“อย่าขวนขวายหาอาหารที่จะเสื่อมสิ้นไป”
“อย่าขวนขวายหาอาหารที่จะเสื่อมสิ้นไป”
เล่าโดยเดวิด ลันสตรัม
ผมและเอลวูดน้องชายยืนอยู่บนนั่งร้านซึ่งสูง 30 ฟุตเศษจากพื้นเขียนป้ายใหม่บนผนังอาคารโรงพิมพ์ว็อชเทาเวอร์. สี่สิบกว่าปีต่อมา ป้ายนี้ก็ยังอยู่ที่นั่นกระตุ้นเตือนให้ “อ่านคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระเจ้าทุกวัน.” แต่ละสัปดาห์ประชาชนหลายพันคนเห็นป้ายนี้ขณะที่เขาข้ามสะพานบรุกลินอันลือชื่อ.
ความทรงจำของผมครั้งเป็นเด็กรวมเอาวันซักรีดของครอบครัวไว้ด้วย. คุณแม่ตื่นนอนแต่เช้าตอนตีห้า ซักเสื้อผ้าสำหรับครอบครัวใหญ่ของเรา ส่วนคุณพ่อก็เตรียมตัวไปทำงาน. ท่านทั้งสองมักจะถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนอีกต่างหาก คุณพ่อเถียงว่าไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่งมนุษย์มีวิวัฒนาการมานานหลายล้านปีแล้ว และคุณแม่ก็ยกข้อคัมภีร์ขึ้นมาพิสูจน์ว่า มนุษย์เป็นผลจากการสร้างโดยตรงของพระเจ้า.
ถึงแม้ผมอายุแค่เจ็ดขวบ ผมตระหนักว่าคุณแม่มีความจริง. ถึงผมจะรักคุณพ่อมากเพียงใด ผมสามารถเข้าใจได้ว่า ความเชื่อของท่านไม่ได้เสนอความหวังสำหรับอนาคต. คุณแม่คงดีใจสักเพียงใดถ้าได้รู้ว่า หลายปีต่อมาลูกชายสองคนนี้ของท่านได้เขียนป้ายซึ่งสนับสนุนผู้คนอ่านคัมภีร์ไบเบิล หนังสือที่ท่านชอบมากที่สุด!
แต่ผมไม่เล่าเรื่องตามลำดับต่อเนื่อง. โดยวิธีใดผมมาได้งานซึ่งถือว่าเป็นสิทธิพิเศษเช่นนั้น? ผมต้องย้อนไปสมัยปี 1906 ก่อนผมเกิดสามปี.
ตัวอย่างความซื่อสัตย์ของคุณแม่
ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่เพิ่งแต่งงานใหม่ ๆ และอาศัยอยู่ในกระโจมที่รัฐอริโซนา. นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาในเวลานั้น ได้แวะมาเยี่ยมและเสนอหนังสือชุดคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ เขียนโดยชาลส์ เทซ รัสเซลล์. คุณแม่นั่งอ่านหนังสือเหล่านั้นทั้งคืน และไม่ช้าก็ตระหนักว่าสิ่งที่ได้อ่านเป็นความจริงซึ่งเธอค้นหามาตลอด. คุณแม่แทบรอไม่ไหวกว่าคุณพ่อกลับจากการเสาะหางานทำ.
คุณพ่อก็เช่นเดียวกันรู้สึกไม่อิ่มใจกับสิ่งที่สอนกันในคริสตจักรต่าง ๆ ดังนั้น ท่านตอบรับความจริงเหล่านี้จากคัมภีร์ไบเบิลอยู่ระยะหนึ่ง. แต่ภายหลังท่านเลือกแนวศาสนาตามที่ตัวเองพอใจ มิหนำซ้ำยังทำให้ยุ่งยากแก่คุณแม่ที่จะติดตามการนมัสการแท้. กระนั้น คุณแม่ไม่เคยย่อท้อในการดูแลลูกให้มีสิ่งจำเป็นทั้งทางด้านร่างกายและฝ่ายวิญญาณ.
สิ่งที่ผมจะลืมเสียไม่ได้คือภาพที่คุณแม่เดินลงมาจากห้องชั้นบนทุกคืน หลังจากตรำงานเหนื่อยมาทั้งวันเพื่อจะอ่านคัมภีร์ไบเบิลส่วนหนึ่งให้เราฟัง หรือแบ่งปันสิ่งมีค่าฝ่ายวิญญาณแก่พวกเราบ้าง. คุณพ่อเป็นคนขยันทำงานเช่นกัน พอผมโตขึ้นหน่อย คุณพ่อก็ฝึกสอนอาชีพทาสีแก่ผม. ใช่แล้ว คุณพ่อสอนผมให้ทำงาน แต่คุณแม่สอนผมว่าจะทำงานเพื่ออะไร คือเพื่อ ‘อาหารที่จะไม่เสื่อมสิ้นไป’ ดังพระเยซูได้แนะนำไว้.—โยฮัน 6:27, ล.ม.
ในที่สุดครอบครัวของเราก็ลงหลักปักฐานอยู่ในชนบทเล็ก ๆ ของเมืองเอลเลนส์เบอร์ก รัฐวอชิงตัน ห่างจากซีแอตเติลไปทางตะวันออกประมาณ 180 กิโลเมตร. สมัยที่พวกเราเด็ก ๆ เริ่มเข้าร่วมการประชุมของนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลพร้อมคุณแม่นั้น เราประชุมในบ้านส่วนตัว. พวกผู้ชายที่ร่วมกลุ่มศึกษาพากันเลิกรากันไปเมื่อมีการตอกย้ำความจำเป็นที่ต้องออกไปประกาศตามบ้าน. แต่
คุณแม่ไม่เคยหวั่นไหว. สิ่งนี้เองได้ฝากรอยประทับใจอย่างไม่เสื่อคลายแก่ผมที่จะวางใจเสมอในการชี้นำจากองค์การของพระยะโฮวา.ในที่สุด คุณพ่อคุณแม่มีลูกเก้าคน. ผมเป็นคนที่สาม เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ปี 1909. พวกเราทั้งหมดหกคนได้เลียนแบบอย่างที่ดีของคุณแม่และกลายเป็นพยานพระยะโฮวาที่มีศรัทธาแรงกล้า.
การอุทิศตัวและการรับบัพติสมา
ตอนที่ผมเป็นวัยรุ่นเต็มตัว ผมได้อุทิศตัวแด่พระยะโฮวา และได้แสดงสัญลักษณ์ถึงเรื่องนี้โดยการรับบัพติสมาในน้ำ ปี 1927. การรับบัพติสมาครั้งนั้นจัดขึ้นที่เมืองซีแอตเติลภายในตึกคร่ำคร่า ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นโบสถ์แบพติสต์. ผมดีใจที่เขาได้รื้อหลังคาเก่าที่มียอดแหลมออกไป. พวกเราถูกนำตัวลงไปยังสระน้ำชั้นใต้ดิน ที่นั่นเขาให้พวกเราสวมเสื้อคลุมยาวสีดำ. ดูราวกับว่าเรากำลังไปงานศพ.
สองสามเดือนหลังจากนั้นผมกลับไปที่ซีแอตเติลอีก และคราวนี้ผมลิ้มรสการประกาศตามบ้านเป็นครั้งแรก. คนที่นำกลุ่มชี้แนะผมว่า “คุณไปทางนี้ และผมจะไปอีกด้านหนึ่งของบล็อกนี้.” ทั้งที่ผมรู้สึกประหม่า ผมก็จำหน่ายเล่มเล็กสองชุดไว้กับสตรีใจดีคนหนึ่ง. เมื่อผมกลับเอลเลนเบอร์กผมร่วมงานประกาศอย่างต่อเนื่อง และเดี๋ยวนี้ เกือบ 70 ปีต่อมา งานรับใช้นี้ยังคงให้ความชื่นชมอย่างใหญ่หลวงแก่ผม.
