ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

ความรักที่ผมมีต่อสงครามได้เหือดหายไปสิ้น

ความรักที่ผมมีต่อสงครามได้เหือดหายไปสิ้น

ความ​รัก​ที่​ผม​มี​ต่อ​สงคราม​ได้​เหือด​หาย​ไป​สิ้น

เล่า​โดย​โทมัส สตูเบนวอลล์

ผม​เกิด​ใน​นคร​นิวยอร์ก​เมื่อ​วัน​ที่ 8 พฤศจิกายน 1944. ผม​เติบโต​ใน​เขต​บรองซ์​ทาง​ใต้ สมัย​นั้น​ย่าน​ที่​ผม​อยู่​ถูก​แบ่ง​ออก​เป็น​เขต​ตาม​เชื้อชาติ. ตอน​เป็น​เด็ก ผม​ชอบ​ออก​ไป​เตร็ดเตร่​ตาม​ถนน และ​ไม่​นาน​ผม​ก็​เรียน​รู้​ที่​จะ​ไม่​ล่วง​ล้ำ​เขต​ของ​แก๊ง​กลุ่ม​ชาติ​พันธุ์​ต่าง ๆ. ผู้​คน​หวาด​กลัว​แก๊ง​เหล่า​นั้น​เพราะ​พวก​เขา​มัก​ก่อ​อาชญากรรม​และ​มี​นิสัย​ชอบ​ความ​รุนแรง.

พอ​อายุ 12 ปี ผม​ก็​เข้า​ร่วม​แก๊ง. เรา​เรียก​แก๊ง​ของ​เรา​ว่า เดอะ​สกัลล์ (กะโหลก). ผม​กับ​เพื่อน​ร่วม​แก๊ง​จะ​งัด​ตู้​สินค้า​รถไฟ​และ​ขโมย​ลัง​เนย​ถั่ว​และ​อาหาร​ชนิด​อื่น ๆ. แก๊ง​เด็ก​วัยรุ่น​ที่​โต​แล้ว​ยิ่ง​บ้า​ระห่ำ​กว่า​นั้น​มาก. แก๊ง​ต่าง ๆ มัก​ยก​พวก​ต่อ​สู้​กัน​อย่าง​ดุเดือด. ครั้ง​หนึ่ง​เพื่อน​รัก​ของ​ผม​ถูก​แทง​ตาย​ต่อ​หน้า​ต่อ​ตา​ผม.

คลั่งไคล้​สงคราม

ชีวิต​ของ​ผม​ใน​แก๊ง​ไม่​มี​ความ​สุข. เวลา​ผ่าน​ไป​ระยะ​หนึ่ง ผม​ก็​ต้องการ​ย้าย​ออก​จาก​เมือง​นี้. เอดดี​ลุง​ของ​ผม​เคย​ไป​รบ​ใน​สงคราม​เกาหลี​ใน​ฐานะ​นาวิกโยธิน ซึ่ง​เป็น​ส่วน​หนึ่ง​ของ​กองทัพ​สหรัฐ. ผม​ติด​อก​ติด​ใจ​เรื่อง​ที่​ลุง​เอดดี​เล่า​ให้​ฟัง​เกี่ยว​กับ​นาวิกโยธิน. ลุง​บอก​ผม​ว่า​นาวิกโยธิน​ทุก​คน​เป็น​ผู้​นำ​ที่​มี​วินัย เป็น​นัก​รบ​ที่​ห้าว​หาญ ถูก​ฝึก​มา​ให้​ปฏิบัติการ​อย่าง​เด็ดขาด. คติ​ของ​นาวิกโยธิน​คือ Semper fidelis ภาษา​ละติน​หมาย​ถึง “ซื่อ​สัตย์​เสมอ” ซึ่ง​เน้น​ความ​สำคัญ​ของ​การ​เคร่งครัด​ใน​ความ​ภักดี​และ​พันธะ​หน้า​ที่. ไม่​นาน ความ​ปรารถนา​สูง​สุด​ของ​ผม​คือ​การ​เป็น​นาวิกโยธิน​ที่​เก่ง​กาจ.

