ชนเผ่าโรมา—พันปีที่มีทั้งสุขและทุกข์
ชนเผ่าโรมา—พันปีที่มีทั้งสุขและทุกข์
งานนี้ก็คล้ายกับงานสมรสทั่ว ๆ ไปที่จัดขึ้นอย่างใหญ่โตตามธรรมเนียมที่มีมาแต่โบราณ. ในงานมีอาหารและเครื่องดื่มให้รับประทานอย่างเหลือเฟือ และมีดนตรีบรรเลงขับกล่อม. ญาติ ๆ พากันเข้าไปแสดงความยินดีกับเจ้าบ่าวที่กำลังเขินอายและเจ้าสาวที่ดูอิ่มเอิบด้วยความสุข. นี่ไม่ใช่งานแต่งงาน แต่เป็นงานเลี้ยงฉลองการหมั้นในคืนก่อนวันแต่งงานซึ่งมีผู้มาร่วมแสดงความยินดีมากกว่า 600 คน. ในงานนี้ ครอบครัวของเจ้าบ่าวจะมอบสินสอดทองหมั้นให้พ่อแม่ของฝ่ายหญิง. วันรุ่งขึ้น เจ้าบ่าวกับครอบครัวก็จะพาเจ้าสาวคนใหม่ไปที่บ้านของเขา ซึ่งจะมีการจัดงานเลี้ยงอีกงานหนึ่งพร้อมกับพิธีแต่งงานจริง ๆ.
ญาติทุกคนของคู่สมรสใหม่พูดคุยกันด้วยภาษาโรมานี ภาษาที่ถูกมองว่าเป็นภาษาต่างถิ่นไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไหน. ภาษานี้ซึ่งมีภาษาถิ่นอีกหลากหลายรวมถึงขนบธรรมเนียมโบราณหลายอย่างและประเพณีแต่งงานเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชนกลุ่มหนึ่งที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก แต่พวกเขาไม่มีกระทั่งประเทศและรัฐบาลของตนเอง. พวกเขาคือชนเผ่าโรมา. *
ชนเผ่าโรมาเป็นใคร?
การค้นคว้าเกี่ยวกับภาษา, วัฒนธรรม, และเชื้อสายของชนเผ่าโรมา ทำให้พวกเราต้องย้อนเวลากลับไปประมาณ 1,000 ปีทางภาคเหนือของอินเดีย. ภาษาของชนเผ่าโรมา หากไม่นับรวมคำที่รับมาในช่วงหลัง ๆ นี้ แท้จริงแล้วก็มีต้นตอมาจากภาษาอินเดีย. ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าพวกเขาออกจากอินเดียด้วยเหตุผลอะไร. นักวิชาการบางคนเชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกโรมาอาจเคยเป็นช่างฝีมือและผู้ให้ความบันเทิงกับกองทหารแต่ต่อมาคนเหล่านี้ได้อพยพออกจากบ้านเกิดเมืองนอนหลังจากได้รับผลพวงอันเกิดจากสงคราม. ไม่ว่าจะเป็นในกรณีใด ชนเผ่าโรมาก็มา
ถึงยุโรปก่อนปีสากลศักราช 1300 โดยอพยพมาทางเปอร์เซียและตุรกี.ความเข้าใจที่มีอยู่ทั่วไปในยุโรปเกี่ยวกับชนเผ่าโรมานั้นมีสองด้านที่ต่างกันสุดขั้ว. ในด้านหนึ่ง ชนเผ่าโรมาถูกจินตนาการไว้ในนิยายและภาพยนตร์บางเรื่องว่าเป็นกลุ่มชนเร่ร่อนที่โอบอ้อมอารี ไร้ความกังวลใด ๆ ผู้ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวชีวิตที่มีทั้งสุขและทุกข์ผ่านบทเพลงและการเต้นรำ. ในอีกด้านหนึ่งพวกเขาถูกประณามว่าเป็นคนไว้ใจไม่ได้, ลึกลับ, และน่าสงสัย—เป็นคนนอก, ถูกโดดเดี่ยวและถูกตัดออกจากสังคมรอบข้าง. เพื่อช่วยเราให้เข้าใจว่าแนวคิดแบบเหมารวมเช่นว่านี้เกิดจากอะไร ให้เรามาพิจารณาอดีตที่น่าทึ่งของชนเผ่าโรมา.
