ได้รับการช่วยเหลือให้เอาชนะความอาย
เรื่องราวชีวิตจริง
ได้รับการช่วยเหลือให้เอาชนะความอาย
เล่าโดยรูท แอล. อัลริก
ดิฉันร้องไห้ออกมาที่บันไดหน้าประตูบ้านของนักเทศน์. เขาเพิ่งจะพูดฉอด ๆ กล่าวหาอย่างผิด ๆ โจมตีชาลส์ ที. รัสเซลล์ ซึ่งรับใช้ฐานะเป็นนายกคนแรกของสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์. ขอให้ดิฉันอธิบายว่า ขณะที่เป็นเพียงเด็กสาว ดิฉันทำการเยี่ยมผู้คนแบบนั้นได้อย่างไร.
ดิฉันเกิดในครอบครัวที่เคร่งศาสนามาก ณ ฟาร์มแห่งหนึ่งในรัฐเนแบรสกา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1910. ครอบครัวของเราอ่านคัมภีร์ไบเบิลด้วยกันทุกเช้าและทุกเย็นหลังจากรับประทานอาหาร. คุณพ่อเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนรวีวารศึกษาของคริสตจักรเมโทดิสต์ในวินไซด์ เมืองเล็ก ๆ ห่างจากฟาร์มของเราประมาณ 6 กิโลเมตร. เรามีรถม้าคันหนึ่งซึ่งมีม่านคลุมหน้าต่าง เพื่อเราจะเข้าร่วมที่โบสถ์ตอนเช้าวันอาทิตย์ได้ ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไรก็ตาม.
เมื่อดิฉันอายุประมาณแปดขวบ น้องชายตัวน้อย ๆ ของดิฉันป่วยด้วยโรคโปลิโอในวัยทารก และคุณแม่พาน้องไปรักษาที่สถานบำบัดในรัฐไอโอวา. ทั้ง ๆ ที่ท่านทุ่มเทเอาใจใส่ดูแลน้องก็ตาม น้องได้เสียชีวิตระหว่างอยู่ที่นั่น. อย่างไรก็ดี ในระหว่างช่วงเวลานั้น ตอนอยู่ที่รัฐไอโอวา คุณแม่ได้พบนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเป็นชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาในตอนนั้น. คุณแม่ได้สนทนากับเขาหลายเรื่อง และคุณแม่ถึงกับไปร่วมการประชุมบางรายการของกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับสุภาพสตรีคนนั้น.
เมื่อคุณแม่กลับบ้าน ท่านเอาชุดหนังสือคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) หลายเล่มติดตัวมาด้วย ซึ่งจัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์. ในไม่ช้า ท่านก็มั่นใจว่าพวกนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลสอนความจริง และคำสอนเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณมนุษย์และการทรมานคนชั่วตลอดกาลนั้นไม่จริง.—เยเนซิศ 2:7; ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10; ยะเอศเคล 18:4.
อย่างไรก็ตาม คุณพ่อหัวเสียมาก และท่านต่อต้านความ
พยายามของคุณแม่ที่จะเข้าร่วมการประชุมของกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. ท่านพาดิฉันกับแคลเรนซ์ พี่ชายของดิฉันไปโบสถ์กับท่านเสมอ. แต่เมื่อคุณพ่อไม่อยู่บ้าน คุณแม่ก็ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพวกเรา. ผลก็คือ พวกเราซึ่งเป็นเด็กมีโอกาสดีที่จะเปรียบเทียบคำสอนของกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับคำสอนที่โบสถ์ของเรา.ดิฉันกับแคลเรนซ์ได้เข้าร่วมโรงเรียนรวีวารศึกษาที่โบสถ์เป็นประจำ และเขาถามคำถามครูหลายข้อซึ่งเธอตอบไม่ได้. เมื่อเรามาถึงบ้าน เราเล่าให้คุณแม่ฟัง และนี่นำไปสู่การถกกันยืดยาวในหัวเรื่องเหล่านี้. ในที่สุด ดิฉันเลิกไปโบสถ์แล้วเริ่มเข้าร่วมการประชุมของกลุ่มนักศึกษาพระคัมภีร์กับคุณแม่ และไม่นานหลังจากนั้น แคลเรนซ์ก็ทำอย่างเดียวกัน.
การรับมือกับความอาย
ในเดือนกันยายน 1922 คุณแม่กับดิฉันได้เข้าร่วมการประชุมใหญ่ที่ยากจะลืมเลือนได้ของกลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในเมืองซีดาร์พอยต์ รัฐโอไฮโอ. ดิฉันยังคงจำภาพผืนผ้าขนาดมหึมาคลี่ออกได้ติดตาขณะที่โจเซฟ เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด นายกของสมาคมว็อชเทาเวอร์ในตอนนั้น กระตุ้นผู้เข้าร่วมประชุมมากกว่า 18,000 คน ด้วยถ้อยคำที่อยู่บนผืนผ้านั้นที่ว่า “จงโฆษณาพระมหากษัตริย์และราชอาณาจักร.” ดิฉันรู้สึกตื้นตันใจเหลือเกินและสำนึกถึงความเร่งด่วนที่จะบอกคนอื่นเกี่ยวกับข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้า.—มัดธาย 6:9, 10; 24:14.
ณ การประชุมใหญ่ที่จัดขึ้นตั้งแต่ปี 1922 ถึงปี 1928 ได้มีการยอมรับมติที่ออกมาเป็นชุด ๆ และเนื้อหาของมตินั้นได้รับการรวบรวมไว้ในแผ่นพับที่กลุ่มนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลแจกจ่ายไปหลายสิบล้านแผ่นแก่ประชาชนตลอดทั่วโลก. ดิฉันเป็นคนผอมสูง—พวกเขาเรียกดิฉันว่าเกรเฮานด์ (สุนัขวิ่งแข่ง)—และดิฉันวิ่งจากบ้านหนึ่งไปยังอีกบ้านหนึ่งเพื่อแจกจ่ายข่าวสารที่ได้รับการพิมพ์นี้. ดิฉันชอบงานนี้จริง ๆ. กระนั้น การพูดคุยที่หน้าประตูบ้าน บอกคนอื่นเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าด้วยตัวเองนั้นเป็นคนละเรื่องกัน.
ดิฉันเป็นคนขี้อายจนถึงกับหวาดกลัวด้วยซ้ำเมื่อคุณแม่เชิญญาติกลุ่มใหญ่มาที่บ้านทุกปี. ดิฉันหายเข้าไปในห้องนอนแล้วไม่ออกมา. ครั้งหนึ่ง คุณแม่ต้องการถ่ายรูปของทั้งครอบครัว และท่านเรียกดิฉันออกมา. เพราะไม่ต้องการร่วมกับพวกเขา ดิฉันร้องกรี๊ดขณะที่แม่ลากตัวดิฉันออกมาจากห้อง.
อย่างไรก็ตาม วันนั้นก็มาถึงเมื่อดิฉันเอาหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลบางเล่มใส่ในกระเป๋าด้วยความตั้งใจแน่วแน่. ดิฉันพูดครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ฉันทำไม่ได้หรอก” แต่อีกสักครู่ดิฉันก็บอกตัวเองว่า “ฉันต้องทำให้ได้.” ในที่สุด ดิฉันก็ไปประกาศ. ภายหลัง ดิฉันมีความสุขมากที่ได้รวบรวมความกล้าที่จะออกไป. ความยินดีใหญ่หลวงของดิฉัน แท้จริงแล้วไม่ใช่ขณะที่ทำงานนั้น แต่เมื่อได้ทำงานนั้นให้เสร็จ. ประมาณช่วงนั้นแหละที่ดิฉันพบนักเทศน์ที่กล่าวถึงในตอนต้นแล้วก็เดินร้องไห้ออกมา. ขณะที่เวลาผ่านไป พร้อมด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา ดิฉันสามารถพูดคุยกับประชาชนที่หน้าประตูบ้านของเขา และความยินดีของดิฉันเพิ่มขึ้น. ครั้นแล้ว ในปี 1925 ดิฉันได้แสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวแด่พระยะโฮวาโดยการรับบัพติสมาในน้ำ.
เริ่มต้นงานเผยแพร่เต็มเวลา
ตอนอายุ 18 ปี ดิฉันซื้อรถยนต์คันหนึ่งด้วยเงินที่ได้รับมรดกจากคุณป้า แล้วเริ่มเป็นไพโอเนียร์ ซึ่งเป็นชื่อเรียกงานเผยแพร่เต็มเวลา. สองปีต่อมา ในปี 1930 ดิฉันกับเพื่อนร่วมงานได้รับเขตมอบหมายงานประกาศ. ถึงตอนนั้นแคลเรนซ์ได้เริ่มเป็นไพโอเนียร์ด้วย. หลังจากนั้นไม่นานเขาตอบรับคำเชิญให้ไปรับใช้ที่เบเธล สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในบรุกลิน นิวยอร์ก.
ราว ๆ ช่วงนั้นคุณพ่อคุณแม่ของเราได้แยกกันอยู่ ดังนั้น คุณแม่กับดิฉันได้สร้างบ้านรถพ่วงขึ้นแล้วเริ่มเป็นไพโอเนียร์ด้วยกัน. ประมาณช่วงนั้นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นในสหรัฐ. ที่จะอยู่ต่อไปในงานไพโอเนียร์กลายเป็นเรื่องท้าทายทีเดียว แต่เราได้ตั้งใจที่จะไม่เลิกรา. เราเอาสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลแลกกับไก่, ไข่, และผลิตผลจากสวน อีกทั้งของต่าง ๆ เช่น แบตเตอรี่เก่า ๆ และอะลูมิเนียมที่ทิ้งแล้ว. สองอย่างหลังนี้เราขายเพื่อได้เงินซื้อน้ำมันสำหรับรถยนต์และเพื่อชำระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ. ดิฉันยังเรียนวิธีอัดจาระบีและเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเองด้วยเพื่อประหยัดเงิน. จริงตามคำสัญญาของพระองค์ เราเห็นแล้วว่า พระยะโฮวาทรงเปิดทางเพื่อช่วยเราเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ.—มัดธาย 6:33.
ออกไปสู่งานมอบหมายเป็นมิชชันนารี
ในปี 1946 ดิฉันได้รับเชิญให้เข้าร่วมชั้นเรียนที่เจ็ดโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แห่งกิเลียด ซึ่งตั้งอยู่ใกล้เซาท์แลนซิง นิวยอร์ก. ถึงตอนนั้น คุณแม่กับดิฉันเป็นไพโอเนียร์ด้วยกันมามากกว่า 15 ปีแล้ว กระนั้น ท่านก็ไม่ต้องการขัดขวางโอกาสที่ดิฉันจะได้รับการอบรมสำหรับงานมิชชันนารี. ดังนั้น ท่านสนับสนุนดิฉันให้รับเอาสิทธิพิเศษที่จะเข้าโรงเรียนกิเลียด. หลังจากสำเร็จการศึกษา มาร์ทา เฮสส์ จากเมืองพีโอเรีย รัฐอิลลินอยส์ กับดิฉันได้เป็นเพื่อนร่วมงานกัน. เราพร้อมกับคนอื่นอีกสองคนได้รับมอบหมายไปเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ เป็นเวลาหนึ่งปีขณะที่เรารอการมอบหมายไปต่างประเทศ.
การมอบหมายดังกล่าวมาถึงในปี 1947. มาร์ทากับดิฉันได้รับมอบหมายไปที่ฮาวาย. เนื่องจากเป็นเรื่องง่ายที่จะโยกย้ายเข้าไปยังเกาะเหล่านี้ คุณแม่จึงมาอาศัยอยู่ใกล้พวกเราในเมืองฮอนโนลูลู. สุขภาพของท่านเสื่อมทรุดลง ดังนั้น พร้อมกับการเอาใจใส่งานมิชชันนารีของตัวเอง ดิฉันก็ได้ช่วยเหลือคุณแม่ด้วย. ดิฉันสามารถเอาใจใส่ดูแลท่านจนกระทั่งท่านเสียชีวิตในฮาวายเมื่อปี 1956 ขณะอายุ 77 ปี. ตอนที่เรามาถึง มีพยานฯ ประมาณ 130 คนในฮาวาย แต่ตอนที่คุณแม่เสียชีวิต มีพยานฯ มากกว่าหนึ่งพันคนแล้ว และไม่จำเป็นต้องมีมิชชันนารีอีกต่อไป.
