จงมอบภาระของท่านไว้กับพระยะโฮวาเสมอ
จงมอบภาระของท่านไว้กับพระยะโฮวาเสมอ
สมัยนี้หลายคนรู้สึกถูกกดดันจากภาระหนักหลายอย่าง. ความยากลำบากด้านเศรษฐกิจ, ปัญหาครอบครัวที่ทำให้กลัดกลุ้ม, ปัญหาด้านสุขภาพ, ความเจ็บปวดและความระทมทุกข์เนื่องด้วยการกดขี่และการกระทำอันโหดเหี้ยมทารุณ, และความทุกข์ยากอันหนักหน่วงอื่น ๆ เหมือนมีหินโม่แป้งถ่วงคออยู่. นอกจากความกดดันจากแหล่งภายนอกเหล่านี้ บางคนยังรู้สึกเพียบด้วยแง่คิดที่ว่าตนไร้ค่าและล้มเหลวสืบเนื่องจากความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง. หลายคนคิดอยากวางมือจากการงานทุกอย่าง. คุณจะจัดการอย่างไรเมื่อดูเหมือนว่าจะรับภาระต่าง ๆ ไม่ไหว?
ครั้งหนึ่งกษัตริย์ดาวิดแห่งชาติยิศราเอลรู้สึกกดดันมากแทบจะทนรับไม่ไหว. ตามที่กล่าวในเพลงสรรเสริญบท 55 ท่านปั่นป่วนใจอย่างหนักเนื่องด้วยความกังวล เพราะบรรดาศัตรูของท่านก่อความกดดันและจงเกลียดจงชังท่าน. ท่านรู้สึกปวดร้าวใจและกลัวมาก. ท่านได้แต่ครวญครางอยู่กับความทุกข์ของตัวเอง. (บทเพลงสรรเสริญ 55:2, 5, 17) อย่างไรก็ตาม ทั้งที่ท่านมีความทุกข์มาก ท่านพบวิธีรับมือ. โดยวิธีใด? ท่านหมายพึ่งการค้ำจุนจากพระเจ้าของท่าน. คำแนะนำของท่านแก่คนอื่นซึ่งอาจมีความรู้สึกอย่างที่ท่านประสบมาแล้วว่าดังนี้: “จงมอบภาระของท่านไว้กับพระยะโฮวา.”—บทเพลงสรรเสริญ 55:22, ล.ม.
ท่านหมายความอย่างไรที่ว่า “จงมอบภาระของท่านไว้กับพระยะโฮวา”? นั่นหมายความแต่เพียงให้เฝ้าทูลอธิษฐานพระยะโฮวาและพูดระบายความกังวลใจของเราเท่านั้นไหม? หรือตัวเราเองจะทำอะไรสักอย่างได้ไหมเพื่อช่วยบรรเทาสถานการณ์? ถ้าเรารู้ตัวว่าไม่สมควรเข้าเฝ้าพระยะโฮวาล่ะ? เราสามารถสืบค้นดูว่าดาวิดหมายถึงอะไรโดยที่เราพิเคราะห์ประสบการณ์บางอย่างซึ่งท่านคงจำได้ติดตาขณะที่ท่านจารึกถ้อยคำเหล่านั้น.
กระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยพลังของพระยะโฮวา
คุณจำวิธีที่ฆาละยัธก่อความกลัวขึ้นในหัวใจของเหล่าผู้ชายยิศราเอลที่ออกรบไหม? ชายร่างยักษ์คนนี้สูงเกิน 2.7 เมตรทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว. (1 ซามูเอล 17:4-11, 24) แต่ดาวิดไม่กลัว. เพราะเหตุใด? เพราะดาวิดไม่ได้คิดที่จะจัดการกับฆาละยัธด้วยกำลังของท่านเอง. นับจากช่วงที่ท่านได้รับการเจิมเพื่อเป็นกษัตริย์ของยิศราเอลในเบื้องหน้า ท่านยินยอมให้พระวิญญาณของพระเจ้าชี้นำและเสริมกำลังท่านในทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งท่านกระทำลงไป. (1 ซามูเอล 16:13) ดังนั้น ท่านกล่าวแก่ฆาละยัธดังนี้: “เรามาหาเจ้าด้วยนามแห่งพระยะโฮวาของพลโยธาพระเจ้าแห่งกองทัพยิศราเอล, ซึ่งเจ้าได้ท้าทายนั้น. วันนี้แหละพระยะโฮวาจะทรงมอบเจ้าไว้ในมือของเรา.” (1 ซามูเอล 17:45, 46) ดาวิดช่ำชองในการเหวี่ยงก้อนหิน แต่เราแน่ใจได้ว่า เมื่อท่านเหวี่ยงก้อนหินใส่ฆาละยัธ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระยะโฮวาได้นำวิถีก้อนหิน และทำให้มีแรงเหวี่ยงมากขึ้นจนฆาละยัธถึงแก่ความตาย.—1 ซามูเอล 17:48-51.
ดาวิดรับมือกับการท้าทายครั้งใหญ่นี้และได้ชัยชนะเนื่องจากท่านมีความมั่นใจว่า พระเจ้าจะทรงสนับสนุนและเสริมกำลังท่าน. ท่านพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีและอย่างที่มีความวางใจในพระเจ้า. ไม่ต้องสงสัย ความสัมพันธ์นั้นเข้มแข็งขึ้นโดยวิธีที่พระยะโฮวาเคยทรงช่วยท่านก่อนหน้านั้น. (1 ซามูเอล 17:34-37) เช่นเดียวกัน กับดาวิด คุณสามารถรักษาความสัมพันธ์ส่วนตัวอันแน่นแฟ้นกับพระยะโฮวาได้ และมั่นใจเต็มที่ว่าพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถ และเต็มพระทัยที่จะเพิ่มพลังและค้ำจุนคุณได้ทุกสถานการณ์.—บทเพลงสรรเสริญ 34:7, 8.
จงทำสิ่งที่คุณทำได้เพื่อจะแก้ปัญหา
แต่ทั้งนี้ไม่หมายความว่าโอกาสที่จะประสบความเจ็บปวดอย่างรุนแรง, ความวิตกกังวล, กระทั่งความกลัวจะไม่มีเสียเลย ตามที่แจ้งชัดในเพลงสรรเสริญบท 55. ตัวอย่างเช่น เพียงไม่กี่ปีภายหลังการแสดงความเชื่อมั่นในพระยะโฮวาอย่างปราศจากความกลัวใด ๆ ดาวิดได้ประสบความกลัวสุดขีดเมื่อเผชิญหน้าบรรดาศัตรู. ท่านไม่ได้อยู่ในฐานะอันเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ซาอูลอีกต่อไป และต้องหนีเอาชีวิตรอด. ลองวาดมโนภาพว่าเรื่องนี้คงสร้างความปั่นป่วนใจแก่ดาวิดมิใช่น้อย คงต้องมีคำถามในจิตใจของท่านเกี่ยวกับการดำเนินการแห่งพระประสงค์ของพระยะโฮวา. ถึงท่านได้รับการเจิมไว้แล้วให้เป็นกษัตริย์องค์ต่อไปในแผ่นดินยิศราเอล แต่กระนั้น ตอนนี้ท่านต้องหาทางจะให้ชีวิตรอดอย่างคนหลีกลี้หนีภัยในป่าทุรกันดาร ถูกตามล่าเหมือนสัตว์ป่า. เมื่อท่านแสวงหาที่หลบภัยในเมืองฆัธ บ้านเกิดของฆาละยัธ คนที่นั่นจำท่านได้. ผลเป็นอย่างไร? บันทึกแจ้งว่า “ดาวิด . . . กลัวอย่างยิ่ง.”—1 ซามูเอล 21:10-12.
ทว่า ท่านไม่ปล่อยให้ความกลัวและความวิตกกังวลอย่างยิ่งนั้นเป็นเหตุให้ท่านเลิกหมายพึ่งการสงเคราะห์จากพระยะโฮวา. ตามถ้อยคำในเพลงสรรเสริญบท 34 (ซึ่งบันทึกเนื่องจากประสบการณ์นี้) ดาวิดกล่าวว่า “เมื่อข้าพเจ้าได้แสวงหาพระยะโฮวา, พระองค์ได้ทรงตอบข้าพเจ้า, และได้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความหวาดกลัวทั้งปวง. คนอนาถาผู้นี้ได้ร้องทูลต่อพระยะโฮวา, และพระองค์ก็ได้ทรงสดับฟัง, และได้ช่วยเขาให้พ้นจากบรรดาความทุกข์ยากนั้น.”—บทเพลงสรรเสริญ 34:4, 6.
แน่นอน พระยะโฮวาได้ทรงสงเคราะห์ท่าน. แต่โปรดสังเกต ดาวิดไม่เพียงแต่นั่งเฉย ๆ รอท่าพระยะโฮวาดำเนินการช่วยเหลือตนให้พ้นภัย. ท่านได้ตระหนักถึงความจำเป็นที่ท่านต้องทำสุดความสามารถภายใต้สภาพแวดล้อมเพื่อให้พ้นสภาพยุ่งยากนั้น. ท่านยอมรับว่าพระหัตถ์ของพระยะโฮวาได้ช่วยท่านรอด แต่ท่านเองลงมือปฏิบัติการ โดยแกล้งทำตัวเป็นบ้าเพื่อเจ้าเมืองฆัธจะไม่ได้เอาชีวิตท่าน. (1 ซามูเอล 21:14–22:1) พวกเราก็เช่นกันพึงทำทุกอย่างสุดความสามารถเพื่อจะรับมือกับภาระหนักต่าง ๆ ได้ แทนที่จะเอาแต่คอยให้พระยะโฮวาโปรดช่วยเราพ้นภัย.—ยาโกโบ 1:5, 6; 2:26.
อย่าเพิ่มภาระให้ตัวเอง
ต่อมาในชีวิตของท่าน ดาวิดได้บทเรียนอันแสนเจ็บปวดอีกอย่างหนึ่ง. นั่นคืออะไร? คือภาระต่าง ๆ ซึ่งบางครั้งเราหาใส่ตัวเอง. หลังจากรบชนะชาวฟะลิศตีมแล้ว เหตุการณ์ไม่สู้ดีเกิดขึ้นกับดาวิดเมื่อท่านตัดสินใจขนย้ายหีบคำสัญญาไมตรีไปยังยะรูซาเลม. บันทึกทางประวัติศาสตร์บอกเราว่า “ดาวิดได้พาบรรดาฝูงชนยกไปยังเมืองบาลาเขตตระกูลยูดา, เพื่อจะเชิญหีบสัญญาไมตรีซึ่งมีพระนามศักดิ์สิทธิ์แห่งพระยะโฮวา . . . เขาทั้งหลายเชิญหีบไมตรีนั้นบรรทุกเกวียนใหม่, . . . ฝ่ายบุตรของอะบีนาดาบชื่ออุซากับน้องชายขับเกวียนใหม่ไป.”—2 ซามูเอล 6:2, 3.
การใช้เกวียนบรรทุกหีบสัญญาไมตรีเป็นการฝ่าฝืนคำชี้แจงทั้งสิ้นซึ่งพระยะโฮวาทรงให้ไว้เกี่ยวกับหีบแห่งคำสัญญา. มีการแถลงอย่างชัดเจนว่าเฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตให้ขนย้ายคือลูกหลานโคฮาธแห่งตระกูลเลวีนั้นจะหามหีบโดยใช้ไม้คานสอดเข้าที่ห่วงข้างหีบซึ่งทำขึ้นเอ็กโซโด 25:13, 14; อาฤธโม 4:15, 19; 7:7-9) การละเลยคำแนะนำเหล่านี้ยังผลเป็นความหายนะ. ขณะโคที่ลากเกวียนอยู่นั้นเกือบจะทำให้เกวียนพลิกคว่ำ อุซา ซึ่งคงจะเป็นชาวเลวี แต่ไม่ใช่ปุโรหิตอย่างแน่นอนได้เอื้อมมือจับหีบมิให้กระเทือน จึงถูกพระยะโฮวาสังหารเพราะการกระทำที่ไม่เคารพยำเกรง.—2 ซามูเอล 6:6, 7.
เพื่อจุดประสงค์นี้โดยเฉพาะ. (ดาวิดในฐานะเป็นกษัตริย์จำต้องรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่มากก็น้อย. ท่าทีของท่านแสดงให้เห็นว่า แม้คนเหล่านั้นที่มีสัมพันธภาพอันดีกับพระยะโฮวา บางครั้งบางคราวก็อาจมีปฏิกิริยาอย่างไม่สมควรเมื่อเกิดสถานการณ์ยุ่งยากที่เป็นการทดลอง. แรกทีเดียว ดาวิดโกรธ. ต่อจากนั้นท่านเกิดความรู้สึกกลัว. (2 ซามูเอล 6:8, 9) สัมพันธภาพอย่างที่มีความวางใจในพระยะโฮวาถูกทดสอบอย่างหนัก. ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดูเหมือนดาวิดไม่ได้มอบภาระของตนไว้กับพระยะโฮวา เมื่อท่านไม่ทำตามพระบัญชาของพระองค์. สภาพการณ์เช่นนั้นอาจเกิดขึ้นกับพวกเราบางครั้งบางคราวไหม? เราเคยตำหนิพระยะโฮวาไหมสืบเนื่องจากความยุ่งยากต่าง ๆ ที่อุบัติขึ้นเพราะเราเพิกเฉยต่อคำชี้นำของพระองค์?—สุภาษิต 19:3.
จัดการกับภาระหนักเนื่องจากความรู้สึกผิด
ในเวลาต่อมา ดาวิดสร้างภาระหนักให้ตัวเองโดยกระทำผิดร้ายแรงต่อมาตรฐานด้านศีลธรรมที่พระยะโฮวาทรงกำหนดไว้. ครั้งนั้นดาวิดได้ละเลยไม่รับผิดชอบที่จะนำผู้คนของท่านออกไปสู้รบ. ท่านยับยั้งอยู่ที่กรุงยะรูซาเลมขณะที่พวกเขาออกรบ. การทำเช่นนี้นำไปสู่ความเดือดร้อนอย่างหนัก.—2 ซามูเอล 11:1.
กษัตริย์ดาวิดมองเห็นบัธเซบะโฉมสะคราญอาบน้ำอยู่. ท่านได้ยุ่งเกี่ยวกับนางอย่างผิดศีลธรรม และนางได้ตั้งครรภ์. (2 ซามูเอล 11:2-5) เพื่อพยายามปกปิดการประพฤติอันไม่ถูกต้อง ท่านได้เรียกอูรียาสามีของนางระหว่างอยู่ในสนามรบให้กลับกรุงยะรูซาเลม. อูรียาไม่ยอมร่วมหลับนอนกับนางเยี่ยงสามีภรรยาในขณะที่ชาวยิศราเอลยังติดพันทำสงครามอยู่. (2 ซามูเอล 11:6-11) มาบัดนี้ ดาวิดได้คิดวิธีการที่ชั่วร้ายและซ่อนเงื่อนงำเพื่อปกปิดบาปของตน. ท่านได้วางแผนให้เพื่อนทหารของอูรียาละอูรียาไว้ ณ จุดที่ถูกโจมตีได้ง่ายเพื่อเขาจะถูกฆ่า. ช่างเป็นบาปที่น่ารังเกียจและอุกฉกรรจ์อะไรเช่นนั้น!—2 ซามูเอล 11:12-17.
แน่นอน ในที่สุดดาวิดต้องรับผิดชอบสำหรับบาปที่ตนก่อขึ้น และท่านถูกเปิดโปง. (2 ซามูเอล 12:7-12) ลองนึกภาพว่าดาวิดจะต้องรู้สึกเศร้าเสียใจและรู้สึกผิดขนาดไหนเมื่อปรากฏออกมาว่าสิ่งที่ท่านกระทำลงไปเพราะตัณหาชักนำนั้นเป็นการผิดอย่างมหันต์. ท่านคงต้องท่วมท้นไปด้วยความรู้สึกว่าตนเองล้มเหลว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านค่อนข้างเป็นคนอารมณ์อ่อนไหว, มีความรู้สึกไว. ท่านอาจรู้สึกว่าตัวท่านเองไร้คุณค่าโดยสิ้นเชิง!
อย่างไรก็ตาม ดาวิดยอมรับความผิดโดยไม่ลังเล ท่านสารภาพต่อผู้พยากรณ์นาธานดังนี้: “เราทำผิดเฉพาะพระยะโฮวาแล้ว.” (2 ซามูเอล 12:13) เพลงสรรเสริญบท 51 แจ้งให้เรารู้ถึงความรู้สึกของท่านและท่านได้อ้อนวอนพระเจ้ายะโฮวาอย่างไรให้ชำระท่านและโปรดให้อภัยโทษ. ท่านทูลอธิษฐานดังนี้: “ขอพระองค์ทรงล้างข้าพเจ้าให้หมดจดจากความอสัตย์อธรรมของข้าพเจ้า, และทรงชำระข้าพเจ้าให้ปราศจากความผิด. เพราะข้าพเจ้ารู้สำนึกการล่วงละเมิดของข้าพเจ้าแล้ว; และการบาปของข้าพเจ้าก็อยู่ต่อหน้าข้าพเจ้าเสมอ.” (บทเพลงสรรเสริญ 51:2, 3) เนื่องจากท่านแสดงการกลับใจอย่างแท้จริง ท่านจึงสามารถสร้างสัมพันธภาพอันมั่นคงและแนบสนิทกับพระยะโฮวา. ดาวิดไม่ได้จมอยู่กับความเศร้าเสียใจและความรู้สึกไร้ค่า. ท่านได้มอบภาระไว้กับพระยะโฮวาด้วยการถ่อมใจยอมรับผิด, แสดงออกซึ่งการกลับใจอย่างแท้จริง, และทูลอธิษฐานอย่างแรงกล้าขอการอภัยจากพระยะโฮวา. ท่านจึงได้คืนสู่สภาพเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าอีก.“—บทเพลงสรรเสริญ 51:7-12, 15-19.
รับมือกับการทรยศ
เรื่องนี้นำเรามาสู่เหตุการณ์ซึ่งกระตุ้นดาวิดให้เขียนเพลงสรรเสริญบท 55. ท่านอยู่ในสภาพอารมณ์เครียด มาก. ท่านเขียนไว้ว่า “ใจของข้าพเจ้าก็ปวดร้าวอยู่ภายใน: และความหวาดเสียวต่อความตายครอบงำข้าพเจ้า.” (บทเพลงสรรเสริญ 55:4) อะไรเป็นสาเหตุทำให้ปวดร้าวเช่นนี้? อับซาโลม ราชโอรสของดาวิดได้วางแผนชั่วชิงบัลลังก์กษัตริย์ดาวิด. (2 ซามูเอล 15:1-6) การที่โอรสแท้ ๆ ได้ทรยศอย่างนี้เป็นเรื่องหนักหน่วงพออยู่แล้ว แต่ที่ยิ่งแย่หนักเข้าไปอีกก็คือที่ปรึกษาชื่ออะฮีโธเฟลผู้ซึ่งดาวิดไว้ใจมากที่สุดได้ร่วมการคบคิดวางแผนลับต่อต้านดาวิด. อะฮีโธเฟลนั่นเองที่ดาวิดพรรณนาถึงในเพลงสรรเสริญบท 55:12-14. ผลสืบเนื่องจากการคบคิดวางแผนชั่วและการทรยศจึงทำให้ดาวิดต้องหนีออกจากกรุงยะรูซาเลม. (2 ซามูเอล 15:13, 14) เรื่องนี้ต้องเป็นสาเหตุทำให้ท่านปวดร้าวสักเพียงใด!
ถึงกระนั้น ดาวิดไม่ปล่อยให้จิตใจอันรุ่มร้อนและความเศร้าเสียใจยิ่งของท่านบั่นทอนความวางใจและความเชื่อมั่นที่มีต่อพระยะโฮวา. ท่านทูลอธิษฐานขอพระยะโฮวาสกัดกั้นแผนการของกลุ่มผู้คิดอุบายชั่ว. (2 ซามูเอล 15:30, 31) อีกครั้งหนึ่งเราเห็นว่าดาวิดไม่เพียงแต่คอยอยู่เฉย ๆ รอพระยะโฮวาทำการงานทุกอย่าง. ทันทีที่ได้โอกาส ท่านลงมือกระทำเท่าที่จะทำได้เพื่อต่อสู้กลุ่มผู้วางแผนชั่วต่อต้านท่าน. ท่านได้จัดส่งฮูซัย ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งในคณะที่ปรึกษาของท่านกลับไปยังกรุงยะรูซาเลม โดยทำทีเข้าร่วมสมทบกับกลุ่มผู้วางแผนชั่ว แต่ที่แท้แล้วเขาไปเพื่อบ่อนทำลายแผนชั่ว. (2 ซามูเอล 15:32-34) ด้วยการสนับสนุนของพระยะโฮวา แผนการนี้บรรลุผล. ฮูซัยได้ยับยั้งอับซาโลมไว้นานพอที่ดาวิดจะรวมพลและจัดกองทัพป้องกันตนเองได้.—2 ซามูเอล 17:14.
ตลอดชีวิตของท่าน ดาวิดคงได้หยั่งรู้ค่ามากเพียงใดสำหรับการพิทักษ์คุ้มครองจากพระยะโฮวา พร้อมทั้งความอดกลั้นพระทัยและความเต็มพระทัยที่พระองค์ให้อภัย! (บทเพลงสรรเสริญ 34:18, 19; 51:17) ด้วยภูมิหลังอย่างนี้นี่เอง ดาวิดจึงแนะนำสนับสนุนพวกเราอย่างมั่นใจได้จริง ๆ ว่า ยามใดเราประสบความทุกข์ยาก ให้หมายพึ่งความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา ให้ ‘มอบภาระของเราไว้กับพระยะโฮวา.’—เทียบกับ 1 เปโตร 5:6, 7.
สร้างและธำรงสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้น, อย่างที่มีความวางใจในพระยะโฮวา
เราจะได้มาซึ่งสัมพันธภาพอย่างที่ดาวิดเคยมีกับพระยะโฮวาได้โดยวิธีใด ซึ่งเป็นสัมพันธภาพที่ค้ำจุนท่านไว้ในช่วงเวลาที่เผชิญการทดสอบและความทุกข์ลำบากหนักหนา? เราสร้างสัมพันธภาพดังกล่าวด้วยการเป็นคนขยันหมั่นเพียรศึกษาคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระเจ้า. เรายอมให้พระองค์สอนพวกเราเกี่ยวกับข้อกฎหมาย, หลักการ, และบุคลิกภาพของพระองค์. (บทเพลงสรรเสริญ 19:7-11) ขณะเราคิดรำพึงถึงพระคำของพระเจ้า เราจะใกล้ชิดพระองค์มากขึ้นและเรียนรู้การจะวางใจพระองค์โดยไม่ต้องสงสัย. (บทเพลงสรรเสริญ 143:1-5) เราจะทำให้สัมพันธภาพนั้นฝังลึกและแนบแน่นยิ่งขึ้นขณะเราคบหากับเพื่อนผู้นมัสการเพื่อจะรับเอาการสั่งสอนมากขึ้นจากพระยะโฮวา. (บทเพลงสรรเสริญ 122:1-4) เราเสริมทวีสัมพันธภาพของเรากับพระยะโฮวาให้แน่นแฟ้นโดยการอธิษฐานด้วยความจริงใจ.—บทเพลงสรรเสริญ 55:1.
จริงอยู่ ดาวิดก็เหมือนพวกเรา ท่านเกิดความรู้สึกหดหู่เมื่อสัมพันธภาพระหว่างท่านกับพระยะโฮวาไม่แน่นแฟ้นเท่าที่ควร. การบีบคั้นกดขี่อาจเป็นสาเหตุให้เรา “คลั่งไป.” (ท่านผู้ประกาศ 7:7) แต่พระยะโฮวาทรงเห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้น และทรงทราบสิ่งซึ่งอยู่ในใจของเรา. (ท่านผู้ประกาศ 4:1; 5:8) เราจำต้องมานะบากบั่นรักษาสัมพันธภาพกับพระยะโฮวาให้มั่นคงต่อ ๆ ไป. ครั้นแล้ว ภาระอะไรก็ตามที่เราต้องแบก เราสามารถพึ่งพาพระยะโฮวาเพื่อพระองค์จะบรรเทาความกดดันหรือให้กำลังเพื่อเราจะรับมือกับสภาพการณ์ได้. (ฟิลิปปอย 4:6, 7, 13) มันเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการแนบสนิทของเรากับพระยะโฮวา. เมื่อดาวิดได้ทำเช่นนั้น ท่านมั่นคงปลอดภัยอย่างแท้จริง.
ด้วยเหตุนี้ ดาวิดจึงกล่าวว่า ถึงแม้สภาพแวดล้อมของคุณเป็นอย่างไรก็ตาม จงมอบภาระของคุณไว้กับพระยะโฮวาเสมอ. แล้วเราจะประสบความจริงของคำสัญญาข้อนี้: “พระองค์เองจะทรงค้ำจุนท่าน. ไม่มีวันที่พระองค์จะทรงยอมให้คนชอบธรรมกะปลกกะเปลี้ยเลย.”—บทเพลงสรรเสริญ 55:22, ล.ม.