เคล็ดลับหกประการที่นำไปสู่ความสำเร็จ
เคล็ดลับหกประการที่นำไปสู่ความสำเร็จ
ความสำเร็จแท้คือ การบรรลุแนวทางชีวิตที่ดีที่สุด ซึ่งเป็นผลมาจากการนำมาตรฐานของพระเจ้ามาใช้ และเป็นแนวทางที่ประสานลงรอยกับพระประสงค์ที่พระองค์มีต่อเรา. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า คนที่ดำเนินชีวิตในแนวทางเช่นนั้นจะ “เป็นดุจดังต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมทางน้ำ, ซึ่งเกิดผลตามฤดู, ใบก็ไม่รู้เหี่ยวแห้ง; และบรรดากิจการที่เขากระทำนั้นก็เจริญขึ้น.”—บทเพลงสรรเสริญ 1:3.
ใช่แล้ว แม้ว่าเราเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์และทำสิ่งผิดพลาดหลายอย่าง แต่โดยรวมแล้วเราสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างงดงาม! ความหวังดังกล่าวดึงดูดใจคุณไหม? ถ้าเช่นนั้น หลักการของคัมภีร์ไบเบิลหกข้อต่อไปนี้อาจช่วยคุณให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้ และด้วยเหตุนี้จึงเป็นการให้หลักฐานอย่างชัดเจนว่า คำสอนที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลเป็นสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า.—ยาโกโบ 3:17.
1 การมีทัศนะที่ถูกต้องในเรื่องเงิน
“การรักเงินเป็นรากของสิ่งที่ก่อความเสียหายทุกชนิด และเนื่องจากการขวนขวายหาเงิน บางคนจึง . . . ได้ทิ่มแทงตัวเองทั่วทั้งตัวด้วยสิ่งที่ก่อความทุกข์มากมาย.” (1 ติโมเธียว 6:10) ขอสังเกตว่า ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวของเราทุกคน แต่อยู่ที่การรัก เงิน. ในความเป็นจริงแล้ว ความรักเช่นนั้นทำให้เงินกลายเป็นเจ้านายหรือเป็นพระเจ้าของคนคนนั้น.
ดังที่เราได้เห็นในบทความแรกของบทความชุดนี้ ผู้คนที่มุ่งแสวงหาความร่ำรวยอย่างจริงจังเนื่องจากคิดว่าเป็นเคล็ดลับที่นำไปสู่ความสำเร็จ ที่จริงแล้วกำลังมุ่งติดตามภาพลวงตา. นอกจากจะพบแต่ความผิดหวังแล้ว พวกเขาก็จะพบกับความเจ็บปวดอีกหลายอย่าง. ตัวอย่างเช่น ขณะที่มัวแต่มุ่งแสวงหาความมั่งคั่ง ผู้คนมักจะสละทิ้งครอบครัวและเพื่อนของตน. ส่วนคนอื่น ๆ ก็นอนหลับไม่เพียงพอ ถ้าไม่ใช่เพราะงาน ก็เพราะความกระวนกระวายหรือความวิตกกังวล. ท่านผู้ประกาศ 5:12 (ฉบับแปลใหม่) กล่าวว่า “การหลับของกรรมกรก็ผาสุกไม่ว่าเขาจะได้กินน้อยหรือได้กินมากแต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยเขาให้หลับ.”
เงินไม่เพียงแต่เป็นเจ้านายที่โหดร้าย เงินยังเป็นจอมหลอกลวงอีกด้วย. พระเยซูตรัสถึง “อำนาจล่อลวง” ของความร่ำรวย. (มาระโก 4:19) พูดอีกอย่างหนึ่งคือ มีการสัญญาว่าความร่ำรวยจะทำให้เรามีความสุข แต่ความจริงไม่เป็นอย่างนั้นเลย. ความร่ำรวยมีแต่จะทำให้เกิดความละโมบที่จะได้เงินมากขึ้น. ท่านผู้ประกาศ 5:10 (ฉบับแปลใหม่) กล่าวว่า “คนรักเงินย่อมไม่อิ่มเงิน.”
พูดสั้น ๆ คือ การรักเงินก่อความเสียหายให้แก่ตัวของคนที่รักเงินและในที่สุดก็จะนำไปสู่ความผิดหวัง, ความข้องขัดใจ, หรือถึงกับนำเขาไปพัวพันกับอาชญากรรม. (สุภาษิต 28:20) สิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างมากกับความสุขและความสำเร็จก็คือ ความเอื้ออารี, มีน้ำใจให้อภัย, ความบริสุทธิ์ทางศีลธรรม, ความรัก, และการมีสัมพันธภาพที่ดีกับพระเจ้า.
2 จงปลูกฝังน้ำใจที่เอื้ออารี
“การให้ทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ.” (กิจการ 20:35) ในขณะที่การให้แบบเป็นครั้งคราวอาจทำให้มีความสุขเพียงช่วงสั้น ๆ แต่น้ำใจที่เอื้ออารีอาจทำให้คนนั้นกลายเป็นคนที่มีความสุขอยู่เสมอ. แน่ล่ะ ความเอื้อเฟื้ออาจแสดงออกได้หลายวิธี. วิธีที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งและมักจะเป็นวิธีที่ได้รับความหยั่งรู้ค่ามากที่สุดก็คือ การให้เวลาและการทำอะไร ๆ เพื่อผู้อื่น.
หลังจากได้ทบทวนงานศึกษาวิจัยหลายครั้งในเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว, ความสุข, และสุขภาพ นักวิจัยชื่อสตีเฟน จี. โพสต์ ได้ลงความเห็นว่า การเป็นคนที่ไม่เห็นแก่ตัวและช่วยเหลือผู้อื่นอย่างใจกว้างนั้นเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการมีอายุยืนขึ้น, การรู้สึกว่าตนมีชีวิตที่มีสวัสดิภาพมากขึ้น, มีสุขภาพทางกายและจิตใจดีขึ้น, รวมทั้งมีความซึมเศร้าน้อยลง.
ยิ่งกว่านั้น คนที่ให้อย่างใจกว้างตามรายได้ของตนไม่เคยขาดสิ่งจำเป็นในชีวิตเพราะการให้เช่นนั้น. สุภาษิต 11:25 (ฉบับแปลใหม่) กล่าวว่า “บุคคลที่ใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่ง บุคคลที่รดน้ำเขาเองจะรับการรดน้ำ.” สอดคล้องกับถ้อยคำเหล่านี้ คนที่มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างแท้จริงซึ่งให้โดยไม่หวังผลตอบแทน จะเป็นคนที่ได้รับความหยั่งรู้ค่าและ ความรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพระเจ้า.—ฮีบรู 13:16.
3 ให้อภัยอย่างใจกว้าง
“จงทนกันและกันเรื่อยไปและให้อภัยกันอย่างใจกว้างถ้าใครมีเหตุจะบ่นว่าผู้อื่น. พระยะโฮวาเต็มพระทัยให้อภัยท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านทั้งหลายก็จงทำอย่างนั้น.” (โกโลซาย 3:13) ปัจจุบันนี้ ผู้คนมักไม่เต็มใจให้อภัยผู้อื่น โดยชอบแก้แค้นมากกว่าที่จะแสดงความเมตตา. ผลเป็นเช่นไร? การพูดจาดูถูกเหยียดหยามกระตุ้นให้อีกฝ่ายหนึ่งโต้กลับและตอบแทนความรุนแรงด้วยความรุนแรง.
ความเสียหายอาจไม่หยุดแค่นั้น. รายงานหนึ่งในหนังสือพิมพ์เดอะ กาเซตต์ แห่งเมืองมอนทรีออล แคนาดา กล่าวว่า “ในการศึกษาวิจัยที่ทำกับคน 4,600 คนที่มีอายุระหว่าง 18-30 ปี” พวกนักวิจัย “พบ [ว่า] ยิ่งคนใดมีบุคลิกภาพที่แสดงถึงความไม่เป็นมิตร, ความข้องขัดใจ, และความคิดมุ่งร้ายมากเท่าใด” ปอดของเขาก็จะยิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น. ที่จริง ผลเสียหายบางอย่างยังเลวร้ายยิ่งกว่าผลที่เกิดขึ้นกับผู้สูบบุหรี่บางคนด้วยซ้ำ! จริงทีเดียว เจตคติที่พร้อมจะให้อภัยไม่เพียงแต่ช่วยให้เรามีสัมพันธภาพอันดีกับผู้อื่น แต่ยังเป็นยาที่ดีอีกด้วย!
คุณจะเป็นคนที่พร้อมจะให้อภัยมากขึ้นได้อย่างไร? เริ่มจากการพิจารณาตัวคุณเองอย่างซื่อสัตย์. บางครั้งคุณทำให้คนอื่นขุ่นเคืองใจบ้างไหม? และคุณไม่รู้สึกหยั่งรู้ค่าที่พวกเขาให้อภัยคุณหรอกหรือ? ดังนั้น ทำไมคุณไม่ให้อภัยผู้อื่นอย่างใจกว้างบ้าง? (มัดธาย 18:21-35) ในเรื่องนี้นับว่าสำคัญด้วยที่จะรู้จักควบคุมตนเองให้มากขึ้น. บางคนแนะให้ “นับหนึ่งถึงสิบก่อนที่จะทำอะไรลงไป” หรืออาจใช้วิธีอื่นที่ทำให้คุณใจเย็นลง. จงมองว่าการควบคุมตนเองเป็นความเข้มแข็ง. สุภาษิต 16:32 กล่าวว่า “คนที่อดโทโสได้ก็ดีกว่าคนที่มีกำลังแข็งแรง.” สำนวน “ดีกว่าคนที่มีกำลังแข็งแรง” นั้นบ่งชี้ถึงความสำเร็จมิใช่หรือ?
4 ทำตามมาตรฐานของพระเจ้า
“พระบัญญัติของพระยะโฮวาสะอาด ทำให้ดวงตาสุกใส.” (บทเพลงสรรเสริญ 19:8, ล.ม.) พูดง่าย ๆ ก็คือ มาตรฐานของพระเจ้าดีต่อเราทั้งด้านร่างกาย, จิตใจ, และอารมณ์. นอกจากนี้ มาตรฐานของพระเจ้ายังป้องกันเราให้พ้นจากการทำสิ่งที่ก่อความเสียหาย อย่างเช่น การเสพยา, การเมาเหล้า, การประพฤติผิดทางเพศ, และการดูสื่อลามก. (2 โครินท์ 7:1; โกโลซาย 3:5) ผลเสียหายที่เกิดขึ้นจากสิ่งเหล่านั้นอาจมาในรูปของอาชญากรรม, ความยากจน, ความระแวงสงสัย, ความแตกแยกในครอบครัว, ปัญหาทางจิตใจและอารมณ์, โรคภัย, และกระทั่งการตายก่อนวัยอันควร.
ส่วนในด้านดี คนเหล่านั้นที่ทำตามมาตรฐานของพระเจ้าจะพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีงามและมั่นคง รวมทั้งความนับถือยะซายา 48:17, 18 พระเจ้าตรัสว่า พระองค์ทรงเป็น “ผู้สั่งสอนเจ้า, เพื่อประโยชน์แก่ตัวของเจ้าเอง, และผู้นำเจ้าให้ดำเนินในทางที่เจ้าควรดำเนิน.” และพระองค์ตรัสอีกว่า “โอ้ถ้าเจ้าได้เชื่อฟังคำสั่งของเราแล้ว, ความเจริญของเจ้าก็จะเป็นดังแม่น้ำไหล, และความชอบธรรมของเจ้าก็จะมีบริบูรณ์ดังคลื่นในมหาสมุทร.” ใช่แล้ว พระผู้สร้างของเราทรงประสงค์ให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด. พระองค์ทรงต้องการให้เรา “ดำเนินในทาง” แห่งความสำเร็จแท้.
ตัวเองและความสงบสุขในใจ. ที่5 แสดงความรักแบบที่ไม่เห็นแก่ตัว
“ความรักทำให้เจริญ.” (1 โครินท์ 8:1) คุณนึกภาพชีวิตที่ปราศจากความรักออกไหม? ช่างจะเป็นการอยู่อย่างไร้ความหมายและระทมทุกข์อะไรเช่นนั้น! คริสเตียนอัครสาวกเปาโลผู้ซึ่งได้รับการดลใจจากพระเจ้าเขียนว่า “ถ้าข้าพเจ้า . . . ไม่มีความรัก [เพื่อคนอื่น] ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย. . . . ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ประโยชน์เลย.”—1 โครินท์ 13:2, 3.
ความรักแบบที่กล่าวถึงในที่นี้ไม่ใช่ความรักแบบที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเพศ ซึ่งแน่นอนว่าแม้แต่ความรักเช่นนั้นก็หาใช่สิ่งผิด. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ความรักแบบนี้อาศัยหลักการของคัมภีร์ไบเบิลซึ่งมีค่ามากกว่าและคงทนถาวรกว่า. * (มัดธาย 22:37-39) ยิ่งกว่านั้น ความรักนี้ไม่ได้ทำให้คนเราอยู่นิ่งเฉย คือเป็นฝ่ายรับความรักเท่านั้น แต่หมายถึงการปฏิบัติ คือแสดงความรักนั้นออกไป. เปาโลพูดต่อไปว่าความรักแบบนี้ยังอดทนและแสดงความกรุณาด้วย. ความรักนี้ไม่อิจฉาริษยา, ไม่อวดตัว, หรือเย่อหยิ่ง. ความรักนี้กระตุ้นเราให้พยายามช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และความรักนี้ช่วยไม่ให้เราเป็นคนที่โกรธง่ายแต่พร้อมที่จะให้อภัย. ความรักเช่นนี้เป็นสิ่งที่เสริมสร้าง. ยิ่งกว่านั้น ความรักแบบนี้ช่วยให้เรามีความสัมพันธ์อันดีงามกับคนอื่น ๆ โดยเฉพาะกับคนในครอบครัวของเรา.—1 โครินท์ 13:4-8.
สำหรับพ่อแม่ ความรักหมายถึงการแสดงความรักอย่างสนิทสนมกับลูก ๆ ของตน และการวางกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนทางศีลธรรมและกฎเกณฑ์ด้านความประพฤติโดยอาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักให้แก่ลูกของตน. เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นจะมีความรู้สึกว่าครอบครัวมีความมั่นคงปลอดภัย และพวกเขาก็รู้สึกว่าตนเป็นที่รักและเป็นที่หยั่งรู้ค่าอย่างแท้จริง.—เอเฟโซส์ 5:33–6:4; โกโลซาย 3:20.
แจ็ก เด็กหนุ่มคนหนึ่งในสหรัฐ ได้รับการเลี้ยงดูในครอบครัวที่มีการนำหลักการของคัมภีร์ไบเบิลมาใช้. หลังจากที่แจ็กออกจากบ้านไป เขาเขียนจดหมายถึงพ่อแม่ของเขา. ตอนหนึ่ง เขากล่าวว่า “สิ่งที่ผมพยายามทำเสมอก็คือ การทำตามคำบัญชาใน [คัมภีร์ไบเบิล] ที่ว่า ‘จงนับถือบิดามารดาของตน . . . แล้วเจ้าจะมีความจำเริญ.’ (พระบัญญัติ 5:16) สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตผมไปได้ดีทีเดียว. ยิ่งกว่าที่ผ่านมา ตอนนี้ผมเข้าใจว่าเพราะความรักและความพยายามของพ่อแม่นั่นแหล่ะที่ทำให้เกิดผลเช่นนี้. ขอบคุณมากครับสำหรับงานหนักและความช่วยเหลือทุกอย่างที่พ่อแม่ได้ทำในการเลี้ยงดูผม.” ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ คุณจะรู้สึกอย่างไรหากคุณได้รับจดหมายเช่นนี้? นั่นคงจะทำให้คุณรู้สึกตื้นตันใจมิใช่หรือ?
นอกจากนี้ ความรักที่อาศัยหลักการยัง “ยินดีกับความจริง” ซึ่งก็คือความจริงเกี่ยวกับพระเจ้าที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล. (1 โครินท์ 13:6; โยฮัน 17:17) เพื่อเป็นตัวอย่าง: คู่สมรสคู่หนึ่งที่มีปัญหาในชีวิตสมรสของเขาได้ตัดสินใจอ่านถ้อยคำของพระเยซูด้วยกันซึ่งมีบันทึกไว้ในมาระโก 10:9 ที่ว่า “ที่พระเจ้าทรงผูกมัดไว้ด้วยกันแล้ว [ในการสมรส] นั้นอย่าให้มนุษย์ทำให้แยกจากกันเลย.” ตอนนี้ พวกเขาจึง พิจารณาดูหัวใจของตน. พวกเขา ‘ยินดีกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลไหม’? พวกเขาจะมองดูและถือว่าการสมรสเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงมองไหม? พวกเขาพยายามด้วยความเต็มใจที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยน้ำใจแห่งความรักไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็จะมีชีวิตสมรสที่ประสบความสำเร็จได้ และพวกเขาก็สามารถชื่นชมยินดีกับผลที่ตามมา.
6 จงสำนึกถึงความจำเป็นฝ่ายวิญญาณ
“ผู้ที่สำนึกถึงความจำเป็นฝ่ายวิญญาณก็มีความสุข.” (มัดธาย 5:3) ไม่เหมือนกับสัตว์ มนุษย์มีความสามารถที่จะเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า. ด้วยเหตุนี้ เราจึงถามคำถามเช่นว่า อะไรคือจุดมุ่งหมายของชีวิต? มีพระผู้สร้างไหม? เกิดอะไรขึ้นเมื่อเราตาย? อนาคตจะเป็นเช่นไร?
ตลอดทั่วโลก ผู้คนที่จริงใจหลายล้านคนได้พบว่าคัมภีร์ไบเบิลมีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านั้น. ตัวอย่างเช่น คำถามสุดท้ายเกี่ยวข้องกับพระประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์. พระประสงค์นั้นคืออะไร? พระประสงค์นั้นคือที่จะให้โลกเป็นอุทยานและมีผู้ที่รักพระเจ้าและมาตรฐานของพระองค์อาศัยอยู่ตลอดไป. บทเพลงสรรเสริญ 37:29 กล่าวว่า “คนสัตย์ธรรมจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก, และจะอาศัยอยู่ที่นั่นต่อไปเป็นนิตย์.”
เห็นได้ชัด พระผู้สร้างทรงต้องการให้เราประสบความสำเร็จไม่ใช่เพียงช่วงสั้น ๆ คือแค่ 70 หรือ 80 ปีเท่านั้น. พระองค์ทรงต้องการให้เราประสบความสำเร็จตลอดไป! ดังนั้น ตอนนี้จึงเป็นเวลาที่คุณจะเรียนรู้จักพระผู้สร้างของคุณ. พระเยซูตรัสว่า “พวกเขาจะมีชีวิตนิรันดร์ ถ้าพวกเขารับความรู้ต่อ ๆ ไปเกี่ยวกับพระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และเกี่ยวกับผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา คือเยซูคริสต์.” (โยฮัน 17:3) ขณะที่คุณได้รับความรู้และนำความรู้นั้นไปใช้ในชีวิตของคุณ คุณจะค้นพบด้วยตัวคุณเองว่า “พระพรของพระยะโฮวากระทำให้เกิดความมั่งคั่ง; และพระองค์จะไม่เพิ่มความทุกข์ยากให้เลย.”—สุภาษิต 10:22.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 22 เกือบทุกแห่งที่ปรากฏในพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก คำ “ความรัก” แปลมาจากคำภาษากรีกคือ อะกาเป. คำอะกาเป เป็นความรักที่มีหลักการทางศีลธรรมซึ่งอาศัยการเลือกที่จะรักคนอื่นไม่ว่าเขาอยากจะทำเช่นนั้นหรือไม่ เนื่องจากเขายอมรับว่าเป็นหลักการ, หน้าที่, และเป็นสิ่งที่เหมาะที่ควร. อย่างไรก็ตาม อะกาเป หาใช่ความรักที่ปราศจากความรู้สึกแต่เป็นความรักที่อบอุ่นและแรงกล้า.—1 เปโตร 1:22.
[กรอบหน้า 7]
หลักการเพิ่มเติมที่ช่วยส่งเสริมความสำเร็จ
▪ มีความเกรงกลัวพระเจ้าอย่างเหมาะสม. “ความยำเกรงพระยะโฮวาเป็นบ่อเกิดแห่งปัญญา.”—สุภาษิต 9:10.
▪ เลือกเพื่อนอย่างฉลาดสุขุม. “บุคคลที่ดำเนินกับคนมีปัญญาก็จะเป็นคนมีปัญญา แต่คนที่คบกับคนโฉดเขลาย่อมจะรับความเสียหาย.”—สุภาษิต 13:20, ล.ม.
▪ รู้จักประมาณตน. “คนขี้เมาและคนกินเติบคงจะมาถึงการยากจน.”—สุภาษิต 23:21.
▪ อย่าคิดหาทางแก้แค้น. “อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย.”—โรม 12:17.
▪ ทำงานขยันขันแข็ง. “ถ้าใครไม่อยากทำงานก็อย่าให้เขากิน.”—2 เทสซาโลนิเก 3:10.
▪ นำกฎทองมาใช้. “สารพัดสิ่งที่เจ้าทั้งหลายต้องการให้คนอื่นทำต่อเจ้า จงทำอย่างนั้นต่อเขา.”—มัดธาย 7:12.
▪ ควบคุมลิ้นของคุณ. “ผู้ที่รักชีวิตและอยากเห็นวันเวลาที่มีความสุขความเจริญ ให้เขายับยั้งลิ้นเขาไว้ไม่ให้พูดถึงสิ่งชั่ว.”—1 เปโตร 3:10.
[กรอบ/ภาพหน้า 8]
ความรักเป็นยาที่ดี
ดีน ออร์นิช นายแพทย์และนักประพันธ์ผู้หนึ่งเขียนว่า “ความรักและความสนิทสนมเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดสาเหตุที่ทำให้เราเจ็บป่วยและที่ทำให้เราสบายดี, สาเหตุที่ทำให้เกิดความเศร้าและที่ก่อให้เกิดความสุข, สาเหตุที่ทำให้เราเป็นทุกข์และที่นำไปสู่การรักษาเยียวยา. หากมียาตัวใหม่ที่มีผลแบบเดียวกันนั้น แพทย์แทบทุกคนในประเทศก็คงจะแนะนำยานั้นให้แก่คนไข้ของเขา. คงจะเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมหากเขาไม่สั่งจ่ายยานั้น.”
[กรอบ/ภาพหน้า 9]
จากความสิ้นหวังสู่ความสำเร็จ
เมื่อสงครามเริ่มขึ้นในประเทศบ้านเกิดของเขา มิลังโก ซึ่งอยู่ในคาบสมุทรบอลข่านก็เข้าร่วมในกองทัพ. เนื่องจากวีรกรรมที่กล้าหาญ เขาจึงได้รับฉายาว่าแรมโบ ตามชื่อของพระเอกในภาพยนตร์รุนแรงเรื่องหนึ่ง. แต่ต่อมามิลังโกรู้สึกผิดหวังมากกับกองทัพ เนื่องจากการฉ้อราษฎร์บังหลวงและความหน้าซื่อใจคดที่เขาได้เห็น. เขาเขียนว่า “นั่นนำไปสู่สิ่งเลวร้ายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นแอลกอฮอล์, บุหรี่, ยาเสพติด, การพนัน, และการสำส่อน. ผมถลำลึกลงไปถึงก้นบึ้งและมองไม่เห็นทางที่จะหลุดพ้นออกมาได้.”
ในช่วงที่ชีวิตของเขาตกต่ำย่ำแย่ มิลังโกได้เริ่มอ่านคัมภีร์ไบเบิล. ต่อมา ขณะที่ไปเยี่ยมญาติคนหนึ่ง เขาได้เห็นวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับหนึ่งซึ่งจัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา. เขาชอบเรื่องที่ได้อ่านในวารสารฉบับนั้น และไม่นานเขาก็เริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานฯ. ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลช่วยเขาให้พบวิถีทางแห่งความสุขและความสำเร็จแท้. เขากล่าวว่า “ความจริงของคัมภีร์ไบเบิลทำให้ผมมีกำลังขึ้นมาใหม่. ผมเลิกทำสิ่งที่เลวร้ายทุกอย่าง ผมกลายเป็นคนใหม่ และได้รับบัพติสมาเป็นพยานของพระยะโฮวา. คนที่รู้จักผมก่อนหน้านี้เลิกเรียกผมว่าแรมโบ แต่เรียกชื่อเล่นของผมในวัยเด็ก เนื่องจากตอนนี้ผมมีนิสัยที่สุภาพอ่อนน้อม.”