แผ่นดินไหวในเฮติการแสดงความเชื่อและความรัก
แผ่นดินไหวในเฮติการแสดงความเชื่อและความรัก
เมื่อวันอังคารที่ 12 มกราคม 2010 เวลา 16:53 น. เอฟลินได้ยินเสียงครืน ๆ เหมือนเสียงเครื่องบินลำใหญ่ดังขึ้นมาจากพื้นดิน และแผ่นดินก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง. ใกล้ ๆ กันนั้น คานคอนกรีตหักเสียงดังลั่น และตึกหลายหลังก็พังทลาย. เมื่อแผ่นดินไหวสงบลง เอฟลินปีนขึ้นไปบนที่สูงและสำรวจดูสภาพรอบตัว. เธอได้ยินเสียงคนร้องโหยหวน. ฝุ่นซีเมนต์คลุ้งไปทั่วกรุงปอร์โตแปรงซ์ เมืองหลวงของเฮติ.
ภายในไม่กี่วินาที บ้านเรือน, สถานที่ราชการ, ธนาคาร, โรงพยาบาล, และโรงเรียนก็พังทลาย. มีผู้คนเสียชีวิตกว่า 220,000 คนไม่ว่าจะมีภูมิหลังทางสังคมเช่นไร. ประมาณ 300,000 คนได้รับบาดเจ็บ.
ผู้รอดชีวิตหลายคนเอาแต่นั่งอย่างเงียบงันข้าง ๆ ซากบ้านเรือนของตัวเอง. ส่วนบางคนเร่งขุดซากหักพังด้วยมือเปล่าอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อช่วยชีวิตญาติและเพื่อนบ้าน. ทางการไม่อาจจ่ายกระแสไฟฟ้าได้และไม่ทันไรก็มืด พวกกู้ภัยจึงต้องทำงานโดยอาศัยไฟฉายและแสงเทียน.
ในเมืองชากเมล ราลเฟนดีวัย 11 ขวบติดอยู่ใต้ตึกที่พังลงมาส่วนหนึ่ง. ทีมกู้ภัยของเมืองนี้พยายามอย่างหนักเป็นเวลาหลายชั่วโมงที่จะช่วยเขาออกมา. แผ่นดินไหวตาม (aftershock) ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งทำให้พวกเขาจำใจหยุดปฏิบัติการเพราะกลัวว่าตึกชั้นบนที่แตกร้าวจะพังลงมาทับ. ฟีลิป มิชชันนารีของพยานพระยะโฮวาไม่ยอมเลิก และบอกว่า “ผมไม่อาจจะทิ้งราลเฟนดีให้ตายอยู่ตรงนั้น.”
ฟีลิปและคนอื่น ๆ อีกสามคนแทรกตัวเข้าไปในช่องแคบ ๆ ใต้ตึกที่หักพัง และค่อย ๆ คืบคลานเข้าไปหาราลเฟนดี เท้าของราลเฟนดีถูกทับอยู่จนขยับไม่ได้. ตั้งแต่เที่ยงคืน พวกเขาคุ้ยซากตึกด้วยความระมัดระวัง. ทุกครั้งที่เกิดแรงสั่นสะเทือน พวกเขาได้ยินเสียงคอนกรีตที่อยู่ข้างบนแตกร้าวและเคลื่อนตัว. ตอน 5:00 น. มากกว่า 12 ชั่วโมงหลังแผ่นดินไหว พวกเขาก็ดึงตัวราลเฟนดีออกมาได้อย่างปลอดภัย.
น่าเสียใจ ไม่ใช่การกู้ภัยทุกครั้งจะประสบความสำเร็จ. ในเมืองเลโอกานที่เสียหายอย่างหนัก รอเชและลูกชายคนโตชื่อคลิด หนีรอดจากบ้านที่กำลังพังลงมาได้. คลารองซ์ ลูกชายคนเล็กของเขาเสียชีวิต. คลานา ภรรยาของรอเช ยังมีชีวิตอยู่และพูดได้ แต่ศีรษะของเธอติดอยู่ใต้เพดานที่ถล่มลงมาทับ. รอเชกับเพื่อนอีกคนหนึ่งพากันออกแรงช่วยเธอ. เธอส่งเสียงเร่งเร้าจากข้างใต้ว่า “เร็วเข้า! ฉันหมดแรง! ฉันหายใจไม่ออก!” สามชั่วโมงต่อมา ทีมกู้ภัยมาถึง. แต่เมื่อพวกเขาดึงตัวเธอออกมาได้ เธอก็สิ้นใจแล้ว.
วันพุธที่ 13 มกราคม วันที่ 2
เมื่อรุ่งเช้า ระดับความหายนะก็ปรากฏให้เห็น. พื้นที่บริเวณกว้างในกรุงปอร์โตแปรงซ์พินาศยับเยิน. ขณะที่ข่าวความหายนะแพร่ออกไป องค์กรบรรเทาทุกข์และบุคคลที่ไม่เห็นแก่ตัวจำนวนมากทั่วโลกได้เตรียมให้ความช่วยเหลือ.
อาสาสมัครที่สำนักงานของพยานพระยะโฮวาในสาธารณรัฐโดมินิกันซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 300 กิโลเมตร รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือน. เมื่อรู้ว่าศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ใกล้กรุงปอร์โตแปรงซ์ที่มีประชากรอยู่หนาแน่น โดยที่เกือบหนึ่งในสามของประชากรจำนวนเก้าล้านคนของเฮติอยู่ในเมืองนี้ พยานฯ ชาวโดมินิกันจึงเริ่มวางแผนการบรรเทาทุกข์ทันที.แผ่นดินไหวใหญ่ครั้งสุดท้ายในเฮติเกิดขึ้นเมื่อ 150 ปีที่แล้ว. ฉะนั้น เฮติจึงไม่ได้สร้างตึกที่ทนแรงแผ่นดินไหวอีก แต่หันไปสร้างตึกที่ป้องกันประชากรจากพายุเฮอร์ริเคนและน้ำท่วม. ด้วยเหตุนี้ กำแพงอิฐและหลังคาคอนกรีตหนัก ๆ ส่วนใหญ่จึงไม่สามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนระดับ 7.0 ได้. อย่างไรก็ตาม สำนักงานของพยานพระยะโฮวาในเฮติซึ่งสร้างเสร็จเมื่อปี 1987 ได้รับการออกแบบตามมาตรฐานการก่อสร้างที่ยอมรับกันเพื่อให้อาคารทนแรงแผ่นดินไหวได้. แม้จะตั้งอยู่ทางตะวันออกใกล้กับเมืองปอร์โตแปรงซ์ อาคารนั้นก็แทบไม่ได้รับความเสียหาย.
ชั่วข้ามคืน สำนักงานในเฮติถูกดัดแปลงเป็นศูนย์บรรเทาทุกข์ที่มีกิจกรรมมากมาย. เนื่องจากโทรศัพท์ข้ามประเทศและการสื่อสารทางอีเมลไม่น่าเชื่อถือ สมาชิกสำนักงานสาขาจึงขับรถไปที่พรมแดนสาธารณรัฐโดมินิกันสองครั้งเพื่อส่งรายงาน. ระหว่างนั้น ผู้ประสบภัยหลายร้อยคน ซึ่งหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัส พากันเข้ามาในบริเวณที่ตั้งสำนักงานในเฮติ. อีกหลายคนถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลเพียงไม่กี่แห่งในละแวกนั้นที่ยังเปิดทำการอยู่ และไม่นานผู้บาดเจ็บก็ล้นโรงพยาบาล.
ผู้ประสบภัยนอนกันเกลื่อนบนพื้นรอบ ๆ โรงพยาบาล บางคนเลือดไหลไม่หยุดและร้องครวญคราง. มาร์ลาเป็นคนหนึ่งในคนเหล่านั้น. เธอติดอยู่ใต้ซากตึกถึงแปดชั่วโมง. ขาของเธอไม่มีความรู้สึกและขยับไม่ได้. เพื่อนบ้านช่วยขุดเอาตัวเธอออกมาและส่งโรงพยาบาล แต่โรงพยาบาลไหนล่ะ? เอแวน แพทย์ที่เป็นพยานฯ ซึ่งเดินทางมาจากสาธารณรัฐโดมินิกันออกตามหาเธอ ทั้ง ๆ ที่รู้แค่ชื่อเท่านั้น.
พอถึงตอนนั้น เวลาก็ผ่านไปมากกว่า 24 ชั่วโมงแล้วตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหว และเข้าสู่เวลากลางคืนอีกครั้ง. เอแวนเดินข้ามศพที่วางระเกะระกะอยู่นอกโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง เอแวนอธิษฐานในใจและร้องเรียกชื่อมาร์ลาตลอดเวลา. ในที่สุด
เขาก็ได้ยินใครคนหนึ่งตอบว่า “ฉันอยู่นี่!” มาร์ลามองขึ้นมาพร้อมกับยิ้มกว้าง. เอแวนตกตะลึงและถามว่า “ทำไมคุณถึงยิ้มได้?” เธอตอบว่า “ก็เพราะตอนนี้ฉันได้อยู่กับพี่น้องร่วมความเชื่อของฉันแล้ว.” เอแวนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่.วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม วันที่ 3
สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาซึ่งตั้งอยู่ที่สหรัฐ พร้อมกับสาขาที่แคนาดา, สาธารณรัฐโดมินิกัน, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, กวาเดอลูป, มาร์ตินีกและที่อื่น ๆ ประสานงานการบรรเทาทุกข์เพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากอาหาร, น้ำดื่ม, หยูกยา, สิ่งของอื่น ๆ, การขนส่ง, การสื่อสาร, เงินทุน, และกำลังคน. มีบุคลากรทางการแพทย์ที่เป็นพยานพระยะโฮวาทั้งหมด 78 คนมาให้ความช่วยเหลือ พร้อมกับอาสาสมัครอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก. พอถึง 2:30 น. รถบรรทุกที่ขนสิ่งของบรรเทาทุกข์ก็ออกจากสำนักงานสาขาโดมินิกันมุ่งหน้ามายังเฮติพร้อมกับอาหาร, น้ำ, ยา, และสิ่งของอื่น ๆ หนักประมาณ 6,804 กิโลกรัม.
เมื่อสิ่งของมาถึงในเช้าวันเดียวกันนั้น สำนักงานสาขาในเฮติก็เริ่มจัดแยกสิ่งของต่าง ๆ เพื่อการแจกจ่าย. ผู้บรรเทาทุกข์ต้องอำพรางสิ่งของเหล่านั้นไม่ให้รู้ว่าเป็นอาหารเพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกขโมยไปขายต่อ. อาสาสมัครทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อบรรจุอาหารและสิ่งอื่น ๆ เป็นถุงเล็ก ๆ สำหรับครอบครัวและรายบุคคล. ในช่วงหลายเดือนต่อจากนั้น พยานพระยะโฮวาได้แจกจ่ายสิ่งของมากกว่า 450,000 กิโลกรัมโดยไม่คิดเงิน รวมทั้งอาหารมากกว่า 400,000 มื้อ.
วันศุกร์ที่ 15 มกราคม วันที่ 4
เที่ยงวัน พยานฯ ที่เป็นแพทย์, พยาบาล, และผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ 19 คนจากสาธารณรัฐโดมินิกันและกวาเดอลูปเดินทางมาถึงเฮติ. พวกเขาตั้งคลินิกปฐมพยาบาลอย่างรวดเร็ว. คนที่ได้รับการรักษาที่นั่นรวมไปถึงเด็กที่ได้รับบาดเจ็บหลายคนจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง. ยิ่งกว่านั้น พยานฯ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ได้มอบอาหารและผ้าใบเพื่อสร้างที่คุ้มแดดคุ้มฝนสำหรับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนั้น. เอเตียน ผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ากล่าวว่า “ผมขอบคุณพยานพระยะโฮวามากจริง ๆ. ผมไม่รู้ว่าเราจะทำอย่างไรถ้าไม่มีพวกเขา.”
