พระเจ้าเป็นต้นเหตุไหม?
พระเจ้าเป็นต้นเหตุไหม?
“พระเจ้าทรงเป็นความรัก” คัมภีร์ไบเบิลกล่าว. (1 โยฮัน 4:8) พระองค์ยังทรงยุติธรรมและเมตตากรุณาด้วย. “พระองค์เป็นศิลา, กิจการของพระองค์ดีรอบคอบ; เพราะทางทั้งปวงของพระองค์ยุติธรรม: พระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความจริงปราศจากความอสัตย์, เป็นผู้ชอบธรรมและซื่อสัตย์.”—พระบัญญัติ 32:4.
เนื่องจากพระองค์เป็นพระผู้สร้าง พระยะโฮวาพระเจ้าทรงสามารถมองเห็นล่วงหน้าไม่ว่าอะไรก็ตามที่อาจก่ออันตรายได้ และพระองค์ทรงมีฤทธิ์อำนาจที่จะขัดขวางไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น. เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้และคุณลักษณะของพระเจ้าที่พรรณนาไว้ในคัมภีร์ไบเบิล หลายคนจึงถามอย่างเหมาะสมว่า “ทำไมพระเจ้ายอมให้เกิดภัยธรรมชาติ?” * คนนับล้านที่เคยถามคำถามนี้ด้วยความจริงใจได้มาทราบว่า พระเจ้าเองทรงให้คำตอบที่มีเหตุผลที่สุดในพระคำของพระองค์ที่เขียนไว้แล้ว. (2 ติโมเธียว 3:16) โปรดพิจารณาเรื่องต่อไปนี้.
พวกเขาปฏิเสธความรักของพระเจ้า
คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าพระเจ้าประทานทุกสิ่งที่จำเป็นให้แก่บิดามารดาแรกเดิมของเราเพื่อจะมีชีวิตที่มีความสุขและปลอดภัย. ยิ่งกว่านั้น ขณะที่เขาทั้งสองกับลูกหลานเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าที่ให้ “บังเกิดทวีมากขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน” ครอบครัวมนุษย์ที่กำลังแผ่ขยายไปก็มั่นใจได้ว่าพระเจ้าจะทรงดูแลพวกเขาเรื่อยไป.—เยเนซิศ 1:28.
แต่น่าเศร้า อาดามกับฮาวาจงใจหันหลังให้พระผู้สร้าง โดยเจตนาไม่เชื่อฟังพระองค์และเลือกเดินในทางที่ไม่ขึ้นกับพระองค์. (เยเนซิศ 1:28; 3:1-6) ลูกหลานของเขาทั้งสองส่วนใหญ่ทำตามเยี่ยงอย่างของพวกเขา. (เยเนซิศ 6:5, 6, 11, 12) พูดง่าย ๆ คือ มนุษยชาติโดยรวมได้เลือกที่จะเป็นนายของตัวเองและบ้านของตนคือแผ่นดินโลกนี้ โดยไม่ให้พระเจ้าชี้นำพวกเขา. เนื่องจากทรงเป็นพระเจ้าแห่งความรักผู้ซึ่งเคารพหลักการเรื่องเจตจำนงเสรี พระยะโฮวาจึงไม่บังคับใช้อำนาจการปกครองของพระองค์กับมนุษย์ แม้ว่าแนวทางของมนุษย์อาจนำไปสู่ความเสียหายได้. *
ถึงกระนั้น พระยะโฮวาไม่ได้ทอดทิ้งครอบครัวมนุษย์. จนกระทั่งทุกวันนี้ “พระองค์ทรงบันดาลให้ดวงอาทิตย์ขึ้นมัดธาย 5:45) นอกจากนั้น พระเจ้าทรงให้มนุษยชาติมีความสามารถที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับแผ่นดินโลกและวัฏจักรต่าง ๆ ในโลก และความรู้นี้ช่วยมนุษย์สามารถคาดคะเนล่วงหน้าได้ในระดับหนึ่งว่าสภาพอากาศรุนแรงและอันตรายอื่น ๆ เช่น ภูเขาไฟระเบิด จะเกิดขึ้นเมื่อไรและที่ไหน.
ส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่ว และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม.” (นอกจากนี้ มนุษย์ยังค้นพบว่าส่วนไหนของโลกมีความเสี่ยงมากกว่าส่วนอื่น ๆ ที่จะเกิดแผ่นดินไหวหรือสภาพอากาศรุนแรง. ในบางประเทศ ความรู้นี้ได้ช่วยชีวิตผู้คนโดยทางการศึกษา รวมทั้งการพัฒนาวิธีก่อสร้างและระบบเตือนภัยให้ดีขึ้น. กระนั้น ภัยธรรมชาติที่มีรายงานในแต่ละปีก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ. เหตุผลสำหรับเรื่องนี้มีหลายประการและซับซ้อน.
การอาศัยอยู่ในเขตที่มีความเสี่ยงสูง
ภัยพิบัติจะสร้างความเสียหายแค่ไหนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของพลังธรรมชาติที่เกิดขึ้นเสมอไป. การที่มีคนอาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างหนาแน่นมักส่งผลมากกว่า. ตามรายงานที่จัดพิมพ์โดยธนาคารโลก ใน 160 กว่าประเทศ ประชากรมากกว่าหนึ่งในสี่ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการเสียชีวิตจากภัยธรรมชาติ. นักวิทยาศาสตร์ชื่อเคลาส์ เจคอบ แห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสหรัฐ กล่าวว่า “ยิ่งคุณเอาคนเข้าไปอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยมากขึ้น คุณก็ทำสิ่งที่เมื่อก่อนนี้เป็นเพียงปรากฏการณ์ธรรมชาติให้กลายเป็นภัยพิบัติ.”
ปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีกคือการขยายเขตเมืองอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีการวางแผน, การตัดไม้ทำลายป่า, และการเทคอนกรีตลาดพื้นดินเป็นบริเวณกว้างซึ่งตามปกติจะซึมซับน้ำที่ไหลบ่ามา. โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยสองประการหลังนี้ที่ทำให้เกิดโคลนถล่มและน้ำท่วมซึ่งก่อความเสียหายอย่างมาก.
ปัจจัยที่เกิดจากมนุษย์อาจทำให้แผ่นดินไหวกลายเป็นภัยพิบัติครั้งร้ายแรงได้ เนื่องจากสิ่งที่ทำให้ผู้คนเสียชีวิตและบาดเจ็บส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่การสั่นสะเทือน แต่เกิดจากอาคารที่พังลงมาต่างหาก. ด้วยเหตุผลที่ดี นักวิทยาแผ่นดินไหวจึงมีคำพูดที่ว่า “แผ่นดินไหวไม่ได้ทำให้คนตาย. แต่อาคารทำให้คนตาย.”
การไร้สมรรถภาพทางการเมืองอาจทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น. ประเทศหนึ่งในอเมริกาใต้ แผ่นดินไหวทำให้เมืองหลวงของประเทศพินาศยับเยินถึงสามครั้งในรอบ 400 ปีที่ผ่านมา. และตั้งแต่แผ่นดินไหวครั้งล่าสุด ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 1967 ประชากรในเมืองนั้นได้เพิ่มขึ้นสองเท่าเป็นห้าล้านคน. “แต่ประมวลกฎหมายควบคุมอาคารซึ่งสามารถปกป้องคุ้มครองประชากรได้กลับไม่มีเลยหรือไม่ถูกบังคับใช้” วารสารนิว ไซเยนติสต์ กล่าว.
ข้อความตอนท้ายนี้ตรงกับสภาพการณ์ของเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา สหรัฐอเมริกา ซึ่งตั้งอยู่ในที่ลุ่มและเป็นพื้นที่ที่น้ำมักจะท่วม. แม้ว่ามีการสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วมและติดตั้งเครื่องสูบน้ำไว้ แต่ภัยพิบัติที่หลายคนกลัวกันนักหนาก็เกิดขึ้นจนได้เมื่อปี 2005 เมื่อเฮอร์ริเคนแคทรีนาพัดถล่มเมืองนี้. รายงานในวารสารยูเอสเอ ทูเดย์ กล่าวว่า “คำเตือนที่มีมานานแล้ว” ถ้าไม่ถูกมองข้ามก็ “พบกับการตอบรับอย่างไม่แยแส.”
มีการแสดงปฏิกิริยาแบบที่ไม่แยแสทำนองเดียวกันในเรื่องภาวะโลกร้อน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าภาวะดังกล่าวอาจทำให้ภัยพิบัติเกี่ยวกับสภาพดินฟ้าอากาศรุนแรงขึ้นและทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น. เห็นได้ชัดว่า ปัจจัยต่าง ๆ ทั้งทางการเมือง, ทางสังคม, และทางเศรษฐกิจยิระมะยา 10:23) ปัจจัยที่มนุษย์ทำให้เกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่งคือเจตคติที่ผู้คนมีต่อคำเตือน—ไม่ว่าจะเป็นคำเตือนจากธรรมชาติหรือจากเจ้าหน้าที่.
—สิ่งซึ่งพระเจ้าไม่ได้ก่อขึ้น—เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงด้วย. ปัจจัยที่มนุษย์ทำให้เกิดขึ้นเหล่านี้ทำให้เรานึกถึงความจริงของข้อหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่ามนุษย์ไม่สามารถ “กำหนดก้าวของตัวได้.” (เรียนรู้จักสัญญาณเตือน
แรกทีเดียว ต้องยอมรับว่าภัยธรรมชาติอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ. ท่านผู้ประกาศ 9:11 (ล.ม.) กล่าวว่า “วาระและเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดล่วงหน้าย่อมบังเกิดแก่เขาทุกคน.” แต่บ่อยครั้งจะมีสัญญาณบ่งบอกบางอย่าง—ไม่ว่าจากธรรมชาติหรือจากเจ้าหน้าที่—ว่าภัยกำลังจะเกิดขึ้น. ดังนั้น เมื่อผู้คนรู้จักสัญญาณเตือน พวกเขาก็มีโอกาสรอดมากขึ้น.
เมื่อคลื่นสึนามิถล่มเกาะซิมาลัวของอินโดนีเซียในปี 2004 มีเพียงเจ็ดคนที่เสียชีวิต จากประชากรทั้งหมดหลายพันคน. เนื่องจากรู้ว่าน้ำที่ลดลงอย่างผิดปกติอาจเป็นสัญญาณเตือนก่อนจะมีสึนามิเกิดขึ้น คนส่วนใหญ่จึงหนีไปเมื่อน้ำทะเลลดลง. ในทำนองเดียวกัน มีหลายคนหนีจากพายุที่รุนแรงและภูเขาไฟระเบิดได้เพราะเขาฟังคำเตือน. เนื่องจากคำเตือนของธรรมชาติบางครั้งมาก่อนคำเตือนของเจ้าหน้าที่ ก็นับว่าสุขุมที่จะเรียนรู้จักคำเตือนทั้งสองอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณอยู่ในเขตที่เสี่ยงจะเกิดภัยพิบัติ.
อย่างไรก็ตาม น่าเศร้าที่มี “แนวโน้มว่าผู้คนไม่ยอมรับรู้ว่ามีอันตราย ถึงแม้เรื่องนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจน” นักวิทยาภูเขาไฟคนหนึ่งกล่าว. เรื่องนี้เป็นจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ซึ่งมักจะมีสัญญาณเตือนผิดพลาดบ่อย ๆ หรือในที่ซึ่งเคยเกิดภัยพิบัตินานมาแล้ว. และบางครั้งผู้คนเพียงแต่ไม่ต้องการทิ้งทรัพย์สมบัติของตนไป แม้ว่าภัยพิบัติจวนจะมาถึงอยู่แล้ว.
ในหลายพื้นที่ ผู้คนยากจนเกินกว่าจะย้ายไปยังเขตที่ปลอดภัยกว่าได้. แต่แทนที่จะสะท้อนถึงความล้มเหลวของพระผู้สร้าง สภาพความเป็นจริงของความยากจนกลับชี้ถึงความล้มเหลวของมนุษย์. ตัวอย่างเช่น รัฐบาลต่าง ๆ มักจะทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ แต่แทบไม่ได้ทำอะไรเลยเพื่อช่วยคนยากจน.
ถึงกระนั้น คนส่วนใหญ่ก็พอจะได้รับการช่วยเหลืออยู่บ้าง ไม่ว่าสภาพการณ์ของเขาจะเป็นเช่นไร. เป็นเช่นนั้นอย่างไร? ก็ในข้อที่ว่า โดยทางคัมภีร์ไบเบิล พระคำที่ได้รับการเขียนขึ้นของพระองค์ พระเจ้าได้ประทานหลักการที่ดีมากมายซึ่งสามารถช่วยชีวิตเราได้เมื่อนำไปใช้.
หลักการที่ช่วยรักษาชีวิต
▪ อย่าทดลองพระเจ้า. พระบัญญัติ 6:16 กล่าวว่า “อย่าทดลองพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า.” คริสเตียนแท้ไม่ดำเนินชีวิตแบบเชื่อโชคลาง โดยคิดว่าพระเจ้าจะปกป้องพวกเขาให้พ้นจากอันตรายใด ๆ ที่จะเกิดแก่ร่างกายของตนเสมอ. ด้วยเหตุนี้ เมื่อเห็นว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้น พวกเขาเชื่อฟังคำแนะนำที่มีขึ้นโดยการดลใจว่า “คนฉลาดมองเห็นภัยแล้วหนีไปซ่อนตัว; แต่คนโง่เดินเซ่อไปและก็เป็นอันตราย.”—สุภาษิต 22:3.
▪ ถือว่าชีวิตมีค่ามากกว่าทรัพย์สมบัติ. “แม้ว่าคนเรามีอย่างบริบูรณ์ แต่ชีวิตของเขาก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขามี.” (ลูกา 12:15, ล.ม.) จริงอยู่ สมบัติวัตถุมีความสำคัญ แต่มันไม่มีค่าอะไรเลยสำหรับคนตาย. ดังนั้น คนที่รักชีวิตและทะนุถนอมสิทธิพิเศษที่ได้รับใช้พระเจ้าจะไม่เสี่ยงอันตรายโดยไม่จำเป็นเพื่อจะปกป้องทรัพย์สมบัติของตน.—บทเพลงสรรเสริญ 115:17.
ในปี 2004 ทาดาชิ ซึ่งอยู่ในญี่ปุ่น ทิ้งบ้านของเขาทันทีหลังจากเกิดแผ่นดินไหวและก่อนที่จะมีคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่. สำหรับเขาแล้ว ชีวิตของเขาสำคัญกว่าบ้านและสิ่งของที่เขามีอยู่. อะกิระ ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกันเขียนว่า “ระดับของความเสียหายที่แท้จริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการสูญเสียสมบัติวัตถุ แต่ขึ้นอยู่กับทัศนคติของคนเรา. ผมถือว่าภัยพิบัติครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่ผมจะทำให้ชีวิตเรียบง่ายขึ้น.”
▪ ฟังคำเตือนของรัฐบาล. “จงให้ทุกคนยอมอยู่ใต้อำนาจที่สูงกว่า.” (โรม 13:1, ล.ม.) เมื่อเจ้าหน้าที่สั่งให้อพยพหรือปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยบางอย่าง ก็เป็นการสุขุมที่จะเชื่อฟัง. ทาดาชิออกไปไกลจากเขตอันตรายโดยเชื่อฟังคำสั่งให้อพยพ และจึงไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากแผ่นดินไหวที่ตามมาอีก.
เมื่อไม่มีคำเตือนจากทางการถึงเรื่องภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น ผู้คนต้องตัดสินใจเองว่าจะลงมืออย่างไรและเมื่อไร โดยคำนึงถึงข้อเท็จจริงทั้งหมดที่มีอยู่. ในบางพื้นที่ เจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นอาจจัดเตรียมคำแนะนำที่มีประโยชน์เพื่อจะรอดจากภัยพิบัติ. ถ้ามีข้อมูลเช่นนี้อยู่ในท้องที่ของคุณ คุณทราบข้อมูลนี้ดีพอหรือยัง? และคุณได้ปรึกษากับครอบครัวของคุณ
หรือยัง? (ดูกรอบในบทความนี้.) ในหลายส่วนของโลก ภายใต้การชี้นำจากสำนักงานสาขาในท้องถิ่นของพยานพระยะโฮวา ประชาคมต่าง ๆ มีมาตรการฉุกเฉินที่จะต้องปฏิบัติตามถ้าดูเหมือนจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้นหรือได้เกิดขึ้นจริง ๆ และมาตรการเหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์อย่างยิ่ง.▪ แสดงความรักแบบคริสเตียน. พระเยซูตรัสว่า “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย, คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน. เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วฉันใด, เจ้าจงรักซึ่งกันและกันด้วยฉันนั้น.” (โยฮัน 13:34) คนที่แสดงความรักแบบเสียสละเยี่ยงพระคริสต์จะทำทุกวิถีทางที่ทำได้เพื่อช่วยเหลือกันและกันในการเตรียมตัวหรือเพื่อให้รอดจากภัยธรรมชาติ. ท่ามกลางพยานพระยะโฮวา ผู้ปกครองในประชาคมทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยเพื่อติดต่อสมาชิกทุกคนในประชาคมให้แน่ใจว่าพวกเขาปลอดภัยหรือสามารถไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยได้. นอกจากนั้น ผู้ปกครองจะตรวจดูให้แน่ใจว่าแต่ละคนมีสิ่งจำเป็นในชีวิต เช่น น้ำดื่มสะอาด, อาหาร, เสื้อผ้า, และยาที่จำเป็น. ขณะเดียวกัน ครอบครัวพยานฯ ในเขตที่ปลอดภัยก็ยินดีรับเพื่อนพยานฯ ที่ต้องอพยพให้มาพักอยู่ที่บ้านของตน. ความรักเช่นนี้ “เป็นเครื่องผูกพันอันสมบูรณ์ที่ทำให้เป็นหนึ่งเดียว.”—โกโลซาย 3:14, ล.ม.
ภัยธรรมชาติจะยิ่งเลวร้ายลงอย่างที่บางคนคาดการณ์ไว้ไหม? อาจเป็นเช่นนั้น แต่คงเป็นเช่นนั้นไปอีกไม่นาน. เพราะอะไร? เพราะว่ายุคอันน่าเศร้าของมนุษยชาติที่ไม่ขึ้นกับพระเจ้ากำลังจะจบลง. หลังจากนั้น แผ่นดินโลกทั้งสิ้น และผู้ที่อาศัยอยู่ในโลก จะอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองอันเปี่ยมด้วยความรักของพระยะโฮวาอย่างเต็มที่ พร้อมด้วยผลอันยอดเยี่ยม ดังที่เราจะได้พิจารณาในตอนนี้.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 3 แผ่นดินไหว, สภาพลมฟ้าอากาศที่รุนแรง, ภูเขาไฟระเบิด, และปรากฏการณ์อื่น ๆ โดยตัวมันเองแล้วไม่ใช่ภัยธรรมชาติ. ปรากฏการณ์เหล่านี้กลายเป็นภัยธรรมชาติก็ต่อเมื่อส่งผลร้ายต่อชีวิตมนุษย์และทรัพย์สิน.
^ วรรค 6 สำหรับการพิจารณาให้ละเอียดยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงยอมให้มีความทุกข์และความชั่วอยู่ระยะเวลาหนึ่ง โปรดดูบทความชุดเรื่อง “ ‘ทำไม?’—การตอบคำถามที่ตอบยากที่สุด” ในวารสารนี้ฉบับพฤศจิกายน 2006 รวมทั้งบท 11 ของหนังสือคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ? จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
[กรอบ/ภาพหน้า 7]
คุณเตรียมพร้อมที่จะหนีไหม?
สำนักงานจัดการเหตุฉุกเฉินแห่งนครนิวยอร์กแนะนำให้แต่ละครอบครัววางแผนการอพยพโดยจัดเตรียม “กระเป๋าฉุกเฉิน”—ซึ่งเป็นกระเป๋าที่แข็งแรงทนทาน, ใช้ได้สะดวก, หิ้วไปไหนได้ง่ายและมีของสำคัญสำหรับใช้ในยามฉุกเฉิน. อาจใส่สิ่งต่อไปนี้ในกระเป๋าใบนั้น: *
▪ สำเนาเอกสารสำคัญใส่ในซองที่กันน้ำได้
▪ ลูกกุญแจสำรองสำหรับรถยนต์และบ้าน
▪ บัตรเครดิต, บัตรเอทีเอ็ม, และเงินสด
▪ น้ำดื่มบรรจุขวดและอาหารที่ไม่เน่าเสีย
▪ ไฟฉาย, เครื่องรับวิทยุ เอเอ็ม/เอฟเอ็ม, ถ่านไฟฉาย, โทรศัพท์มือถือ (ถ้ามี), แบตเตอรี่สำรอง
▪ ยาสำหรับใช้อย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์, รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีใช้ยา, ใบสั่งยา, และชื่อแพทย์และหมายเลขโทรศัพท์. (อย่าลืมเปลี่ยนยาใหม่ก่อนที่จะหมดอายุ)
▪ ชุดปฐมพยาบาล
▪ รองเท้าที่ทนทานใส่สบายและชุดกันฝน
▪ ข้อมูลสำหรับติดต่อและจุดนัดพบสำหรับครอบครัวของคุณ รวมทั้งแผนที่เขตนั้น
▪ ของใช้ที่จำเป็นสำหรับเด็กอ่อน
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 35 แม้จะมีรายการสิ่งของที่ทางการแนะนำเป็นพื้นฐาน แต่รายการข้างต้นก็มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย. ไม่ใช่ทุกสิ่งที่อยู่ในรายการจะเหมาะกับกรณีของคุณหรือในประเทศที่คุณอาศัยอยู่ และอาจต้องเพิ่มสิ่งของบางอย่างเข้าไป. ตัวอย่างเช่น ผู้สูงอายุและผู้ทุพพลภาพก็มีความจำเป็นพิเศษของตนเอง.
[ที่มาของภาพหน้า 4]
USGS, David A. Johnston, Cascades Volcano Observatory