มา. ใน​ระหว่าง​นั้น เลมบิต โทม ก็​กลับ​จาก​การ​ถูก​เนรเทศ​ที่​ไซบีเรีย​เช่น​กัน และ​ใน​เดือน​พฤศจิกายน 1957 เรา​ก็​แต่งงาน​กัน.

พวก​เค​จี​บี​ยัง​คง​ติด​ตาม​เรา​เสมอ และ​เรา​ถูก​รังควาน​บ่อย ๆ เนื่อง​จาก​งาน​ประกาศ​ของ​เรา​ยัง​ถูก​สั่ง​ห้าม. กระนั้น เรา​ก็​ทำ​เท่า​ที่​ทำ​ได้​ใน​การ​แบ่ง​ปัน​ความ​เชื่อ​ของ​เรา. เลมบิต เล่า​เรื่อง​ราว​ชีวิต​ของ​เขา​ใน​ตื่นเถิด! (ภาษา​อังกฤษ) ฉบับ 22 กุมภาพันธ์ 1999. ใน​ช่วง​ปลาย​ทศวรรษ 1950 และ​ตลอด​ทศวรรษ 1960 และ 1970 พยาน​ฯ ที่​ถูก​เนรเทศ​ก็​ทยอย​กัน​กลับ​บ้าน. พอ​ถึง​ปลาย​ทศวรรษ 1980 เรา​ก็​มี​พยาน​ฯ มาก​กว่า 700 คน​ที่​เอสโตเนีย. ใน​ปี 1991 กิจกรรม​คริสเตียน​ของ​เรา​ได้​รับ​การ​ยอม​รับ​ตาม​กฎหมาย และ​ตั้ง​แต่​นั้น​มา​เรา​ก็​มี​พยาน​ฯ เพิ่ม​ขึ้น​จน​มี​จำนวน​กว่า 4,100 คน​ที่​เอสโตเนีย!

บัด​นี้​เป็น​เวลา​กว่า 60 ปี​แล้ว​ตั้ง​แต่​ดิฉัน​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​ลับ​ครั้ง​แรก​ของ​พยาน​ฯ ใน​เอสโตเนีย​หลัง​สิ้น​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่ 2. ตั้ง​แต่​นั้น​มา ดิฉัน​ตั้งใจ​แน่วแน่​จะ​เชื่อ​ฟัง​คำ​กระตุ้น​เตือน​ของ​คัมภีร์​ไบเบิล​ที่​ว่า “จง​วางใจ​ใน​พระ​ยะโฮวา​และ​ประพฤติ​การ​ดี.” ดิฉัน​ได้​เรียน​รู้​ว่า การ​ทำ​อย่าง​นี้​ยัง​ผล​ให้​ได้​รับ “ตาม​ที่​ใจ​ปรารถนา​นั้น.”—บทเพลง​สรรเสริญ 37:3, 4.

[เชิงอรรถ]

^ วรรค 14 ใน​สอง​คน​นี้ คน​หนึ่ง​คือ​เลมบิต โทม ซึ่ง​ชีวประวัติ​ของ​เขา​ลง​พิมพ์​ใน​ตื่นเถิด! (ภาษา​อังกฤษ) ฉบับ 22 กุมภาพันธ์ 1999.

^ วรรค 30 ดู​ตื่นเถิด! (ภาษา​อังกฤษ) ฉบับ 22 กุมภาพันธ์ 1999 หน้า 12-13 สำหรับ​ราย​ละเอียด​ของ​การ​ประชุม​ใหญ่​ครั้ง​นี้.

^ วรรค 34 แต่​พยาน​ฯ ส่วน​ใหญ่​ใน​เอสโตเนีย​ถูก​เนรเทศ​ช่วง​ต้น​เดือน​เมษายน 1951. ดู​ตื่นเถิด! (ภาษา​อังกฤษ) ฉบับ 22 เมษายน 2001 หน้า 6-8 และ​วีดิทัศน์​ซื่อ​สัตย์​ภาย​ใต้​การ​ทดลอง—พยาน​พระ​ยะโฮวา​ใน​สหภาพ​โซเวียต (ภาษา​อังกฤษ).

[คำ​โปรย​หน้า 23]

“ให้​เรา​เริ่ม​ออก​ประกาศ​เดี๋ยว​นี้ และ​ประกาศ​ข่าว​ดี​ไป​ให้​ทั่ว​เอสโตเนีย​เลย.”—ลินดา เมตติก

[ภาพ​หน้า 24]

กับ​พยาน​ฯ อีก​เก้า​คน​ใน​เรือน​จำ​มอร์โดเวีย

[ภาพ​หน้า 24]

ปัจจุบัน​กับ​เลมบิต สามี​ของ​ดิฉัน