เราพบสิ่งที่เราแสวงหาแล้ว
เราพบสิ่งที่เราแสวงหาแล้ว
เล่าโดยเบิร์ต ทอลล์แมน
ผมมีความสุขมากเมื่อนึกถึงชีวิตในวัยเด็กตอนที่พวกเราอาศัยอยู่ในเขตคุ้มครองอินเดียนแดงเผ่าบลัด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชนพื้นเมืองเผ่าแบล็กฟุตในมณฑลแอลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา. เราอยู่ไม่ไกลจากเทือกเขารอกกีในแคนาดาและทะเลสาบหลุยส์ที่สวยงาม.
ผมมาจากครอบครัวที่มีลูกชายเจ็ดคน ลูกสาวสองคน. พี่ ๆ น้อง ๆ ของผมและตัวผมจะไปที่บ้านคุณยายบ่อย ๆ. ท่านขยันขันแข็งและสอนเราให้รู้จักวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมที่ชนเผ่าแบล็กฟุตปฏิบัติกันมาหลายชั่วอายุคนจนถึงสมัยของเรา. ผมเรียนรู้วิธีเก็บลูกเบอร์รีป่า, ทำอาหารแบบพื้นเมือง, และทำสวน. คุณตาและคุณพ่อเคยพาผมไปล่าสัตว์และตกปลา. พวกเราล่ากวาง, กวางเอลก์, และกวางมูสเพื่อนำมาทำอาหารและเอาหนังของมันมาใช้. พ่อแม่ของเราทำงานหนักและท่านก็ทำอย่างดีที่สุดเพื่อให้เรามีบ้านที่น่าอยู่. ชีวิตในเขตคุ้มครองนั้นเป็นชีวิตที่มีแต่ความสุขเพลิดเพลิน.
แต่แล้วทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปเมื่อคุณยายเสียชีวิตในปี 1963. ตอนนั้นผมอายุห้าขวบ และผมก็งุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น. ทุกถ้อยคำที่ผมได้ยินไม่ได้เป็นการปลอบโยนอย่างแท้จริงเลย. แม้ว่าผมจะเป็นเด็กมาก แต่ผมก็ยังถามตัวเองว่า ‘ถ้ามีพระผู้สร้าง แล้วพระองค์อยู่ที่ไหน? เหตุใดคนเราจึงตาย?’ บางครั้งผมจะเริ่มครวญครางเพราะความรู้สึกข้องขัดใจ. เมื่อคุณพ่อคุณแม่ถามผมว่าเป็นอะไรหรือเปล่า ผมก็เพียงแต่บอกท่านว่า ผมปวดโน่นปวดนี่.
ติดต่อกับคนผิวขาว
ก่อนคุณยายเสียชีวิต เราแทบจะไม่ได้ติดต่อกับคนผิวขาวเลย. เมื่อใดก็ตามที่เจอคนผิวขาว เราก็มักจะได้ยินคำพูดต่าง ๆ อย่างเช่น “เขาก็เป็นแค่คนผิวขาวที่ชั่วช้า, ละโมบ, และไร้ความรู้สึก. พวกนี้ไม่มีความเป็นมนุษย์หรอก.” เคยมีคนเตือนผมว่า คนผิวขาวส่วนใหญ่เป็นคนไม่จริงใจ และไว้ใจไม่ได้. แม้ผมจะอยากพบปะกับพวกเขา แต่ผมก็ยังต้องระมัดระวังเพราะคนผิวขาวในเขตที่เราอาศัยอยู่มักจะเยาะเย้ยและพูดจาสบประมาทพวกเรา.
ไม่นานหลังจากคุณยายเสียชีวิต คุณพ่อคุณแม่ของผมก็เริ่มติดเหล้า ทำให้ตลอดช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ผมเศร้าใจที่สุด. ตอนที่ผมอายุแปดขวบ ชาวมอร์มอนสองคนก็เริ่มมาหาเราที่บ้าน. พวกเขาดูท่าทางเป็นคนดี. คุณพ่อคุณแม่ยอมรับข้อเสนอของพวกเขาที่ให้ส่งผมไปอยู่กับอีกครอบครัวหนึ่ง. ตามที่ผมเข้าใจ โครงการนี้ก็คือการนำเด็กพื้นเมืองไปอบรมเลี้ยงดูใหม่โดยให้เด็กไปอาศัยอยู่กับคนผิวขาว. เห็นได้ชัดว่า เนื่องจากสภาพแวดล้อมของพวกท่าน คุณพ่อคุณแม่จึงคิดว่าการที่ผมไปอยู่กับอีกครอบครัวหนึ่งนั้นน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผม. ผมตกใจและผิดหวังมาก เพราะผมเคยได้ยินคุณพ่อคุณแม่พูดว่าคนขาวเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้. ผมไม่อยากไป และผมก็พยายามบ่ายเบี่ยง. ในที่สุดผมก็ยอม เมื่อคุณพ่อคุณแม่ยืนยันว่าพี่ชายของผมจะไปด้วย.
แต่เมื่อเราไปถึงเมืองแวนคูเวอร์ มณฑลบริติชโคลัมเบีย ผมกับพี่ชายก็ถูกจับแยก แล้วเราสองคนก็ถูกพาไปอยู่ในที่ที่ห่างไกลกันประมาณ 100 กิโลเมตร! ผมเศร้าเสียใจเหลือเกิน. แม้ว่าเจ้าของบ้านที่ผมไปอาศัยอยู่ด้วยจะเป็นคนดี แต่นั่นก็เป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวด และผมรู้สึกกลัวมาก. ผมกลับบ้านหลังจากอยู่ที่นั่นประมาณสิบเดือน.
กลับมาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่
แม้ว่าสภาพการณ์ในบ้านไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าไร แต่ผมก็ดีใจที่ได้กลับบ้าน. คุณพ่อคุณแม่เลิกดื่มเหล้าตอนที่ผมอายุ 12 ขวบ. นั่นทำให้ผมโล่งใจขึ้น แต่ตัวผมเองกลับไปดำเนินชีวิตแบบที่ไม่ดี เนื่องจากตอนนั้นผมเริ่มลองเสพยาและดื่มเหล้า. คุณพ่อคุณแม่สนับสนุนผมให้ลองทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน รวมทั้งการขี่วัวหรือขี่ม้าพยศ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบจริง ๆ. การขี่วัวหรือขี่ม้าพยศต้องอาศัยความกล้าหาญ. ผมฝึกที่จะขี่วัวป่าจอมพยศให้ได้อย่างน้อยแปดวินาทีโดยที่ไม่ถูกเหวี่ยงกระเด็นลงมา ขณะที่ผมใช้มือเพียงข้างเดียวจับเชือกที่ผูกรอบท้องวัวไว้.
เมื่อผมเป็นวัยรุ่น ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวอินเดียนแดงได้สอนผมให้รู้จักศาสนาของชนพื้นเมือง. ผมสนใจเรื่องนั้นจริง ๆ เนื่องจากผมแทบจะไม่มีความนับถือต่อศาสนาต่าง ๆ ที่เรียกกันว่าศาสนาของคนผิวขาว. ผมหาเหตุผลว่า ธรรมเนียมของชนเผ่าแบล็กฟุตดูเหมือนจะส่งเสริมเรื่องความกรุณาและความยุติธรรมซึ่งไม่มีเลยในหลาย ๆ ศาสนาที่เป็น “คริสเตียน.” ผมรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ท่ามกลางชนพื้นเมือง เพลิดเพลินกับเรื่องตลกขบขันและความใกล้ชิดสนิทสนมที่มีให้กันระหว่างคนในครอบครัวและเพื่อน ๆ.
ประมาณช่วงนี้เอง ผมยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับชนพื้นเมืองมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ. มีคนบอกผมว่าคนผิวขาวเคยแพร่เชื้อโรคให้พวกเราและทำลายปัจจัยสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการดำรงชีพของเรา ซึ่งก็คือควายไบซัน. ที่จริง มีการรายงานว่า พันเอก อาร์. ไอ. ดอดจ์ แห่งกองทัพสหรัฐ เคยพูดว่า “จงฆ่าควายทุกตัวที่คุณสามารถฆ่ามันได้. ถ้าควายตายหนึ่งตัวก็เท่ากับอินเดียนแดงตายหนึ่งคน.” ผมได้ทราบว่า ทัศนะดังกล่าวนี้ทำให้ชนเผ่าแบล็กฟุตหมดอาลัยตายอยากและนำพวกเขาไปสู่ความสิ้นหวัง.
นอกจากนี้ ผู้นำบางคนในรัฐบาลรวมทั้งพันธมิตรทางศาสนาของพวกเขายังพยายามอย่างไม่ลดละที่จะกลืนและเปลี่ยนชนพื้นเมืองที่พวกเขามองว่าเป็นคนป่าเถื่อนให้เป็นคนที่มีอารยธรรม. พวกเขาเชื่อว่า จำเป็นต้องเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชนพื้นเมือง รวมทั้งวัฒนธรรม, ความเชื่อ, ความประพฤติ, และภาษา เพื่อพวกเขาจะปรับตัวให้เข้ากับคนผิวขาวได้. ในแคนาดา เด็กชาวพื้นเมืองบางคนถูกทำร้ายในโรงเรียนสอนศาสนาที่เป็นโรงเรียนประจำ. ส่วนเด็กคนอื่น ๆ กลายเป็นผู้ติดสารเสพติด, ใช้ความรุนแรง, และฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นปัญหาที่ยืดเยื้ออยู่ในเขตคุ้มครองตราบจนทุกวันนี้.
เพื่อหนีปัญหาเหล่านี้ ชนพื้นเมืองบางคนจึงตัดสินใจละทิ้งวัฒนธรรมของชนเผ่าแบล็กฟุต. พวกเขาเลือกที่จะพูดภาษาอังกฤษกับลูก ๆ แทนที่จะใช้ภาษาแบล็กฟุต และพวกเขาก็พยายามดำเนินชีวิตตามอย่างคนผิวขาวในบางแง่มุม. แทนที่จะได้รับการยอมรับ หลายคนกลับถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ไม่เพียงแต่จากประชาชนบางคนที่เป็นคนผิวขาว พวกเขายังถูกชนพื้นเมืองคนอื่น ๆ ดูถูกด้วย ซึ่งคนเหล่านั้นได้เหน็บแนมพวกเขาว่า “อินเดียนแดงแอปเปิล” คือตัวเป็นอินเดียนแดงแต่ใจเป็นคนขาว.
น่าเศร้าจริง ๆ ที่ได้เห็นชนพื้นเมืองประสบความทุกข์ยากนานัปการ. ผมอยากเห็นประชาชนที่อยู่ในเขตคุ้มครองของเราและที่อื่น ๆ ทั่วทั้งแคนาดาและสหรัฐมีสภาพการณ์ที่ดีกว่านี้.
ผมเฝ้าคอยคำตอบ
ตอนที่ผมเป็นวัยรุ่น ผมคิดว่าผมคงจะไม่มีทางเป็นที่ยอมรับของใคร ๆ. ความรู้สึกด้อยค่าของผมมักจะกลายเป็นความเจ็บแค้น. ผมถึงกับเกิดความชิงชังคนผิวขาว. อย่างไรก็ตาม คุณพ่อคุณแม่และป้าเตือนผมไม่ให้บ่มเพาะความรู้สึกในแง่ลบทั้งความเกลียดชังและความอาฆาตแค้น แทนที่จะทำเช่นนั้น ท่านสนับสนุนผมให้แสดงความรักและรู้จักให้อภัย อีกทั้งไม่ต้องไปใส่ใจคนเหล่านั้นที่มีอคติต่อผู้อื่น. ในภายหลังผมได้เรียนรู้ว่าคำแนะนำนี้สอดคล้องกับหลักการของคัมภีร์ไบเบิล. นอกจากนี้ ผมยังต้องการเหลือเกินที่จะค้นหาคำตอบสำหรับคำถามหลายข้อที่รบกวนใจผมมาตั้งแต่วัยเด็ก. ผมยังเริ่มสงสัยด้วยว่าเราเกิดมาทำไมและเหตุใดความอยุติธรรมจึงมีอยู่เสมอมา. การมีชีวิตอยู่เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แล้วก็ตายไปเป็นสิ่งที่ไม่มีเหตุผลสำหรับผม และนั่นทำให้ผมสับสน.