ต่อมา มาร์ทากับดิฉันได้รับจดหมายจากสมาคมว็อชเทาเวอร์ที่เสนอเขตมอบหมายในญี่ปุ่นให้เรา. ความห่วงใยอันดับแรกของเราคือ อายุขนาดเราสามารถเรียนภาษาญี่ปุ่นได้หรือไม่. ตอนนั้นดิฉันอายุ 48 ปี และมาร์ทาอ่อนกว่าดิฉันเพียงสี่ปีเท่านั้น. แต่เรามอบเรื่องนั้นไว้ในพระหัตถ์ของพระยะโฮวาและยอมรับงานมอบหมาย.
ทันทีหลังจากการประชุมนานาชาติปี 1958 ณ สนามกีฬาแยงกีและสนามโปโลในนครนิวยอร์ก เราออกเดินทาง
ไปโตเกียวโดยทางเรือ. พายุไต้ฝุ่นโหมกระหน่ำเราขณะเข้าใกล้ท่าเรือที่โยโกฮามา ที่นั่นเราพบดอนและเมเบล แฮสเลตต์, ลอยด์กับเมลบา แบร์รี, และมิชชันนารีคนอื่น ๆ. ตอนนั้น มีพยานฯ เพียง 1,124 คนในญี่ปุ่น.เราเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นและเข้าร่วมในงานเผยแพร่ตามบ้านเรือนทันที. โดยใช้อักษรภาษาอังกฤษ เราเขียนคำที่จะพูด แล้วอ่านออกมาเป็นภาษาญี่ปุ่น. เมื่อตอบ เจ้าของบ้านจะพูดว่า “โยโรชิอิ เดสึ” หรือ “เคกโค เดสึ” ซึ่งเราได้เรียนความหมายว่า “ดีแล้ว” หรือ “ดีมาก.” แต่เรามักจะไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านสนใจหรือไม่ เนื่องจากมีการใช้คำเหล่านั้นเพื่อแสดงการปฏิเสธด้วย. ความหมายขึ้นอยู่กับน้ำเสียงที่ใช้หรือสีหน้าของคนพูด. เราต้องใช้เวลาในการเรียนรู้เพื่อจะเข้าใจความหมายของน้ำเสียงหรือสีหน้า.
ประสบการณ์ที่ทำให้หัวใจดิฉันอบอุ่น
ขณะที่ยังคงพยายามเรียนภาษาอยู่นั้น วันหนึ่งดิฉันไปเยี่ยมหอพักของบริษัทมิตซูบิชิและพบผู้หญิงอายุ 20 ปีคนหนึ่ง. เธอก้าวหน้าเป็นอย่างดีในด้านความรู้เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลและได้รับบัพติสมาในปี 1966. หนึ่งปีต่อมาเธอเริ่มเป็นไพโอเนียร์ และไม่นานหลังจากนั้นก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นไพโอเนียร์พิเศษ. เธอรับใช้ในฐานะดังกล่าวตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา. นั่นเป็นแรงบันดาลใจสำหรับดิฉันเสมอมาที่เห็นวิธีที่เธอใช้เวลาและพละกำลังตั้งแต่วัยสาวในงานเผยแพร่เต็มเวลา.
การยืนหยัดเพื่อความจริงของคัมภีร์ไบเบิลเป็นข้อท้าทายที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้คนซึ่งอยู่ในสังคมที่ไม่ใช่คริสเตียน. กระนั้น หลายพันคนได้รับมือกับข้อท้าทายนี้ รวมทั้งคนเหล่านั้นหลายคนที่ดิฉันได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลด้วย. พวกเขาได้ทิ้งแท่นบูชาราคาแพงของศาสนาพุทธและหิ้งบูชาของศาสนาชินโตซึ่งสืบทอดกันมาตามที่พบได้ในบ้านของชาวญี่ปุ่น. เนื่องจากบางครั้งญาติพี่น้องแปลความหมายผิดว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการไม่นับถือต่อกิจการ 19:18-20.
บรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว คนใหม่ ๆ จึงจำเป็นต้องมีความกล้าหาญเพื่อจะทำเช่นนี้ได้. การกระทำที่กล้าหาญของพวกเขาทำให้คิดถึงอดีตเกี่ยวกับคนเหล่านั้นในท่ามกลางพวกคริสเตียนยุคแรกซึ่งได้สลัดตัวจากสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการเท็จ.—ดิฉันจำได้ถึงนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่ง เป็นแม่บ้านซึ่งวางแผนว่าจะย้ายออกจากโตเกียวพร้อมกับครอบครัวของเธอ. เธอต้องการย้ายเข้าบ้านใหม่ซึ่งไม่มีวัตถุที่เกี่ยวข้องกับการนมัสการแบบนอกรีต. ดังนั้น เธอบอกสามีให้ทราบความประสงค์ของเธอ และเขาก็ร่วมมือด้วยความเต็มใจ. เธอเล่าให้ดิฉันฟังเรื่องนั้นด้วยความยินดี แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า เธอเก็บแจกันหินอ่อนขนาดใหญ่ราคาแพงใบหนึ่งซึ่งเธอได้ซื้อมานั้นไว้ เพราะกล่าวกันว่านั่นรับประกันความสุขในบ้าน. เนื่องจากเธอมีความสงสัยว่าแจกันนั้นมีความเกี่ยวพันกับการนมัสการเท็จ เธอจึงเอาฆ้อนทุบแจกันนั้นแตกแล้วทิ้งไป.
การเห็นสตรีผู้นี้และคนอื่นเต็มใจกำจัดวัตถุราคาแพงซึ่งเกี่ยวข้องกับการนมัสการเท็จและเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างกล้าหาญในการรับใช้พระยะโฮวานับเป็นประสบการณ์ที่ให้บำเหน็จ และน่าพอใจมากที่สุดสำหรับดิฉัน. ดิฉันขอบพระคุณพระยะโฮวาเสมอที่สามารถชื่นชมกับงานรับใช้ประเภทมิชชันนารีมากกว่า 40 ปีในญี่ปุ่น.
“การอัศจรรย์” สมัยใหม่
เมื่อหวนคิดถึงการที่ดิฉันอยู่ในงานรับใช้เต็มเวลามากกว่า 70 ปี ดิฉันรู้สึกพิศวงในสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการอัศจรรย์สมัยใหม่สำหรับตัวเอง. ตอนเป็นเด็กสาวที่เป็นทุกข์ด้วยความอาย ดิฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองจะสามารถใช้เวลาทั้งชีวิตในการริเริ่มพูดคุยกับประชาชนในเรื่องราชอาณาจักรซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่อยากฟังแต่อย่างใด. กระนั้น ไม่เฉพาะดิฉันคนเดียวที่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่ดิฉันได้เห็นคนอื่น ๆ ถ้าไม่ใช่เป็นพัน ก็เป็นหลายร้อยคนที่ทำอย่างเดียวกัน. และพวกเขาได้ทำเช่นนั้นด้วยประสิทธิภาพถึงขนาดที่พยานฯ แค่พันกว่าคนในญี่ปุ่นตอนที่ดิฉันมาถึงในปี 1958 นั้นได้เพิ่มขึ้นเป็น 222,000 กว่าคนในปัจจุบัน!
เมื่อมาร์ทากับดิฉันมาถึงญี่ปุ่นตอนแรก เราได้รับมอบหมายให้อยู่ ณ สำนักงานสาขาในโตเกียว. ในปี 1963 มีการสร้างอาคารสาขาหลังใหม่สูงหกชั้นขึ้นในที่เดียวกันนั้น และเราอยู่ที่นั่นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา. ในเดือนพฤศจิกายน 1963 เราอยู่ในท่ามกลาง 163 คนซึ่งเข้าร่วมในคำบรรยายอุทิศโดยลอยด์ แบร์รีผู้ดูแลสาขาของเรา. ตอนนั้นเราได้บรรลุยอดพยานฯ 3,000 คนในญี่ปุ่น.
เป็นเรื่องน่ายินดีที่เห็นงานประกาศราชอาณาจักรเจริญเติบโตอย่างน่าทึ่ง มีถึง 14,000 คนในปี 1972 ตอนที่สาขาซึ่งขยายใหม่แล้วเสร็จในเมืองนูมาสึ. แต่พอถึงปี 1982 มีผู้ประกาศราชอาณาจักรมากกว่า 68,000 คนในญี่ปุ่น และมีการสร้างอาคารสาขาที่ใหญ่กว่ามากในเมืองเอบินา ห่างจากโตเกียวประมาณ 80 กิโลเมตร.
ในระหว่างนั้น อาคารสาขาเดิมในใจกลางกรุงโตเกียวได้รับการบูรณะ. ในที่สุด อาคารนั้นใช้เป็นบ้านพักมิชชันนารีสำหรับมิชชันนารีมากกว่า 20 คนซึ่งได้รับใช้ในญี่ปุ่นเป็นเวลา 40, 50 ปี, หรือมากกว่านั้น รวมทั้งดิฉันกับมาร์ทา เฮสส์ เพื่อนร่วมงานเก่าแก่ของดิฉัน. แพทย์คนหนึ่งกับภรรยาของเขาซึ่งเป็นพยาบาลอยู่ในบ้านของเราด้วย. เขาดูแลเรา เอาใจใส่ด้วยความรักต่อความจำเป็นด้านสุขภาพของเรา. ไม่นานมานี้ มีการเพิ่มพยาบาลเข้ามาอีกคนหนึ่งและพี่น้องหญิงคริสเตียนหลายคนมาเป็นผู้ช่วยพยาบาลในช่วงกลางวัน. สมาชิกสองคนจากครอบครัวเบเธลในเอบินาผลัดเปลี่ยนกันมาเพื่อเตรียมอาหารและทำความสะอาดบ้านของเรา. ที่จริง พระยะโฮวาทรงดีต่อเราเสมอมา.—บทเพลงสรรเสริญ 34:8, 10.
เหตุการณ์เด่นอย่างหนึ่งในชีวิตมิชชันนารีของดิฉันเกิดขึ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่แล้ว 36 ปีหลังจากการอุทิศอาคารซึ่งพวกเราหลายคนที่เป็นมิชชันนารีมานานแล้วอาศัยอยู่ในตอนนี้. ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 1999 ดิฉันอยู่ในท่ามกลาง 4,486 คน รวมทั้งผู้ที่เป็นพยานฯ มานานหลายร้อยคนจาก 37 ประเทศ ซึ่งได้เข้าร่วมในการอุทิศอาคารต่าง ๆ ที่มีการขยาย ณ สาขาญี่ปุ่นของสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ในเอบินา. ปัจจุบัน มีประมาณ 650 คนในครอบครัวสาขานั้น.
ระหว่างช่วงเวลาเกือบ 80 ปีตั้งแต่ดิฉันเริ่มไปตามบ้านเรือนด้วยความอายและประหม่าเพื่อเสนอข่าวสารในคัมภีร์ไบเบิล พระยะโฮวาทรงเป็นผู้ช่วยที่เสริมกำลังแก่ดิฉัน. พระองค์ได้ทรงช่วยดิฉันให้เอาชนะความอาย. ดิฉันเชื่อมั่นว่าพระยะโฮวาทรงสามารถใช้ใคร ๆ ที่วางใจในพระองค์ กระทั่งคนเหล่านั้นที่ขี้อายเหลือเกินอย่างดิฉัน. และดิฉันมีชีวิตที่น่าพอใจเสียจริง ๆ ในการพูดคุยกับคนแปลกหน้าเกี่ยวกับพระยะโฮวา พระเจ้าของเรา!
[ภาพหน้า 21]
กับคุณแม่และแคลเรนซ์ ซึ่งมาจากเบเธลมาเยี่ยมเรา
[ภาพหน้า 23]
สมาชิกในชั้นของเราเรียนกันในสนามหญ้าที่โรงเรียนกิเลียดใกล้เซาท์แลนซิง นิวยอร์ก
[ภาพหน้า 23]
ซ้าย: ดิฉัน, มาร์ทา เฮสส์, และคุณแม่ในฮาวาย
[ภาพหน้า 24]
ขวา: สมาชิกบ้านพักมิชชันนารีของเราในโตเกียว
[ภาพหน้า 24]
ล่าง: กับมาร์ทา เฮสส์ เพื่อนร่วมงานเก่าแก่ของดิฉัน
[ภาพหน้า 25]
การอุทิศอาคารสาขาของเราที่ได้รับการขยายในเอบินาเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา