ภัยพิบัติสึนามิที่ญี่ปุ่นปี 2011—ผู้รอดชีวิตบอกเล่าเรื่องราว
ภัยพิบัติสึนามิที่ญี่ปุ่นปี 2011—ผู้รอดชีวิตบอกเล่าเรื่องราว
เชิญอ่านคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่น.
เมื่อวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2011 เวลา 14:46 น. เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่ญี่ปุ่น ซึ่งมีความรุนแรงเป็นอันดับสี่ของโลกเท่าที่เคยมีการบันทึก. แผ่นดินไหวครั้งนั้นเป็นเหตุให้เกิดสึนามิขนาดใหญ่และแผ่นดินไหวตาม (aftershock) ที่รุนแรง ซึ่งทำให้ผู้คนในบริเวณนั้นหวาดผวาอยู่หลายสัปดาห์. มีผู้เสียชีวิตและสูญหายประมาณ 20,000 คน. แต่อีกหลายคนรอดชีวิต. ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของผู้รอดชีวิตบางคน.
ขณะที่ทาดายูกิกับฮารูมิภรรยาของเขาอยู่ที่บ้านในเมืองอิชิโนมากิ จังหวัดมิยะกิ พวกเขาได้ยินเสียงครืน ๆ และบ้านของพวกเขาก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง. ทาดายูกิบอกว่า “เรารีบวิ่งออกไปนอกบ้านและตกตะลึงที่เห็นรอยแยกที่พื้นดิน. เราเห็นบ้านของเราโยกไปมาและฝุ่นคลุ้งกระจายจากผนังราวกับควันไฟ.”
ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ห่างจากชายฝั่งจังหวัดมิยะกิ 129 กิโลเมตร. สึนามิสร้างความหายนะให้แก่พื้นที่ชายฝั่งด้านมหาสมุทรแปซิฟิกของ
ญี่ปุ่นยาวถึง 670 กิโลเมตร. ในบางแห่ง คลื่นบริเวณชายฝั่งสูงถึง 15 เมตร ซึ่งทำให้เขื่อนกั้นคลื่นและตลิ่งของแม่น้ำพังทลาย และซัดเข้าไปในแผ่นดินไกลถึง 40 กิโลเมตร.ไฟฟ้า แก๊ส และน้ำประปาถูกตัดขาด. อาคารบ้านเรือน ร้านค้า และโรงงานถึง 160,000 หลังได้รับความเสียหายหรือถูกกระแสน้ำพัดหายไป. ช่วงหนึ่งผู้ประสบภัยถึง 440,000 คนต้องอาศัยอยู่ในที่พักชั่วคราว 2,500 แห่ง เช่น ตามโรงเรียนและอาคารสาธารณะในท้องถิ่น. หลายคนพักในบ้านของญาติหรือเพื่อน. มีผู้เสียชีวิตนับหมื่นคน แต่ยังไม่พบร่างของผู้เสียชีวิตอีกหลายพันคน.
ความสูญเสียและความปวดร้าวใจ
มีผู้เสียชีวิตจากสึนามิมากกว่าแผ่นดินไหว. โยอิชิอยู่ที่เมืองริกุเซ็นตะกะตะ จังหวัดอิวะเตะ. ทันทีที่เกิดแผ่นดินไหว เขาก็เชื่อว่าจะเกิดสึนามิ จึงพาพ่อแม่ไปยังที่หลบภัยใกล้ ๆ. แล้วเขาก็ออกไปดูเพื่อนบ้าน. ถึงกระนั้นโยอิชิกับทัตสึโกะภรรยาของเขายังรู้สึกเป็นห่วงพ่อแม่ของเขา จึงอยากจะกลับไปดูอีกครั้งหนึ่ง แต่พวกเขาได้ข่าวว่าสึนามิกำลังมา.
พวกเขาจึงรีบไปยังที่หลบภัยอีกแห่งหนึ่ง แต่เข้าไปในตึกนั้นไม่ได้เพราะซากปรักหักพังปิดทางเข้าไว้. ตอนนั้นเองพวกเขาเห็นอาคารสีดำทะมึนของโรงเลื่อยที่อยู่ใกล้ ๆ ถูกคลื่นซัดมาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว. ทัตสึโกะร้องว่า “หนีเร็ว!”
ในที่สุดพวกเขาหนีไปถึงลานของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่สูง. จากที่นั่น พวกเขาเห็นบ้านเรือนในละแวกนั้นถูกสึนามิกวาดไปทั้งหมด. มีคนพูดว่า “บ้านของฉันถูกพัดไปแล้ว.” เกือบสามในสี่ของเมืองริกุเซ็นตะกะตะถูกทำลาย และพ่อแม่ของโยอิชิก็ถูกพัดหายไปด้วย. ไม่พบศพพ่อของเขา แต่พบศพแม่ของเขาในที่สุด.
โทรุกำลังทำงานอยู่ที่โรงงานใกล้ชายฝั่งในเมืองอิชิโนมากิ. เมื่อแรงสั่นสะเทือนครั้งแรกสงบลงแล้ว เขารีบไปที่รถเพื่อขับหนี. เขาตะโกนบอกคนอื่น ๆ ให้หนีเพราะเขาคาดว่าจะเกิดสึนามิตามมา.
โทรุอธิบายว่า “ตอนแรกผมจะขับรถกลับบ้านซึ่งอยู่ในที่สูง แต่ออกไปได้ไม่เท่าไรผมก็เจอกับรถติด. ผมได้ยินจากวิทยุในรถว่าสึนามิมาถึงเมืองใกล้ ๆ แล้ว. ผมเปิดหน้าต่างรถเพื่อจะหนีได้ถ้าสึนามิมาถึง. ไม่นานนัก คลื่นสีดำสูงกว่าสองเมตรก็ถาโถมมาที่รถของผม. รถยนต์คันที่อยู่ข้างหน้าถูกพัดมาชนกับรถของผม และเราทุกคนถูกพัดไปไกลมาก.
“ผมกระเสือกกระสนออกมาทาง
หน้าต่างรถ แต่แล้วผมก็ถูกกระแสน้ำเหม็น ๆ ซึ่งมีน้ำมันผสมอยู่พัดไป. ผมถูกพัดเข้าไปในอู่ซ่อมรถแห่งหนึ่ง แล้วผมก็คว้าบันไดไว้ได้ และตะเกียกตะกายขึ้นไปบนชั้นสอง. ผมฉุดคนอื่นอีกสามคนขึ้นมาได้ด้วยความยากลำบาก. พวกเราซึ่งมีกันอยู่ไม่กี่คนรอดผ่านคืนนั้นมาได้ทั้ง ๆ ที่ระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อย ๆ และมีอากาศหนาวจัดอีกทั้งหิมะตก. คนอื่น ๆ ร้องขอความช่วยเหลือแต่เราช่วยพวกเขาไม่ได้.”ก่อนเกิดแผ่นดินไหว มิโดริซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองคะมะอิชิ จังหวัดอิวะเตะ ได้ใช้เวลาอย่างมีความสุขกับคุณตาคุณยาย. เธอเพิ่งเรียนจบมัธยมและได้นำประกาศนียบัตรมาให้คุณตาชื่นชม. คุณตาของเธอป่วยและดูแลตัวเองไม่ได้มาระยะหนึ่งแล้ว. เขาอ่านประกาศนียบัตรเสียงดังและชมเชยความพยายามของมิโดริ. ห้าวันหลังจากช่วงเวลาแห่งความสุขนั้น ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้น.
มิโดริกับยูโกะ แม่ของเธอ เร่งเร้าให้คุณตาคุณยายหนี เพราะเชื่อว่ากำลังจะเกิดสึนามิตามมา. แต่คุณตาบอกว่า “ไม่ ฉันไม่ไป. สึนามิไม่เคยมาไกลถึงที่นี่.” พวกเธอพยายามยกตัวคุณตาออกจากบ้าน แต่ยกไม่ไหว จึงไปขอคนมาช่วย. ในตอนนั้น สึนามิได้มาถึงชายฝั่งแล้ว. พวกผู้ชายที่อยู่บนเนินเขาใกล้ ๆ ตะโกนว่า “รีบหนีเร็ว!” สึนามิท่วมทับบ้านหลังแล้วหลังเล่า. มิโดริร้องเสียงดังด้วยความตกใจว่า “คุณตา! คุณยาย!” ต่อมามีการพบศพของคุณตา แต่ไม่พบศพคุณยาย.
พยายามให้ความช่วยเหลือ
รัฐบาลญี่ปุ่นส่งนักดับเพลิง ตำรวจ และกองกำลังป้องกันตัวเองจากทั่วญี่ปุ่นไปช่วยทันที. ในเวลาอันสั้น มากกว่า 130,000 คนได้เข้าร่วมในงานกู้ภัยและบรรเทาทุกข์. ในที่สุด ประเทศอื่น ๆ และองค์กรนานาชาติก็ได้ให้ความช่วยเหลือด้วย. ไม่นาน ทีมกู้ภัยหลายทีมก็มาถึงรวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์. พวกเขาหาผู้รอดชีวิต รักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และเก็บกวาดซากปรักหักพัง.
หลายองค์กรช่วยเหลือสมาชิกของตน. พยานพระยะโฮวาก็เช่นกัน. ทันทีหลังจากเกิดแผ่นดินไหวและสึนามิในบ่ายวันศุกร์ พยานฯ บางคนได้ไปตามหาผู้ที่เข้าร่วมประชุมนมัสการกับพวกเขาเป็นประจำเพื่อดูว่าปลอดภัยไหม. ถนนหลายสายไม่สามารถผ่านไปได้และไฟฟ้าและโทรศัพท์ก็ถูกตัดขาด. การตามหาคนในพื้นที่ประสบภัยที่กว้างใหญ่เป็นเรื่องยากมาก.
ทากายูกิ ผู้ปกครองในประชาคมของพยานพระยะโฮวาที่เมืองโซมะ จังหวัดฟุกุชิมะ ติดต่อเพื่อนพยานฯ ได้ไม่กี่ครอบครัวในบ่ายวันศุกร์ที่เลวร้ายนั้น. เขาบอกว่า “ผมตัดสินใจตามหาคนอื่น ๆ ในวันถัดมา. พอรุ่งสาง ผมขับรถออกตามหาพวกเขาแต่แล้วก็ต้องเดินจนถึงตอนค่ำ. ผมค้นหาสมาชิกของประชาคมตามสถานที่ต่าง ๆ 20 แห่ง. เมื่อผมพบ ผมอ่านพระคัมภีร์และอธิษฐานกับพวกเขา.”
ชุนจิซึ่งอยู่ที่เมืองอิชิโนมากิอธิบายว่า “เราจัดทีมตามหาเพื่อนร่วมความเชื่อ. เมื่อเราเข้าสู่เขตภัยพิบัติ เราถึงกับพูดไม่ออก. มีรถยนต์ห้อยอยู่บนเสาไฟฟ้า บ้านกองทับซ้อนกันอยู่ และมีเศษซากกองสูงกว่าบ้านด้วย
ซ้ำ. บนหลังคารถยนต์คันหนึ่ง เราเห็นร่างผู้เสียชีวิต ซึ่งคงเป็นคนที่ทนความหนาวเย็นตอนกลางคืนไม่ไหว. รถยนต์อีกคันหนึ่งพลิกหงายท้องและห้อยติดอยู่ระหว่างบ้านสองหลัง. มีศพคนตายอยู่ในนั้น.”ชุนจิโล่งใจที่พบเพื่อนร่วมความเชื่อในที่หลบภัย. เขาบอกว่า “เมื่อผมพบพวกเขา ผมก็ตระหนักว่าผมรักพวกเขามากสักเพียงไร.”
“คิดไม่ถึงว่าคุณจะมาเร็วขนาดนี้!”
หญิงสาวพยานฯ สองคนชื่อยูอิและมิซูกิอาศัยอยู่ใกล้ ๆ กันในเมืองมินามิซันริกุ จังหวัดมิยะกิ. เมื่อแผ่นดินไหวครั้งแรกสงบลง ทั้งสองรีบออกไปนอกบ้านและได้พบกัน. พวกเขาวิ่งขึ้นไปยังที่สูง. ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา ทั้งสองคนเห็นเมืองทั้งเมืองรวมทั้งบ้านของพวกเขาถูกคลื่นลูกแล้วลูกเล่ากวาดไป.
เมื่อยูอิและมิซูกิพบเพื่อนพยานฯ ในที่หลบภัย พวกเขาอธิษฐานร่วมกัน. เช้าวันรุ่งขึ้น สมาชิกในประชาคมของ
พวกเขาและประชาคมข้างเคียงได้เดินทางข้ามภูเขาเพื่อนำอาหารและสิ่งของจำเป็นมาให้. ยูอิและมิซูกิร้องออกมาว่า “พวกเรารู้ว่าคุณจะมา แต่คิดไม่ถึงว่าคุณจะมาเร็วขนาดนี้!”ฮิเดฮารุ พยานฯ คนหนึ่งที่เป็นผู้ดูแลจากประชาคมโทเมะได้ไปยังที่หลบภัยนั้น. เขาอธิบายว่า “ตลอดคืน ผมพยายามค้นหาพี่น้องที่อาศัยอยู่ตามชายฝั่ง. ในที่สุดประมาณตีสี่ ผมก็ได้ข้อมูลว่าบางคนได้ไปหลบภัยในโรงเรียนแห่งหนึ่ง. ตอน 7:00 น. พวกเราประมาณสิบคนมาร่วมกันทำข้าวปั้น และให้สามคนขับรถนำไปให้พวกเขา. ถนนหลายสายไม่สามารถใช้สัญจรได้. เราพยายามมากจนในที่สุดก็ไปถึงโรงเรียน. แม้แต่คนที่สูญเสียบ้านไปทั้งหลังก็ยังร่วมมือกับเราในการช่วยผู้อื่น.”
เอาใจใส่ความจำเป็นทางจิตใจ
พยานพระยะโฮวาประชุมกันเป็นประจำเพื่อศึกษาคัมภีร์ไบเบิล และบางประชาคมประชุมกันในคืนวันศุกร์ รวมทั้งประชาคมที่เมืองริกุเซ็นตะกะตะด้วย. แต่หอประชุมซึ่งเป็นสถานนมัสการของพยานฯ ในเมืองนี้ถูกสึนามิพัดหายไป. พยานฯ คนหนึ่งเสนอว่า “ถึงอย่างไรก็ให้เราประชุมกันเถอะ.” ดังนั้นจึงมีการเลือกบ้านหลังหนึ่งซึ่งไม่ได้รับความเสียหายมากนักเป็นที่ประชุมและได้แจ้งให้สมาชิกในประชาคมนั้นทราบ.
แม้ไฟฟ้าจะถูกตัด แต่ยังมีเครื่องปั่นไฟที่ให้ความสว่างได้. มีสิบหกคนประชุมร่วมกัน. ชายหนุ่มชื่อยาซูยูกิ ซึ่งอพาร์ตเมนต์ของเขาพังเนื่องจากสึนามิเล่าว่า “เราร้องไห้ด้วยความดีใจ. การประชุมนั้นเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สุดของเรา.” ฮิเดโกะพูดว่า “แผ่นดินไหวตามที่รุนแรงรบกวนการประชุมหลายครั้ง แต่ขณะที่เราอยู่ด้วยกัน ดิฉันลืมความกลัวและความกังวลที่เคยมีไปหมด.”
นับแต่นั้นมา ประชาคมนี้ไม่เคยหยุดการประชุมเลย. อีกสองวันต่อมาคือในวันอาทิตย์ มีการกำหนดให้คำบรรยายสาธารณะมีชื่อเรื่องว่า “ภราดรภาพทั่วโลกจะรับการช่วยให้พ้นจากความหายนะ.”
การประสานงานบรรเทาทุกข์
ไม่นาน หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐบาลก็เริ่มงานบรรเทาทุกข์ เช่นเดียวกับสำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาที่เมืองเอบินา ใกล้กรุงโตเกียว. พอถึงวันเสาร์ หนึ่งวันหลังจากเกิดแผ่นดินไหว สาขาได้แบ่งพื้นที่ประสบภัยอันกว้างใหญ่ออกเป็นสามส่วน. ในวันจันทร์ สามวันหลังจากเกิดแผ่นดินไหว ตัวแทนจากสาขาได้ไปสำรวจพื้นที่เหล่านั้น.
งานบรรเทาทุกข์ยังคงดำเนินต่อไปในช่วงหลายเดือนหลังจากนั้น. มีการแจกจ่ายสิ่งของและอาหารหลายตันซึ่งพยานฯ ได้บริจาคมา. ในช่วงหนึ่ง มีการเปิดศูนย์บรรเทาทุกข์ 3 แห่งและสถานที่เก็บสิ่งของและจุดส่งต่อสิ่งของ 21 แห่งเพื่อแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์. ในสองเดือนแรก อาสาสมัครหลายร้อยคนได้แจกจ่ายอาหาร เสื้อผ้า และสิ่งจำเป็นอื่น ๆ มากกว่า 250 ตัน. พยานฯ หลายคนได้แบ่งปันสิ่งเหล่านั้นแก่เพื่อนบ้าน.
ขณะนี้ พยานพระยะโฮวาในประชาคมริกุเซ็นตะกะตะและโอฟุนาโตะที่อยู่ใกล้เคียงใช้หอประชุมของตนเพื่อช่วยผู้คนให้มีสัมพันธภาพกับพระเจ้า. งานที่พวกเขาทำจะช่วย
ผู้คนในละแวกนั้นรับมือกับความยากลำบากขณะที่พวกเขาพยายามฟื้นตัวจากความบอบช้ำที่ได้รับจากแผ่นดินไหวและสึนามิ. จากพยานฯ 14,000 กว่าคนที่อาศัยอยู่ในเขตภัยพิบัติ มีการยืนยันว่ามีผู้เสียชีวิต 12 คนและอีก 2 คนสูญหาย.พยานพระยะโฮวาหลายคนที่ประสบภัยอันน่ากลัวครั้งนี้พูดคล้าย ๆ กับครอบครัวหนึ่งในเมืองฟุกุชิมะซึ่งบอกว่า “เมื่อเราหนี เรามีกระเป๋าคนละใบ. แต่เพื่อนร่วมความเชื่อเอาใจใส่ความจำเป็นของเราทุกอย่าง.” ยอดเยี่ยมสักเพียงไรที่ผู้รับใช้ของพระยะโฮวา พระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ได้ชื่นชมกับสังคมพี่น้องทั่วโลกซึ่งพระเยซูและอัครสาวกได้กล่าวถึง! ความผูกพันนี้ไม่อาจถูกทำลายได้โดยสึนามิหรือภัยธรรมชาติอื่น ๆ.—โยฮัน 13:34, 35; ฮีบรู 10:24, 25; 1 เปโตร 5:9
[กรอบ/ภาพหน้า 18]
เกิดความหายนะจากนิวเคลียร์ตามมา
การที่สึนามิสร้างความเสียหายให้กับเครื่องปฏิกรณ์ของโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ฟุกุชิมะดะอีชิกลายเป็นข่าวดังไปทั่วโลก. กัมมันตรังสีได้แพร่กระจายในญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ. หลายพันคนต้องอพยพเพราะรังสีที่อาจเป็นอันตรายถึงตาย.
เมกุมิบอกว่า “บ้านของเราอยู่ใกล้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์. หนึ่งวันหลังจากเกิดแผ่นดินไหว เราได้ข่าวว่าโรงไฟฟ้าได้รับความเสียหายและมีการบอกให้เราหนี.” นะสึมิ น้องสาวของเธอเล่าว่า “เฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือศีรษะ สัญญาณเตือนภัยดังตลอดเวลา และมีคนป่าวร้องไม่หยุดว่าเราต้องอพยพ.” ในช่วงหลายสัปดาห์ต่อจากนั้น ทั้งสองคนย้ายที่อยู่ถึงเก้าครั้ง. ในที่สุด หญิงสาวทั้งสองได้รับอนุญาตให้กลับบ้านเพียงสองชั่วโมงเพื่อไปเอาสิ่งของส่วนตัว.
ชิกาโกะวัย 60 กว่าปีอยู่ที่เมืองนามิเอะ จังหวัดฟุกุชิมะเล่าว่า “เมื่อเกิดแผ่นดินไหว ดิฉันไปยังที่หลบภัยที่กำหนดไว้. ดิฉันกับลูกสองคนอยู่ที่นั่นทั้งคืนแต่ก็นอนไม่หลับเพราะมีแผ่นดินไหวตามแรงมาก. วันรุ่งขึ้นตอน 7:00 น. มีคนบอกว่าเราต้องย้ายไปยังที่หลบภัยอีกเมืองหนึ่งทันที.
“รถติดมาก เราจึงไปถึงที่หมายประมาณบ่ายสามโมง. เมื่อไปถึง เราก็ได้ข่าวว่าเกิดการระเบิดขึ้นที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์. ตอนแรก ดิฉันคิดว่าไม่นานคงได้กลับบ้าน เราจึงไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลย.” เธอกับครอบครัวย้ายไปหลายที่จนกระทั่งหาอพาร์ตเมนต์ได้ห้องหนึ่งซึ่งอยู่ไกลจากบ้านของพวกเขามาก.
[ที่มาของภาพ]
Photo by DigitalGlobe via Getty Images
[กรอบ/ภาพหน้า 20]
บทเรียนสำหรับเราทุกคน
ก่อนหน้านี้ เราได้กล่าวถึงโยอิชิจากเมืองริกุเซ็นตะกะตะผู้สูญเสียทรัพย์สิ่งของเกือบทุกอย่าง. เขาพูดไว้ว่า “ผมยืนยันได้ว่าวัตถุสิ่งของไม่ได้ทำให้ชีวิตมั่นคงปลอดภัย.” ผู้รับใช้ของพระเจ้าหลายคนได้แสดงความรู้สึกเช่นนี้มานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ซึ่งได้เรียนรู้จากพระเยซู. พระองค์ชี้แจงว่าวัตถุสิ่งของแทบไม่มีความสำคัญใด ๆ เลยเมื่อเทียบกับการได้รับความโปรดปรานและพระพรจากพระเจ้า.—มัดธาย 6:19, 20, 33, 34
อีกบทเรียนหนึ่งคือเราต้องทำตามทันทีเมื่อได้รับคำเตือน. เรื่องนี้อาจหมายถึงความเป็นความตายก็ได้. ที่ญี่ปุ่น คนที่รีบหนีขึ้นที่สูงโดยไม่รอช้ามักจะรอด.
[แผนที่/ภาพหน้า 16]
(ดูรายละเอียดจากวารสาร)
ญี่ปุ่น
โตเกียว
คะมะอิชิ
ริกุเซ็นตะกะตะ
มินามิซันริกุ
อิชิโนมากิ
โซมะ
โรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ฟุกุชิมะ
เอบินา
สำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวา
[รูปภาพ]
เมืองริกุเซ็นตะกะตะ จังหวัดอิวะเตะ
เมืองโซมะ จังหวัดฟุกุชิมะ
เมืองอิชิโนมากิ จังหวัดมิยะกิ
เมืองคะมะอิชิ จังหวัดอิวะเตะ
เมืองมินามิซันริกุ จังหวัดมิยะกิ
[ภาพหน้า 14]
ฮารูมิกับทาดายูกิ
[ภาพหน้า 15]
โยอิชิกับทัตสึโกะ
[ภาพหน้า 17]
ยูโกะกับมิโดริ
[ภาพหน้า 17]
โทรุ
[ภาพหน้า 17]
รถยนต์ที่โทรุขับ
[ภาพหน้า 17]
ทากายูกิ
[ภาพหน้า 18]
ชุนจิ
[ภาพหน้า 19]
มิซูกิกับยูอิ
[ภาพหน้า 19]
ฮิเดฮารุ
[ภาพหน้า 19]
อาสาสมัครบรรเทาทุกข์กำลังทำงาน
[ภาพหน้า 20]
หอประชุมที่เมืองริกุเซ็นตะกะตะหลังจากเกิดสึนามิ
[ภาพหน้า 20]
สามเดือนต่อมาขณะกำลังสร้างหอประชุมขึ้นใหม่
[ภาพหน้า 20]
หอประชุมที่สร้างเสร็จแล้ว
[ที่มาของภาพหน้า 14]
JIJI PRESS/AFP/Getty Images