เมื่อใดที่พยานพระยะโฮวามาเยี่ยมที่บ้าน คนในบ้านจะบอกให้ผมไปเปิดประตู. ผมแสดงความนับถือพวกเขาเสมอเพราะพวกเขาดูเหมือนไม่มีอคติ. แม้ผมจะรู้สึกว่ายากที่จะตั้งคำถามในแบบที่เหมาะสม แต่เราก็มีการสนทนาที่น่า
สนใจเสมอ. ผมนึกถึงการเยี่ยมครั้งหนึ่งของจอห์น บรูว์สเตอร์ และแฮร์รี คัลลิฮู พยานพระยะโฮวาคนหนึ่งที่เป็นชนเผ่าแบล็กฟุต. เราคุยกันยืดยาวมากขณะที่เราเดินตัดข้ามทุ่งหญ้าแพรรี. ผมได้รับหนังสือเล่มหนึ่งแล้วก็อ่านไปได้ประมาณครึ่งเล่มก่อนที่จะทำหนังสือหายไป.ผมกลายเป็นนักขี่วัวและขี่ม้าพยศ
ผมไปหาพวกผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่ในเขตคุ้มครองของผมเพื่อขอคำแนะนำ. ขณะที่ผมรู้สึกหยั่งรู้ค่าคำแนะนำที่สุขุมรอบคอบของพวกเขา แต่ผมก็ไม่เคยได้รับคำตอบที่จุใจสำหรับคำถามในเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตซึ่งยังคงมีอยู่ในใจผม. ผมออกจากบ้านตอนอายุ 16 ปี แล้วก็มัวแต่หมกมุ่นกับเรื่องการขี่วัวและขี่ม้าพยศ. งานเลี้ยงสังสรรค์ที่ผมไปร่วมหลังการแข่งขันดังกล่าวมักจะเป็นแบบที่ดื่มกันจนเมามายและมีการใช้ยาเสพติด. สติรู้สึกผิดชอบรบกวนใจผม เพราะผมรู้ว่าความประพฤติเช่นนั้นผิดและรู้สึกว่าพระเจ้าไม่เห็นชอบกับรูปแบบชีวิตของผม. ผมอธิษฐานถึงพระผู้สร้างบ่อย ๆ เพื่อขอพระองค์ช่วยผมให้ทำสิ่งที่ถูกต้องและเพื่อจะพบคำตอบที่ยังรบกวนใจผมอยู่.
ในปี 1978 ขณะที่ผมอยู่ในเมืองคาลการี ผมได้พบหญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นชนพื้นเมืองชื่อโรส. เธอเป็นลูกครึ่งเผ่าแบล็กฟุตและเผ่าครี. เราสนใจเรื่องที่คล้าย ๆ กัน และผมก็สามารถพูดคุยกับเธอได้อย่างเปิดเผยและรู้สึกสบายใจเวลาที่ได้อยู่กับเธอ. เรารักกันแล้วก็แต่งงานกันในปี 1979. ครอบครัวของเราเริ่มมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเมื่อเรามีลูกสาวชื่อคาร์มา และมีลูกชายชื่อจาเรด. โรสเป็นภรรยาที่สนับสนุนผมด้วยความภักดี และเป็นแม่ที่ดีด้วย. วันหนึ่ง เมื่อผมและครอบครัวไปเยี่ยมพี่ชายของผม ผมพบหนังสือที่มีชื่อว่าท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก. * สิ่งที่ผมอ่านกระตุ้นผมให้อยากรู้มากขึ้นและดูเหมือนเป็นเรื่องที่มีเหตุผลมาก. แต่เมื่อผมรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะเข้าใจข่าวสารที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล ผมก็อ่านมาถึงส่วนของหนังสือเล่มนั้นที่ถูกฉีกออกไปหลายหน้า. ผมกับโรสพยายามหาหน้าที่หายไปนั้นอย่างไม่ลดละ แต่ก็หาไม่พบ. ถึงกระนั้น ผมก็ยังอธิษฐานขอความช่วยเหลือต่อไป.