พลัดพรากและพบกันอีก
เมื่อเกิดแผ่นดินไหว อิสลองด์วัยเจ็ดขวบมองออกไปนอกบ้านและเห็นสายไฟฟ้าขาดและประกายไฟร่วงลงมามากมาย. ผนังบ้านของเธอพังและก้อนอิฐร่วงลงมาทับทำให้ขาเธอหักและเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส. หลังจากเธอถูกดึงออกมาจากซากหักพัง จอห์นนีพ่อของเธอขับรถข้ามพรมแดนโดมินิกันไปส่งเธอที่โรงพยาบาล. เธอถูกนำตัวไปยังโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งในกรุงซานโตโดมิงโก เมืองหลวงของประเทศ. แต่ต่อมาเมื่อจอห์นนีโทรศัพท์ไปยังโรงพยาบาล อิสลองด์ไม่ได้อยู่ที่นั่น.
จอห์นนีตามหาอิสลองด์เป็นเวลาสองวันแต่ไม่พบ. เธอถูกนำตัวไปส่งที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นอาสาสมัครของโรงพยาบาลได้ยินเธออธิษฐานถึงพระยะโฮวา. (บทเพลงสรรเสริญ 83:18) อาสาสมัครคนนั้นถามว่า “หนูรักพระยะโฮวาหรือ?” อิสลองด์ตอบทั้งน้ำตาว่า “ใช่ค่ะ.” อาสาสมัครคนนั้นรับรองเธอว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องกลัว. พระยะโฮวาจะช่วยหนูแน่นอน.”
จอห์นนีขอให้สำนักงานของพยานพระยะโฮวาที่สาธารณรัฐโดมินิกันช่วยตามหาอิสลองด์. พยานฯ ชื่อเมลานีเสนอตัวจะตามหาเธอ. ขณะที่เมลานีสอบถามในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง อาสาสมัครคนที่เคยได้ยินอิสลองด์อธิษฐานก็ได้ยินการ
พูดคุยนั้นโดยบังเอิญ และชี้ไปยังเด็กน้อย. ไม่นาน อิสลองด์ก็ได้กลับมาอยู่กับครอบครัวของเธออีก.การผ่าตัดและการพักฟื้น
ผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคนแทบไม่ได้รับการรักษาเลยก่อนจะมาถึงคลินิกซึ่งพยานฯ ตั้งขึ้นในสำนักงานที่เฮติ และแขนขาที่บาดเจ็บของพวกเขาก็เริ่มเกิดอาการเนื้อตายเน่า. หลายครั้งหลายหน ต้องตัดแขนตัดขาเพื่อรักษาชีวิตคนไข้. ในช่วงแรก ๆ หลังเกิดแผ่นดินไหว เครื่องมือผ่าตัด, ยา, และกระทั่งยาชาและยาสลบก็มีไม่พอใช้. แม้แต่แพทย์ก็ยังสะเทือนใจกับสภาพการณ์ตอนนั้น. แพทย์คนหนึ่งบอกว่า “มีภาพและเสียงบางอย่างที่ผมอยากให้พระเจ้าช่วยลบออกจากความทรงจำของผม.”
ในสัปดาห์ที่สองหลังเกิดแผ่นดินไหว แพทย์ที่เป็นพยานฯ จากยุโรปซึ่งมีประสบการณ์และเครื่องมือสำหรับการผ่าตัดที่ซับซ้อนและจำเป็นเร่งด่วนก็ทยอยเดินทางมาถึง. แพทย์ทีมนั้นทำการผ่าตัด 53 ครั้งและให้การรักษาอื่น ๆ อีกหลายพันราย. วีเดอลีน พยานฯ วัย 23 ปีมาถึงกรุงปอร์โตแปรงซ์ก่อนแผ่นดินไหวหนึ่งวัน. เมื่อเกิดแผ่นดินไหว แขนขวาของเธอถูกทับจนแหลกและจำต้องตัดทิ้งที่โรงพยาบาลท้องถิ่น. ต่อมา ญาติ ๆ นำตัวเธอส่งโรงพยาบาลใกล้บ้านที่เมืองปอร์เดอเป ห่างออกไปเจ็ดชั่วโมง. แต่อาการของวีเดอลีนยิ่งแย่ลง และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่นั่นถอดใจเพราะคิดว่าเธอต้องตายแน่.
เมื่อรู้ข่าวเธอ ทีมแพทย์ของพยานฯ ทีมหนึ่งเดินทางจาก
กรุงปอร์โตแปรงซ์ไปยังปอร์เดอเปเพื่อให้การรักษาวีเดอลีนและนำตัวเธอกลับมาดูแลต่อ. เมื่อคนไข้คนอื่น ๆ เห็นว่าพี่น้องร่วมความเชื่อมาตามหาเธอ พวกเขาต่างก็ปรบมือ. ด้วยความช่วยเหลือจากครอบครัวและประชาคม ตอนนี้วีเดอลีนกำลังปรับตัวเข้ากับสภาพการณ์ใหม่ได้ดี.ในสาธารณรัฐโดมินิกัน พยานพระยะโฮวาเช่าบ้านหลายหลังเพื่อเป็นศูนย์พักฟื้นสำหรับคนไข้ที่ถูกส่งตัวไปที่นั่น. บ้านเช่าเหล่านั้นมีทีมอาสาสมัครพยานฯ รวมทั้งแพทย์, พยาบาล, นักกายภาพบำบัด, และผู้ดูแลด้านอื่น ๆ ผลัดเปลี่ยนกันเข้าไปดูแล. พวกเขาดูแลคนไข้ด้วยความยินดีระหว่างการพักฟื้น.
แบ่งปันความรัก, ความเชื่อ, และความหวัง
ในบรรดาหอประชุมของพยานพระยะโฮวา 56 หลังที่อยู่ในเขตแผ่นดินไหว มีเพียง 6 หลังที่ได้รับความเสียหายมาก. พยานฯ ส่วนใหญ่ที่ต้องอพยพออกจากบ้านเนื่องจากแผ่นดินไหวได้เข้าไปพักในหอประชุมที่ไม่ได้รับความเสียหาย หรืออยู่ในพื้นที่โล่ง. พยานฯ ซึ่งเคยชินกับการประชุมร่วมกันจึงได้จัดการประชุมคล้ายกับการประชุมใหญ่ประจำปี.
ชอง-โคลด ผู้ดูแลประชาคมในท้องถิ่นคนหนึ่งของพยานพระยะโฮวาอธิบายว่า “เรารักษากิจวัตรการนมัสการของประชาคมไว้ ซึ่งเป็นหลักยึดสำหรับทั้งคนหนุ่มและคนชรา.” ผลเป็นอย่างไร? ชายคนหนึ่งบอกว่า “ผมดีใจเหลือเกินที่เห็นพยานพระยะโฮวายังคงออกไปประกาศ. ถ้าเราไม่เห็นพวกคุณ เราคงรู้สึกว่าเหตุการณ์มันย่ำแย่กว่านี้มาก.”
เยเนซิศ 18:25 ให้พวกเขาดู. ที่นั่นอับราฮามประกาศว่าเป็นเรื่องเหลือคิดที่พระเจ้าจะทำลายคนดีไปพร้อม ๆ กับคนชั่ว. เรายังเปิดหนังสือลูกา 21:11 ให้พวกเขาดูด้วย. ที่นั่น พระเยซูบอกล่วงหน้าว่าจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในสมัยนี้ และเราอธิบายว่าอีกไม่นาน พระองค์จะปลุกคนที่เขารักให้กลับเป็นขึ้นจากตายและขจัดความทุกข์ทั้งสิ้น. หลายคนขอบคุณเราอย่างมากเมื่อรู้เรื่องนี้.” a
พยานฯ ออกไปปลอบใจผู้คน. พยานฯ คนหนึ่งอธิบายว่า “เกือบทุกคนที่เราพบต่างก็เชื่อว่าแผ่นดินไหวเป็นการลงโทษจากพระเจ้า. เรารับรองกับพวกเขาว่าแผ่นดินไหวเป็นภัยธรรมชาติและไม่ได้เกิดจากพระเจ้า. เราเปิดกระนั้นก็ยังมีอุปสรรคอีกมากมาย. ชอง-เอมมานูเอล แพทย์ที่เป็นพยานฯ คนหนึ่งบอกว่า “ตอนแรกเราประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหว. ตอนนี้เราต้องรับมือกับผลกระทบที่ตามมา. นอกจากจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดหลายโรคในค่ายที่มีคนอยู่กันอย่างแออัด, ขาดสุขอนามัย, และชื้นแฉะเพราะฝนตก ยังมีผลกระทบทางอารมณ์ซึ่งเก็บกดไว้แต่ไม่ได้จางหายไป.”
