การประกาศข่าวดีในดินแดนที่ไกลโพ้น
การประกาศข่าวดีในดินแดนที่ไกลโพ้น
เล่าโดยเฮเลน โจนส์
ฉันกำลังเดินผ่านตลาดที่มีผู้คนแน่นขนัดในเมืองบังคาลอร์ ประเทศอินเดีย ในต้นทศวรรษ 1970. ทันใดนั้น ควายตัวหนึ่งได้เอาเขามาขวิดฉันจนตัวลอยขึ้นแล้วเหวี่ยงฉันลงกับพื้น. มันเตรียมจะเหยียบฉันอยู่แล้วตอนที่ผู้หญิงชาวอินเดียคนหนึ่งเข้ามาช่วยชีวิตฉันไว้. ฉันไปทำอะไรที่อินเดียล่ะ?
ฉันเกิดในปี 1931 และโตขึ้นในเมืองแวนคูเวอร์ที่สวยงามของประเทศแคนาดา. พ่อแม่ฉันเป็นคนดีมีคุณธรรมแต่ท่านไม่ไปโบสถ์. อย่างไรก็ตาม ฉันใฝ่ฝันเหลือเกินที่จะได้รู้จักพระเจ้า ดังนั้น ตอนที่ฉันเป็นเด็ก ฉันจึงไปเข้าโรงเรียนรวีวารศึกษาและชั้นเรียนคัมภีร์ไบเบิลภาคฤดูร้อน.
ในปี 1950 ตอนที่อายุ 19 ปี ฉันแต่งงานกับแฟรงก์ ชิลเลอร์ ซึ่งมีลูกติดสี่คนจากการแต่งงานครั้งก่อน. สองปีต่อมาเราก็มีลูกชายหนึ่งคน. เราอยากใช้ชีวิตอย่างคนที่มีศาสนา แต่เนื่องจากแฟรงก์เคยหย่าร้าง และโบสถ์ที่เราพยายามไปเข้าร่วมก็ไม่มีสักแห่งที่ยอมรับเรา. แฟรงก์รู้สึกสะอิดสะเอียน ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมพูดเรื่องศาสนา.
เรียนความจริงจากคัมภีร์ไบเบิล
ในปี 1954 พี่ชายได้เล่าให้ฉันฟังอย่างตื่นเต้นเกี่ยวกับสิ่งที่เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวาได้ชี้ให้เขาดูจากคัมภีร์ไบเบิล. แม้ว่าฉันมีคำถามมากมายและรู้ว่าพยานฯ จัดการประชุมที่ไหน แต่ฉันก็ไม่เคยไปร่วมประชุมเพราะฉันรู้ว่าแฟรงก์คิดเช่นไรเกี่ยวกับศาสนา. ต่อมา มีพยานฯ สองคนมาที่หน้าประตูบ้านของเรา. ฉันอยากรู้ว่าศาสนาของพวกเขาสอนเรื่องการหย่าร้างอย่างไร และพวกเขาได้ให้ฉันดูคัมภีร์ไบเบิล โดยชี้ให้ดูมูลเหตุสำหรับการหย่าร้างที่เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์. (มัดธาย 19:3-9) พวกเขารับรองกับฉันว่า โดยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ คำถามของฉันเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลจะได้รับคำตอบ.
แฟรงก์โมโหมาก เขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับพยานฯ. ในปี 1955 ฉันได้เข้าร่วมการประชุมอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระคริสต์ และเมื่อฉันกลับถึงบ้าน ฉันก็เริ่มเล่าให้เขาฟังอย่างตื่นเต้นถึงสิ่งที่ฉันได้เรียนจากคัมภีร์ไบเบิล. เขาตะโกนออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้! แต่เอาสิถ้าคุณพิสูจน์จากคัมภีร์ไบเบิลได้นะ ผมจะยอมไปประชุมโง่ ๆ กับคุณเลย!”
