ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

“ข้าแต่พระยะโฮวาขอโปรดให้หนูได้รับใช้พระองค์เถิด”

“ข้าแต่พระยะโฮวาขอโปรดให้หนูได้รับใช้พระองค์เถิด”

“ข้า​แต่​พระ​ยะโฮวา​ขอ​โปรด​ให้​หนู​ได้​รับใช้​พระองค์​เถิด”

เล่า​โดย​แดนเยล ฮอลล์

สมัย​ที่​ฉัน​เป็น​เด็ก​หญิง​ตัว​เล็ก ๆ ฉัน​ชอบ​ไป​หา​คุณ​ย่า​ซึ่ง​อยู่​บ้าน​หลัง​ถัด​ไป. ย่า​งีบ​หลับ​ตอน​บ่าย​ทุก​วัน. ถ้า​บังเอิญ​ฉัน​เยี่ยม​ท่าน​ใน​ช่วง​นั้น เรา​ก็​จะ​นั่ง​ด้วย​กัน​บน​เตียง ระหว่าง​นั้น​ท่าน​ก็​อ่าน​เรื่อง​ราว​ใน​คัมภีร์​ไบเบิล​ให้​ฉัน​ฟัง. ย่า​บอก​ฉัน​เนือง ๆ ว่า “อย่า​ลืม​เชียว​นะ​ว่า​พระ​ยะโฮวา​รัก​หนู. และ​ถ้า​หนู​รัก​พระองค์ พระองค์​จะ​ดู​แล​หนู​เสมอ.” คำ​พูด​ของ​ย่า​ติด​ตรึง​อยู่​ใน​จิตใจ​และ​หัวใจ​ฉัน​อย่าง​ไม่​มี​วัน​ลืม.

คุณ​ย่า​สิ้น​ชีวิต​ใน​ปี 1977 ตอน​นั้น​ฉัน​อายุ​สี่​ขวบ. ท่าน​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา​เช่น​เดียว​กัน​กับ​ญาติ ๆ ทุก​คน​ของ​พ่อ​ใน​เมือง​โมอิ ออสเตรเลีย​บ้าน​เกิด​ของ​เรา. พ่อ​กับ​แม่​ของ​ฉัน​ไม่​ได้​เป็น​พยาน​ฯ แต่​พ่อ​ดู​ท่า​จะ​ชอบ​พวก​เขา. ต่อ​มา​ครอบครัว​ของ​เรา​ย้าย​ไป​ที่​ทินเทนบาร์ เมือง​เล็ก ๆ ใกล้​ชายฝั่ง​รัฐ​นิวเซาท์เวลส์. ที่​นั่น​ฉัน​กับ​เจมิ​พี่​ชาย​คน​โต​ได้​ไป​ร่วม​การ​ประชุม​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​กับ​พ่อ​เป็น​ครั้ง​คราว.

พอ​ฉัน​อายุ​แปด​ขวบ พ่อ​กับ​แม่​แยก​ทาง​กัน. พ่อ​กลับ​ไป​โมอิ ส่วน​ฉัน​กับ​เจมิ​อยู่​กับ​แม่. แม่​ไม่​สนใจ​คัมภีร์​ไบเบิล​และ​ไม่​ต้องการ​ให้​เรา​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​ต่าง ๆ ของ​เหล่า​พยาน​ฯ. เรื่อง​นี้​ทำ​ให้​ฉัน​เศร้า​ใจ​มาก. คำ​พูด​ของ​ย่า​กระตุ้น​ใจ​ฉัน​อยู่​ลึก ๆ. ฉัน​รู้​ตัว​ว่า​ฉัน​รัก พระ​ยะโฮวา! และ​ฉัน​ต้องการ​รับใช้​พระองค์. ฉะนั้น ฉัน​อธิษฐาน​ทูล​พระ​ยะโฮวา​ว่า​ฉัน​ก็​เป็น​พยาน​คน​หนึ่ง​ของ​พระองค์​เช่น​กัน. เจมิ​ก็​คิด​เหมือน​ฉัน.

การ​ทดสอบ​ที่​โรง​เรียน

หลัง​จาก​นั้น​ไม่​นาน ครู​ที่​โรง​เรียน​เรียก​นัก​เรียน​แต่​ละ​คน​ใน​ชั้น​ให้​บอก​ชื่อ​ศาสนา​ที่​ตัว​เอง​นับถือ​ด้วย​เสียง​ดัง เพื่อ​ครู​จะ​บันทึก​ลง​ใน​สมุด​เรียก​ชื่อ. พอ​ถึง​คราว​ขาน​ชื่อ​เจมิ เขา​พูด​ด้วย​เสียง​ดัง​ฟัง​ชัด​ว่า “พยาน​พระ​ยะโฮวา.” ครู​ถึง​กับ​อึ้ง​และ​สั่ง​ให้​พูด​ซ้ำ​อีก ซึ่ง​เขา​ก็​ทำ​ตาม. ครู​พูด​ว่า “ครู​คิด​ว่า​เธอ​ไม่​ได้​เป็น​อย่าง​ที่​บอก แต่​เดี๋ยว​ครู​จะ​ย้อน​กลับ​มา​ที่​เธอ​อีก​ที.” ครั้น​ครู​เรียก​ชื่อ​ฉัน ฉัน​ก็​ตอบ​เสียง​ดัง​เหมือน​กัน​ว่า “พยาน​พระ​ยะโฮวา.” ด้วย​ความ​ไม่​พอ​ใจ​อย่าง​ยิ่ง ครู​จึง​ได้​ไป​เชิญ​ครู​ใหญ่​มา.

ครู​ใหญ่​พูด​ด้วย​น้ำ​เสียง​หนักแน่น​ว่า “ฉัน​มี​ใบ​สมัคร​ของ​พวก​เธอ​อยู่​ตรง​หน้า​นี้​แล้ว และ​พ่อ​แม่​ของ​เธอ​ไม่​ได้​เขียน​ใน​ใบ​สมัคร​ว่า​เธอ​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา.” เรา​ตอบ​ครู​ใหญ่​ด้วย​ท่าที​เคารพ​นับถือ​ว่า “แต่​นั่น​คือ​ศาสนา​ที่​พวก​หนู​นับถือ.” ทั้ง​ครู​ใหญ่​และ​ครู​ประจำ​ชั้น​ไม่​ได้​ยก​เรื่อง​นี้​ขึ้น​มา​พูด​อีก​เลย.

ที่​โรง​เรียน ฉัน​พยายาม​แบ่ง​ปัน​ความ​รู้​ด้าน​คัมภีร์​ไบเบิล​ที่​ฉัน​เอง​ก็​ยัง​ไม่​รู้​อะไร​มาก​ให้​แก่​เพื่อน​ร่วม​ชั้น. โดย​ได้​นำ หนังสือ​ของ​ฉัน​เกี่ยว​ด้วย​เรื่อง​ราว​ใน​พระ​คัมภีร์​ไบเบิ้ล ติด​ตัว​ไป​ที่​โรง​เรียน ฉัน​สามารถ​อ่าน​เรื่อง​ราว​ใน​หนังสือ​นั้น​เป็น​ครั้ง​คราว​ให้​เด็ก​ผู้​หญิง​คน​หนึ่ง​ฟัง ซึ่ง​เธอ​มี​ความ​เชื่อ​ใน​พระเจ้า. * แต่​ด้วย​เหตุ​ที่​ฉัน​พยายาม​ดำเนิน​ชีวิต​ตาม​มาตรฐาน​คริสเตียน ฉัน​จึง​เป็น​คน​ที่​เพื่อน ๆ ไม่​ค่อย​นิยม​ชม​ชอบ และ​บาง​ครั้ง​รู้สึก​เปล่าเปลี่ยว​มาก ๆ.

ฉัน​อธิษฐาน​ถึง​พระ​ยะโฮวา​บ่อย​มาก​และ​ด้วย​ใจ​แรง​กล้า​จน​พระองค์​กลาย​เป็น​เพื่อน​สนิท​ของ​ฉัน. แต่​ละ​วัน​หลัง​เลิก​เรียน ฉัน​นั่ง​บน​เตียง​และ​บอก​เล่า​เรื่อง​ต่าง ๆ ที่​เกิด​ขึ้น​ใน​วัน​นั้น​ให้​พระ​ยะโฮวา​ฟัง รวม​ถึง​ราย​ละเอียด​ทุก​เรื่อง​ด้วย. ฉัน​ร้องไห้​บ่อย ๆ. ฉัน​อ้อน​วอน​ทั้ง​น้ำตา​ไหล​อาบ​แก้ม “ข้า​แต่​พระ​ยะโฮวา ขอ​โปรด​ให้​หนู​ได้​รับใช้​พระองค์​ด้วย​กัน​กับ​ประชาชน​ของ​พระองค์​ด้วย​เถิด.” หลัง​จาก​อธิษฐาน ฉัน​รู้สึก​ดี​ขึ้น​เสมอ.

จดหมาย​ให้​กำลังใจ

เมื่อ​ฉัน​มี​อายุ​สิบ​ขวบ เจมิ​ได้​กลับ​ไป​อยู่​กับ​พ่อ​ที่​โมอิ. ตอน​นั้น​ฉัน​ยิ่ง​รู้สึก​เปล่าเปลี่ยว​ฝ่าย​วิญญาณ​มาก​ขึ้น. ครั้น​แล้ว ขณะ​แวะ​ไป​ที่​บ้าน​ของ​เพื่อน​บ้าน ฉัน​พบ​วารสาร​สอง​สาม​ฉบับ​ที่​จัด​พิมพ์​โดย​พยาน​พระ​ยะโฮวา. ฉัน​ท่อง​ที่​อยู่​ของ​สำนักงาน​สาขา​ด้วย​ความ​ตื่นเต้น​ดีใจ แล้ว​รีบ​กลับ​บ้าน​จด​บันทึก​ไว้. ด้วย​ความ​จริง​ใจ ฉัน​จึง​ได้​เขียน​จดหมาย​ถึง​สาขา ชี้​แจง​สถานการณ์​ของ​ตัว​เอง​และ​ขอ​ความ​ช่วยเหลือ​ฝ่าย​วิญญาณ. ฉัน​ถึง​กับ​น้ำตา​คลอ​เมื่อ​อ่าน​จดหมาย​ตอบ​อัน​ซาบซึ้ง ซึ่ง​ยาว​ถึง​สอง​หน้า​กระดาษ. นี่​เป็น​ข้อ​ยืน​ยัน​ว่า​ฉัน​มี​ค่า ต่อ​พระ​ยะโฮวา​จริง ๆ!

จดหมาย​ฉบับ​นั้น​กระตุ้น​ฉัน​ให้​เลียน​แบบ​ความ​เชื่อ​ของ​เด็ก​หญิง​อิสราเอล​ตัว​เล็ก ๆ ซึ่ง​ได้​มา​เป็น​คน​รับใช้​ของ​นามาน แม่ทัพ​ชาว​ซุเรีย​ใน​สมัย​พระ​คัมภีร์. แม้​เป็น​เชลย​และ​อยู่​ไกล​บ้าน​เกิด แต่​เธอ​ใกล้​ชิด​พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า​ของ​เธอ. และ​การ​ที่​เธอ​พูด​อย่าง​กล้า​หาญ​ใน​เรื่อง​ของ​ความ​เชื่อ เธอ​แสดง​ตัว​เป็น​พยาน​แท้​ของ​พระองค์.—2 กษัตริย์ 5:1-4.

จดหมาย​จาก​สำนักงาน​สาขา​ยัง​กล่าว​เพิ่ม​เติม​ว่า “เนื่อง​จาก​หนู​ยัง​เป็น​เด็ก หนู​ควร​รับใช้​พระ​ยะโฮวา​ด้วย​การ​เชื่อ​ฟัง​พ่อ​แม่​และ​ขยัน​เรียน​หนังสือ. นอก​จาก​นี้ หนู​ต้อง​ใกล้​ชิด​พระ​ยะโฮวา​อยู่​เสมอ​ด้วย​การ​อธิษฐาน​และ​ศึกษา​พระ​คำ​ของ​พระองค์.” จดหมาย​ลง​ท้าย​ว่า “แดนเยล หนู​ต้อง​จำ​ไว้​เสมอ​ไม่​ว่า​เรา​จะ​อยู่​ที่​ไหน พระ​ยะโฮวา​ทรง​สถิต​ใกล้​เรา​เสมอ. พวก​เรา​รู้​ว่า​หนู​เชื่อ​เรื่อง​นี้.” (โรม 8:35-39) จดหมาย​ฉบับ​นั้น เวลา​นี้​ดู​เก่า​และ​ยุ่ย​ไป​บ้าง แต่​ฉัน​ก็​ยัง​พับ​สอด​ไว้​ใต้​ปก​ด้าน​ใน​ของ​พระ​คัมภีร์. ฉัน​อ่าน​จดหมาย​นี้​บ่อย ๆ ตลอด​เวลา​หลาย​ปี​และ​ทุก​ครั้ง​ก็​อด​ร้องไห้​ไม่​ได้.

ไม่​นาน​หลัง​จาก​นั้น ฉัน​ได้​จดหมาย​อีก​ฉบับ​หนึ่ง.จดหมาย​นั้น​บอก​ว่า​พ่อ​ของ​ฉัน​บอกรับ​วารสาร​หอสังเกตการณ์​และ​ตื่นเถิด! ให้​ฉัน​ทาง​ไปรษณีย์. ฉัน​ดีใจ​เหลือ​เกิน! ตอน​นี้​ฉัน​ได้​รับ​อาหาร​ฝ่าย​วิญญาณ​เป็น​ประจำ​แล้ว. เมื่อ​ได้​รับ​วารสาร​แต่​ละ​ฉบับ ฉัน​อ่าน​จน​จบ​เล่ม. ฉัน​ยัง​เก็บ​รักษา​วารสาร​ฉบับ​แรก ๆ ที่​ทรง​คุณค่า​เหล่า​นี้​ไว้. ราว ๆ ช่วง​นี้​แหละ คริสเตียน​ผู้​ปกครอง​จาก​ประชาคม​ท้องถิ่น​เริ่ม​มา​เยี่ยม​ฉัน. แม้​การ​เยี่ยม​ของ​เขา​เป็น​ช่วง​สั้น ๆ แต่​ก็​หนุน​ใจ​ได้​มาก.

การ​เปลี่ยน​แปลง​ทำ​ให้​ก้าว​หน้า

แม้​สภาพ​ทาง​ฝ่าย​วิญญาณ​ของ​ฉัน​ดี​ขึ้น แต่​ฉัน​ก็​ยัง​ถวิล​หา​โอกาส​ที่​จะ​ได้​นมัสการ​พระ​ยะโฮวา​อย่าง​เต็ม​ที่. ดัง​นั้น เมื่อ​อายุ 13 ปี ฉัน​จึง​ขอ​อนุญาต​แม่​ไป​อยู่​กับ​พ่อ. ฉัน​รัก​แม่​มาก เหมือน​ที่​แม่​รัก​ฉัน ทว่า​ฉัน​ตั้งใจ​แน่วแน่​จะ​รับใช้​พระเจ้า. พอ​แม่​อนุญาต ฉัน​ก็​กลับ​ไป​ที่​โมอิ​แล้ว​เริ่ม​ต้น​ศึกษา​พระ​คัมภีร์​ที่​ประชาคม​ใน​เมือง​นั้น. ด้วย​ความ​เห็น​ชอบ​จาก​พ่อ ฉัน​กับ​เจมิ​จึง​ได้​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​ทุก​วาระ. เหล่า​พยาน​ฯ ใน​ท้องถิ่น​พยายาม​เป็น​พิเศษ​เพื่อ​ช่วยเหลือ​เรา. ฉัน​กับ​เจมิ​ก้าว​หน้า​ฝ่าย​วิญญาณ​อย่าง​รวด​เร็ว และ​หลัง​จาก​นั้น​เรา​รับ​บัพติสมา​ใน​เวลา​ไล่เลี่ย​กัน. ใช่​แล้ว คำ​อธิษฐาน​ของ​ฉัน​ใน​วัย​เด็ก​ได้​รับ​คำ​ตอบ​แล้ว. ฉัน​ได้​รับใช้​พระ​ยะโฮวา​ด้วย​กัน​กับ​ประชาชน​ของ​พระองค์!

ใน​ขณะ​เดียว​กัน ฉัน​สร้าง​สาย​สัมพันธ์​กับ​ลุง​และ​ป้า​จน​สนิทสนม​กัน​มาก​เป็น​พิเศษ ลุง​ฟิลิป​กับ​ป้า​ลอเรน เทย์เลอร์ ซึ่ง​อยู่​ใน​ประชาคม​โมอิ​เช่น​กัน. ท่าน​ทั้ง​สอง​ดู​แล​ฉัน​อย่าง​กับ​ลูก​สาว​คน​หนึ่ง. ตอน​ที่​ท่าน​ย้าย​ไป​ที่​เกาะ​บูแกงวิล ปาปัวนิวกินี เพื่อ​รับใช้​ใน​ที่​ที่​มี​ความ​ต้องการ​ผู้​ประกาศ​ราชอาณาจักร​มาก​กว่า พอ​ท่าน​ชวน​ฉัน​ไป​ด้วย ฉัน​ตอบรับ​ทันที. ฉัน​เพิ่ง​อายุ​แค่ 15 ปี แต่​พ่อ​กับ​แม่​อนุญาต​ให้​ฉัน​ไป.

ช่วง​ที่​อยู่​บน​เกาะ​บูแกงวิล ฉัน​ยัง​เรียน​หนังสือ​ต่อ​โดย​เรียน​ทาง​ไปรษณีย์. นอก​จาก​เรียน​หนังสือ​แล้ว ฉัน​ใช้​เวลา​ส่วน​ใหญ่​ใน​การ​ให้​คำ​พยาน. น่า​ชื่นชม​ยินดี​เสีย​นี่​กระไร​ที่​ได้​ทำ​งาน​ร่วม​กับ​พวก​มิชชันนารี​และ​ไพโอเนียร์! ผู้​คน​บน​เกาะ​นี้​เป็น​คน​สุภาพ​อ่อนน้อม​ที่​สุด​เท่า​ที่​ฉัน​เคย​พบ​เห็น และ​หลาย​คน​กระตือรือร้น​อยาก​ศึกษา​พระ​คัมภีร์.

ช่วง​ปลาย​ปี​นั้น เริ่ม​มี​การ​ต่อ​สู้​กัน​ทาง​การ​เมือง และ​ที่​นั่น​ก็​มี​อันตราย​เกิน​กว่า​ที่​ฉัน​จะ​อยู่​ต่อ​ไป​ได้. หัวใจ​ฉัน​แทบ​แตก​สลาย​เมื่อ​ต้อง​จาก​เกาะ​เล็ก ๆ นี้​ไป รวม​ทั้ง​ผู้​คน​ที่​มี​น้ำใจ​งาม. ขณะ​ที่​เครื่องบิน​เล็ก​ที่​ฉัน​โดยสาร​เริ่ม​ทะยาน​ขึ้น​สู่​ฟ้า ฉัน​มอง​เห็น​ลุง​ฟิลิป​ยืน​โบก​มือ​ลา​อยู่​บน​ลาน​บิน. ฉัน​ถึง​กับ​ร้องไห้​โฮ และ​ได้​อธิษฐาน​ใน​ใจ​ขอ​พระ​ยะโฮวา​ว่า​สัก​วัน​หนึ่ง​โปรด​อนุญาต​ให้​ฉัน​ได้​รับใช้​เป็น​มิชชันนารี​ใน​ต่าง​แดน.

มี​การ​ตอบ​คำ​อธิษฐาน​อีก

เมื่อ​กลับ​มา​ที่​ออสเตรเลีย หลัง​จาก​เรียน​จบ​มัธยม​ปลาย ฉัน​เริ่ม​เข้า​ฝึก​งาน​ใน​สำนักงาน​กฎหมาย​แห่ง​หนึ่ง. พ่อ​ได้​แต่งงาน​ใหม่​กับ​แม่​ม่าย​ลูก​ติด และ​ต้อง​เลี้ยง​ดู​ครอบครัว​ใหญ่​นั้น. เจมิ​อยู่​กับ​แม่. มี​อยู่​ระยะ​หนึ่ง ฉัน​ไป ๆ มา ๆ ระหว่าง​บ้าน​พ่อ​กับ​บ้าน​แม่. ชีวิต​ดู​เหมือน​ยุ่งยาก​มาก. ฉัน​จำ​ต้อง​ปรับ​ชีวิต​ให้​เรียบ​ง่าย​และ​จดจ่อ​อยู่​กับ​เป้าหมาย​ฝ่าย​วิญญาณ. ดัง​นั้น ใน​ปี 1994 ฉัน​เข้า​สู่​งาน​รับใช้​เต็ม​เวลา​ฐานะ​ไพโอเนียร์​ใน​เมือง​โมอิ.

ฉัน​มี​ความ​สุข​อีก​ครั้ง. เพื่อน ๆ ของ​ฉัน​ก็​คือ​หนุ่ม​สาว​ใน​ประชาคม​ซึ่ง​มี​ความ​สนใจ​มาก​ใน​สิ่ง​ฝ่าย​วิญญาณ และ​พวก​เขา​จึง​กลาย​เป็น​ผู้​สนับสนุน​ที่​เข้มแข็ง​ของ​ฉัน. ที่​จริง ใน​ปี 1996 ฉัน​ได้​แต่งงาน​กับ​วิลล์ ซึ่ง​เป็น​เพื่อน​หนุ่ม​คน​หนึ่ง​ใน​หมู่​เพื่อน​เหล่า​นั้น วิลล์​เป็น​คน​พูด​จา​นุ่มนวล ใจ​ดี​และ​ถ่อม เขา​เป็น​พระ​พร​จริง ๆ ที่​พระ​ยะโฮวา​ประทาน​ให้​ฉัน.

เรา​เข้า​สู่​ชีวิต​คู่ และ​ดู​เหมือน​เรา​มี​ความ​สุข​บริบูรณ์. วัน​หนึ่ง วิลล์​กลับ​มา​ถึง​บ้าน​หลัง​จาก​ได้​ทำ​งาน​กับ​ผู้​ดู​แล​เดิน​ทาง​ซึ่ง​ไป​เยี่ยม​ประชาคม​ต่าง ๆ ใน​เขต​ของ​เรา. เขา​ชวน​ฉัน​นั่ง​ลง​และ​ถาม​ว่า “คุณ​จะ​สมัคร​ใจ​ย้าย​ไป​ช่วย​อีก​ประชาคม​หนึ่ง​ไหม?” ฉัน​ขาน​รับ​ใน​ใจ​ทันที. อย่าง​ไร​ก็​ตาม ฉัน​ถาม​ที​เล่น​ที​จริง​ว่า “ที่​ไหน​ล่ะ? วานูอาตู? หรือ​หมู่​เกาะ​ฟิจิ?” พอ​วิลล์​ตอบ​ว่า “มอร์เวลล์​จ้ะ” ฉัน​โพล่ง​ออก​มา​ว่า “แต่​มัน​ก็​อยู่​ใกล้ ๆ แค่​นี้​เอง!” เรา​สอง​คน​ต่าง​ก็​หัวเราะ​และ​ตก​ลง​ทันที​ว่า​เรา​ยินดี​ย้าย​ไป​ยัง​ประชาคม​ใกล้​เคียง​เพื่อ​รับใช้​เป็น​ไพโอเนียร์.

สาม​ปี​ถัด​มา​ใน​มอร์เวลล์ เรา​มี​ความ​สุข​และ​เกิด​ผล​ดี. แล้ว​ยัง​มี​เรื่อง​ที่​ทำ​ให้​ประหลาด​ใจ​อีก. เรา​ได้​รับ​เชิญ​จาก​สำนักงาน​สาขา​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ใน​ประเทศ​ออสเตรเลีย​ให้​เป็น​ไพโอเนียร์​พิเศษ. เขต​งาน​มอบหมาย​ของ​เรา​อยู่​ที่​ไหน​ล่ะ? ติมอร์​ตะวัน​ออก ประเทศ​เล็ก ๆ ทาง​ตะวัน​ออก​สุด​ของ​หมู่​เกาะ​อินโดนีเซีย. ฉัน​ดีใจ​จน​น้ำตา​ไหล. ฉัน​ขอบพระคุณ​พระ​ยะโฮวา​ที่​ทรง​ตอบ​คำ​อธิษฐาน​ทั้ง​หมด​ของ​ฉัน. พระองค์​ไม่​เพียง​แต่​รับ​ฉัน​ไว้​เป็น​ผู้​รับใช้​ของ​พระองค์ แต่​บัด​นี้​ฉัน​กับ​สามี​ยัง​สามารถ​จะ​ไป​ทำ​งาน​รับใช้​ใน​ต่าง​ประเทศ​ได้​ด้วย.

รับใช้​ที่​โพ้น​ทะเล

เดือน​กรกฎาคม 2003 เรา​มา​ถึง​กรุง​ดิลี เมือง​หลวง. ใน​ประเทศ​นั้น​มี​เพียง​ประชาคม​เดียว​คือ​ประชาคม​ดิลี ประกอบ​ด้วย​ไพโอเนียร์​พิเศษ 13 คน​จาก​ออสเตรเลีย และ​พยาน​ฯ ท้องถิ่น​เพียง​ไม่​กี่​คน. พี่​น้อง​ชาย​หญิง​ชาว​ติมอร์​ยาก​จน​มาก ส่วน​ใหญ่​สูญ​เสีย​บ้าน​ช่อง​และ​สมาชิก​ครอบครัว​ใน​ช่วง 24 ปี​ที่​เกิด​สงคราม​กลาง​เมือง​ซึ่ง​ได้​มา​ยุติ​เมื่อ​ปี 1999. นอก​จาก​นี้ หลาย​คน​ยัง​ต้อง​อด​ทน​การ​ต่อ​ต้าน​อย่าง​รุนแรง​จาก​ครอบครัว​เนื่อง​จาก​พวก​เขา​ได้​พบ​ความ​เชื่อ​ใหม่. ทั้ง ๆ ที่​ทุกข์​ลำบาก​และ​ยาก​จน แต่​พวก​เขา​มั่งคั่ง​ฝ่าย​วิญญาณ​และ​มี​ความ​สุข.—วิวรณ์ 2:8, 9.

เรา​พบ​ว่า​ชาว​ติมอร์​ส่วน​ใหญ่​เกรง​กลัว​พระเจ้า​และ​นับถือ​คัมภีร์​ไบเบิล. ไม่​ช้า​เรา​มี​ราย​ศึกษา​พระ​คัมภีร์​หลาย​ราย​จน​รับ​ไม่​ไหว! หลัง​จาก​นั้น​ไม่​นาน ผู้​ที่​ศึกษา​พระ​คัมภีร์​กับ​เรา​ตอน​แรก ๆ ได้​ออก​ไป​ใน​งาน​รับใช้​กับ​พวก​เรา พวก​เขา​กลาย​เป็น​พี่​น้อง​ชาย​หญิง​ที่​รับ​บัพติสมา​แล้ว. เรา​ชื่นชม​ยินดี​เหลือ​เกิน​เมื่อ​ได้​เห็น​พวก​เขา​ก้าว​หน้า​ฝ่าย​วิญญาณ.

ครั้น​แล้ว​ใน​ปี 2006 เกิด​ความ​วุ่นวาย​ขึ้น​อีก​ใน​กรุง​ดิลี. ความ​ตึงเครียด​ระหว่าง​ชาว​พื้นเมือง​เผ่า​ต่าง ๆ รุนแรง​ถึง​ขั้น​มี​การ​ปะทะ​กัน​อย่าง​ดุเดือด. บ้าน​เรือน​หลาย​หลัง​ถูก​ปล้น​หรือ​ไม่​ก็​ถูก​เผา​วอด​วาย และ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ใน​ท้องถิ่น​ต้อง​หลบ​ภัย​ไป​อาศัย​ใน​บ้าน​ไพโอเนียร์​พิเศษ. บ้าน​และ​สนาม​หน้า​บ้าน​ของ​เรา​เลย​กลาย​เป็น​ค่าย​พัก​ผู้​ลี้​ภัย​ชั่ว​คราว คราว​หนึ่ง​มี​เกือบ​ร้อย​คน​มา​พักพิง​อยู่​กับ​เรา! โรง​รถ​กว้าง​ใหญ่​ที่​บ้าน​ถูก​ดัด​แปลง​เป็น​โรง​ครัว, ห้อง​อาหาร, และ​หอ​ประชุม​ชั่ว​คราว.

แม้​มี​การ​ยิง​ปืน​และ​การ​ขว้าง​ลูก​ระเบิด​กัน​ใน​ละแวก​ใกล้​เคียง แต่​บ้าน​ไพโอเนียร์​ของ​เรา​เป็น​ที่​พัก​อัน​สงบ. พวก​เรา​ทุก​คน​รู้สึก​ว่า​พระ​ยะโฮวา​ทรง​พิทักษ์​คุ้มครอง​เรา​อยู่. ทุก​วัน​เรา​เริ่ม​วัน​ใหม่​ด้วย​การ​พิจารณา​ข้อ​คัมภีร์​กัน​เป็น​กลุ่ม. เรา​ยัง​คง​จัด​การ​ประชุม​ตาม​ปกติ. นอก​จาก​นั้น เรา​ยัง​นำ​การ​ศึกษา​พระ​คัมภีร์​กับ​ผู้​สนใจ​ด้วย.

ขณะ​ที่​เวลา​ผ่าน​ไป​หลาย​สัปดาห์​ก็​เริ่ม​เห็น​ชัด​ว่า​คง​จะ​เป็น​อันตราย​สำหรับ​พวก​พี่​น้อง​ที่​เกิด​ใน​ภาค​ตะวัน​ออก​ของ​ประเทศ​ถ้า​พวก​เขา​จะ​อยู่​ต่อ​ไป​ใน​ดิลี. ดัง​นั้น เหล่า​พยาน​ฯ ที่​นำ​หน้า​จึง​ตัดสิน​ใจ​จัด​ตั้ง​กลุ่ม​ใหม่​ขึ้น​ใน​เมือง​บาอูคาอู เมือง​ใหญ่​อันดับ​สอง อยู่​ห่าง​จาก​กรุง​ดิลี​ไป​ทาง​ตะวัน​ออก​ใช้​เวลา​เดิน​ทาง​สาม​ชั่วโมง. ด้วย​เหตุ​นี้​ฉัน​กับ​วิลล์​จึง​ได้​รับ​เขต​มอบหมาย​แห่ง​ใหม่.

เรา​ไป​ถึง​บาอูคาอู​เดือน​กรกฎาคม 2006 หลัง​จาก​เรา​ได้​มา​ถึง​ติมอร์​ตะวัน​ออก​เกือบ​สาม​ปี​เต็ม. กลุ่ม​ใหม่​ของ​เรา​ประกอบ​ด้วย​ไพโอเนียร์​พิเศษ​สี่​คน​และ​พยาน​ฯ ชาว​ติมอร์​หก​คน. พี่​น้อง​ใน​ท้องถิ่น​ทั้ง​ชาย​และ​หญิง​ได้​ละ​ทิ้ง​ทรัพย์​สิน​ทุก​อย่าง​ที่​มี​ใน​ดิลี ทว่า​พวก​เขา​ยัง​คง​ยิ้ม​แย้ม​แจ่ม​ใส. เรา​ชื่นชม​ใน​ความ​ภักดี​และ​น้ำใจ​เสีย​สละ​ของ​พวก​เขา​จริง ๆ!

ฉัน​กับ​วิลล์​ยัง​คง​รับใช้​ใน​บาอูคาอู. เรา​รัก​งาน​มอบหมาย​ของ​เรา​และ​ถือ​ว่า​งาน​นี้​เป็น​พระ​พร​อีก​ประการ​หนึ่ง​จาก​พระ​ยะโฮวา. เมื่อ​มอง​ย้อน​หลัง ฉัน​จึง​เห็น​ได้​ว่า​คุณ​ย่า​พูด​ถูก. แน่นอน พระ​ยะโฮวา​ทรง​ใฝ่​พระทัย​ดู​แล​ฉัน​ตลอด​หลาย​ปี​มา​นี้. ฉัน​ขอบคุณ​พระองค์​มิ​ได้​ขาด​ที่​ทรง​โปรด​ให้​ฉัน​มี​สิทธิ​พิเศษ​ได้​รับใช้​พระองค์​ร่วม​กับ​ประชาชน​ของ​พระองค์. นอก​จาก​นั้น ฉัน​ยัง​จดจ่อ​คอย​วัน​ที่​จะ​ได้​พบ​คุณ​ย่า​อีก​เมื่อ​มี​การ​กลับ​เป็น​ขึ้น​จาก​ตาย. ตอน​นั้น ฉัน​จะ​ขอบคุณ​ที่​ท่าน​ได้​ชี้​นำ​ฉัน​ให้​เดิน​ไป​สู่​หน​ทาง​ที่​ทำ​ให้​ชีวิต​มี​ความ​สุข​และ​น่า​พอ​ใจ​อย่าง​แท้​จริง.

[เชิงอรรถ]

^ วรรค 9 จัด​พิมพ์​โดย​พยาน​พระ​ยะโฮวา.

[ภาพ​หน้า 26]

กับ​คุณ​ย่า

[ภาพ​หน้า 28, 29]

กับ​วิลล์ สามี​ฉัน