งานรับใช้ที่สำนักงานกลาง
หลังจากนั้นไม่นาน คนหนึ่งซึ่งเคยทำงานอยู่ที่เบเธล บรุกลิน สำนักงานกลางสมาคมว็อชเทาเวอร์ได้สนับสนุนผมอาสาสมัครทำงานรับใช้ที่นั่น. ไม่นานหลังจากเราได้พูดคุยเรื่องนี้ ก็มีคำประกาศในวารสารหอสังเกตการณ์ แจ้งถึงความต้องการคนช่วยทำงานที่เบเธล. ดังนั้น ผมจึงส่งใบสมัคร. ผมจะไม่มีวันลืมความดีใจที่ผมประสบเมื่อได้รับจดหมายให้รายงานตัววันที่ 10 มีนาคม 1930 เพื่องานรับใช้ที่เบเธลในบรุกลิน นิวยอร์ก. ดังนั้น การทำงานประจำชีพเต็มเวลาของผมเพื่อ ‘อาหารที่จะไม่เสื่อมสิ้นไป’ ได้เริ่มขึ้นแล้ว.
บางคนอาจคิดว่าในเมื่อผมชำนาญงานด้านทาสี ผมคงรับมอบหมายงานด้านทาสี. แต่ไม่เป็นอย่างนั้น งานชิ้นแรกของผมคือทำงานกับเครื่องเย็บหนังสือในโรงงาน. ถึงแม้เป็นงานซ้ำซาก ผมก็ชื่นชมอยู่กับงานนี้ถึง
หกปีเศษ. เครื่องพิมพ์โรตารีขนาดใหญ่ซึ่งเราตั้งชื่อเล่นอย่างน่าเอ็นดูว่าเรือรบเก่าผลิตหนังสือเล่มเล็กที่ส่งลงไปตามสายพานถึงชั้นล่างที่เราทำงาน. พวกเรารู้สึกสนุกเมื่อเราพยายามเย็บหนังสือเข้าเล่มได้รวดเร็วพอ ๆ กันกับที่เราได้รับจากเรือรบเก่านั้น.หลังจากนั้น ผมได้ทำงานร่วมกับฝ่ายต่าง ๆ ในเบเธล รวมทั้งแผนกที่เราประดิษฐ์หีบเสียง เราใช้เครื่องเหล่านี้เปิดแผ่นเสียงซึ่งบันทึกข่าวสารจากคัมภีร์ไบเบิลให้เจ้าของบ้านฟังตรงหน้าประตูบ้าน. หีบเสียงแบบตั้งได้รับการออกแบบและผลิตโดยอาสาสมัครจากแผนกของเรา. หีบเสียงแบบนี้ไม่เพียงแต่เปิดฟังข่าวสารที่อัดเตรียมไว้เท่านั้น แต่ยังจัดซอกพิเศษไว้สำหรับใส่หนังสือเล่มเล็กและอาจเก็บแซนด์วิชได้ด้วย. ผมมีสิทธิพิเศษได้สาธิตการใช้เครื่องมือใหม่ชิ้นนี้ ณ การประชุมใหญ่ที่ดีทรอยต์ มิชิแกน เมื่อปี 1940.
อย่างไรก็ตาม พวกเราไม่ได้ประดิษฐ์เฉพาะสิ่งประดิษฐ์ที่ประณีตละเอียดอ่อน. พวกเรายังได้ปรับเปลี่ยนสิ่งสำคัญฝ่ายวิญญาณด้วย. ยกตัวอย่าง พยานพระยะโฮวาเคยใช้เข็มกลัดรูปกางเขนสอดมงกุฎ. แต่แล้วเราก็ได้มาเข้าใจว่าพระเยซูถูกประหารบนหลักที่ตั้งตรง ไม่ใช่ไม้กางเขน. (กิจการ 5:30) ฉะนั้น เราจึงเลิกการติดเข็มกลัดดังกล่าว. ผมได้รับสิทธิพิเศษที่จะแกะรูปพรรณที่เกี่ยวติดออกจากเข็มกลัด. ต่อจากนั้น ก็หลอมชิ้นส่วนที่เป็นทองแล้วขายไป.
แม้เราต้องทำงานตามตารางเวลาสัปดาห์ละห้าวันครึ่ง แต่เราก็มีส่วนร่วมงานรับใช้ของคริสเตียนในวันสุดสัปดาห์. มีอยู่วันหนึ่ง พวกเรา 16 คนถูกจับเข้าคุกในบรุกลิน. เพราะเหตุใด? เพราะสมัยนั้นเราถือว่าทุกศาสนาเป็นศาสนาเทียม. ดังนั้น เราจึงเดินชูป้ายซึ่งด้านหนึ่งมีข้อความว่า “ศาสนาเป็นบ่วงแร้วและกลลวง” และอีกด้านหนึ่งอ่านว่า “จงรับใช้พระเจ้าและพระคริสต์มหากษัตริย์.” เพราะเราเดินชูป้ายเหล่านี้เอง เราจึงถูกจับเข้าคุก แต่เฮย์เดน คัฟวิงตัน ทนายประจำสมาคมว็อชเทาเวอร์ได้ประกันตัวพวกเราออกมา. สมัยนั้นมีการสู้คดีในศาลสูงของประเทศสหรัฐหลายครั้งซึ่งล้วนเกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการนมัสการ และเป็นความรู้สึกตื่นเต้นดีใจที่ได้อยู่ในเบเธลและได้ฟังข่าวที่ส่งตรงเกี่ยวกับชัยชนะของเรา.
ในที่สุด ผมถูกมอบหมายให้ทำงานซึ่งใช้ประสบการณ์ของผมด้านทาสีให้เป็นประโยชน์. บนเกาะสเตตเตน หนึ่งในจำนวนห้าเขตปกครองของนครนิวยอร์ก เรามีสถานีวิทยุกระจายเสียงดับเบิลยูบีบีอาร์ของเราเอง. เสาอากาศสถานีวิทยุนี้สูง 200 กว่าฟุต และมีสายยึดเสาอากาศสามชุด. ผมนั่งบนแผ่นกระดานยาวหนึ่งหลา กว้างแปดนิ้วขณะเพื่อนร่วมงานชักรอกผมขึ้นไป. ผมทาสีสายดึงเสาอากาศและเสาอากาศด้วยการนั่งกระดานโยงเล็ก ๆ สูงเหนือพื้นดิน. บางคนได้ถามผมว่าขณะที่ทำงานชิ้นนั้นเราได้ทูลอธิษฐานมาก ๆ ขอให้ปลอดภัยใช่ไหม!
งานช่วงหน้าร้อนที่ผมจะไม่มีวันลืมคืองานล้างกระจกหน้าต่างและทาสีขอบหน้าต่างตึกโรงพิมพ์. เราเรียกงานนี้ว่าการพักผ่อนฤดูร้อน เนื่องจากทำกันกลางแจ้ง. เราได้สร้างนั่งร้านด้วยไม้พร้อมกับรอก เพื่อชักพวกเราขึ้นลงด้านนอกของตึกแปดชั้น.
ครอบครัวที่ให้การสนับสนุน
คุณพ่อเสียชีวิตปี 1932 และผมไม่แน่ใจว่าควรกลับบ้านช่วยดูแลคุณแม่หรือไม่. ดังนั้น วันหนึ่งก่อนอาหารเที่ยง ผมเขียนโน้ตวางไว้หัวโต๊ะตัวที่บราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ด นายกสมาคมนั่ง. ผมขอคุยกับท่าน. เมื่อท่านทราบความกังวลใจของผม แถมรู้ว่าผมยังมีพี่น้องชาย
หญิงหลายคนอยู่ที่บ้าน ท่านถามผมว่า “คุณต้องการอยู่ที่เบเธลและกระทำการงานของพระผู้เป็นเจ้าต่อไปไหม?ผมตอบรับว่า “ผมต้องการอย่างนั้นแน่นอน.”
ฉะนั้น ท่านแนะนำให้ผมเขียนถึงคุณแม่เพื่อให้รู้ว่าท่านเห็นด้วยกับการตัดสินใจของผมที่จะอยู่ต่อหรือไม่. ผมทำตามการเสนอแนะ และคุณแม่เขียนตอบมาว่าเห็นด้วยทุกอย่างกับการตัดสินใจของผม. ผมรู้สึกขอบคุณบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดอย่างแท้จริงสำหรับความกรุณาและคำแนะนำ.
ตลอดเวลาหลายปีที่ผมอยู่ในเบเธล ผมเขียนจดหมายถึงครอบครัวเป็นประจำและสนับสนุนเขาให้รับใช้พระยะโฮวา อย่างที่คุณแม่เคยให้กำลังใจผม. คุณแม่เสียชีวิตปี 1937. ท่านเป็นแรงบันดาลใจแก่ครอบครัวของเราสักเพียงใด! มีแต่พอลพี่ชายและเอสเตอร์พี่สาวพร้อมด้วยโลอีสน้องสาวของผมเท่านั้นที่ไม่ได้เป็นพยานฯ. อย่างไรก็ตาม พอลเห็นชอบกับงานของเราและมอบที่ดินผืนหนึ่งให้เราได้สร้างหอประชุมหลังแรกของเรา.
ปี 1936 อีวาน้องสาวของผมสมัครเป็นไพโอเนียร์ หรือผู้เผยแพร่เต็มเวลา. ปีเดียวกันนั้นเอง เธอแต่งงานกับราล์ฟ โทมัส และในปี 1939 ทั้งสองรับมอบหมายงานเดินทาง รับใช้ประชาคมพยานพระยะโฮวาในที่ต่าง ๆ. ต่อมา เขาได้ย้ายไปประเทศเม็กซิโก ใช้เวลาช่วยเหลือกิจกรรมด้านราชอาณาจักรในประเทศนั้นนานถึง 25 ปี.
ปี 1939 อลีสกับแฟรนเซส น้องสาวของผมได้ทำงานรับใช้เป็นไพโอเนียร์เช่นกัน. น่าดีใจจริง ๆ ที่เห็นอลีสได้สาธิตวิธีใช้หีบเสียงอยู่หลังเคาน์เตอร์ ณ การประชุมใหญ่ที่ เซนต์หลุยส์ ในปี 1941 ซึ่งผมได้ช่วยฝ่ายการผลิต! แม้ว่าบางครั้งอลีสต้องหยุดงานไพโอเนียร์เพราะต้องรับผิดชอบในครอบครัว แต่รวมเวลาแล้วเธอได้รับใช้เต็มเวลานานถึง 40 กว่าปี. แฟรนเซสเป็นไพโอเนียร์ต่อไปจนได้เข้าโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียด ปี 1944 และทำงานฐานะมิชชันนารีระยะหนึ่งในเปอร์โตริโก.
ส่วนโจเอลและเอลวูดน้องชายสุดท้องในครอบครัวก็เป็นไพโอเนียร์อยู่ที่รัฐมอนตานาในช่วงต้นทศวรรษปี 1940. โจเอลยังคงเป็นพยานซื่อสัตย์เสมอมา และขณะนี้ปฏิบัติงานฐานะผู้รับใช้ที่ถูกแต่งตั้ง. เอลวูดได้สมทบกับผมทำงานที่เบเธลเมื่อปี 1944 ยังความชื่นชมยินดีแก่หัวใจของผม. ตอนที่ผมออกมาจากบ้าน อายุเขาไม่ถึงห้าขวบด้วยซ้ำ. ดังกล่าวข้างต้น เราทำงานด้วยกันในการเขียนป้ายบนอาคารโรงพิมพ์ “อ่านคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระเจ้าทุกวัน.” ผมนึกอยู่บ่อย ๆ ว่าจะมีผู้คนกี่มากน้อยมองเห็นป้ายนั้นตลอดเวลาหลายปีและได้รับการกระตุ้นให้อ่านคัมภีร์ไบเบิลของตน.
เอลวูดรับใช้ที่สำนักเบเธลกระทั่งปี 1956 เมื่อเขาแต่งงานกับเอมมา ไฟลต์. เอลวูดกับเอมมาทำงานด้วยกันหลายปีฐานะเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา เขาทำงานชั่วระยะหนึ่งในประเทศเคนยา, แอฟริกา, รวมทั้งสเปนด้วย. เอลวูดป่วยด้วยโรคมะเร็งและเสียชีวิตที่สเปนในปี 1978. เอมมายังคงทำงานเป็นไพโอเนียร์อยู่ที่สเปนกระทั่งเวลานี้.
แต่งงานและมีครอบครัว
เดือนกันยายน ปี 1953 ผมออกจากเบเธลเพื่อแต่งงานกับอลีส ริเวรา ไพโอเนียร์ในประชาคมบรุกลิน เซนเตอร์ ซึ่งผมเองร่วมประชุมที่นั่น. ผมบอกอลีสว่าผมมีความหวังจะไปสวรรค์ แต่เธอยังคงสนใจจะแต่งงานกับผม.—ฟิลิปปอย 3:14.
หลังจาก 23 ปีที่อยู่ในเบเธล ต้องปรับตัวมากทีเดียวเมื่อเริ่มงานอาชีพช่างทาสีเพื่ออลีสและผมจะอยู่ในงานไพโอเนียร์ได้. อลีสเป็นคนที่ให้การสนับสนุนเกื้อกูลเสมอ, แม้แต่เมื่อเธอจำต้องเลิกงานไพโอเนียร์ด้วยเหตุผลด้านสุขภาพ. ปี 1954 เราคาดหวังจะได้บุตรคนแรก. การคลอดไม่เป็นไปตามปกติ แม้จอห์น ลูกชายของเราปกติแข็งแรงดี. อลีสเสียเลือดไปมากระหว่างการผ่าท้องทำคลอดจนพวกแพทย์คิดว่าเธอไม่รอดแน่. มาถึงระดับหนึ่งแพทย์ไม่สามารถจับชีพจรได้ด้วยซ้ำ. แต่เธอก็รอดตายคืนนั้น และจากนั้นไม่นาน เธอกลับสู่สภาพปกติดีทุกอย่าง.
สองสามปีต่อมา คุณพ่อของอลีสเสียชีวิต เราจึงย้ายไปอยู่บ้านคุณแม่ของเธอที่เกาะลอง. เนื่องจากเราไม่มีรถยนต์ เราเดินหรือไม่ก็โดยสารรถประจำทางหรือรถไฟใต้ดิน. ด้วยวิธีนี้ผมสามารถทำงานไพโอเนียร์ได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้. ความชื่นชมยินดีจากงานรับใช้เต็มเวลามีค่ายิ่งกว่าการเสียสละใด ๆ. การช่วยผู้คน อาทิ โจ นาทาลี ผู้ซึ่งเลิกอาชีพแข่งเบสบอลที่ดูเหมือนจะทำให้เขามีชื่อเสียง แล้วเข้ามาเป็นพยานฯเป็นส่วนหนึ่งในบรรดาพระพรหลาย ๆ อย่างที่ผมได้รับ.
ปี 1967 เนื่องจากสภาพการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นในเขตมหานครนิวยอร์ก ผมจึงตัดสินใจพาอลีสและจอห์นกลับไปอยู่บ้านเดิมของผมที่เอลเลนส์เบอร์ก. ตอนนี้ผมรู้สึกว่าได้ประสบพระพรเมื่อเห็นหลานเหลนมากมายของคุณแม่มีส่วนร่วมในงานรับใช้ประเภทเต็มเวลา. บางคนทำงานรับใช้ที่สำนักเบเธลด้วยซ้ำไป. ส่วนจอห์นพร้อมทั้งภรรยาและลูกต่างก็รับใช้พระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์เช่นกัน.
น่าเศร้าจริง ๆ อลีสภรรยาสุดที่รักของผมเสียชีวิตเมื่อปี 1989. การที่ได้หมกมุ่นอยู่กับงานรับใช้เต็มเวลาทำให้ผมสามารถทนสู้การสูญเสีย. ขณะนี้ ผมกับอลีสน้องสาวชื่นชมกับงานไพโอเนียร์ด้วยกัน. ดีเพียงไรที่เราได้กลับมาอยู่ใต้ชายคาเดียวกันอีกและเราเองต่างก็เอาการเอางานในกิจกรรมอันสำคัญยิ่งนี้!
เมื่อฤดูใบไม้ผลิปี 1994 ผมได้เยี่ยมเบเธลเป็นหนแรกในรอบ 25 ปี. เป็นความรู้สึกชื่นชมยินดีเสียนี่กระไรที่ได้พบหลายสิบคนซึ่งผมเคยได้ร่วมงานด้วยเมื่อ 40 กว่าปีมาแล้ว! คราวที่ผมไปเบเธลปี 1930 มีแค่ 250 คนเท่านั้นในครอบครัว แต่ปัจจุบันครอบครัวเบเธลในบรุกลินมีจำนวนมากกว่า 3,500 คน!
ได้รับการค้ำจุนด้วยอาหารฝ่ายวิญญาณ
ยามเช้าตรู่แทบทุกวันผมออกไปเดินเล่นเลียบแม่น้ำยาคิมาใกล้บ้านของเรา. จากที่นั่นผมสามารถมองเห็นภูเขาเรนเนียร์อันสง่างามที่มีหิมะปกคลุม สูงตระหง่าน 14,000 กว่าฟุต. สัตว์ป่ามีมากมาย. บางครั้งผมเห็นกวาง, และมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมได้เห็นกวางแดงตัวใหญ่.
ในยามเงียบสงบและได้อยู่เพียงลำพังเช่นนี้ทำให้ผมมีเวลาคิดรำพึงถึงเรื่องการจัดเตรียมต่าง ๆ ที่น่าพิศวงของพระยะโฮวา. ผมทูลอธิษฐานขอกำลังเรี่ยวแรงเพื่อจะรับใช้พระยะโฮวา พระเจ้าของเราอย่างซื่อสัตย์ตลอดไป. นอกจากนี้ ผมมักจะเดินและร้องเพลงไปด้วย โดยเฉพาะเพลงบท 51 “ทำให้พระยะโฮวาสำราญพระทัย” เนื้อร้องว่าดังนี้: “พระเจ้า หมู่ข้าฯตั้งปฏิญาณ จะทำงานพระองค์ให้สมบูรณ์. เราจะเป็นส่วนร่วมงานเทิดทูน กระทำพระทัยพระองค์ยินดี.”
ผมปลื้มใจที่ได้เลือกทำงานซึ่งกระทำให้พระยะโฮวาสำราญพระทัย. ผมอธิษฐานขอทำงานนี้ต่อไปจนกว่าผมจะรับบำเหน็จในสวรรค์ตามที่ทรงสัญญาไว้. ผมหวังว่าเรื่องนี้อาจเป็นแรงบันดาลใจคนอื่นเช่นกันที่จะใช้ชีวิตของตน ‘ขวนขวายหาอาหารที่จะไม่เสื่อมสิ้นไป.’—โยฮัน 6:27, ล.ม.
[รูปภาพหน้า 23]
เอลวูดขณะเขียนป้ายอ่านคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระเจ้าทุกวัน
[รูปภาพหน้า 24]
กับแกรนต์ ซูตเทอร์และจอห์น เคอร์ซัน สาธิตการใช้หีบเสียง ณ การประชุมใหญ่ ปี 1940
[รูปภาพหน้า 25]
ปี 1944 พวกเราที่อยู่ในความจริงได้ทำงานรับใช้เต็มเวลา. เดวิด, อลีส. โจเอล, อีวา, เอลวูด, และแฟรนเซส
[รูปภาพหน้า 25]
พี่น้องร่วมอุทรที่ยังมีชีวิตอยู่ จากซ้าย: อลีส, อีวา, โจเอล, เดวิด, และแฟรนเซส