ความรักที่ผมมีต่อดนตรี ชีวิต และคัมภีร์ไบเบิล
ความรักที่ผมมีต่อดนตรี ชีวิต และคัมภีร์ไบเบิล
เล่าโดยบอริส เอ็น. กูเลเชฟสกี
ลองนึกภาพชายตาบอดอายุ 60 กว่าปีซึ่งเคยมีอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันอย่างรุนแรงมาสองครั้งแล้ว. เขาหลั่งน้ำตาด้วยความขอบคุณที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้เขารู้จักพระองค์. นั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อ 11 ปีมาแล้ว.
ผมเกิดปี 1930 ในหมู่บ้านซิบูลเยฟ เขตเชียร์คาสซี ประเทศยูเครน. ในปี 1937 เป็นช่วงเวลาที่มีการปราบปรามโดยพวกนิยมแนวความคิดสตาลิน คุณพ่อของผมถูกจับกุมและถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานเป็น “ศัตรูของรัฐ.” อพาร์ตเมนต์ของเราถูกยึด และคนที่รู้จักเราส่วนใหญ่พากันหลบลี้หนีหน้า. ไม่นาน หลายคนในพวกเขาก็ถูกจับกุมด้วย. ยุคนั้นเป็นยุคที่ความไม่ไว้วางใจ, การทรยศหักหลัง, และความหวาดกลัวแพร่สะพัดไปทั่ว.
สองเดือนหลังจากคุณพ่อถูกจับกุม เลนาน้องสาวของผมก็เกิดมา. ในช่วงฤดูหนาว คุณแม่, เลนา, นิโคไลพี่ชายของผม, และตัวผมอาศัยอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่ไม่มีทั้งหน้าต่างและเตาผิง. หลังจากนั้น เราได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านคุณปู่. นิโคไลและผมทำงานบ้าน, ผ่าฟืน, และซ่อมแซมข้าวของ. ผมชอบทำงานที่ทำด้วยมือ. ผมทำรองเท้าและงานไม้. นอกจากนี้ผมยังรักดนตรีด้วย ดังนั้นผมจึงทำบาลาไลกา (เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งเหมือนกีตาร์) จากไม้อัดและฝึกเล่นเครื่องดนตรีชนิดนี้. ต่อมา ผมฝึกเล่นกีตาร์และแมนโดลิน (เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย).
ก่อนหน้านั้น ผมได้รับบัพติสมาในคริสตจักรคาทอลิก. แต่เนื่องจากผมไม่เข้าใจคำสอนหรือธรรมเนียมของคริสตจักร แนวคิดแบบอเทวนิยมจึงดูเหมือนมีเหตุผลสำหรับผม. หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ผมเข้าเป็นสมาชิกคอมโซมอล (องค์กรยุวชนคอมมิวนิสต์) และเมื่อ
มีโอกาส สมาชิกคนอื่น ๆ รวมทั้งตัวผมจะถกเถียงกับพวกที่เชื่อว่ามีพระเจ้า เพื่อพยายามพิสูจน์ว่าพระเจ้าไม่มีจริง.เมื่อผมตาบอด
หลังจากที่เยอรมนีโจมตีสหภาพโซเวียตในปี 1941 กองกำลังแนวหน้าได้เคลื่อนผ่านหมู่บ้านของเราหลายครั้งระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง. ในวันที่ 16 มีนาคม 1944 ผมได้รับบาดเจ็บระหว่างที่มีการทิ้งระเบิดและนั่นทำให้ตาบอด. ผมเริ่มรู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง และรู้สึกเจ็บปวด.
เมื่อพวกทหารแนวหน้าเคลื่อนพลไปทางตะวันตกและทหารเยอรมันต้องถอยทัพ ผมเริ่มกลับมาเดินเล่นในสวนและฟังเสียงนกร้องเพลง. ด้วยความสงสาร คุณแม่เอาเหล้าวอดก้าให้ผมดื่ม และเพื่อนบ้านเชิญผมไปงานเลี้ยงซึ่งผมจะเป็นคนเล่นดนตรีที่นั่น. ผมสูบบุหรี่และดื่มเหล้าเพื่อจะไม่จมปลักอยู่กับความสิ้นหวัง. ไม่ช้า ผมก็ตระหนักว่าการทำเช่นนี้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใด ๆ เลย.
คุณน้าของผมซึ่งเป็นครู ท่านรู้ว่ามีโรงเรียนสอนคนตาบอดและได้แนะคุณแม่ให้พาผมไปสมัครเรียน. ในปี 1946 ผมเริ่มเข้าเรียนในโรงเรียนซึ่งตั้งอยู่ในที่ซึ่งปัจจุบันมีชื่อว่าคัมยอเน็ต-พอดิลสกี ซึ่งผมตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง. ผมหัดอ่านและหัดพิมพ์ดีดอักษรเบรลล์. ผมยังเรียนดนตรีต่ออีก โดยใช้เวลาหลายชั่วโมงฝึกเล่นหีบเพลงชักจนชำนาญ. เนื่องจากเห็นความพยายามของผม ผู้ช่วยครูใหญ่จึงอนุญาตให้ผมเล่นหีบเพลงชักของเขา. นอกจากนั้น ผมเรียนเล่นเปียโนด้วย.
บ้านของผมเอง
ในปี 1948 ผมแต่งงานกับครูคนหนึ่งในโรงเรียนซึ่งได้ช่วยสอนหนังสือให้ผม. สามีของเธอเสียชีวิตระหว่างสงคราม ทิ้งเธอไว้กับลูกสาวเล็ก ๆ สองคน. หลังจากที่ผมเรียนจบ ผมย้ายไปอยู่ที่บ้านของเธอ. ผมพยายามอย่างดีที่สุดที่จะเป็นสามีและพ่อที่ดี และหาเลี้ยงชีพด้วยการเล่นดนตรี. ต่อมาในปี 1952 เรามีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน.
ผมวางแผนจะสร้างบ้านเพื่อครอบครัวของเรา โดยว่าจ้างคนมาทำฐานรากและกำแพงด้านนอก แต่ผมทำงานหลายอย่างด้วยตัวเอง. การสัมผัสและการจินตนาการช่วยชดเชยตาที่มองไม่เห็น. ผมจะถือไม้ชิ้นหนึ่งไว้, คลำดู, และนึกภาพไว้ในใจ. หลังจากนั้นผมนำไม้ชิ้นนั้นมาทำเป็นข้าวของเครื่องใช้ รวมถึงเครื่องมือที่ทำด้วยไม้. ผมสั่งทำเครื่องมือที่เป็นเหล็กจากโรงงาน. ผมก่อเตาด้วยอิฐ, ทำเครื่องเรือน, และทำงานอื่น ๆ ได้อีกหลายอย่าง.
วงออร์เคสตราขลุ่ย
ผมเข้ารับการฝึกอบรมด้านดนตรีเพิ่มเติมและกลายเป็นนักดนตรีอาชีพ. หลังจากเล่นเครื่องดนตรีหลายชนิดจนชำนาญ ผมก็หันมาหัดเล่นขลุ่ย. ครั้งหนึ่ง ผมซ่อมแซมขลุ่ยเล็ก ๆ ที่ทำจากไม้ไผ่. ต่อมา ผมหัดทำขลุ่ยด้วยตัวเอง. ในเวลานั้น ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายไม่คิดว่าจะประดิษฐ์ขลุ่ยที่มีเสียงทุ้มได้ เนื่องจากถ้าเป็นขลุ่ยอันใหญ่เสียงจะเบามาก. นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่มีวงออร์เคสตราขลุ่ย.
อย่างไรก็ตาม ผมได้ประดิษฐ์ขลุ่ยที่มีห้องเสียงก้องกังวานเป็นพิเศษซึ่งช่วยทำให้เสียงดังขึ้น. นี่หมายความว่าผม
สามารถทำให้ขลุ่ยมีเสียงทุ้มได้โดยความดังของเสียงไม่ลดลง. ในที่สุด ผมเริ่มผลิตขลุ่ยหลายชุดที่สามารถเล่นประสานเสียงกันได้.ก่อนหน้านี้ ผมเคยตั้งวงออร์เคสตราซึ่งมีเครื่องดนตรีแบบที่ใช้กันมาแต่ดั้งเดิม. วงออร์เคสตราของผมวงหนึ่งมีแต่นักดนตรีที่เป็นคนตาบอด. ต่อมาในปี 1960 ผมได้ตั้งวงออร์เคสตราที่มีแต่ขลุ่ยเท่านั้น วงดนตรีแบบนี้มีอยู่วงเดียวในสหภาพโซเวียตและอาจเป็นวงเดียวในโลก.
ค้นพบและสงสัย
ในปี 1960 ผมได้นำเครื่องดนตรีบางชิ้นไปซ่อมกับช่างซ่อมเครื่องดนตรีที่เชี่ยวชาญคนหนึ่งซึ่งเริ่มคุยกับผมเรื่องศาสนา. ผมโต้แย้งกับเขาตามเคย โดยยืนยันว่าไม่มีพระเจ้า. เขาแนะว่าขอแค่ให้ผมฟังสิ่งที่เขาจะอ่านจากคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น. เนื่องจากผมไม่เคยอ่านคัมภีร์ไบเบิล ผมจึงตัดสินใจว่าจะฟัง.
ผมรู้สึกประทับใจจริง ๆ กับเรื่องราวของยาโคบที่ทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว. การได้ฟังเรื่องที่พี่ชายของโยเซฟขายท่านไปเป็นทาสและต้องตกระกำลำบากรวมถึงในภายหลังที่ท่านได้ให้อภัยพวกพี่ชายของท่านอย่างไรนั้นทำให้ผมถึงกับร้องไห้. (เยเนซิศ บท 37, 39-45) นอกจากนี้ ผมยังชอบกฎทองมากจริง ๆ ซึ่งข้อนั้นกล่าวถึงการปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างที่เราอยากให้เขาปฏิบัติต่อเรา. (มัดธาย 7:12) ด้วยเหตุนั้น ผมจึงได้มาคุ้นเคยและเริ่มรักคัมภีร์ไบเบิล.
ผมเริ่มเข้าร่วมการประชุมของพวกแบพติสต์กับเพื่อนของผม และได้รับ “คัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่” ในอักษรเบรลล์ซึ่งผมเริ่มอ่านอย่างละเอียด. อย่างไรก็ดี ผมสังเกตเห็นความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่กล่าวในคัมภีร์ไบเบิลกับคำสอนของพวกแบพติสต์. ตัวอย่างเช่น ดังที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิล พระเจ้าและพระเยซูเป็นสองบุคคลที่ต่างกัน และพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าพระเยซู. (มัดธาย 3:16, 17; โยฮัน 14:28; กิจการ 2:32) กระนั้น พวกแบพติสต์ยืนกรานว่าพระเจ้าและพระเยซูเท่าเทียมกันและเป็นส่วนของตรีเอกานุภาพ. ผมอ่าน “คัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่” หลายครั้ง, สัมผัสทุกตัวอักษร, และแน่ใจว่าคำสอนเช่นนั้นไม่มีในคัมภีร์ไบเบิล.
ในคัมภีร์ไบเบิลฉบับที่เราใช้อยู่ มีการใช้คำว่า “นรก.” ผมพยายามนึกภาพนรกอย่างที่พวกแบพติสต์สอน ซึ่งก็คือสถานที่ทรมานด้วยไฟชั่วนิรันดร์. นั่นทำให้ผมรู้สึกกลัว! คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าพระเจ้าเป็นความรัก ผมนึกไม่ออกเลยว่าพระองค์จะสร้างสถานที่เช่นนั้นได้อย่างไร. (1 โยฮัน 4:8) เมื่อเวลาผ่านไป ผมรู้สึกสงสัยคำสอนเรื่องนรก รวมทั้งคำสอนอื่น ๆ ของพวกแบพติสต์มากขึ้นเรื่อย ๆ.
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
พอถึงปี 1968 ลูกเลี้ยงของผมทั้งสองคนแต่งงานแล้วและมีลูกของพวกเขาเอง. ในตอนนั้น ภรรยาของผมและผมเริ่มมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรง. เมื่อนึกย้อนถึงวันคืนที่ผ่านมา ผมรู้สึกเสียใจที่เราไม่ได้แสดงความรักและความอดทนต่อกันมากพอ. เราหย่ากัน และการแต่งงานของผมอีกสองครั้งหลังจากนั้นก็ลงเอยด้วยการหย่าร้างเช่นกัน.
ในปี 1981 ผมย้ายจากคัมยอเน็ต-พอดิลสกีซึ่งอยู่มานานถึง 35 ปี ไปอยู่ที่ยอชคาร์-โอลา ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงมอสโกไปทางตะวันออกประมาณ 600 กิโลเมตร. ที่นั่นผมยังทำงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ต่อไป. วงออร์เคสตราวงหนึ่งของผมมีสมาชิก 45 คนซึ่งเล่นขลุ่ยหลายแบบ. ขลุ่ยที่ใช้มีตั้งแต่ขลุ่ยที่ยาวแปดนิ้วและมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ถึงครึ่งนิ้ว ไปจนถึงขลุ่ยดับเบิลเบสที่ยาวกว่าเก้าฟุตและมีเส้นผ่าศูนย์กลางแปดนิ้ว. คอนเสิร์ตของเรากระจายเสียงและออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ และเราเล่นคอนเสิร์ตทั่วประเทศ.
ในการประกวดวงดนตรีปี 1986 ซึ่งมีวงต่าง ๆ ทั่วสหภาพโซเวียตมาร่วมด้วย ผมได้รับเกียรติบัตรและเหรียญรางวัลสำหรับการพัฒนาศิลปะและการแสดงประเภทขลุ่ย. หลายปีต่อมา มีการสร้างภาพยนตร์สารคดีที่ชื่อขลุ่ยเดี่ยว หรือตำนานของนักเป่าขลุ่ย. หนังสือพิมพ์มารีอิสกายา ปราฟดา รายงานว่า “บอริส นิโคเลวิช กูลาเชฟสกี ผู้ซึ่งเป็นตัวละครเอกในภาพยนตร์สารคดีนี้ ได้รับเกียรติบัตรพิเศษเนื่องจากเป็นผู้ริเริ่มวงออร์เคสตราขลุ่ยซึ่งวงดนตรีแบบนี้มีเพียงวงเดียวเท่านั้นในรัสเซีย.”
ค้นหาความจริง
เมื่อผมย้ายมาที่ยอชคาร์-โอลา ผมลงทะเบียนขอใช้ห้องสมุด ซึ่งมีหนังสือมากมายสำหรับคนตาบอด. ผมได้มาคุ้นเคยกับคำสอนของคาทอลิก, เพนเตคอส, และเมทอดิสต์. ผมยังไปร่วมการประชุมที่คริสตจักรออร์โทด็อกซ์ด้วย. ผมรู้สึกแปลกใจอย่างยิ่งที่พบว่าพวกเขาสอนคำสอนเหมือน
กับที่ผมเคยได้ยินจากโบสถ์แบพติสต์ ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้อาศัยคัมภีร์ไบเบิล.งานเขียนของบาทหลวงออร์โทด็อกซ์ที่ชื่ออะเล็กซานเดอร์ เมน กล่าวว่าพระเจ้ามีพระนามเฉพาะว่ายาห์เวห์. เขายังบอกด้วยว่าชาวยิวเคยมีการนมัสการแท้ ซึ่งต่อมาการนมัสการแท้ได้เสื่อมลงเพราะคำสอนนอกรีตและการไหว้รูปเคารพ. งานเขียนของเขาประทับใจผมอย่างยิ่งและทำให้ผมยิ่งปรารถนาที่จะแสวงหาความจริง.
ตั้งใจแน่วแน่มากขึ้น
ในวงออร์เคสตราวงหนึ่งของผม มีนักดนตรีชื่อลิซา เธอมีปัญหาเรื่องการมองเห็นซึ่งทางกฎหมายถือว่าเป็นคนตาบอด. เราแต่งงานกันในปี 1990 และเธอก็สนใจเรื่องศาสนาด้วยเช่นกัน. ในปีเดียวกันนั้นเอง ผมไปเยี่ยมคุณแม่ซึ่งอาศัยอยู่กับเลนาน้องสาวในเมืองบาราโนวิชี ประเทศเบลารุส. ผมไปโบสถ์คาทอลิกตามที่คุณแม่ขอร้อง และก็รับศีลมหาสนิทที่นั่น. ช่วงเวลานั้นเป็นยุคของการปฏิรูปทางสังคมและการเมืองในสหภาพโซเวียต และเรื่องที่บาทหลวงเทศนาส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง. อีกครั้งหนึ่งที่ผมรู้สึกแน่ใจว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ.
ในปี 1994 ผมมีอาการหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันสองครั้งและป่วยหนัก. ในปีเดียวกันนั้นเอง คุณแม่ของผมเสียชีวิต. แม้เผชิญเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ ผมก็ยังคงอ่านคัมภีร์ไบเบิลต่อไป. ผมอ่าน “คัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่” จบไป 25 รอบแล้ว และหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้นับอีก. แต่ผมอ่านต่อไปเรื่อย ๆ และมีคำถามมากขึ้นอีก. ผมแน่ใจว่าผมไม่สามารถเข้าใจความจริงในคัมภีร์ไบเบิลได้ด้วยตัวเอง.
ความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ในปี 1996 พยานพระยะโฮวาได้มาเคาะที่ประตูบ้านของเราในยอชคาร์-โอลา. ผมไม่ไว้ใจพวกเขาเนื่องจากหนังสือพิมพ์บอกว่าพวกเขาเป็นลัทธิอันตราย. แต่แล้วผมก็คิดว่า ‘พวกเขาจะทำอันตรายอะไรผมได้?’ สิ่งแรกที่ผมถามก็คือพวกเขาคิดอย่างไรในเรื่องตรีเอกานุภาพ. พวกเขาตอบว่าคำนี้อีกทั้งความคิดเช่นนั้นไม่มีในคัมภีร์ไบเบิล. ผมรู้สึกดีใจเนื่องจากผมก็ลงความเห็นอย่างเดียวกัน.
เมื่อผมอ่านเอ็กโซโด 6:3 จากคัมภีร์ไบเบิลฉบับสภาสงฆ์ภาษารัสเซียซึ่งมีพระนามของพระเจ้า พระยะโฮวา ปรากฏอยู่ หัวใจผมเต้นแรงมาก. ผมรู้สึกประหลาดใจที่ศาสนาหลอกลวงประชาชนโดยปิดปังไม่ให้ประชาชนรู้จักพระนามนั้น. และที่น่าคิดก็คือ พยานฯ ถูกเรียกตามพระนามของพระผู้สร้างและยังบอกให้คนอื่น ๆ รู้จักพระนามนั้น!—ยะซายา 43:10.
ผมถามพยานฯ ด้วยคำถามต่าง ๆ มากมาย. ตัวอย่างเช่น “เหตุใดคัมภีร์ไบเบิลพูดถึงนรก? เหตุใดคัมภีร์ไบเบิลฉบับสภาสงฆ์ภาษารัสเซียที่คนทั่วไปใช้จึงบอกว่าแผ่นดินโลกจะถูกเผา?” ผมถามคำถามแล้วคำถามเล่า แต่เมื่อได้รับคำตอบจากพระคัมภีร์ ผมตระหนักว่าผมพบศาสนาที่ผมใฝ่หามานานหลายปีแล้ว. ด้วยน้ำตาแห่งความยินดี ผมคุกเข่าลงขอบคุณพระเจ้า.
ไม่นาน พยานฯ ก็เริ่มพาผมเข้าร่วมการประชุม และผมรู้สึกประทับใจที่ผู้ฟังตั้งใจฟังและได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษเมื่อผู้บรรยายพูดบนเวที. เมื่อผู้บรรยายบอกข้อพระคัมภีร์ ผู้ฟังก็เปิดดูจากคัมภีร์ไบเบิลของเขาเอง. ผมไม่เคยเจออย่างนี้มาก่อน. ที่การประชุม พยานฯ ร้องเพลงที่อาศัยพระธรรมยะซายา 35:5 ซึ่งเริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า “เมื่อสายตาของคนบอดสว่าง.”
ผมเริ่มมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้ศึกษาพระคัมภีร์กับพยานฯ ถึงสี่ครั้งต่อสัปดาห์. ไม่ช้า ผมก็ได้เรียนรู้ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงยอมให้มีความทุกข์และสงคราม รวมถึงวิธีที่พระองค์จะจัดการกับผลพวงของความทุกข์ยากเช่นนั้น. ผมรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษเมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับคำสัญญาอันเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้าเรื่องราชอาณาจักร และโดยทางราชอาณาจักรนี้เอง พระประสงค์ของพระองค์ที่จะให้มนุษยชาติที่เชื่อฟังมีชีวิตอยู่ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลกจะสำเร็จเป็นจริง. (เยเนซิศ 1:28; ยะซายา 65:17-25; วิวรณ์ 21:1-5) สำหรับผมแล้ว ความจริงในคัมภีร์ไบเบิลกระจ่างแจ้งยิ่งกว่าที่ผ่านมา และในวันที่ 16 พฤศจิกายน 1997 ผมได้รับบัพติสมาซึ่งเป็นสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระเจ้า.
เป็นเอกภาพในการรับใช้พระเจ้า
ไม่นานหลังจากผมรับบัพติสมา ลิซาก็เริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วย. แม้จะเป็นอัมพาต แต่เธอก็ทำความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและรับบัพติสมาในปี 1998. แม้ต้องมีคนอุ้มเธอไปที่สระบัพติสมา แต่เธอก็ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะรับใช้พระเจ้าสิ้นสุดจิตวิญญาณ. เราจ้างนักบำบัดโรคด้วยการนวด และลิซาก็บริหารร่างกายเอง. ในที่สุด เธอก็หายจากอาการอัมพาต. ตอนนี้ เธอไม่เพียงเข้าร่วมการประชุมทุกรายการเท่านั้น แต่เธอยังเข้าร่วมในการประกาศตามบ้านและเดินทางไปประกาศยังเขตไกล ๆ ได้ด้วย.
ทุกครั้งที่ผมไปประกาศ ผมจะอธิษฐานขอความกล้า. หลังจากอธิษฐานแล้ว ผมหยิบไม้เท้า, เดินออกจากบ้าน, และมุ่งหน้าไปที่ป้ายรถไฟฟ้าโดยสารซึ่งเป็นเส้นทางที่ผมรู้จักดี. เมื่อผมได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาใกล้ ผมจะเริ่มสนทนาเรื่องคัมภีร์ไบเบิล. เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถไฟฟ้าโดยสาร ผมจะนั่งประมาณตรงกลาง, พูดคุยกับผู้คนเรื่องคัมภีร์ไบเบิล, และให้วารสาร. ถ้าบางคนแสดงความสนใจ เราจะแลกเบอร์โทรศัพท์กัน.
ไม่นานมานี้ ผมมีโอกาสคุยกับครูสอนดนตรีที่สถานพยาบาลแห่งหนึ่ง. เขารู้สึกทึ่งกับสติปัญญาที่พบในคัมภีร์ไบเบิล. เมื่อชายคนนี้กลับบ้าน เขาเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวา. ที่สถานพยาบาลเดียวกันนั้น ผมได้พบกรรมการบริษัทของโรงงานแห่งหนึ่งในย่านนั้นซึ่งมีลูกชายตาบอด. ผมบอกเขาถึงเรื่องความหวังที่ผมมี และเขาก็เริ่มสนใจและหยั่งรู้ค่าความจริงในคัมภีร์ไบเบิลที่เขาได้ยิน.
นับตั้งแต่ผมรับบัพติสมา ผมได้ช่วยแปดคนให้มาเป็นเพื่อนผู้ประกาศราชอาณาจักรและได้ศึกษาพระคัมภีร์กับอีกหลายคน. พระยะโฮวายังคงเกื้อหนุนผมและภรรยาอย่างมากโดยทางพี่น้องชายหญิงคริสเตียน. พวกเขาอ่านหนังสือให้เราฟัง และสนทนาเกี่ยวกับหนังสือที่อาศัยพระคัมภีร์ด้วยกันกับเรา. พวกเขายังบันทึกเสียงคำบรรยายการประชุมภาคและการประชุมประชาคมให้เราด้วย. การช่วยเหลือทั้งหมดนี้ช่วยเราให้จารึกความจริงจากพระคัมภีร์ลงในหัวใจของเราและช่วยเราแบ่งปันความจริงแก่คนอื่น ๆ. ด้วยเหตุนั้น ประชาคมจึงกลายเป็น “ผู้ช่วยเสริมกำลัง” ของเรา.—โกโลซาย 4:11, ล.ม.
ผมอุทิศชีวิตให้กับดนตรีมานานหลายปี และตอนนี้ผมรู้สึกชื่นชมยินดีที่จะร้องเพลงราชอาณาจักร. ผมท่องจำเพลงส่วนใหญ่ในหนังสือจงร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวา ภาษารัสเซียได้. ผมเชื่อว่าพระยะโฮวาทรงพบผมในโลกแห่งความชั่วนี้และช่วยผมให้พบทางที่จะออกจากโลกแห่งความมืดฝ่ายวิญญาณ. นั่นเป็นเหตุที่ผมมั่นใจว่า สักวันหนึ่งพระองค์จะช่วยผมหลุดพ้นจากความมืดมิดจริง ๆ เช่นกัน.
[ภาพหน้า 19]
เล่นขลุ่ย ซี เมเจอร์ โทนเสียงทุ้ม
[ภาพหน้า 20]
เล่นหีบเพลงชัก ปี 1960
[ภาพหน้า 20, 21]
วงออร์เคสตราขลุ่ย
[ภาพหน้า 23]
กับลิซาในปัจจุบัน