ไปพบบาทหลวง
ในฤดูใบไม้ผลิปี 1984 โรสคลอดลูกคนที่สามชื่อเคย์ลา เธอเป็นลูกสาวที่หน้าตาน่ารัก. แต่หลังจากนั้นเพียงสองเดือน เคย์ลาเสียชีวิตเพราะโรคหัวใจที่เป็นมาแต่กำเนิด. เราเศร้าเสียใจเหลือเกิน และผมก็ไม่รู้ว่าจะปลอบโยนโรสได้อย่างไร. เธอชวนผมไปหาบาทหลวงคาทอลิกที่อยู่ในเขตคุ้มครองของเราเพื่อจะได้รับการปลอบโยนและเพื่อหาคำตอบสำหรับคำถามของเรา.
เราถามเขาว่า เหตุใดลูกสาวตัวน้อย ๆ ของเราจึงตาย และเธอไปที่ไหนล่ะ? เขาบอกเราว่า พระเจ้าทรงรับเคย์ลาไป เพราะพระองค์ต้องการทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่ง. ผมคิดว่า ‘ทำไมพระเจ้าจึงต้องเอาลูกสาวของเราไปเป็นทูตสวรรค์ ถ้าพระองค์เป็นพระผู้สร้างผู้ทรงฤทธิ์ใหญ่ยิ่ง? ทารกที่ช่วยตัวเองไม่ได้จะมีประโยชน์อะไรหรือ?’ บาทหลวงคนนั้นไม่ได้เปิดคัมภีร์ไบเบิลเลย. เมื่อจากบาทหลวงมา เรารู้สึกหมดกำลังใจทั้งคู่.
การอธิษฐาน เป็นวิธีเกื้อหนุนหลักของเรา
เช้าวันจันทร์วันหนึ่งในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 1984 ผมอธิษฐานอยู่นานทีเดียว โดยทูลอ้อนวอนให้พระเจ้าช่วยผมให้เป็นคนดีขึ้น, ให้ผมเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น, และให้ผมเข้าใจว่าจุดมุ่งหมายของชีวิตคืออะไร. เช้าวันนั้นเอง ไดอานา เบลเลมี กับคาเรน สกอตต์ พยานพระยะโฮวาสองคนมาเคาะประตูบ้านผม. พวกเขาดูจริงใจและกรุณามาก แถมยังกระตือรือร้นที่จะบอกข่าวสารของพวกเขา. ผมฟังแล้วก็รับคัมภีร์ไบเบิลกับหนังสือชื่อว่าการรอดชีวิตสู่แผ่นดินโลกใหม่ * (ภาษาอังกฤษ) และผมก็ยินดีที่จะให้ไดอานากลับมาเยี่ยมผมปลายสัปดาห์นั้น พร้อมกับดาร์ริลสามีของเธอ.
พอพวกเขาคล้อยหลังไปแล้วผมจึงรู้สึกขึ้นมาว่า นี่คงจะเป็นคำตอบสำหรับคำอธิษฐานของผม. ผมตื่นเต้นมากจนได้แต่เดินกลับไปกลับมาอยู่ในบ้านอย่างใจจดใจจ่อ เฝ้าคอยให้โรสกลับมาจากที่ทำงานเพื่อผมจะบอกเธอได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น. ผมแปลกใจมากที่โรสบอกว่า เธอเองก็เพิ่งอธิษฐานเมื่อคืนก่อน และเธอทูลขอพระเจ้าให้ช่วยเธอได้พบศาสนาแท้. วันศุกร์นั้น เราได้เริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นครั้งแรก. เราได้มารู้ในภายหลังว่า วันที่คาเรนกับไดอานามาเยี่ยมเรา พวกเธอหาบ้านที่ตั้งใจมาประกาศไม่พบ. แต่เมื่อเห็นบ้านของเรา พวกเธอก็รู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นให้มาแวะเยี่ยม.
ในที่สุดก็ได้คำตอบ!
ครอบครัวของเราและเพื่อน ๆ รู้สึกสงสัย และตอนแรกก็แสดงความเย็นชาต่อเรา เมื่อเราเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. จากนั้นพวกเขากดดันเราโดยบอกว่า เรากำลังทำให้ชีวิตของเราสูญเปล่าและไม่ได้ใช้พรสวรรค์รวมทั้งความสามารถของเราอย่างเต็มที่. อย่างไรก็ตาม เราตกลงใจแล้วว่าจะไม่หันหลังให้พระยะโฮวา พระผู้สร้าง ซึ่งเป็นเสมือนเพื่อนใหม่ที่เราเพิ่งรู้จัก. ว่ากันตามจริงแล้ว เราได้พบอะไรบางอย่างที่ล้ำค่ามาก นั่นคือความจริงอันน่าทึ่งและความลับอันศักดิ์สิทธิ์ในคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระเจ้า. (มัดธาย 13:52) ทั้งผมและโรสรับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวาในเดือนธันวาคม 1985. เวลานี้ญาติ ๆ ของเรานับถือพยานพระยะโฮวามาก เนื่องจากพวกเขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นในชีวิตของเราตั้งแต่ที่เรารับบัพติสมา.
ใช่ ผมพบสิ่งที่ผมแสวงหาแล้ว! คัมภีร์ไบเบิลตอบคำถามที่สำคัญ ๆ แบบที่เรียบง่ายและมีเหตุมีผล. ผมอิ่มใจเมื่อได้เรียนรู้ว่าจุดมุ่งหมายของชีวิตคืออะไร, เหตุใดเราจึงตาย, และคำสัญญาของพระเจ้าที่ว่าเราจะได้พบกับเคย์ลาลูกสาวของเราอีกครั้ง และจะได้เห็นเธอเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์. (โยฮัน 5:28, 29; วิวรณ์ 21:4) ต่อมา เรายังได้เรียนรู้ว่า เราไม่ควรใช้ร่างกายของเราอย่างผิด ๆ, ไม่ทำสิ่งที่แสดงว่าเราไม่เห็นคุณค่าของชีวิต, หรือยั่วยุให้มีการแข่งขันชิงดีกัน. (กาลาเทีย 5:26) นั่นเป็นการตัดสินใจที่ยาก แต่ผมก็ตัดสินใจเลิกขี่วัวและขี่ม้าพยศเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย.
ความรู้ที่ถูกต้องจากคัมภีร์ไบเบิลปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากการเชื่อโชคลาง ซึ่งก่อความทุกข์ให้แก่บรรดาชนพื้นเมืองทั้งหลาย เช่น ความเชื่อที่ว่าถ้านกฮูกบินมาหรือได้ยินเสียงสุนัขหอน นั่นแสดงว่าอาจจะมีใครคนหนึ่งในครอบครัวเสียชีวิต. เราไม่กลัวอีกต่อไปว่า พวกวิญญาณที่มองไม่เห็นในสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งที่ไม่มีชีวิตจะมาทำร้ายเรา. (บทเพลงสรรเสริญ 56:4; โยฮัน 8:32) เวลานี้เราเห็นคุณค่าและนับถือสิ่งทรงสร้างของพระยะโฮวา. ผมมีเพื่อน ๆ จากหลายเชื้อชาติซึ่งผมเรียกว่าพี่น้อง และพวกเขายอมรับเราเป็นเพื่อนผู้รับใช้พระเจ้าที่มีฐานะเท่าเทียมกับพวกเขา. (กิจการ 10:34, 35) พวกเขาหลายคนบากบั่นพยายามอย่างมากที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมและความเชื่อของชนพื้นเมือง รวมทั้งการพูดภาษาแบล็กฟุตด้วย เพื่อพวกเขาจะแบ่งปันข่าวสารจากคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างมีประสิทธิภาพในวิธีที่น่าดึงดูดใจ.
ครอบครัวของเราอาศัยอยู่ในเขตคุ้มครองอินเดียนแดงเผ่าบลัด ทางใต้ของมณฑลแอลเบอร์ตา ซึ่งเรามีฟาร์มเล็ก ๆ เลี้ยงปศุสัตว์อยู่ที่นั่น. เรายังชื่นชอบวัฒนธรรมของชนพื้นเมือง รวมทั้งอาหาร, ดนตรี, และการเต้นรำแบบพื้นบ้าน. เราไม่ได้ไปร่วมเต้นรำแบบที่ชนพื้นเมืองมักจะเต้นด้วยกันเป็นกลุ่ม ๆ ซึ่งบางทีเรียกว่าพาววาว แต่เราก็ชอบดูพวกเขาเต้น ถ้าเป็นแบบที่เหมาะสม. นอกจากนี้ ผมยังพยายามสอนลูก ๆ เกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมของพวกเขาและสอนภาษาแบล็กฟุตให้ลูก ๆ บ้าง. ชนพื้นเมืองหลายคนเป็นที่รู้จักกันในเรื่องคุณลักษณะที่ดีเยี่ยม เช่น ความกรุณา, ความถ่อมใจ, และความรักที่มีต่อครอบครัวและเพื่อนฝูง. พวกเขายังเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการแสดงน้ำใจเอื้อเฟื้อและการแสดงความนับถือต่อผู้อื่น รวมถึงคนเหล่านั้นที่มีพื้นเพต่างกัน. ผมยังรู้สึกหยั่งรู้ค่าและปลื้มใจในเรื่องเหล่านี้.
ความสุขมากที่สุดของเราเกิดจากการใช้เวลาและทรัพยากรที่เรามีเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้ได้มาเรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาและเรียนที่จะรักพระองค์. จาเรดลูกชายของเราเป็นอาสาสมัครที่ทำงานอยู่ในสำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาใกล้กับเมืองโทรอนโต. ผมมีสิทธิพิเศษที่ได้รับใช้เป็นผู้ปกครองคนหนึ่งในประชาคมท้องถิ่นที่ชื่อแมคเคลาด์ และตัวผม, โรส, และคาร์มา เราทุกคนเป็นไพโอเนียร์ประจำคือผู้เผยแพร่เต็มเวลา. น่ายินดีที่เราได้ประกาศโดยใช้ภาษาแบล็กฟุตซึ่งเป็นภาษาถิ่นของเรา. การที่ได้เห็นคนอื่นตอบรับความจริงในเรื่องพระผู้สร้างและพระประสงค์ของพระองค์นั้นทำให้รู้สึกปลื้มใจเหลือเกิน.
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงพระยะโฮวาว่า “ถ้าเจ้าแสวงหาพระองค์ ๆ จะทรงโปรดให้เจ้าประสบพระองค์.” (1 โครนิกา 28:9) ผมรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่พระองค์ทรงทำตามคำสัญญาของพระองค์ โดยที่ทรงช่วยผมรวมทั้งครอบครัวของผมให้ได้พบสิ่งที่เราแสวงหา.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 22 หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา. ปัจจุบันงดพิมพ์แล้ว.
^ วรรค 27 หนังสือเล่มนี้จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา. ปัจจุบันงดพิมพ์แล้ว.
[ภาพหน้า 13]
‘ถ้ามีพระผู้สร้าง แล้วพระองค์อยู่ที่ไหน? เหตุใดคนเราจึงตาย?’
[ภาพหน้า 16]
‘ชนพื้นเมืองหลายคนเป็นที่รู้จักในเรื่องของความกรุณาและความถ่อมใจ’
[ภาพหน้า 12]
คุณยายสอนผม ให้รู้จักวัฒนธรรมอันเก่าแก่ของ ชนเผ่า แบล็กฟุต
[ภาพหน้า 15]
ผมหมกมุ่นอยู่แต่กับการขี่วัวและขี่ม้าพยศ
[ภาพหน้า 15]
แผ่นพับพิเศษ “คุณสามารถไว้วางใจพระผู้สร้างได้” มีในภาษาแบล็กฟุตและภาษาอื่น ๆ
[ภาพหน้า 15]
เวลานี้ผมมีความสุขกับการแบ่งปันความรู้ในคัมภีร์ไบเบิลแก่คนอื่น
[ภาพหน้า 15]
กับครอบครัวของผมในปัจจุบัน