หลายสัปดาห์หลังเกิดแผ่นดินไหว พยานฯ คนหนึ่งได้มาที่คลินิกและบ่นว่าปวดศีรษะไม่หายและนอนไม่หลับ ซึ่งเป็นอาการทั่วไปหลังจากประสบภัยพิบัติ. พยาบาลที่เป็นพยานฯ คนหนึ่งถามว่า “ศีรษะคุณถูกกระแทกหรือเปล่าคะ?” เขาพยายามกล้ำกลืนความรู้สึกและตอบว่า “เปล่าครับ. ภรรยาของผมที่อยู่กันมา 17 ปีเสียชีวิต. แต่เราก็คาดหมายอยู่แล้วว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น. พระเยซูตรัสว่ามันจะเกิด.”
เมื่อเห็นสิ่งที่อาจเป็นสาเหตุของปัญหา พยาบาลบอกว่า “แต่คุณเสียคู่ชีวิตของคุณไป. นั่นเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก! การเศร้าเสียใจและการร้องไห้ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนะคะ. พระเยซูก็ทรงกันแสงเมื่อลาซะโรสหายของพระองค์เสียชีวิต.” ตอนนั้นเอง ชายที่ทุกข์โศกก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่และร้องไห้ออกมา.
ในบรรดาพยานฯ มากกว่า 10,000 คนในพื้นที่ประสบภัยเนื่องจากแผ่นดินไหว มี 154 คนเสียชีวิต. ประมาณกันว่ามากกว่า 92 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในกรุงปอร์โตแปรงซ์สูญเสียคนที่เขารักไปอย่างน้อยหนึ่งคนในภัยพิบัติครั้งนี้. เพื่อจะช่วยผู้โศกเศร้า หลายครั้งหลายหนพยานพระยะโฮวาได้ไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บทั้งทางกายและใจ และให้โอกาสเขาระบายความรู้สึกกับคนที่เขาไว้วางใจ. พยานฯ ที่โศกเศร้ารู้เรื่องคำสัญญาของคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับการกลับเป็นขึ้นจากตายและอุทยานบนแผ่นดินโลกอยู่แล้ว แต่พวกเขาต้องการระบายความรู้สึกกับเพื่อนคริสเตียนที่เห็นอกเห็นใจและอยากฟังถ้อยคำที่แสดงความเมตตารักใคร่ซึ่งเป็นการชูใจ.
เผชิญกับปัจจุบันและอนาคต
อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “มีสามสิ่งที่ยังคงมีอยู่คือความเชื่อ ความหวัง ความรัก แต่ที่ใหญ่ที่สุดคือความรัก.” (1 โครินท์ 13:13) คุณลักษณะเหล่านี้ช่วยพยานฯ ชาวเฮติหลายคนให้อดทนกับสภาพการณ์ปัจจุบัน, ให้หนุนกำลังใจคนอื่น, และให้มองไปยังอนาคตโดยไม่กลัว. เห็นได้ชัดว่า ความเชื่อแท้, เอกภาพ, และความอบอุ่นเป็นตัวกระตุ้นการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ระดับนานาชาติที่มีมาอย่างต่อเนื่อง. เพทรา แพทย์คนหนึ่งจากเยอรมนีที่เป็นพยานฯ ซึ่งมาช่วยได้กล่าวว่า “ดิฉันไม่เคยประสบความรักที่หลั่งไหลมากมายอย่างนี้มาก่อน. ดิฉันร้องไห้มาก แต่ร้องเพราะความยินดี ไม่ใช่ความเจ็บปวด.”
หนังสือพิมพ์เดอะ วอลล์ สตรีต เจอร์นัล กล่าวว่า ในด้านหนึ่ง แผ่นดินไหวในเฮติเมื่อปี 2010 เป็น “ภัยธรรมชาติที่ก่อความเสียหายมากที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นแก่ประเทศหนึ่ง.” กระนั้น ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นต้นมา โลกได้ประสบภัยพิบัติที่น่าเศร้าอีกมาก ทั้งทางธรรมชาติและจากน้ำมือมนุษย์. สิ่งเหล่านี้จะมีวันยุติไหม? พยานพระยะโฮวาในเฮติและทั่วโลกมั่นใจว่าอีกไม่นาน พระเจ้าจะทำให้คำสัญญาในคัมภีร์ไบเบิลสำเร็จเป็นจริงที่ว่า “พระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาพวกเขา ความตายจะไม่มีอีกเลย ความโศกเศร้าหรือเสียงร้องไห้เสียใจหรือความเจ็บปวดจะไม่มีอีกเลย. สิ่งที่เคยมีอยู่นั้นผ่านพ้นไปแล้ว.”—วิวรณ์ 21:4
[เชิงอรรถ]
a ดูบท 11 “ทำไมพระเจ้าทรงยอมให้มีความทุกข์?” ในหนังสือคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ? จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา.
[คำโปรยหน้า 15]
“ผมไม่อาจจะทิ้งราลเฟนดีให้ตายอยู่ตรงนั้น”
[ส่วนโปรยเรื่อง หน้า 19]
“ผมดีใจเหลือเกินที่เห็นพยานพระยะโฮวายังคงออกไปประกาศ”
[กรอบ/ภาพหน้า 17]
สร้างบ้านให้ผู้ประสบภัย
ภายในหนึ่งเดือนหลังเกิดแผ่นดินไหว วิศวกรโยธาที่เป็นพยานฯ เริ่มตรวจสอบว่าบ้านหลังไหนปลอดภัยพอที่จะกลับเข้าไปอยู่ได้. หลายคนที่สูญเสียบ้านของตนจำเป็นต้องมีที่พักชั่วคราวซึ่งจะอาศัยอยู่ได้จนกว่าจะมีบ้านถาวร.
จอห์น สมาชิกของสำนักงานสาขาในเฮติกล่าวว่า “เราอาศัยประสบการณ์ขององค์กรบรรเทาทุกข์นานาชาติ และออกแบบบ้านที่ประกอบง่าย ราคาไม่แพง มีขนาดพอ ๆ กับบ้านที่หลายคนเคยอยู่. บ้านเหล่านี้กันลมและฝนได้ โดยไม่เสี่ยงที่จะพังลงมาทับถ้าเกิดแรงสั่นสะเทือนอีก.” เพียงสามสัปดาห์หลังแผ่นดินไหว อาสาสมัครชาวเฮติและที่มาจากต่างประเทศก็ได้เริ่มสร้างบ้านชั่วคราวเหล่านี้.
ผู้คนบนถนนโห่ร้องขณะรถที่บรรทุกส่วนประกอบของบ้านขับผ่านไป. เมื่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรชาวเฮติคนหนึ่งอนุมัติการนำเข้าวัสดุก่อสร้าง เขาบอกว่า “พยานพระยะโฮวาเป็นพวกแรก ๆ ที่ข้ามพรมแดนมาช่วยประชาชน. พวกเขาไม่เพียงแต่พูด แต่พวกเขาช่วยเหลือจริง ๆ.” ในไม่กี่เดือนหลังเกิดแผ่นดินไหว พยานฯ ได้สร้างบ้าน 1,500 หลังสำหรับคนที่สูญเสียบ้านของตน.
[แผนที่หน้า 14]
(ดูรายละเอียดจากวารสาร)
เฮติ
ปอร์โตแปรงซ์
เลโอกาน
ศูนย์กลางแผ่นดินไหว
ชากเมล
สาธารณรัฐโดมินิกัน
[ภาพหน้า 16]
มาร์ลา
[ภาพหน้า 16]
อิสลองด์
[ภาพหน้า 16]
วีเดอลีน
[ภาพหน้า 18]
พยานพระยะโฮวาชาวเฮติกลุ่มหนึ่งออกไปปลอบโยนผู้ประสบภัย
[ภาพหน้า 18]
แพทย์รักษาเด็กชายคนหนึ่งที่คลินิกซึ่งพยานพระยะโฮวาจัดตั้งขึ้น