ยุคแห่งการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม
ในยุคกลาง โลกของชาวยุโรปส่วนใหญ่ถูกจำกัดอยู่แค่ในเมืองหรือในหมู่บ้านของตน. ลองนึกภาพว่าชาวบ้านหลายคนในยุคกลางจะรู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นครอบครัวชนเผ่าโรมาอพยพมาถึงที่นั่นเป็นครั้งแรก. หลายสิ่งเกี่ยวกับชนเผ่าโรมาคงเป็นเรื่องแปลกใหม่. นอกจากผู้มาใหม่จะมีผิวดำ, ตาดำ, และผมดำแล้ว เสื้อผ้าที่สวมใส่รวมทั้งกิริยาท่าทางและภาษาก็ต่างจากชาวยุโรปอย่างสิ้นเชิง ประกอบกับชาวโรมามักชอบเก็บตัว ซึ่งอาจเป็นอุปนิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่สมัยที่พวกเขาอยู่ในอินเดียซึ่งมีการแบ่งชั้นวรรณะ. ภายในไม่กี่ทศวรรษ ความอยากรู้อยากเห็นของชาวยุโรปที่มีในตอนแรกก็แปรเปลี่ยนเป็นความไม่ไว้ใจ.
พวกโรมาถูกแยกออกนอกชุมชนจริง ๆ โดยถูกบังคับให้ตั้งแคมป์พักอาศัยอยู่นอกหมู่บ้านและถูกห้ามไม่ให้เข้ามาในหมู่บ้านแม้แต่จะซื้อหาอาหารหรือตักน้ำก็ไม่ได้. มีข่าวลือเกี่ยวกับพวกเขาว่า “พวกนั้นจะมาขโมยเด็ก และกินเด็กด้วยซ้ำ!” บางครั้งมีการออกกฎให้ชาวโรมาทำอาหารนอกบ้านเพื่อใครก็ตามจะสามารถตรวจสอบอาหารในหม้อได้. การตรวจสอบที่ว่านี้บ่อยครั้งก็คือการทำให้อาหารที่จะรับประทานในวันนั้นถูกเททิ้งลงบนพื้น. จึงไม่แปลกที่พวกโรมาบางคนขโมยอาหารเพื่อประทังชีวิต.
พวกโรมารับมือกับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเช่นนั้นโดยอยู่ใกล้ชิดกับพวกพ้องของตน. เป็นเวลานานหลายศตวรรษมาแล้วที่พวกเขาช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข. ตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา บิดามารดาจะเอาใจใส่บุตรของตนเป็นอย่างดี และลูก ๆ ก็จะเอาใจใส่บิดามารดาอย่างดีและคอยดูแลเมื่อบิดามารดาแก่ชรา. นอกจากนี้ พวกโรมาหลายคนรักษา
มาตรฐานด้านความประพฤติและความถูกต้องตามธรรมเนียมประเพณีไว้อย่างเหนียวแน่น.ชีวิตเร่ร่อน
เนื่องจากคนในชุมชนไม่ค่อยต้อนรับพวกเขา ชาวโรมาจึงต้องย้ายที่อยู่ไปเรื่อย ๆ. ชีวิตเร่ร่อนเช่นนี้ทำให้ต้องมีทักษะความชำนาญหลาย ๆ ด้าน เช่น งานโลหะ, การค้าขาย, และการให้ความบันเทิง. งานที่เป็นที่ต้องการเหล่านี้อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขาสามารถเลี้ยงดูครอบครัวของตนได้. พวกผู้หญิงชาวโรมาบางคนฉวยประโยชน์จากชื่อเสียงที่ว่าพวกเขามีความสามารถด้านพลังจิตเพื่อหาเงิน โดยทำทีว่าพวกเขามีความสามารถนั้นจริง ๆ. นอกจากนั้น ชีวิตเร่ร่อนยังช่วยลดความเสี่ยงของการปนเปื้อนทางวัฒนธรรมหรือศีลธรรมจากการติดต่อเกี่ยวข้องมากเกินไปกับกาดเจ—ในภาษาโรมานีแปลว่า “ไม่ใช่ชาวโรมา.” *
ในขณะเดียวกัน อคติก็ทำให้เกิดการข่มเหง. ชนเผ่าโรมาถูกขับไล่ออกจากบางส่วนของยุโรป. ในที่อื่น ๆ ชาวโรมาถูกจับไปเป็นทาสมานานหลายศตวรรษ. การเลิกทาสในช่วงทศวรรษ 1860 ยิ่งกระตุ้นให้ชาวโรมากลุ่มใหญ่อพยพไปยุโรปตะวันตกและอเมริกา. ไม่ว่าจะไปที่ไหน พวกเขาก็นำภาษา, ขนบธรรมเนียม, และความสามารถพิเศษติดตัวไปด้วย.
แม้ในช่วงที่ถูกข่มเหง บางครั้งชาวโรมาก็พอจะหาความสุขได้บ้างจากศิลปะการแสดงของตน. ในสเปน การผสมผสานวัฒนธรรมของชาวโรมากับวัฒนธรรมอื่น ๆ ทำให้เกิดดนตรีและการเต้นรำแบบฟลามิงโก ขณะที่ในยุโรปตะวันออก นักดนตรีชาวโรมาก็รับเอาเพลงพื้นเมืองของคนในท้องถิ่น โดยเพิ่มท่วงทำนองที่เป็นรูปแบบเฉพาะของตนเข้าไปด้วย. วิธีที่ชาวโรมาเล่นดนตรีได้อย่างมีพลังและเร้าความรู้สึกมีอิทธิพลต่อแม้แต่นักแต่งเพลงคลาสสิกหลายคน เช่น เบโทเฟน, บรามส์, ดโวชาร์ค, ไฮเดิน, ลิสต์, โมสาร์ท, ราคมานินอฟฟ์, ราเวน, รอสซินี, แซง-ฌอง, และซาราซาเต.
ชนเผ่าโรมาในสมัยปัจจุบัน
ทุกวันนี้มีชนเผ่าโรมาประมาณสองล้านถึงห้าล้านคน—บางคนบอกว่ามากกว่านั้น—อาศัยอยู่เกือบทั่วทุกมุมโลก. โดยมากอาศัยอยู่ในยุโรป. ชาวโรมาส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างเร่ร่อนต่อไปอีก และบางคนก็มีฐานะมั่งคั่ง. แต่ในหลายดินแดน ชนเผ่าโรมายังคงถูกนับรวมอยู่ในพวกคนจน
และคนด้อยโอกาส และมักจะอาศัยอยู่ในแหล่งเสื่อมโทรม.ในยุคคอมมิวนิสต์ของยุโรปตะวันออก ทฤษฎีทางการเมืองระบุว่าราษฎรทุกคนมีความเสมอภาคกัน. รัฐบาลพยายามควบคุมชาวโรมาซึ่งมีวิถีชีวิตแบบเร่ร่อนโดยหางานให้พวกเขาทำและสร้างบ้านให้อยู่ ซึ่งก็ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง. บางครั้ง สิ่งนี้ส่งผลให้พวกเขามีมาตรฐานด้านสุขภาพและการดำรงชีพดีขึ้นในระดับหนึ่ง. แต่ก็ไม่อาจลบล้างความรู้สึกและความคิดในแง่ลบที่มีต่อกันมานานนับศตวรรษระหว่างชาวโรมาและคนที่ไม่ใช่ชาวโรมา.
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุโรปตะวันออกช่วงทศวรรษ 1990 ทำให้ชาวโรมามีความหวังที่จะได้รับโอกาสใหม่ ๆ ในชีวิต. แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวยิ่งเป็นการซ้ำเติมแผลเก่า เมื่อโครงการช่วยเหลือทางสังคมมีน้อยลง รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายเพื่อขจัดการเลือกปฏิบัติก็ไม่เข้มงวดเหมือนแต่ก่อน ส่งผลให้ชาวโรมาจำนวนมากมีชีวิตที่ยากลำบากกว่าเดิมทั้งทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ.
การแสวงหาความหวังและชีวิตที่ดีกว่า
นั่นคือสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อแอนเดรีย ซึ่งมีผมสีดำเป็นประกาย ได้มาเข้าเรียนในโรงเรียนที่ยุโรปตะวันออก. เธอเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวในชั้นเรียนที่เป็นลูกหลานชาวโรมา. แม้จะมีจิตใจที่เข้มแข็ง แต่เธอก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้เมื่อเธอเล่าถึงตอนที่ถูกเยาะเย้ยและไม่มีใครคบหาด้วย. แอนเดรียจำได้ว่า “เมื่อมีการเลือกผู้ร่วมทีมเพื่อเล่นกีฬา ดิฉันมักจะถูกเลือกเป็นคนสุดท้ายเสมอ. ดิฉันอยากจะหนีไปอยู่ที่อินเดียเสียเลย จะได้ไม่ต้องเป็นเป้าสายตาของใคร. ที่จริง ครั้งหนึ่งมีคนตะโกนใส่เพื่อนของฉันว่า ‘กลับอินเดียไปซะ!’ เพื่อนคนนั้นตอบว่า ‘ถ้ามีเงินฉันจะไปแน่.’ ไม่มีที่ไหนที่เรารู้สึกว่าอบอุ่นปลอดภัย. ไม่มีสักแห่งที่ต้อนรับพวกเรา.” เนื่องจากมีพรสวรรค์ด้านการเต้นรำ แอนเดรียจึงใฝ่ฝันว่าโดยอาศัยสิ่งนี้เธอจะมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ. แต่ในช่วงที่เป็นวัยรุ่น เธอพบบางสิ่งที่ดีกว่านั้นมากนัก.
แอนเดรียเล่าว่า “วันหนึ่งมีหญิงสาวชื่อพิรอสกา มาที่บ้านของเรา เธอเป็นพยานพระยะโฮวา. เธอเปิดให้ดิฉันดูจากคัมภีร์ไบเบิลว่าพระเจ้าไม่เพียงรักมนุษยชาติโดยรวมเท่านั้น แต่พระองค์ทรงรักเราเป็นรายบุคคล. เธออธิบายว่าดิฉันจะมีสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้าได้ถ้าดิฉันต้องการ. นี่ทำให้ดิฉันรู้สึกว่าที่จริงแล้วดิฉันมีความสำคัญสำหรับใครบางคน. การที่ได้รู้ว่า ในทัศนะของพระเจ้ามนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันหมดทำให้ดิฉันมั่นใจในตัวเองมากขึ้น.
“พิรอสกาพาดิฉันไปที่การประชุมของพยานฯ ที่นั่นดิฉันได้พบทั้งคนที่เป็นชาวโรมาและไม่ได้เป็นชาวโรมา และรู้สึกได้เลยว่าพวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน. ดิฉันพบเพื่อนแท้เป็นพยานฯ ที่มีภูมิหลังทั้งสองอย่าง. หลังจากศึกษาพระคัมภีร์กับพิรอสกาประมาณหนึ่งปีครึ่ง ดิฉันก็เข้ามาเป็น
พยานพระยะโฮวาด้วย.” ทุกวันนี้ แอนเดรียกับสามีเป็นผู้เผยแพร่ข่าวดีเต็มเวลา โดยสอนคนอื่นเกี่ยวกับความรักอันอบอุ่นของพระเจ้าที่มีต่อคนทุกชาติ.“ยอมรับว่าเท่าเทียมกัน”
เมื่อคิดถึงตอนเป็นเด็ก ไฮโรซึ่งเป็นชาวโรมาเล่าว่า “การคบหาสมาคมที่ไม่ดีกับเด็กหนุ่ม ๆ ที่ชอบทำเรื่องผิดกฎหมายทำให้ผมต้องเดือดร้อนอยู่เป็นประจำ. ครั้งหนึ่ง ผมถูกตำรวจคุมขังข้อหาขโมยของตอนที่ผมคบหากับเด็กเหล่านั้น. เมื่อตำรวจพาผมมาส่งที่บ้าน ผมกลัวปฏิกิริยาของแม่มากกว่าพวกตำรวจด้วยซ้ำ เพราะเช่นเดียวกับครอบครัวชาวโรมาหลายครอบครัว ผมถูกสอนว่าการขโมยของของคนอื่นถือเป็นความผิด.”
เมื่อโตขึ้น ไฮโรกับครอบครัวได้พบพยานพระยะโฮวาเช่นกัน. ไฮโรรู้สึกประทับใจคำสัญญาของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่าราชอาณาจักรของพระเจ้าจะขจัดปัญหาต่าง ๆ ในสังคมมนุษย์รวมถึงความมีอคติและการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม. เขาเล่าว่า “ชาวโรมาไม่เคยมีรัฐบาลของชาติตนเองที่ดูแลเอาใจใส่พวกเขา. นั่นเป็นเหตุที่ผมรู้สึกว่าชาวโรมาเข้าใจดีและหยั่งรู้ค่าสิ่งที่ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะทำเพื่อทุกคน. ผมมองเห็นประโยชน์เหล่านั้นตั้งแต่ตอนนี้ด้วยซ้ำ. นับตั้งแต่ที่ผมก้าวเข้ามาในหอประชุม ผมก็รู้สึกอย่างเดียวกับอัครสาวกเปโตรเมื่อท่านกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าเห็นจริงแล้วว่าพระเจ้าไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด แต่ชาวชนในประเทศใด ๆ ที่เกรงกลัวพระองค์และประพฤติในทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์.’ (กิจการ 10:34, 35) ผมได้รับการ ยอมรับอย่างที่เท่าเทียมกับทุกคน. ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเองเลยเมื่อได้ยินคนที่ไม่ใช่ชาวโรมาเรียกผมว่าพราลา ซึ่งภาษาโรมานีแปลว่า ‘พี่น้อง!’
“ตอนแรก สมาชิกบางคนในครอบครัวของผมต่อต้านผมอย่างหนัก. พวกเขาไม่เข้าใจที่ผมทำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเพื่อจะดำเนินชีวิตตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิล. แต่ตอนนี้ ญาติและชุมชนชาวโรมาเห็นแล้วว่าการยืนหยัดมั่นคงเพื่อทำตามมาตรฐานของพระเจ้าทำให้ผมมีความสุขและได้รับสิ่งดี ๆ มากมาย. พวกเขาส่วนใหญ่ต้องการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของตนเช่นกัน.” ปัจจุบันนี้ ไฮโรรับใช้ฐานะคริสเตียนผู้ปกครองและผู้เผยแพร่ข่าวดีเต็มเวลา. เมแกน ภรรยาของเขาซึ่งไม่ใช่ชาวโรมาก็ได้สอนชาวโรมาและคนอื่น ๆ เช่นกันว่าคัมภีร์ไบเบิลช่วยพวกเขาให้มีความสุขทั้งในขณะนี้และในอนาคตได้อย่างไร. เธอกล่าวว่า “ดิฉันได้รับการยอมรับอย่างเต็มใจจากครอบครัวของสามีและชุมชนของเขา. พวกเขาชอบที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากคนที่ไม่ใช่ชาวโรมา.”
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 3 ในส่วนต่าง ๆ ของโลก ชนเผ่าโรมาถูกเรียกว่ายิปซี, กีตานอส, ซิกอยเนอร์, ซิกานี. คำเหล่านี้ถือว่าเป็นคำที่ดูถูกเหยียดหยาม. คำว่า โรม (พหูพจน์ โรมา) ซึ่งในภาษาของพวกเขาหมายถึง “คน” เป็นคำที่ชาวโรมาส่วนใหญ่ใช้เรียกตัวเอง. ชนเผ่าที่พูดภาษาโรมานีบางกลุ่มรู้จักกันในชื่ออื่น ๆ ด้วย เช่น ซินตี.
^ วรรค 12 แม้ชาวโรมาบางคนจะรักษาขนบธรรมเนียมมากมายไว้อย่างเหนียวแน่น แต่บ่อยครั้งพวกเขาก็นับถือศาสนาหลัก ๆ ของคนในท้องที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ด้วย.
[คำโปรยหน้า 24]
ทุกวันนี้มีชาวโรมาอาศัยอยู่เกือบทั่วทุกมุมโลก
[กรอบ/ภาพหน้า 23]
ในยุโรปยุคนาซี ฮิตเลอร์สังหารชาวโรมาประมาณ 400,000 คนหรือมากกว่านั้นในค่ายมรณะ รวมทั้งชาวยิว, พยานพระยะโฮวา, และคนอื่น ๆ. ในปี 1940 ก่อนที่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของฮิตเลอร์จะเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางด้วยซ้ำ ชาร์ลี แชปลิน นักแสดง—ซึ่งตัวเขาเองเป็นลูกหลานของชาวโรมา—ได้สร้างภาพยนตร์ชื่อจอมเผด็จการ ซึ่งเป็นภาพยนตร์ล้อเลียนฮิตเลอร์และขบวนการนาซี. ศิลปินคนอื่น ๆ ที่เป็นที่รู้จักกันดีซึ่งอ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากชาวโรมาคือ ยูล บรินเนอร์ นักแสดงชาย, ริตา เฮย์เวิร์ธ นักแสดงหญิง (ล่าง), ปาโบล ปิกัสโซ จิตรกร (ล่าง), แจงโก้ ไรน์ฮาร์ด นักดนตรีแจ๊ส, และเอสมา เรดเจโปวา นักร้องชาวมาซิโดเนีย. นอกจากนั้นยังมีชาวโรมาที่เป็นวิศวกร, แพทย์, ศาสตราจารย์, และสมาชิกรัฐสภา.
[ที่มาของภาพ]
AFP/Getty Images
Photo by Tony Vaccaro/Getty Images
[กรอบ/ภาพหน้า 26]
พยานฯ ที่เป็นชาวโรมา
ชาวโรมาหลายคนได้มาเป็นพยานพระยะโฮวา. บางคนรับใช้ฐานะผู้ปกครองในประชาคมและผู้รับใช้เต็มเวลาประเภทไพโอเนียร์. เจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นและคนอื่นที่ไม่ใช่ชาวโรมาถือว่าพวกเขาเป็นแบบอย่างที่ดี. พยานฯ คนหนึ่งซึ่งเป็นชาวโรมาในสโลวาเกียเล่าว่า “วันหนึ่ง เพื่อนบ้านที่ไม่ใช่ชาวโรมามาเคาะประตูอพาร์ตเมนต์ของเรา. เขาบอกว่า ‘ชีวิตสมรสของผมกำลังถึงขั้นวิกฤติ แต่ผมรู้ว่าคุณช่วยเราได้.’ เราถามว่า ‘ทำไมคุณคิดว่าเราช่วยคุณได้?’ เขาตอบว่า ‘ถ้าพระเจ้าที่คุณนมัสการช่วยให้ชาวโรมาอย่างคุณปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นได้ บางทีพระองค์อาจช่วยเราได้เช่นกัน.’ เราให้หนังสือเขาเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือเกี่ยวกับชีวิตครอบครัวที่อาศัยพระคัมภีร์เป็นหลัก ซึ่งจัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
“ต่อมาภรรยาของเขาก็มาเคาะประตูห้องของเราและขอความช่วยเหลือแบบเดียวกัน โดยไม่รู้ว่าสามีก็ได้มาหาเราแล้ว. เธอบอกว่า ‘ไม่มีใครในอพาร์ตเมนต์นี้ช่วยเราได้.’ เราให้หนังสือแบบเดียวกันนั้นกับเธอ. ทั้งสามีและภรรยาต่างก็ขอร้องเราว่าอย่าบอกให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้เรื่องนี้. เวลาผ่านไปเดือนครึ่ง เราเริ่มศึกษาพระคัมภีร์กับสามีภรรยาคู่นี้. การดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลได้ช่วยยกระดับพวกเราขึ้นในสายตาของคนทั่วไป จนพวกเขาหันมาหาเราเพื่อขอความช่วยเหลือทางฝ่ายวิญญาณ.”
[ภาพหน้า 26]
นาร์บัน, ฝรั่งเศส
กรานาดา, สเปน
“ชาวโรมาเข้าใจดีและหยั่งรู้ค่าสิ่งที่ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะทำเพื่อทุกคน.”—ไฮโร
[ภาพหน้า 22]
โปแลนด์
[ที่มาของภาพ]
© Clive Shirley/Panos Pictures
[ภาพหน้า 22]
ชาวโรมาในอังกฤษ ปี 1911
[ที่มาของภาพ]
By courtesy of the University of Liverpool Library
[ภาพหน้า 22, 23]
สโลวาเกีย
[ภาพหน้า 23]
มาซิโดเนีย
[ที่มาของภาพ]
© Mikkel Ostergaard/Panos Pictures
[ภาพหน้า 24]
โรมาเนีย
[ภาพหน้า 24]
มาซิโดเนีย
[ภาพหน้า 24, 25]
สาธารณรัฐเช็ก
[ภาพหน้า 24, 25]
สเปน
[ภาพหน้า 25]
เนื่องจากมีพรสวรรค์ด้านการเต้นรำ แอนเดรียจึงใฝ่ฝันว่าโดยอาศัยสิ่งนี้เธอจะมีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับ
[ที่มาของภาพหน้า 24]
Romania: © Karen Robinson/Panos Pictures; Macedonia: © Mikkel Ostergaard/Panos Pictures; Czech Republic: © Julie Denesha/Panos Pictures