วัน​ที่ 8 พฤศจิกายน 1961 วัน​นั้น​ผม​อายุ​ครบ 17 ปี ผม​สมัคร​เป็น​ทหาร​ใน​หน่วย​นาวิกโยธิน. ไม่​ถึง​สี่​เดือน​ต่อ​มา การ​ฝึก​ใน​ค่าย​ก็​เสร็จ​สิ้น​ลง. นั่น​คือ​จุด​เริ่ม​ต้น​ของ​อาชีพ​ทหาร​ซึ่ง​ยาว​นาน 11 ปี.

ผม​เข้า​ร่วม​กองทัพ​ใน​ช่วง​ที่​ไม่​มี​ศึก​สงคราม. กระนั้น​ชีวิต​นาวิกโยธิน​ก็​มี​แต่​การ​ฝึก​ตลอด​เวลา. แรก​ที​เดียว ผม​ถูก​ส่ง​ไป​เกาะ​โออาฮู ฮาวาย ช่วง​สอง​ปี​ที่​นั่น​ผม​ได้​รับ​การ​ฝึก​อย่าง​เข้มข้น​ตาม​ยุทธวิธี​ของ​ทหาร​ราบ​และ​การ​รบ​แบบ​กองโจร. ผม​กลาย​เป็น​พล​แม่น​ปืน และ​สามารถ​ยิง​ถูก​เป้า​ขนาด​สิบ​นิ้ว​ที่​อยู่​ห่าง​ออก​ไป 500 หลา. ผม​ฝึก​ศิลปะ​การ​ต่อ​สู้, การ​ใช้​วัตถุ​ระเบิด, การ​อ่าน​แผนที่, การ​ใช้​ระเบิด​ทำลาย, และ​การ​สื่อสาร. ผม​ชอบ​การ​ฝึก​แบบ​นี้​มาก.

หลัง​การ​ฝึก​ที่​ฮาวาย ผม​ถูก​ส่ง​ไป​อยู่​ที่​ญี่ปุ่น​หก​เดือน​ใน​ภารกิจ​ป้องกัน​อาวุธ​ใต้​น้ำ​ที่​สนามบิน​กองทัพ​เรือ​ที่​อะสึงิ. ไม่​ทัน​ไร ความ​ตึงเครียด​ระหว่าง​สหรัฐ​กับ​เวียดนาม​เหนือ​ก็​เพิ่ม​ทวี​ขึ้น และ​ผม​ได้​รับ​มอบหมาย​ให้​ร่วม​กับ​กอง​นาวิกโยธิน​ประจำการ​บน​เรือ​บรรทุก​เครื่องบิน ยูเอสเอส เรนเจอร์. จาก​อ่าว​ตังเกี๋ย เรือ​ของ​เรา​สมทบ​ใน​การ​ทิ้ง​ระเบิด​ที่​เวียดนาม​เหนือ. ใน​ที่​สุด ผม​ก็​ได้​สู้​รบ​ใน​สงคราม​จริง ๆ. กระนั้น เนื่อง​จาก​ประจำการ​อยู่​แต่​ใน​เรือ ผม​จึง​รู้สึก​ว่า​ตัว​เอง​ไม่​ได้​ปฏิบัติการ​รบ​จริง ๆ.

สภาพ​จริง​ของ​สงคราม

ใน​ฤดู​ใบ​ไม้​ผลิ​ปี 1966 ขณะ​อยู่​ใน​เรือ​เรนเจอร์ ผม​ถูก​ปลด​ประจำการ​อย่าง​สม​เกียรติ​หลัง​จาก​ปฏิบัติ​งาน​ใน​กองทัพ​มา​สี่​ปี. ทหาร​ส่วน​ใหญ่​อย่าง​ผม​คง​จะ​กลับ​บ้าน​ด้วย​ความ​ดีใจ และ​ไม่​ต้อง​เผชิญ​การ​นอง​เลือด​ซึ่ง​จวน​จะ​เกิด​ขึ้น. แต่​ผม​กลาย​เป็น​นาวิกโยธิน​ที่​ทุ่มเท​ตัว เป็น​นัก​รบ​มือ​อาชีพ ผม​ไม่​คิด​จะ​เลิก. ผม​จึง​สมัคร​เป็น​ทหาร​ต่อ​ไป.

ผม​ต้องการ​ออก​รบ​จริง ๆ. เพราะ​ผม​ถูก​ฝึก​มา​ให้​ทำ​อย่าง​นั้น. ดัง​นั้น ผม​จึง​อาสา​ไป​ประจำ​ใน​กอง​ทหาร​ราบ. ไม่​สำคัญ​สำหรับ​ผม​ว่า​จะ​ถูก​ส่ง​ไป​ที่​ไหน ตราบ​ใด​ที่​ผม​ได้​เป็น​พล​ทหาร​ราบ​นาวิกโยธิน. การ​เป็น​นาวิกโยธิน​ที่​ดี​เป็น​เป้าหมาย​ใน​ชีวิต และ​ผม​บูชา​สงคราม​เสมือน​พระเจ้า.

เดือน​ตุลาคม 1967 ผม​ถูก​ส่ง​ไป​เวียดนาม. พร้อม​ด้วย​ความ​กังวล​และ​ตื่นเต้น ทันที​ที่​ไป​ถึง ผม​ถูก​ส่ง​ไป​ประจำ​แนว​หน้า​ใน​จังหวัด​กว๋างตริ. จาก​นั้น​ยัง​ไม่​ถึง​หนึ่ง​วัน ผม​ก็​ได้​มา​อยู่​ท่ามกลาง​การ​รบ​ซึ่ง​กำลัง​ดุเดือด. ทหาร​บาดเจ็บ​และ​ตาย​เป็น​เบือ​อยู่​รอบ​ข้าง. ผม​สามารถ​มอง​เห็น​ฝุ่น​ฟุ้ง​ตลบ​เพราะ​กระสุน​ปืน​ที่​ฝ่าย​ศัตรู​ยิง​มา​กระทบ​พื้น​ดิน. ที่​กำบัง​ก็​มี​เพียง​พุ่ม​ไม้​ไม่​กี่​ต้น. ผม​เริ่ม​ยิง​ต่อ​สู้​ด้วย​ความ​รู้สึก​สยดสยอง​เหลือ​ประมาณ. ผม​คิด​ว่า​ผม​ต้อง​ตาย​แน่. ใน​ที่​สุด การ​ต่อ​สู้​วัน​นั้น​ก็​ผ่าน​ไป. ผม​รอด​ชีวิต​มา​ได้ แต่​มี​หลาย​คน​เสีย​ชีวิต และ​ผม​ต้อง​ช่วย​หาม​ร่าง​พวก​เขา​กลับ.

อีก 20 เดือน​ต่อ​จาก​นั้น ผม​ร่วม​ใน​การ​ต่อ​สู้​อย่าง​ดุเดือด​ที่​สุด​ของ​สงคราม​เวียดนาม. ทุก​วัน​เกือบ​ตลอด 24 ชั่วโมง ผม​ต้อง​ยิง​ศัตรู​หรือ​คอย​หลบ​เพื่อ​ไม่​ให้​ถูก​ยิง ผม​ต้อง​ซุ่ม​โจมตี​ศัตรู​หรือ​ไม่​ก็​ถูก​ศัตรู​ซุ่ม​โจมตี. ส่วน​ใหญ่​ใน​ช่วง​สู้​รบ​กัน ผม​ยิง​ตอบ​โต้​ศัตรู​จาก​สนาม​เพลาะ​ซึ่ง​เมื่อ​ฝน​ตก​ก็​กลาย​เป็น​บ่อ​โคลน​ทันที. บาง​ช่วง​ก็​หนาว​และ​ลำบาก​แทบ​ทน​ไม่​ไหว. ผม​ต้อง​กิน​นอน​อยู่​ใน​สนาม​เพลาะ​นั่น​เอง.

ภารกิจ​ของ​ผม​ใน​การ​เสาะ​หา​และ​ฆ่า​ศัตรู ทำ​ให้​ผม​ต้อง​เข้า​ป่า​ดิบ​ชื้น​เป็น​ประจำ โดย​ที่​ศัตรู​อาจ​กระโจน​ออก​มา​จาก​พุ่ม​ไม้​หนา​ทึบ​ได้​ทุก​เมื่อ. บาง​ครั้ง​ผม​ต้อง​ถูก​แรง​กระแทก​จาก​กระสุน​ปืน​ใหญ่​ที่​ระเบิด​อยู่​รอบ ๆ ตัว​ผม​เป็น​เวลา​หลาย​ชั่วโมง. ใน​สมรภูมิ​ใกล้​กับ​เคซานห์ ทหาร​ใน​หมวด​ของ​ผม​ประมาณ​สาม​ใน​สี่​ได้​รับ​บาดเจ็บ​หรือ​ไม่​ก็​เสีย​ชีวิต มี​พวก​เรา​เหลือ​อยู่​เพียง 13 นาย.

วัน​ที่ 30 มกราคม 1968 ผม​ได้​มา​อยู่​ที่​ฐาน​ทัพ ที่​นี่​ผม​นอน​หลับ​ใน​เต็นท์​เป็น​ครั้ง​แรก​ใน​รอบ​หนึ่ง​ปี. ผม​นอน​สบาย​อยู่​ได้​ไม่​นาน​ก็​ต้อง​สะดุ้ง​ตื่น​ตอน​เช้า​ตรู่​ด้วย​เสียง​กัมปนาท​ของ​กระสุน​ปืน​ครก. ผม​ได้​รับ​บาดเจ็บ. สะเก็ด​ระเบิด​หลาย​ชิ้น​ฝัง​อยู่​ที่​ไหล่​และ​หลัง​ของ​ผม. เช้า​วัน​นั้น​ศัตรู​เริ่ม​การ​โจมตี​อย่าง​หนัก.

การ​บาดเจ็บ​ของ​ผม​ทำ​ให้​ผม​ได้​รับ​เหรียญ​เพอร์เพิลฮาร์ต เหรียญ​กล้า​หาญ​ของ​ทหาร แต่​การ​บาดเจ็บ​ไม่​รุนแรง​ถึง​ขนาด​จะ​ทำ​ให้​ผม​เลิก​รบ. หน่วย​แพทย์​ดึง​สะเก็ด​ระเบิด​ออก​มา​อย่าง​รวด​เร็ว และ​ไม่​นาน​ผม​ก็​เดิน​ทาง​ไป​เมือง​เว้ ซึ่ง​เป็น​สมรภูมิ​ที่​ดุเดือด​แห่ง​หนึ่ง​ใน​สงคราม. ที่​นี่ ผม​ปฏิบัติ​หน้า​ที่​เป็น​เครื่องจักร​สังหาร​ที่​มี​ประสิทธิภาพ. การ​ยิง​ศัตรู​ไม่​รบกวน​ใจ​ผม. ตลอด​เวลา​ที่​ตื่น​อยู่​ใน​ช่วง 32 วัน​นั้น ผม​เดิน​ไป​ตาม​บ้าน​เพื่อ​ตาม​ล่า​และ​ฆ่า​ศัตรู.

ใน​ตอน​นั้น ผม​มั่น​ใจ​ว่า​ตัว​เอง​ทำ​ถูก​ต้อง​แล้ว. ผม​หา​เหตุ​ผล​ว่า ‘พวก​ศัตรู​ได้​ฆ่า​ประชาชน​ที่​ไม่​มี​ความ​ผิด​ทั้ง​ผู้​ชาย​ผู้​หญิง​และ​เด็ก​นับ​พัน ๆ คน​ใน​เมือง​เว้. ถนน​หน​ทาง​มี​ซาก​ศพ​เกลื่อน​ไป​หมด. มี​การ​วาง​กับระเบิด​ไว้​มาก​มาย แม้​แต่​ใต้​ศพ​บาง​ศพ​ก็​มี. ศัตรู​มัก​จะ​ดัก​ซุ่ม​ยิง​เรา​ตลอด​เวลา.’ ไม่​มี​อะไร​ทำ​ให้​ผม​ย่อท้อ. ใน​ความ​คิด​ของ​ผม การ​ฆ่า​ศัตรู​เป็น​สิ่ง​ที่​ถูก​ต้อง.

กระหาย​สงคราม

ภาย​หลัง​ออก​จาก​เมือง​เว้ ผม​ก็​เสร็จ​สิ้น​การ​ประจำการ​ซึ่ง​ยาว​นาน 13 เดือน. อย่าง​ไร​ก็​ตาม สงคราม​ยัง​ดำเนิน​อย่าง​ดุเดือด และ​ผม​ต้องการ​ร่วม​รบ​ต่อ​ไป. ผม​จึง​สมัคร​อยู่​ใน​เวียดนาม​ต่อ​เพื่อ​ประจำการ​อีก​รอบ​หนึ่ง. ตอน​นั้น​ผม​มี​ยศ​จ่า​สิบ​ตรี​และ​ได้​รับ​มอบหมาย​ใน​ภารกิจ​พิเศษ. ผม​ต้อง​นำ​นาวิกโยธิน​หมู่​หนึ่ง​เข้า​ไป​ตาม​หมู่​บ้าน​เล็ก ๆ ใน​ชนบท. เรา​ได้​ร่วม​มือ​กับ​พลเรือน ฝึก​พวก​เขา​ให้​ปก​ป้อง​หมู่​บ้าน​ของ​ตน. เรา​ต้อง​ตื่น​ตัว​ตลอด​เวลา เพราะ​ศัตรู​มัก​จะ​เข้า​มา​แฝง​ตัว​อยู่​ปน​อยู่​ร่วม​กับ​ชาว​บ้าน. ตก​กลางคืน เรา​ก็​จะ​เคลื่อน​กำลัง​อย่าง​เงียบ ๆ เพื่อ​ออก​ล่า, จับ​ตัว, และ​สังหาร​นัก​รบ​ฝ่าย​ศัตรู. แม้​จะ​ตึงเครียด​มาก​แต่​ผม​ก็​ยิ่ง​หลงใหล​สงคราม​มาก​ขึ้น​เรื่อย ๆ.

การ​ประจำการ​รอบ​ที่​สอง​ของ​ผม​ใน​เวียดนาม​ผ่าน​ไป​อย่าง​รวด​เร็ว. อีก​ครั้ง​หนึ่ง​ผม​ขอ​ร่วม​รบ​ต่อ​ไป. คราว​นี้​ผู้​บังคับ​บัญชา​ของ​ผม​ไม่​ยอม​อนุมัติ​ตาม​คำ​ขอ อาจ​เป็น​เพราะ​เขา​สังเกต​ว่า​ผม​กระหาย​สงคราม​เกิน​ไป. แต่​อาชีพ​นาวิกโยธิน​ของ​ผม​ยัง​ไม่​จบ. ผม​ถูก​ส่ง​กลับ​ไป​สหรัฐ​เพื่อ​เป็น​ครู​ฝึก​พล​ทหาร. ผม​จดจ่อ​อยู่​กับ​หน้า​ที่​ครู​ฝึก​เป็น​เวลา​สาม​ปี​ครึ่ง. ผม​มี​เรื่อง​มาก​มาย​จะ​สอน​เหล่า​พล​ทหาร​ได้ และ​ผม​พยายาม​สุด​ความ​สามารถ​เพื่อ​จะ​เปลี่ยน​พวก​เขา​เป็น​เครื่องจักร​สู้​รบ​ที่​โหด​เหี้ยม​เหมือน​กับ​ผม.

ผม​พบ​จุด​มุ่ง​หมาย​ที่​ดี​กว่า​ใน​ชีวิต

ผม​เป็น​เพื่อน​กับ​ครู​ฝึก​อีก​คน​หนึ่ง. ภรรยา​ของ​เขา​เพิ่ง​ทิ้ง​เขา​ไป. คริสติน แอนทิสเดล น้อง​สาว​ของ​เขา​ซึ่ง​เข้า​มา​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ไม่​นาน ได้​ย้าย​มา​อยู่​ใน​บ้าน​เพื่อ​ช่วย​ดู​แล​ลูก​ที่​ยัง​เล็ก​สอง​คน​ของ​เขา. นั่น​เป็น​ครั้ง​แรก​ที่​ผม​ได้​ยิน​เรื่อง​พยาน​ฯ.

ผม​เติบโต​ขึ้น​มา​อย่าง​ชาว​คาทอลิก​และ​ได้​เข้า​โรง​เรียน​คาทอลิก​แปด​ปี. ที่​โบสถ์​ผม​เคย​เป็น​เด็ก​ช่วย​งาน​ประกอบ​พิธี. กระนั้น ผม​แทบ​ไม่​รู้​เรื่อง​เกี่ยว​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล​เลย. คริสติน​ช่วย​ให้​ผม​มี​ความ​รู้. เธอ​สอน​ความ​จริง​จาก​คัมภีร์​ไบเบิล​ซึ่ง​ผม​ไม่​เคย​ได้​ยิน​มา​ก่อน. ผม​เรียน​รู้​ว่า​จริง ๆ แล้ว​คัมภีร์​ไบเบิล​สอน​และ​ไม่​ได้​สอน​อะไร.

ตัว​อย่าง​เช่น ผม​ได้​รู้​ว่า​คัมภีร์​ไบเบิล​ไม่​ได้​สอน​ว่า​พระเจ้า​ลง​โทษ​คน​ชั่ว​ใน​ไฟ​นรก​หลัง​จาก​ตาย. (ท่าน​ผู้​ประกาศ 9:5, 10) คัมภีร์​ไบเบิล​ไม่​ได้​สอน​ว่า​พระเจ้า​เป็น​ส่วน​ของ​ตรีเอกานุภาพ. (โยฮัน 14:28) แต่​คัมภีร์​ไบเบิล​สอน​ว่า​พระเจ้า​จะ​ทำลาย​ความ​ชั่ว, ความ​เจ็บ​ปวด, และ​ความ​ตาย​ให้​หมด​สิ้น แล้ว​มนุษยชาติ​ที่​เชื่อ​ฟัง​จะ​มี​ชีวิต​ตลอด​ไป​ใน​อุทยาน​บน​แผ่นดิน​โลก. (บทเพลง​สรรเสริญ 37:9-11; วิวรณ์ 21:3, 4) ผม​ยัง​รู้​ความ​จริง​เกี่ยว​กับ​มาตรฐาน​ทาง​ศีลธรรม​ของ​พระเจ้า​ด้วย. (1 โครินท์ 6:9, 10) ผม​เรียน​รู้​ว่า​พระเจ้า​มี​พระ​นาม คือ​พระ​ยะโฮวา. (บทเพลง​สรรเสริญ 83:18) เรื่อง​นี้​ช่าง​น่า​ประทับใจ​เหลือ​เกิน!

ใน​เดือน​พฤศจิกายน 1972 ผม​ถูก​ย้าย​ไป​ที่​ค่าย​อีก​แห่ง​หนึ่ง ซึ่ง​ผม​สอน​การ​วาง​ยุทธศาสตร์​แก่​ทหาร​ชั้น​ประทวน. ที่​นั่น​ผม​เริ่ม​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​กับ​พยาน​พระ​ยะโฮวา. ผม​เข้า​ร่วม​ประชุม​และ​ประทับใจ​อย่าง​ยิ่ง​ใน​บรรยากาศ​ที่​เป็น​มิตร​และ​ภราดรภาพ​แท้​ของ​พยาน​ฯ.

