ยาที่แพทย์สั่งจ่าย—การใช้ในทางที่ถูกและในทางที่ผิด
ยาที่แพทย์สั่งจ่าย—การใช้ในทางที่ถูกและในทางที่ผิด
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งชื่อแอนจี บังเอิญได้ยินพ่อแม่พูดว่ายาที่น้องชายของเธอกินทำให้เขามีความอยากอาหารน้อยลง. เนื่องจากแอนจีเป็นห่วงเรื่องน้ำหนักตัว เธอจึงเริ่มแอบขโมยยาของน้องชายไปกิน โดยจะหยิบไปกินหนึ่งเม็ดทุก ๆ สองหรือสามวัน. เพื่อไม่ให้พ่อแม่จับได้ เธอจึงขอเพื่อนคนหนึ่งที่ใช้ยาตัวเดียวกันนี้แบ่งยาให้เธอกินบ้าง. *
ทำไมผู้คนมากมายจึงใช้ยาที่แพทย์สั่งจ่ายไปในทางที่ผิด? เหตุผลประการแรกคือ เป็นยาที่หาได้ง่าย เนื่องจากยาเหล่านี้อาจมีอยู่ในบ้าน. ประการที่สอง หนุ่มสาวหลายคนคิดอย่างผิด ๆ ว่าพวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย เมื่อเขากินยารักษาโรคโดยไม่มีใบสั่งจากแพทย์. ประการที่สาม ยาที่แพทย์สั่งจ่ายให้ดูเหมือน มีพิษภัยน้อยกว่ายาที่ผิดกฎหมาย. เด็กหนุ่มสาวบางคนให้เหตุผลว่า ‘จะว่าไปแล้ว ถ้าเด็กคนหนึ่งสามารถกินยาบางอย่างที่แพทย์สั่งจ่ายได้ ยานั้นก็ต้องปลอดภัย.’
จริงอยู่ เมื่อใช้อย่างถูกต้อง ยาที่แพทย์สั่งจ่ายให้อาจช่วยฟื้นฟูสุขภาพและคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นและถึงกับช่วยรักษาชีวิตได้ด้วยซ้ำ. แต่เมื่อใช้ไปในทางที่ผิด ยานั้นก็อาจจะไม่ปลอดภัยเช่นเดียวกับยาเสพติดผิดกฎหมายตัวอื่น ๆ. ตัวอย่างเช่น เมื่อคนหนึ่งใช้ยากระตุ้นบางตัวที่แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายให้ไปในทางที่ผิด เขาก็อาจจะเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวหรือชักได้. ผลิตภัณฑ์ยาตัวอื่น ๆ อาจทำให้คนนั้นมีอัตราการหายใจลดช้าลงและเป็นเหตุให้เขาเสียชีวิตได้ในที่สุด. นอกจากนี้ ยาตัวหนึ่งอาจก่อผลเสียหายได้ถ้ากินร่วมกับยาบางชนิดหรือกินร่วมกับแอลกอฮอล์. หนังสือพิมพ์แอริโซนา รีพับลิก กล่าวว่า ในช่วงต้นปี 2008 มีนักแสดงที่มีชื่อเสียง
คนหนึ่งเสียชีวิต “จากการกินยากล่อมประสาท, ยานอนหลับ, และยาบรรเทาปวดผสมกันหกชนิดซึ่งออกฤทธิ์ถึงตาย.”อันตรายอีกอย่างหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ก็คือการติดยา. เมื่อกินยาปริมาณมากเกินไปหรือใช้ผิดวัตถุประสงค์ สารบางชนิดอาจออกฤทธิ์เช่นเดียวกับยาเสพติด คือสารเหล่านี้จะไปกระตุ้นศูนย์ควบคุมความสุขในสมอง ซึ่งอาจทำให้รู้สึกอยากยา. แต่แทนที่จะช่วยให้รู้สึกตื่นเต้นอยู่เรื่อย ๆ หรือช่วยผู้คนให้รับมือกับความยากลำบากในชีวิตได้ การใช้ยาในทางที่ผิดมีแต่จะทำให้เรื่องต่าง ๆ เลวร้ายลง. นั่นอาจก่อให้เกิดอาการเครียดมากขึ้น, ซึมเศร้าหนักขึ้น, ทำลายสุขภาพและทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ, ทำให้ติดยา, หรือทั้งหมดที่กล่าวมานี้. แน่นอนว่า คนที่ใช้ยาในทางที่ผิดมีปัญหาหลายอย่างที่บ้าน ที่โรงเรียน หรือไม่ก็ที่ทำงาน. แล้วเส้นแบ่งระหว่างการใช้ยาที่แพทย์สั่งจ่ายให้ในทางที่ถูกและในทางที่ผิดนั้นอยู่ตรงไหนล่ะ?
การใช้ในทางที่ถูกหรือในทางที่ผิด?
พูดง่าย ๆ คุณใช้ยาตามที่แพทย์สั่งจ่ายได้อย่างถูกต้องก็ต่อเมื่อคุณกินยาตามคำแนะนำของแพทย์ซึ่งรู้ประวัติการรักษาของคุณเป็นอย่างดี. นั่นรวมถึงการกินยาถูกขนาดและถูกเวลา, ในวิธีที่ถูกต้อง, และด้วยเหตุผลด้านการรักษาที่ถูกต้อง. ถึงกระนั้น อาการที่ไม่พึงปรารถนาหรือที่ไม่ได้คาดคิดก็ยังอาจเกิดขึ้นได้. ถ้าเกิดกรณีเช่นนี้ ให้รีบบอกแพทย์ของคุณทันที. แพทย์อาจเปลี่ยนหรือยกเลิกใบสั่งยานั้น. หลักการเดียวกันนี้ใช้ได้กับยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งจากแพทย์ด้วย คือจงใช้ยาเหล่านั้นเฉพาะเมื่อจำเป็นต้องใช้เท่านั้น และจงปฏิบัติตามคำแนะนำที่บอกไว้บนฉลากอย่างเคร่งครัด.
ผู้คนอาจได้รับอันตรายเมื่อพวกเขาใช้ยาผิดวัตถุประสงค์, ไม่ได้กินยาตามขนาดที่บอกไว้บนฉลาก, กินยาที่แพทย์สั่งจ่ายให้คนอื่น, หรือกินยาอย่างผิดวิธี. ตัวอย่างเช่น ยาบางตัวต้องกลืนทั้งเม็ดเพื่อให้ตัวยาที่สำคัญถูกปล่อยเข้าสู่ร่างกายอย่างช้า ๆ. คนที่กินยาอย่างผิด ๆ มักจะทำให้กระบวนการดังกล่าวเสียไปโดยการบดหรือเคี้ยวยาก่อนที่จะ
กลืน, โดยการบดแล้วสูดเข้าจมูก, หรือโดยการนำยาไปละลายน้ำแล้วฉีดเข้าไปในร่างกาย. การทำเช่นนั้นอาจทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้ม แต่ก็อาจเป็นก้าวแรกด้วยที่จะนำไปสู่การติดยา. ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ การทำอย่างนั้นอาจทำให้ถึงตายได้.ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าคนที่กินยาตามใบสั่งแพทย์อย่างถูกต้อง แต่สงสัยว่าเขาอาจกำลังเกิดอาการติดยา เขาควรบอกให้แพทย์ทราบโดยไม่รอช้า. แพทย์ควรรู้วิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการแก้ไขปัญหานี้ โดยที่เขาต้องไม่ละเลยปัญหาสุขภาพที่คนไข้มีอยู่แต่เดิมด้วย.
การแพร่ระบาดในเรื่องการใช้ยาไปในทางที่ผิด ซึ่งรวมถึงสารเสพติดทุกรูปแบบนั้นเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงยุคสมัยของเรา. ครอบครัวซึ่งควรเป็นที่ที่มีแต่ความรักและปลอดจากความเครียดในแต่ละวันนั้นก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่. ศีลธรรมอันดีงามและค่านิยมทางศาสนาก็กำลังเสื่อมลงเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับการแสดงความนับถือต่อชีวิต. (2 ติโมเธียว 3:1-5) ปัจจัยอีกอย่างหนึ่งก็คือการสิ้นไร้ความหวังที่จะมีอนาคตที่ดีกว่า. ผู้คนมากมายมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากอนาคตที่มืดมนและหมองหม่น. ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ และมุ่งแสวงหาอะไรก็ได้ที่สามารถทำให้พวกเขาเพลิดเพลิน ซึ่งบางครั้งก็ทำอย่างนั้นโดยที่เสี่ยงอันตรายมาก. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ที่ไหนขาดการแนะนำสั่งสอน, ประชาชนที่นั่นก็เตลิดไป.”—สุภาษิต 29:18
ถ้าคุณเป็นพ่อแม่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณคงต้องการปกป้องครอบครัวให้พ้นจากสภาพที่เสื่อมทรามทางศีลธรรมและค่านิยมที่ไม่ดี ซึ่งแพร่ระบาดไปทั่วโลก. แต่คุณจะปกป้องครอบครัวของคุณได้อย่างไร? และคุณจะหันไปพึ่งคำแนะนำที่ดีและไว้วางใจได้จากที่ไหนเพื่อจะมีอนาคตที่ดีกว่า? บทความถัดไปจะตอบคำถามเหล่านี้.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 2 จากเว็บไซต์ TeensHealth
[กรอบหน้า 4]
ทำทุกวิถีทางเพื่อให้เคลิบเคลิ้ม
ผู้คนบางคนจะลองใช้แทบทุกวิถีทางเพื่อทำให้เขารู้สึกเคลิบเคลิ้ม. การกระทำที่ก่อความเสียหายมากเป็นพิเศษรวมถึงการสูดดมน้ำยาทำความสะอาด, น้ำยาล้างเล็บ, น้ำมันขัดเงาเครื่องเรือน, น้ำมันเบนซิน, กาว, น้ำมันไฟแช็ก, สีสเปรย์, และสารระเหยชนิดอื่น ๆ. ไอระเหยที่สูดดมจะซึมเข้ากระแสเลือดโดยเร็ว ทำให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นแทบจะทันที.
การกระทำที่เป็นอันตรายอีกอย่างหนึ่งก็คือการใช้ยาที่หาซื้อได้ตามร้านขายยาไปในทางที่ผิด ซึ่งเป็นยาที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่หรือยาที่ทำให้ง่วงนอน. เมื่อกินเข้าไปมาก ๆ ยาเหล่านี้จะรบกวนประสาทสัมผัสต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟังและการมองเห็น ทั้งยังอาจทำให้รู้สึกสับสน, ประสาทหลอน, มีอาการชา, และปวดท้อง.
[กรอบหน้า 5]
“กลวิธีในการหายา”
หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่ง (Physicians’ Desk Reference) กล่าวว่า “‘การหายา’ เป็นพฤติกรรมที่มักพบเห็นได้ทั่วไปในหมู่ผู้ติดยาหรือผู้ที่ใช้ยาไปในทางที่ผิด. กลวิธีในการหายามีทั้งการโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน หรือไปพบแพทย์ตอนใกล้ ๆ เวลาเลิกงาน, ไม่ยอมให้แพทย์ตรวจตามปกติ ทำการทดสอบ หรือส่งตัวไปตรวจกับแพทย์อีกคนหนึ่ง, ชอบอ้างอยู่บ่อย ๆ ว่าทำใบสั่งยา ‘หาย’, แก้ไขใบสั่งยาจากแพทย์, และไม่เต็มใจที่จะให้ประวัติการรักษาครั้งก่อน ๆ หรือให้ข้อมูลเพื่อติดต่อแพทย์คนอื่น ๆ ที่ให้การรักษา. ‘การไปพบแพทย์หลาย ๆ คน’ เพื่อจะได้ใบสั่งยาจากแพทย์เพิ่มอีกนั้นเป็นเรื่องธรรมดามากสำหรับคนที่ใช้ยาอย่างผิด ๆ และคนที่มีอาการติดยาที่ไม่ได้รับการรักษา.”
ยาที่มักจะใช้เพื่อเสพติดมีสามชนิดคือ
▪ ยากลุ่มอนุพันธ์ฝิ่น—ที่มีการสั่งจ่ายให้เพื่อบรรเทาอาการปวด
▪ ยาที่ออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง—เช่น บาร์บิทูเรตและเบนโซไดอะซิปีนที่มีการสั่งจ่ายให้คนที่มีอาการวิตกกังวลหรือมีปัญหาด้านการนอน (มักจะถูกเรียกว่ายาระงับประสาทหรือยาสงบประสาท)
▪ ยากระตุ้น—ที่มีการสั่งจ่ายให้คนที่เป็นโรคสมาธิสั้น (ADHD), มีภาวะง่วงเกิน, หรือโรคอ้วน *
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 24 ข้อมูลได้รับจากสถาบันวิจัยด้านการใช้ยาเสพติดแห่งชาติของสหรัฐ.
[กรอบหน้า 6]
คำแนะนำในการใช้ยาอย่างปลอดภัย
1. ปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด.
2. อย่าเปลี่ยนขนาดยาที่กินโดยที่ไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก่อน.
3. อย่าหยุดกินยาเอง.
4. อย่าบดยาหรือแบ่งยาเว้นแต่จะมีการสั่งอย่างเจาะจงว่าให้ทำเช่นนั้น.
5. ตระหนักว่ายาอาจมีผลต่อความสามารถในการขับขี่และการทำกิจกรรมอื่น ๆ.
6. ค้นคว้าเพื่อจะรู้ว่ายานั้นอาจทำปฏิกิริยาอย่างไรบ้างกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และกับยาตัวอื่น ๆ ที่แพทย์สั่งจ่าย หรือยาที่ไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์.
7. ถ้าคุณมีประวัติว่าเคยใช้สารเสพติด ให้บอกแพทย์ด้วย.
8. อย่ากินยาที่แพทย์สั่งจ่ายให้คนอื่น และอย่าเอายาของคุณให้คนอื่นกิน. *
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 36 อาศัยข้อแนะต่าง ๆ ที่ได้จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐ.