พ่อแม่บางคนพูดอย่างไร?
พ่อแม่บางคนพูดอย่างไร?
ถ้าคุณมีลูกวัยก่อนเข้าเรียน คุณคงจะมีงานที่ไม่ง่ายเลย. ตัวอย่างเช่น คุณจะจัดการอย่างไรถ้าลูกร้องอาละวาด? คุณจะสอนให้ลูกรู้จักแยกแยะสิ่งถูกและผิดได้อย่างไร? คุณจะว่ากล่าวแก้ไขลูกให้พอเหมาะพอดีได้อย่างไร? เชิญอ่านวิธีที่พ่อแม่บางคนจัดการกับเรื่องเหล่านี้.
การอาละวาด
“ตอนอายุประมาณสองขวบ เด็กจะคิดว่าเขาต้องได้ทุกสิ่งที่ต้องการ. ลูกชายของเราเป็นอย่างนี้. ถ้าเขาไม่ได้สิ่งที่ต้องการ เขาจะขว้างปาสิ่งของ. เขาเป็นลูกคนแรก เราจึงไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการอาละวาดของเด็กมาก่อน. ถึงคนอื่นจะบอกว่าพฤติกรรมเช่นนั้นเป็นเรื่องปกติ เราก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเท่าไรนัก.”—ซูซาน เคนยา
“ตอนอายุสองขวบ บางครั้งลูกสาวของเราจะลงไปนอนดิ้นกับพื้น กรีดร้อง ร้องไห้ . . . น่าโมโหจริง ๆ! ถ้าเราพยายามพูดกับลูกตอนนั้น ก็จะไม่ได้ผล. ดิฉันกับสามีจึงพาลูกเข้าไปในห้องนอน แล้วบอกเธออย่างใจเย็นว่าพอเธอหายโมโหแล้ว เธอจะออกมาได้และเราจะคุยกันเรื่องนั้น. เมื่อเธอสงบลงแล้ว ดิฉันหรือสามีจะไปที่ห้องของเธอ แล้วอธิบายให้เธอเข้าใจว่าทำไมพฤติกรรมอย่างนั้นจึงไม่ถูกต้อง. วิธีนี้ได้ผล. ครั้งหนึ่ง เราได้ยินเธออธิษฐานขอพระเจ้ายกโทษ. เมื่อเวลาผ่านไป ลูกสาวของเราอาละวาดน้อยลงแล้วก็เลิกไปในที่สุด.”—โยลันดา สเปน
“เด็กเล็ก ๆ มักจะลองดูว่าเขาฝ่าฝืนกฎได้ถึงระดับไหน. ถ้าเรายอมให้เด็กทำสิ่งที่เราห้ามไว้ชัดเจนแล้ว ก็จะทำให้เด็กสับสน. เราพบว่าถ้าเราหนักแน่นและเสมอต้นเสมอปลาย ลูกจะค่อย ๆ เรียนรู้ว่าการกรีดร้องไม่ใช่วิธีที่จะได้สิ่งที่เขาต้องการ.”—นีล บริเตน
การอบรมสั่งสอน
“เมื่อเด็กอายุยังไม่ถึงห้าขวบ ก็ยากที่จะรู้ว่าเขาฟังอยู่หรือเปล่า. สิ่งสำคัญคือการพูดบ่อย ๆ. คุณต้องพูดซ้ำจนรู้สึกเหมือนกับว่าพูดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน โดยออกท่าทางประกอบและใช้น้ำเสียงที่หนักแน่น.”—แซร์ช ฝรั่งเศส
“แม้ว่าลูกสี่คนของเราจะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมอย่างเดียวกัน ลูกแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน. สำหรับลูกสาวคนหนึ่ง แค่เธอรู้ว่าทำให้เราผิดหวังเธอก็จะร้องไห้ ส่วนอีกคนหนึ่งมักลองดูว่าเธอฝ่าฝืนคำสั่งได้มากเพียงไร. บางครั้ง แค่มองด้วยสายตาดุ ๆ หรือว่ากล่าวก็พอแล้ว แต่บางทีเราต้องทำโทษ.”—เนทาน แคนาดา
“นับว่าสำคัญที่จะไม่อะลุ่มอล่วย. แต่ในเวลาเดียวกัน พ่อแม่ก็ไม่ควรใช้ความเห็นของตนเป็นใหญ่หรือเข้มงวดเกินไป. บางครั้ง เมื่อลูกเสียใจจริง ๆ เรารู้สึกว่าเหมาะที่สุดที่จะผ่อนปรนและลดหย่อนโทษลงบ้าง.”—มัตตีเยอ ฝรั่งเศส
“ดิฉันพยายามไม่ตั้งกฎมากเกินไป แต่กฎใด ๆ ที่ตั้งขึ้นแล้วจะไม่อาจต่อรองได้. ลูกชายวัยสามขวบของดิฉันรู้ว่าอะไรคือผลของการไม่เชื่อฟัง และนั่นช่วยเขาให้ประพฤติตัวดี. จริงอยู่ เมื่อดิฉันเหนื่อย ดิฉันอยากจะทำเป็นไม่เห็นการทำผิด. แต่เพื่อความเสมอต้นเสมอปลาย ดิฉันบังคับตัวเองให้จัดการ. ความเสมอต้นเสมอปลายสำคัญมาก!”—นาตาลี แคนาดา
ความเสมอต้นเสมอปลาย
“เด็กเล็ก ๆ มักจะจำได้ดีเมื่อพ่อแม่ไม่เสมอต้นเสมอปลาย.”—มิลตัน โบลิเวีย
“บางทีลูกชายของผมจะถามเรื่องเดียวกันในวิธีที่ต่างกันเพื่อลองดูว่าเราให้คำตอบเหมือนเดิมไหม. หรือถ้าผมพูดอย่างหนึ่งและแม่ของเขาพูดอีกอย่างหนึ่ง ลูกจะเห็นช่องทางที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อได้สิ่งที่เขาต้องการ.”—อังเคล สเปน
“บางครั้ง ดิฉันทำเป็นมองไม่เห็นการประพฤติที่ผิดของลูกชายเมื่อดิฉันอารมณ์ดี แต่จะลงโทษเขาอย่างหนักเมื่ออารมณ์ไม่ดี. ดิฉันพบว่าพอเป็นอย่างนี้ความประพฤติของลูกจะแย่ลง.”—คียอง-อก เกาหลี
“สำคัญที่เด็กเล็กต้องเข้าใจว่า ถ้าพฤติกรรมอย่างหนึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในปัจจุบัน พฤติกรรมนั้นก็จะไม่มีวันถูกต้องได้เลย.”—อันโตนโย บราซิล
“ถ้าพ่อแม่ไม่คงเส้นคงวา ลูกจะคิดว่าพ่อแม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเรื่อย ๆ และการตัดสินของพ่อแม่ขึ้นอยู่กับอารมณ์. แต่ถ้าพ่อแม่ยึดมั่นหลักการของตน ลูกจะรู้ว่าสิ่งที่ผิดก็จะเป็นสิ่งที่ผิดตลอดไป. นี่เป็นวิธีหนึ่งที่พ่อแม่จะให้ความรักและความมั่นคงกับลูก.”—ชิลมาร์ บราซิล
“เด็กอาจฉวยโอกาสจากสถานการณ์ที่พ่อแม่ดูเหมือนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำขอ เช่น เมื่อมีคนอื่นอยู่ด้วย. ถ้าผมไม่อนุญาต ผมจะบอกตั้งแต่แรก และพูดให้ชัดเจนว่าผมจะไม่เปลี่ยนใจแม้ลูกจะรบเร้าผมขนาดไหนก็ตาม.”—ชัง-ซ๊อก เกาหลี
“ทั้งพ่อและแม่ต้องมีความเห็นสอดคล้องกัน. ถ้าผมไม่เห็นด้วยกับภรรยา เราจะคุยเรื่องนั้นโดยไม่ให้ลูกได้ยิน. ลูกรู้ว่าเมื่อไรพ่อแม่มีความเห็นไม่ตรงกัน และพยายามฉวยโอกาสจากเรื่องนั้น.”—เคซูส สเปน
“เมื่อเด็กรู้ว่าพ่อแม่เห็นพ้องกันและไม่มีทางจะทำให้พ่อแม่เปลี่ยนใจได้ เด็กจะรู้สึกมั่นคง. เขารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาเชื่อฟังและจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาไม่เชื่อฟัง.”—ดามาริส เยอรมนี
“สำหรับผมกับภรรยา การเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายยังหมายรวมถึงการรักษาคำพูดเมื่อเราสัญญาจะให้สิ่งดี ๆ กับลูกสาวด้วย. เมื่อเป็นอย่างนั้น ลูกก็รู้ว่าเชื่อมั่นในคำสัญญาของเราได้.”—เฮนดริก เยอรมนี
“ถ้าข้อเรียกร้องของนายจ้างผมเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่เรื่อย ๆ ผมก็คงคับข้องใจ. เด็กก็ไม่ต่างกัน. เด็กจะรู้สึกมั่นคงถ้ารู้ว่ากฎคืออะไรและรู้ว่ากฎจะไม่เปลี่ยนแปลง. พวกเขายังต้องรู้ผลของการไม่เชื่อฟังและรู้ด้วยว่าบทลงโทษเหล่านี้จะไม่เปลี่ยนเช่นกัน.” —เกลน แคนาดา
[คำโปรยหน้า 8]
“ให้คำของพวกท่านที่ว่าใช่ หมายความว่าใช่ และที่ว่าไม่ หมายความว่าไม่.”—ยาโกโบ 5:12
[กรอบ/ภาพหน้า 9]
ประสบการณ์ของครอบครัว
การตั้งครรภ์ที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้า เราปรับตัวอย่างไร?
เล่าโดยทอมและยุนฮี ฮัน
ทอม: พอเราแต่งงานได้เพียงหกเดือน ยุนฮีภรรยาของผมก็รู้ว่าเธอตั้งครรภ์. ผมทำเป็นไม่ตกใจ เนื่องจากผมต้องการทำให้ยุนฮีมั่นใจว่าผมจะคอยปลอบและเป็นที่พึ่งของเธอได้. แต่ที่จริง ผมกลัวจนทำอะไรไม่ถูก!
ยุนฮี: ดิฉันก็รู้สึกกระวนกระวายและกลัว! ดิฉันร้องไห้ไม่หยุด; ดิฉันรู้สึกยังไม่พร้อมและไม่มีความสามารถที่จะเป็นแม่คน.
ทอม: ผมก็รู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะเป็นพ่อเช่นกัน! แต่หลังจากคุยกับพ่อแม่คนอื่น ๆ เราก็ได้มารู้ว่าการตั้งครรภ์ที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้าเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่เราคิด. นอกจากนั้น เรารู้สึกดีขึ้นเมื่อได้ยินพ่อแม่คนอื่นเล่าถึงความยินดีของการเป็นพ่อหรือแม่. จากที่เคยกลัวและไม่มั่นใจ ตอนนี้ผมเริ่มรอคอยให้ลูกของเราเกิดมา.
ยุนฮี: หลังจากอะแมนดาเกิดมา มีหลายสิ่งที่เราต้องอดทน. เธอร้องไม่หยุด และดิฉันนอนไม่หลับหลายสัปดาห์ กินอะไรไม่ลง และเหนื่อยล้ามาก. ตอนแรก ดิฉันไม่อยากอยู่ท่ามกลางผู้คน แต่แล้วก็ตระหนักว่าการแยกตัวอยู่ตามลำพังที่บ้านไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น. ดิฉันจึงไปพบปะกับแม่คนอื่นที่มีลูกเล็ก ๆ. เมื่อทำอย่างนั้น ดิฉันจึงได้พูดคุยกับคนที่มีประสบการณ์คล้าย ๆ กัน และช่วยให้ตระหนักว่าดิฉันไม่ใช่คนเดียวที่มีปัญหา.
ทอม: ผมพยายามรักษากิจวัตรในครอบครัว. ตัวอย่างเช่น ผมกับยุนฮีเป็นพยานพระยะโฮวา เราจึงพยายามทำงานเผยแพร่และไปประชุมคริสเตียนเป็นประจำ. นอกจากนั้น การมีลูกก็มีค่าใช้จ่ายหลายอย่าง บางอย่างเราก็ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า. เราระวังที่จะไม่ใช้จ่ายเกินรายได้เพื่อจะไม่เป็นหนี้. เพราะถ้าเราเป็นหนี้เราจะยิ่งเครียดมากขึ้น.
ยุนฮี: ตอนแรก ดิฉันคิดว่าคงทำงานเผยแพร่ไม่ได้ เพราะต้องยุ่งอยู่กับลูกเสมอ. แต่ที่จริง ผู้คนชอบเด็ก. พอรู้อย่างนี้ ดิฉันจึงทำงานเผยแพร่ต่อไปและคิดถึงแง่ดีมากขึ้นเกี่ยวกับการมีลูก.
ทอม: คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า ลูกเป็น “มรดก” จากพระยะโฮวาและเป็น “รางวัล.” (บทเพลงสรรเสริญ 127:3, พระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับมาตรฐาน) สำหรับผม ถ้อยคำเหล่านี้แสดงว่าลูกเป็นของขวัญอันล้ำค่า. เช่นเดียวกับมรดกทุกชนิด คุณมีทางเลือกว่าจะลงทุนอย่างสุขุม หรือจะผลาญมรดกนั้นให้สูญไปเปล่า ๆ. ผมเรียนรู้ว่าเด็กแต่ละวัยไม่เหมือนกัน และผมต้องใกล้ชิดกับลูกสาวในทุกช่วงของการเติบโต เพราะถ้าโอกาสนั้นผ่านไปแล้ว มันจะไม่หวนกลับมาอีก.
ยุนฮี: บางครั้ง ชีวิตมีเรื่องที่ทำให้เราประหลาดใจ และการมีลูกโดยไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ทำให้เราประหลาดใจ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเลย. ตอนนี้อะแมนดาอายุหกขวบแล้ว และดิฉันนึกไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไรถ้าไม่มีเธอ.
[รูปภาพ]
ทอมและยุนฮีกับอะแมนดา ลูกสาว