ฉันยื่นคัมภีร์ไบเบิลให้เขา เขารับไปด้วยกิริยาที่เห็นได้ชัดว่าเขานับถือคัมภีร์ไบเบิล. เราเปิดข้อคัมภีร์ที่ฉันจดไว้ และฉันแทบไม่ได้ปริปากพูด แต่ให้คัมภีร์ไบเบิลพูดเอง. แฟรงก์ไม่ได้โต้เถียงและดูเหมือนเขาได้ครุ่นคิดตลอดช่วงเวลาที่เหลือในคืนนั้น.
ต่อมา ฉันทวงถามเรื่องที่เขาสัญญาว่าจะไปร่วมประชุม. เขาตอบอย่างไม่ค่อยเต็มใจนักว่า “ก็ได้ ผมจะไปแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเพื่อดูว่าการประชุมเป็นอย่างไร.” คำบรรยายที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลได้พูดถึงเรื่องที่ภรรยาต้องยอมอยู่ใต้อำนาจสามี. (เอเฟโซส์ 5:22, 23, 33) เรื่องนั้นประทับใจเขาจริง ๆ. ประมาณช่วงเดียวกันนั้น แฟรงก์ได้ร่วมการศึกษาหอสังเกตการณ์ ในบทความเรื่อง “จงอิ่มใจยินดีกับการงาน.” เนื่องจากแฟรงก์เป็นคนที่ขยันทำงาน เขาจึงชอบเรื่องที่ได้ศึกษา. หลังจากการศึกษาครั้งนั้น เขาก็ไม่เคยพลาดการประชุมอีกเลย. ไม่นานแฟรงก์ก็เอาจริงเอาจังในงานรับใช้ ส่วนฉันก็นำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับบางคนซึ่งได้ทำความก้าวหน้าถึงขั้นบัพติสมา. ฉันกับแฟรงก์ พร้อมกับแม่และพี่ชายของฉันก็รับบัพติสมาเพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงการอุทิศตัวแด่พระเจ้าในปีเดียวกัน.
ความปรารถนาที่จะทำมากขึ้นอีก
ณ การประชุมภาคของเราซึ่งจัดขึ้นที่ซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ในปี 1957 มีคำบรรยายเรื่องการรับใช้ในที่ที่มีความต้องการผู้ประกาศราชอาณาจักรมากกว่า. ฉันอธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระยะโฮวา ข้าพเจ้าอยากไปด้วย. โปรดช่วยให้เราได้ไปที่ไหนก็ได้ที่มีความต้องการ.’ แต่แฟรงก์รู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับหน้าที่รับผิดชอบของเขาในการหาเลี้ยงครอบครัว.—1 ติโมเธียว 5:8.
ในปีต่อมา ครอบครัวของเราไปร่วมการประชุมภาคในนครนิวยอร์กซึ่งจัดขึ้นที่สนามกีฬาแยงกีและสนามโปโลพร้อมกัน. มากกว่า 253,000 คนเข้าร่วมการประชุมเพื่อฟังคำบรรยายพิเศษ! สิ่งที่ได้เห็นและได้ยินกระตุ้นใจแฟรงก์มาก. ดังนั้น ตอนขากลับ เราจึงเลือกเคนยา แอฟริกา เป็นบ้านใหม่ของเรา เนื่องจากคนที่นั่นพูดภาษาอังกฤษ และเราก็คงจะหาโรงเรียนดี ๆ สำหรับลูกของเราที่นั่นได้ด้วย.
ในปี 1959 เราขายบ้าน ขนข้าวขนของขึ้นรถแล้วขับไปเมืองมอนทรีออล แคนาดา. จากที่นั่นเราลงเรือไปลอนดอน ประเทศอังกฤษ และจากอังกฤษเราลงเรืออีกลำหนึ่ง ซึ่งแล่นผ่านทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลแดงเข้าสู่มหาสมุทรอินเดีย. ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองมอมบาซา ประเทศเคนยา ซึ่งอยู่ทางชายฝั่งตะวันออกของแอฟริกา. วันรุ่งขึ้น เราขึ้นรถไฟไปไนโรบี เมืองหลวงของเคนยา.
พระพรในแอฟริกา
สมัยนั้น งานประกาศของพยานพระยะโฮวาในเคนยาถูกสั่งห้าม ดังนั้น เราจึงต้องประกาศด้วยความระมัดระวัง. คู่สมรสหลายคู่จากประเทศอื่น ๆ ก็มาอยู่ที่เคนยาเช่นกัน และพวกเราที่เป็นชาวต่างชาติก็ได้รับอนุญาตให้อยู่ที่นั่นได้. เราต้องจำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมการประชุมให้มีไม่เกินสิบคน. นี่หมายความว่าครอบครัวของเรารวมทั้งลูก ๆ ต้องมีส่วนในการประชุมอย่างเต็มที่.
หลังจากมาถึงเคนยาได้ไม่นาน เราก็หาที่พักอาศัยได้และแฟรงก์ก็ได้งานทำ. ผู้หญิงคนแรกที่ฉันพบในการประกาศตามบ้านตอบรับการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล และในที่สุดก็มาเป็นไพโอเนียร์ ชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาที่ทำงานรับใช้เต็มเวลา. ฉันนำการศึกษาอีกรายหนึ่งกับหญิงสาววัยรุ่นชาวซิกข์ซึ่งเราเรียกเธอว่ากูดี้. เธอยังยืนหยัดมั่นคงทั้ง ๆ ที่ถูกกดดันจากครอบครัวของเธอและชุมชนชาวซิกข์. หลังจากกูดี้ ลัล ถูกไล่ออกจากบ้าน เธอก็ย้ายไปอยู่กับครอบครัวพยานฯ ครอบครัวหนึ่ง, ได้อุทิศชีวิตของเธอแด่พระยะโฮวา, เป็นไพโอเนียร์, และภายหลังเธอได้จบหลักสูตรของโรงเรียนกิเลียดเพื่อฝึกอบรมมิชชันนารี.
ครอบครัวของเราประสบการทดลองบางอย่าง. ลูกชายคนโตของเราป่วยเป็นไข้รูมาติก ส่วนแฟรงก์ก็ถูกไฟไหม้บาดเจ็บสาหัสขณะที่เขาซ่อมรถคันหนึ่ง และทำให้เขาต้องตกงาน. ต่อมา เขาได้รับการว่าจ้างที่ดาร์เอสซาลาม เมืองหลวงของแทนแกนยิกา (ปัจจุบันคือประเทศแทนซาเนีย) ซึ่งอยู่ไกลออกไปถึง 1,000 กิโลเมตร. ดังนั้น เราจึงขนข้าวของทุกอย่างใส่รถและเดินทางไกลไปที่นั่น. ตอนนั้นเมืองดาร์เอสซาลามมีประชาคมเล็ก ๆ ซึ่งต้อนรับเราด้วยความยินดี.
แม้ว่างานประกาศในแทนซาเนียจะถูกห้ามในเวลานั้น แต่การสั่งห้ามก็ไม่ได้เข้มงวดกวดขันมากนัก. ในปี 1963 มิลตัน เฮนเชล ตัวแทนจากสำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในสหรัฐได้มาเยี่ยมเรา. ระหว่างคำบรรยายเรื่องหนึ่งของเขา ณ หอประชุมคาริมจี ซึ่งเป็นหอประชุมใหญ่ที่ดีที่สุดในประเทศ มีชายสูงอายุคนหนึ่งแต่งตัวปอน ๆ ราวกับคนยากจนมานั่งข้าง ๆ ฉัน. ฉันทักทายเขาแล้วก็ได้ให้เขาดูคัมภีร์ไบเบิลและหนังสือเพลงของฉันด้วย. พอระเบียบวาระการประชุมสิ้นสุดลง ฉันก็เชิญเขาให้มาประชุมอีก. เมื่อเขาไปแล้ว พยานฯ หลายคนที่เป็นคนท้องถิ่นก็ตรงรี่มาหาฉัน.
“คุณรู้ไหมเขาคนนั้นเป็นใคร?” พวกเขาถาม. “เขาเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองดาร์เอสซาลามเชียวนะ!” ก่อนหน้านี้เขาเคยขู่ว่าจะระงับการประชุมใหญ่ของพวกเรา. ดูเหมือนเขาได้วางแผนว่าจะใช้ท่าทีที่เขาคิดไปเองว่าฉันคงจะปฏิบัติต่อเขาอย่างดูถูกดูแคลนมาเป็นข้ออ้างเพื่อระงับการประชุมของเรา. แต่เขารู้สึกประทับใจมากในความกรุณาและความสนใจเป็นส่วนตัวที่ฉันแสดงต่อเขา จนถึงกับยอมให้การประชุมส่วนที่เหลือดำเนินต่อไปโดยไม่มีการแทรกแซงใด ๆ. มีผู้เข้าร่วมการประชุมใหญ่ 274 คน และมี 16 คนรับบัพติสมา!
ขณะที่เราอยู่ในแทนซาเนีย ประเทศนี้ก็ได้รับเอกราช. หลังจากนั้น ผู้ว่าจ้างก็พากันหันไปว่าจ้างคนท้องถิ่นมาก
กว่าคนต่างชาติ. ชาวต่างชาติส่วนใหญ่จึงต้องออกจากแทนซาเนีย แต่ความพยายามอย่างไม่ลดละของแฟรงก์ในการหางานทำก็ประสบผลสำเร็จในที่สุด เมื่อเขาได้รับแจ้งว่า จำเป็นต้องมีช่างที่ชำนาญงานเพื่อดูแลรถจักรดีเซลให้ใช้การได้. นั่นจึงทำให้เราสามารถอยู่ต่อได้อีก 4 ปี. เมื่อสัญญาจ้างงานของแฟรงก์หมดลง เราก็กลับไปที่แคนาดา ซึ่งเราได้อยู่ที่นั่นจนกระทั่งลูกคนสุดท้องของเราโตขึ้นและแต่งงานไป. เรายังรู้สึกว่าตัวเองอายุไม่มากนักและร้อนรนที่จะทำมากขึ้น.ไปที่อินเดีย
ในปี 1970 ตามคำแนะนำของสำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในเมืองบอมเบย์ (ปัจจุบันคือเมืองมุมไบ) เราได้ย้ายไปที่บังคาลอร์ เมืองที่มีประชากรประมาณ 1.6 ล้านคนในสมัยนั้น. ที่นั่นแหละที่ฉันรอดตายได้อย่างหวุดหวิดจากการถูกควายขวิด. ตอนนั้นเมืองนี้มีประชาคมที่ใช้ภาษาอังกฤษซึ่งมีพี่น้อง 40 คนเพียงประชาคมเดียวและมีกลุ่มโดดเดี่ยวที่ใช้ภาษาทมิฬหนึ่งกลุ่ม. แฟรงก์ศึกษากับผู้ชายหลายคนซึ่งได้ก้าวหน้าในทางความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล และในภายหลังพวกเขาก็ได้เป็นผู้ปกครอง. ฉันก็เช่นกันได้ศึกษากับหลายครอบครัวซึ่งได้เข้ามาเป็นผู้รับใช้พระยะโฮวา.
หญิงคนหนึ่งชื่อกลอเรีย. เธออาศัยอยู่ในย่านคนจนของเมืองนี้. ตอนที่ฉันพบเธอในการเยี่ยมครั้งแรก เธอเชิญฉันเข้าไปในบ้าน. เนื่องจากไม่มีเครื่องเรือน เราจึงนั่งกับพื้น. ฉันให้หอสังเกตการณ์ ฉบับหนึ่งไว้กับเธอ แล้วเธอก็ตัดพระคัมภีร์ข้อหนึ่งในวารสารนั้นที่ยกมาจากวิวรณ์ 4:11 เอาไปติดไว้บนฝาผนังตรงที่ที่เธอสามารถเห็นได้ทุกวัน. ข้อคัมภีร์นั้นยังรวมถึงข้อความที่ว่า ‘พระยะโฮวา พระองค์ทรงคู่ควร’ ซึ่งเป็นถ้อยคำที่เธอประทับใจมาก. หลังจากหนึ่งปีผ่านไป เธอก็รับบัพติสมา.
แฟรงก์ได้รับเชิญให้ทำงานเป็นเวลาหนึ่งปีที่สำนักงานสาขาในบอมเบย์และเพื่อดูแลงานก่อสร้างหอประชุมใหญ่หลังแรกของพยานพระยะโฮวาในอินเดีย. หอประชุมใหญ่หลังนี้เพียงแต่ต้องต่อเติมอาคารขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งบนอาคารของสาขาที่มีอยู่แล้ว. ตอนนั้น พยานฯ ทั่วทั้งประเทศอินเดียมีแค่ 3,000 เศษ ๆ และมีไม่ถึง 10 คนทำงานรับใช้ที่สาขา. ในปี 1975 เมื่อเงินของเราจวนจะหมด เรารู้สึกเสียใจที่ต้องลาจากเพื่อนที่เรารักแสนรัก.
กลับไปแอฟริกาอีก
สิบปีผ่านไป ตอนนี้แฟรงก์มีสิทธิ์ที่จะได้รับเงินบำนาญหลังเกษียณ. ดังนั้น เราจึงอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการก่อสร้างนานาชาติเพื่อสร้างสำนักงานสาขาต่าง ๆ. เราได้รับจดหมายฉบับหนึ่งที่ขอให้เราไปที่เมืองอิเกดูมา ประเทศไนจีเรีย เนื่องจากกำลังมีการก่อสร้างที่นั่น. ตอนที่อยู่เมืองอิเกดูมา แฟรงก์ได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับชายคนหนึ่งที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้ ๆ นั้น ซึ่งเขาได้ทำความก้าวหน้าและในภายหลังก็ได้มาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในไนจีเรีย.
จากนั้น เราไปสร้างสำนักงานสาขาที่ซาอีร์. ไม่นานหลังจากนั้น งานประกาศก็ถูกสั่งห้ามและหนังสือเดินทางของเราถูกยึด. แฟรงก์เกิดอาการหัวใจวายระหว่างทำงาน แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้ในช่วงที่มีการสั่งห้ามนั้น. ในเวลาต่อมา อาสาสมัครก่อสร้างทั้งหมดต้องออกนอกประเทศ และเราก็ถูกส่งไปที่ไลบีเรียซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันนั้น. ที่นั่น ณ สำนักงานสาขาเมืองมันโรเวีย มีการขอให้แฟรงก์ซ่อมเครื่องปั่นไฟ. เมื่อวีซ่าหมดอายุในปี 1986 เราต้องกลับไปแคนาดาอีก.
ในที่สุดก็ไปที่เอกวาดอร์
ไม่นานหลังจากนั้น เราได้ข่าวว่าแอนดี คิดด์ เพื่อนสนิทของเรา ได้ย้ายไปอยู่ที่เอกวาดอร์และกำลังชื่นชมยินดีกับงานประกาศที่นั่น. แอนดีเป็นผู้ปกครองคนเดียวในประชาคมท้องถิ่น ดังนั้น บ่อยครั้งเขาต้องทำส่วนการประชุมแทบทั้งหมดเลย. พอเขาชวนเรา เราก็ไปเยี่ยมสาขาเอกวาดอร์ในปี 1988 และได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่นั่น.
เราได้บ้านที่น่าอยู่หลังหนึ่ง แต่เราต้องเรียนภาษาสเปน และแฟรงก์ก็อายุ 71 ปีแล้ว. ในช่วงสองปีถัดมา แม้จะพูดภาษาสเปนได้ไม่มากนัก แต่เราก็สามารถช่วยคนให้รับบัพติสมาได้ 12 คน. แฟรงก์ได้รับเชิญให้ทำงานในโครงการก่อสร้างสำนักงานสาขาเอกวาดอร์. นอกจากนี้ เขายังศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับสามีของพยานฯ คนหนึ่งซึ่งเป็นพยานฯ คนแรก ๆ ในเมืองไกวอากีล. ชายคนนี้ซึ่งเคยต่อต้านมา 46 ปี ได้กลายมาเป็นเพื่อนและพี่น้องฝ่ายวิญญาณของเรา.
การสูญเสียครั้งใหญ่
เราตั้งหลักปักฐานที่อังโคน เมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ติดมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเราสามารถช่วยงานก่อสร้างหอประชุม
หลังใหม่หลังหนึ่ง. น่าเศร้า ในวันที่ 4 พฤศจิกายน 1998 หลังจากบรรยายส่วนสุดท้ายของการประชุมการรับใช้ แฟรงก์เกิดอาการหัวใจวายและเสียชีวิตในคืนนั้น. พี่น้องชายหญิงคริสเตียนของเราช่างเกื้อหนุนเหลือเกิน! วันรุ่งขึ้น เราฝังศพแฟรงก์ไว้ในสุสานที่อยู่ฝั่งตรงข้ามหอประชุม. ไม่มีถ้อยคำใด ๆ ที่อาจพรรณนาถึงความเจ็บปวดอันเกิดจากการสูญเสียผู้เป็นที่รักในความตายได้.นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฉันต้องกลับแคนาดา แต่คราวนี้ไปคนเดียว เพื่อไปจัดการเรื่องครอบครัวและเรื่องทางกฎหมาย. ทั้งที่ฉันโศกเศร้า แต่พระยะโฮวาก็ไม่ลืมฉัน. ฉันได้รับจดหมายจากสาขาเอกวาดอร์ ซึ่งแจ้งให้ฉันทราบว่าพวกเขาจะยินดีต้อนรับฉันถ้าฉันจะกลับมา. ดังนั้น ฉันจึงกลับไปและได้อยู่ในอพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ใกล้สำนักงานสาขา. การสาละวนอยู่กับงานที่สาขา รวมทั้งงานประกาศ ช่วยฉันให้สามารถรับมือกับความเจ็บปวดอันเกิดจากการสูญเสียแฟรงก์ไปได้ แต่ฉันก็ยังรู้สึกเดียวดายเหลือเกิน.
รุดหน้าในงานรับใช้
ต่อมา ฉันได้รู้จักคุ้นเคยกับจูเนียร์ โจนส์. เขาออกจากสหรัฐมาเป็นไพโอเนียร์อยู่ที่เอกวาดอร์ในปี 1997. เรามีเป้าหมายอย่างเดียวกัน และชอบอะไรคล้าย ๆ กัน. เราแต่งงานกันในเดือนตุลาคม ปี 2000. จูเนียร์มีประสบการณ์ในการก่อสร้าง ดังนั้น เราจึงได้รับเชิญให้ทำงานส่วนสุดท้ายของหอประชุมใหญ่ในกูเอนกา เมืองที่อยู่บนเทือกเขาแอนดีส. จากนั้น ในวันที่ 30 เมษายน 2006 เจฟฟรีย์ แจ็กสัน สมาชิกคณะกรรมการปกครองของพยานพระยะโฮวาที่มาจากนิวยอร์ก ได้บรรยายอุทิศโดยมีผู้เข้าร่วมการประชุม 6,554 คน.
ใครจะนึกภาพออกล่ะว่าในดินแดนที่ไกลโพ้น เช่น แอฟริกา, อินเดีย, และอเมริกาใต้ งานประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้าจะเจริญงอกงามอย่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน? ตอนนี้ ฉันกับจูเนียร์ไม่คิดที่จะปลดเกษียณ. งานรับใช้พระยะโฮวาที่ฉันทำมานานกว่า 50 ปีช่างผ่านไปเร็วเสียจนดูเหมือนกับว่าฉันเพิ่งจะเริ่มทำเมื่อวานนี้เอง. และฉันรู้ว่าเมื่อโลกใหม่มาถึง สมัยที่เรากำลังมีชีวิตอยู่นี้ก็จะเหมือนกับวันวานที่เพิ่งผ่านไปเช่นกัน.—วิวรณ์ 21:3-5; 22:20.
[แผนที่/ภาพหน้า 15]
(รายละเอียดดูจากวารสาร)
ที่ที่เราทำงานรับใช้
แคนาดา → อังกฤษ → เคนยา → แทนซาเนีย
แคนาดา → อินเดีย
แคนาดา → ไนจีเรีย → สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (ซาอีร์) → ไลบีเรีย
แคนาดา → เอกวาดอร์
[ที่อื่น ๆ]
สหรัฐอเมริกา
[รูปภาพ]
กำลังไปประชุมใหญ่กับแฟรงก์ในอินเดีย
[ภาพหน้า 15]
กับจูเนียร์ โจนส์ สามีของฉัน