แต่​ยิ่ง​ผม​เรียน​คัมภีร์​ไบเบิล สติ​รู้สึก​ผิด​ชอบ​ของ​ผม​ก็​ยิ่ง​รบกวน. ความ​จริง​ของ​คัมภีร์​ไบเบิล​ขัด​กับ​วิถี​ชีวิต​ของ​ผม​มาก​จริง ๆ. ผม​ได้​อุทิศ​ชีวิต​ให้​แก่​การ​ทำ​สงคราม​เพื่อ​ชาติ ซึ่ง​การ​เช่น​นั้น​พระเจ้า​ทรง​เกลียด​ชัง.

ผม​ลง​ความ​เห็น​ว่า​ผม​ไม่​อาจ​เป็น​นาวิกโยธิน​และ​นมัสการ​พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า​ไป​พร้อม ๆ กัน​ได้. ตอน​นั้น​เอง ความ​รัก​ที่​ผม​มี​ต่อ​สงคราม​ได้​เหือด​หาย​ไป​สิ้น. ผม​ตัดสิน​ใจ​เลิก​อาชีพ​นี้. หลัง​จาก​งาน​ด้าน​เอกสาร, การ​สัมภาษณ์, และ​การ​ตรวจ​สอบ​ทาง​จิตเวช ผม​ก็​ถูก​ปลด​ประจำการ​อย่าง​สม​เกียรติ ครั้ง​นี้​ใน​ฐานะ​ผู้​ที่​ปฏิเสธ​การ​รับ​ราชการ​ทหาร​เนื่อง​ด้วย​สติ​รู้สึก​ผิด​ชอบ. การ​เป็น​ทหาร​ใน​หน่วย​นาวิกโยธิน​นาน 11 ปี​ของ​ผม​จึง​เป็น​อัน​สิ้น​สุด​ลง.

บัด​นี้ ผม​สามารถ​ทูล​พระ​ยะโฮวา​ตาม​ถ้อย​คำ​ของ​ยะซายา 6:8 ที่​ว่า “ข้าพเจ้า​อยู่​ที่​นี่; ทรง​ใช้​ข้าพเจ้า​เถิด.” ใช่​แล้ว ผม​พร้อม​จะ​ใช้​กำลัง​และ​ความ​กระตือรือร้น​ใน​การ​รับใช้​พระเจ้า​เที่ยง​แท้​องค์​เดียว​แทน​ที่​จะ​ปฏิบัติ​หน้า​ที่​ใน​หน่วย​นาวิกโยธิน. ผม​ได้​รับ​บัพติสมา​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา​เมื่อ​วัน​ที่ 27 กรกฎาคม 1973. ห้า​เดือน​ต่อ​มา​ผม​ก็​แต่งงาน​กับ​คริสติน แอนทิสเดล พยาน​ฯ คน​แรก​ที่​ผม​รู้​จัก.

ผม​กับ​คริสติน​ได้​ทุ่มเท​เวลา 36 ปี​ที่​อยู่​ด้วย​กัน​เพื่อ​ช่วย​คน​อื่น​รับ​ความ​รู้​เกี่ยว​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล​และ​เข้า​ใกล้​พระเจ้า. เรา​ได้​รับใช้​เป็น​มิชชันนารี​ใน​สาธารณรัฐ​โดมินิกัน​เป็น​เวลา​แปด​ปี. สำหรับ 18 ปี​หลัง​นี้​ผม​รับใช้​เป็น​ผู้​ดู​แล​เดิน​ทาง. ผม​กับ​ภรรยา​ไป​เยี่ยม​ประชาคม​ของ​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ที่​พูด​ภาษา​สเปน​หลาย​ร้อย​ประชาคม​ทั่ว​สหรัฐ.

จวบ​จน​ถึง​วัน​นี้ ผม​ไม่​มี​บาดแผล​ทาง​อารมณ์​หรือ​จิตใจ​จาก​สมัย​ที่​ผม​สู้​รบ​ใน​สงคราม. ไม่​มี​ความ​เครียด​หลัง​เหตุ​สะเทือน​ขวัญ, ไม่​มี​ฝัน​ร้าย, ไม่​มี​ภาพ​หลอน. กระนั้น หลัง​จาก​ผม​ได้​เข้า​ใกล้​พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า ผม​เสียใจ​สุด​ประมาณ​ที่​ได้​ปลิด​ชีวิต​เพื่อน​มนุษย์​ใน​ระหว่าง​สงคราม.

ชีวิต​ผม​เปลี่ยน​ไป​อย่าง​สิ้นเชิง แต่​ก็​คุ้มค่า. ตอน​นี้​ผม​รู้สึก​ว่า​พระเจ้า​ได้​ให้​อภัย​ใน​สิ่ง​ที่​ผม​ทำ​ใน​อดีต. แทน​การ​ทำลาย​ชีวิต ภารกิจ​ของ​ผม​ตอน​นี้​คือ​ให้​ความ​หวัง​แก่​ประชาชน​ที่​จะ​มี​ชีวิต​ตลอด​ไป​บน​แผ่นดิน​โลก​ซึ่ง​เป็น​อุทยาน. ตอน​ที่​ผม​เป็น​นาวิกโยธิน ผม​ทำ​สิ่ง​เหล่า​นั้น​ไป​เพราะ​ความ​ไม่​รู้​และ​ความ​ร้อน​รน​ที่​มุ่ง​ไป​ผิด​ทาง. เมื่อ​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา และ​ได้​เรียน​รู้​สิ่ง​ที่​คัมภีร์​ไบเบิล​สอน ผม​จึง​ทำ​อย่าง​ที่​ผม​ทำ​ด้วย​ความ​เชื่อ​มั่น​ว่า​มี​พระเจ้า​เที่ยง​แท้​ผู้​ทรง​พระ​ชนม์​อยู่ และ​พระองค์​เป็น​พระเจ้า​องค์​เปี่ยม​ด้วย​ความ​รัก, และ​ใน​ที่​สุด​แล้ว ผู้​ที่​รัก​และ​เชื่อ​ฟัง​พระองค์​จะ​ได้​รับ​แต่​สิ่ง​ดี ๆ.

[คำ​โปรย​หน้า 25]

ทุก​วัน​เกือบ​ตลอด 24 ชั่วโมง ผม​ต้อง​ยิง​ศัตรู​หรือ​คอย​หลบ​เพื่อ​ไม่​ให้​ถูก​ยิง ผม​ต้อง​ซุ่ม​โจมตี​ศัตรู​หรือ​ไม่​ก็​ถูก​ศัตรู​ซุ่ม​โจมตี

[คำ​โปรย​หน้า 27]

หลัง​จาก​ผม​ได้​เข้า​ใกล้​พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า ผม​เสียใจ​สุด​ประมาณ​ที่​ได้​ปลิด​ชีวิต​เพื่อน​มนุษย์​ใน​ระหว่าง​สงคราม

[ภาพ​หน้า 24]

ตอน​เป็น​ครู​ฝึก (ภาพ​บน​สุด) และ​เมื่อ​อยู่​ที่​กอง​ทหาร​ราบ​ใน​เวียดนาม (ภาพ​ซ้าย)

[ภาพ​หน้า 25]

การ​บาดเจ็บ​ทำ​ให้​ผม​ได้​รับ​เหรียญ​เพอร์เพิลฮาร์ต แต่​การ​บาดเจ็บ​ไม่​รุนแรง​ถึง​ขนาด​ทำ​ให้​ผม​เลิก​รบ

[ภาพ​หน้า 26]

ผม​กับ​คริสติน​ได้​ทุ่มเท​เวลา 36 ปี​ที่​อยู่​ด้วย​กัน​เพื่อ​ช่วย​คน​อื่น​รับ​ความ​รู้​เกี่ยว​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล