จากการสร้างอาวุธมาสู่การช่วยชีวิต
เรื่องชีวิตจริง
จากการสร้างอาวุธมาสู่การช่วยชีวิต
เล่าโดย อีซีดอรอส อิสไมลีดิส
ผมคุกเข่า น้ำตาไหลอาบแก้ม. ผมอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า สติรู้สึกผิดชอบบอกข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าไม่อาจทำงานในการผลิตอาวุธได้อีกต่อไป. ข้าพเจ้าพยายามอย่างหนักเพื่อจะหางานอื่นแล้ว แต่ยังหาไม่ได้. พรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะยื่นใบลาออก. ข้าแต่พระยะโฮวา ขอโปรดอย่าทรงปล่อยให้ลูกสี่คนของข้าพเจ้าอดอยาก.” ผมมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?
ผมเกิดในเขตดรามา ทางภาคเหนือของกรีซ เมื่อปี 1932. ชีวิตที่นั่นสงบและเรียบง่าย. คุณพ่อคุยกับผมเสมอว่าท่านอยากให้ผมทำอะไร. ท่านสนับสนุนให้ผมไปเรียนต่อที่สหรัฐ. หลังจากประเทศกรีซถูกปล้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 คำขวัญที่ชาวกรีกนิยมกันคือ “ขโมยของของเราได้ แต่ขโมยสิ่งที่อยู่ในใจของเราไม่ได้.” ผมมุ่งมั่นจะเรียนมหาวิทยาลัยและสะสมสิ่งที่ไม่มีใครจะขโมยไปได้.
ตั้งแต่ผมเป็นเด็ก ผมเข้าร่วมกับกลุ่มเยาวชนหลายกลุ่มซึ่งได้รับการสนับสนุนจากคริสตจักรกรีกออร์โทด็อกซ์. พวกเราถูกสอนให้หลีกเลี่ยงนิกายอันตรายต่าง ๆ. ผมจำได้ดีเป็นพิเศษว่ามีการเอ่ยชื่อกลุ่มหนึ่ง นั่นคือพวกพยานพระยะโฮวา เนื่องจากคิดกันว่าพวกเขาเป็นกลุ่มต่อต้านพระคริสต์.
หลังจากผมสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคแห่งกรุงเอเธนส์เมื่อปี 1953 ผมเดินทางไปเยอรมนีเพื่อหางานทำและเรียนไปด้วยในเวลาเดียวกัน. แต่เนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จ ผมจึงเดินทางไปประเทศอื่น. ไม่กี่สัปดาห์ผ่านไป ผมก็มาอยู่ที่ท่าเรือแห่งหนึ่งในเบลเยียมโดยไม่มีเงินติดตัวเลย. ผมจำได้ว่าผมเดินเข้าไปในโบสถ์แห่งหนึ่ง นั่งลงและร้องไห้มากจนน้ำตาหยดลงบนพื้นข้างหน้าผม. ผมอธิษฐานว่าหากพระเจ้าทรงช่วยผมไปสหรัฐ ผมจะไม่แสวงหา
ทรัพย์สมบัติ แต่จะเรียนหนังสือและพยายามเป็นคริสเตียนและพลเมืองที่ดี. ในที่สุด ในปี 1957 ผมก็ไปถึงสหรัฐ.ชีวิตใหม่ในสหรัฐ
ชีวิตในสหรัฐนั้นยากลำบากมากสำหรับคนเข้าเมืองที่พูดภาษาไม่ได้และไม่มีเงิน. ผมทำงานสองที่ในตอนกลางคืนและพยายามไปโรงเรียนในตอนกลางวัน. ผมเข้าเรียนในวิทยาลัยหลายแห่งและได้รับอนุปริญญา. แล้วผมก็เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่นครลอสแอนเจลิสและได้รับปริญญาตรีทางฟิสิกส์ประยุกต์. คำของพ่อที่เน้นเรื่องการศึกษาเล่าเรียนช่วยให้ผมผ่านพ้นช่วงเวลาอันยากลำบากนั้นมาได้.
ช่วงนั้น ผมพบสาวกรีกน่ารักคนหนึ่งชื่อเอคาเทรีนี และเราแต่งงานกันในปี 1964. ลูกชายคนแรกของเราเกิดมาหลังจากนั้นสามปี และช่วงไม่ถึงสี่ปีต่อจากนั้น เราก็มีลูกชายอีกสองคนและลูกสาวคนหนึ่ง. เป็นเรื่องท้าทายจริง ๆ ที่จะหาเลี้ยงครอบครัวและในเวลาเดียวกันก็เรียนมหาวิทยาลัยไปด้วย.
ผมทำงานให้กองทัพอากาศสหรัฐ ในหน่วยขีปนาวุธและอวกาศในซันนีเวล รัฐแคลิฟอร์เนีย. ผมร่วมในโครงการการบินและอวกาศหลายโครงการ รวมทั้งโครงการเอเจนาและโครงการอะพอลโล. ผมถึงกับได้รับเหรียญประกาศเกียรติคุณเนื่องจากมีส่วนช่วยในเที่ยวบินอะพอลโล 8 และอะพอลโล 11. หลังจากนั้น ผมศึกษาต่อและเข้าไปพัวพันอย่างใกล้ชิดกับโครงการอวกาศทางการทหารหลายโครงการ. เมื่อถึงตอนนี้ ผมคิดว่าผมมีครบทุกอย่างแล้ว—ภรรยาที่น่ารัก, ลูก ๆ ที่ดีสี่คน, งานที่มีเกียรติ, และบ้านที่น่าอยู่.
เพื่อนที่พากเพียร
ต้นปี 1967 ผมรู้จักกับจิมในที่ทำงาน เขาเป็นคนถ่อมมากและกรุณา. จิมดูเหมือนจะยิ้มอยู่ตลอดเวลา และเขาไม่เคยปฏิเสธคำเชิญที่จะพักกินกาแฟกับผม. เขาใช้โอกาสช่วงนั้นแบ่งปันความรู้จากคัมภีร์ไบเบิลกับผม. จิมบอกผมว่าเขากำลังศึกษากับพยานพระยะโฮวา.
ผมตกใจมากที่รู้ว่าจิมเข้าไปพัวพันกับกลุ่มศาสนานี้. เป็นไปได้อย่างไรที่คนดี ๆ อย่างเขาจะเป็นเหยื่อของนิกายต่อต้านพระคริสต์? อย่างไรก็ตาม ผมไม่อาจปฏิเสธความสนใจเป็นส่วนตัวและความกรุณาของจิมได้. ดูเหมือนว่าทุกวันเขาจะมีอะไรมาให้ผมอ่านเสมอ. ตัวอย่างเช่น วันหนึ่งเขามาที่ห้องทำงานของผมและบอกว่า “อีซีดอรอส บทความนี้ในหอสังเกตการณ์ พูดถึงการเสริมสร้างชีวิตครอบครัวให้มั่นคง. เอาไปอ่านกับภรรยาของคุณที่บ้านสิ.” ผมบอกเขาว่าผมจะอ่าน แต่หลังจากนั้นผมเข้าไปในห้องน้ำและฉีกวารสารนั้นเป็นชิ้น ๆ และทิ้งลงถังขยะ.
เป็นเวลาสามปี ผมทำลายหนังสือและวารสารทุกเล่มที่จิมให้ผม. เนื่องจากมีอคติต่อพยานพระยะโฮวาแต่ยังอยากจะรักษามิตรภาพของจิมไว้ ผมจึงคิดว่าดีที่สุดที่จะฟังเขาพูดแล้วลืมมันไปทันที.
อย่างไรก็ตาม จากการพูดคุยกันเหล่านั้น ผมได้มาเข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ ที่ผมเชื่อและปฏิบัติไม่มีพื้นฐานจากคัมภีร์ไบเบิล. ผมตระหนักว่าคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพ, ไฟนรก, และสภาพอมตะของจิตวิญญาณไม่ได้ท่านผู้ประกาศ 9:10; ยะเอศเคล 18:4; โยฮัน 20:17) เนื่องจากเป็นชาวกรีกออร์โทด็อกซ์ที่ถือทิฐิ ผมจึงไม่ต้องการยอมรับตรง ๆ ว่าจิมเป็นฝ่ายถูก. แต่เนื่องจากเขาใช้คัมภีร์ไบเบิลเสมอและไม่เคยให้ความเห็นของเขาเอง ในที่สุดผมก็ยอมรับว่าคนคนนี้มีข่าวสารที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิลให้ผม.
เป็นไปตามหลักพระคัมภีร์. (ภรรยาของผมรู้สึกว่า มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น และเธอถามว่าผมได้คุยกับเพื่อนที่คบหากับพวกพยานฯ หรือ. เมื่อผมตอบว่าใช่ เธอบอกว่า “ให้เราไปโบสถ์ไหนก็ได้เว้นแต่พยานพระยะโฮวา.” อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักผมกับภรรยาและลูก ๆ ก็เข้าร่วมประชุมกับพวกพยานฯ เป็นประจำ.
การตัดสินใจอันยากยิ่ง
เมื่อผมศึกษาคัมภีร์ไบเบิลต่อไป ผมก็ได้อ่านถ้อยคำของผู้พยากรณ์ยะซายาที่ว่า “เขาทั้งหลายจะเอาดาบของเขาตีเป็นผาลไถนา, และเอาหอกตีเป็นขอสำหรับลิดแขนง; ประเทศต่อประเทศจะไม่ยกดาบขึ้นต่อสู้กัน, และเขาจะไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป.” (ยะซายา 2:4) ผมถามตัวเองว่า ‘ผู้รับใช้ของพระเจ้าผู้ทรงรักสันติจะทำงานเป็นผู้ออกแบบและผลิตอาวุธที่ใช้ในการทำลายล้างได้อย่างไร?’ (บทเพลงสรรเสริญ 46:9) ไม่นานเท่าไรผมก็ตระหนักว่าผมต้องเปลี่ยนงาน.
ไม่ยากที่จะเข้าใจว่า นี่เป็นข้อท้าทายทีเดียว. ผมมีงานที่มีเกียรติ. ผมตรากตรำทำงานหนัก ศึกษาเล่าเรียน และทุ่มเทมาหลายปีเพื่อจะมาถึงจุดนี้ได้. ผมไต่เต้าขึ้นมาในหน้าที่การงาน และตอนนี้ผมกำลังจะทิ้งอาชีพของผมไป. อย่างไรก็ตาม ในที่สุดความรักอันลึกซึ้งต่อพระยะโฮวาและความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์ก็มีชัย.—มัดธาย 7:21.
ผมตัดสินใจทำงานให้กับบริษัทหนึ่งในเมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน. แต่ผมก็ต้องผิดหวัง ไม่นานนักผมพบว่าผมพัวพันมากยิ่งขึ้นกับงานที่ไม่ประสานกับยะซายา 2:4. ผมพยายามจะทำงานในโครงการอื่นเท่านั้น แต่ก็ไม่สำเร็จ และอีกครั้งหนึ่งที่สติรู้สึกผิดชอบรบกวนผม. ผมเข้าใจชัดเจนว่าผมไม่อาจรักษางานของผมไว้และในเวลาเดียวกันมีสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาดได้.—1 เปโตร 3:21.
เห็นได้ชัดว่าพวกเราจะต้องทำการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่. ภายในเวลาหกเดือน เราเปลี่ยนรูปแบบชีวิตและลดค่าใช้จ่ายของครอบครัวลงครึ่งหนึ่ง. แล้วเราก็ขายบ้านที่หรูหราไปและซื้อหลังเล็ก ๆ ในเมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด. ตอนนี้ผมพร้อมจะดำเนินขั้นตอนสุดท้ายแล้ว คือการลาออกจากงาน. ผมพิมพ์ใบลาออก อธิบายจุดยืนเรื่องสติรู้สึกผิดชอบของผม. คืนนั้น หลังจากเด็ก ๆ หลับกันหมดแล้ว ผมคุกเข่าลงกับภรรยาและเราอธิษฐานทูลพระยะโฮวาดังที่พรรณนาไว้ตอนต้นบทความนี้.
ไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากนั้น เราย้ายไปเดนเวอร์ และสองสัปดาห์ต่อมา ในเดือนกรกฎาคม 1975 ผมกับภรรยารับบัพติสมา. ผมหางานทำไม่ได้เป็นเวลาหกเดือน และเราใช้เงินออมของเราจนร่อยหรอลงทีละน้อย. ในเดือนที่เจ็ด เงินในบัญชีของเราเหลืออยู่น้อยกว่าค่าส่งบ้านประจำเดือน. ผมเริ่มหางานแบบไหนก็ได้ แต่ทันทีหลังจากนั้น ผมก็มัดธาย 6:33.
ได้งานเป็นวิศวกร. ผมได้เงินเดือนครึ่งหนึ่งของที่ผมเคยได้; แต่ก็ยังมากกว่าที่ผมขอจากพระยะโฮวามากนัก. ผมมีความสุขเพียงไรที่ผมจัดเอาผลประโยชน์ฝ่ายวิญญาณไว้เป็นอันดับแรก.—การอบรมลูก ๆ ให้รักพระยะโฮวา
ในระหว่างนั้น ผมกับเอคาเทรีนีก็ยุ่งกับงานที่ท้าทายเรื่องการอบรมลูก ๆ สี่คนตามหลักการของพระเจ้า. น่าดีใจ ด้วยความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาเราจึงได้เห็นพวกเขาทั้งสี่คนเป็นคริสเตียนที่อาวุโส อุทิศชีวิตของตนเต็มที่ในงานสำคัญคือการประกาศราชอาณาจักร. ลูกชายทั้งสามคนของเรา คริสตอส, ลาคิส, และเกรกอรีสำเร็จจากโรงเรียนฝึกอบรมเพื่องานรับใช้และตอนนี้กำลังรับใช้ในงานมอบหมายหลายอย่างรวมทั้งไปเยี่ยมและเสริมสร้างประชาคมต่าง ๆ. ตูลา ลูกสาวของเรา ทำงานเป็นอาสาสมัครที่สำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาที่นครนิวยอร์ก. เราประทับใจที่เห็นลูก ๆ ทุกคนสละงานอาชีพที่ดีซึ่งมีรายได้งามเพื่อจะรับใช้พระยะโฮวา.
หลายคนถามว่าอะไรเป็นเคล็ดลับของการเลี้ยงดูลูกจนประสบความสำเร็จอย่างนี้. แน่นอน ไม่มีสูตรสำเร็จในการเลี้ยงดูลูก แต่เราบากบั่นพยายามปลูกฝังให้พวกเขารักพระยะโฮวาและรักเพื่อนบ้านด้วยหัวใจ. (พระบัญญัติ 6:6, 7; มัดธาย 22:37-39) ลูก ๆ เรียนรู้ว่าเราไม่อาจทูลพระยะโฮวาว่าเรารักพระองค์นอกจากการกระทำของเราแสดงอย่างนั้นจริง ๆ.
หนึ่งวันต่อสัปดาห์ ตามปกติเป็นวันเสาร์ เราจะรับใช้ร่วมกันเป็นครอบครัว. เรามีการศึกษาพระคัมภีร์ประจำครอบครัวตอนเย็นวันจันทร์หลังอาหารมื้อเย็น และเราก็มีการศึกษากับลูกแต่ละคนด้วย. เมื่อลูก ๆ ยังเล็ก เราศึกษากับเขาแต่ละคนโดยใช้เวลาสั้น ๆ สัปดาห์ละหลายครั้ง และเมื่อพวกเขาโตขึ้น เราก็ศึกษากันนานขึ้นสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง. ระหว่างการศึกษา ลูกของเราจะเปิดใจและปรึกษาปัญหาของพวกเขากับเรา.
เรายังมีนันทนาการที่เสริมสร้างกันเป็นครอบครัวด้วย. เราชอบเล่นดนตรีด้วยกัน และลูกแต่ละคนก็ชอบเล่นเพลงโปรดของตัวเอง. ในวันสุดสัปดาห์ บางครั้งเราเชิญครอบครัวอื่นมาสังสรรค์กันในแบบที่เสริมสร้าง. เรายังไปพักร้อนกันเป็นครอบครัวด้วย. ครั้งหนึ่ง เราใช้เวลาสองสัปดาห์ท่องเที่ยวในเขตเทือกเขาของรัฐโคโลราโดและทำงานกับประชาคมท้องถิ่นในงานเผยแพร่ตามบ้าน. ลูก ๆ ของเรายังจำการทำงานในแผนกต่าง ๆ ของการประชุมภาคและการช่วยก่อสร้างหอประชุมราชอาณาจักรในหลายแห่งได้ด้วยความชื่นชม. เมื่อเราพาลูก ๆ ไปกรีซเพื่อพบกับญาติ ๆ พวกเขายังสามารถพบกับพยานฯ ที่ซื่อสัตย์หลายคนซึ่งเคยถูกคุมขังเนื่องจากความเชื่อของตน. สิ่งนี้ทำให้พวกเขาประทับใจ
มาก และช่วยเขาให้ตั้งใจแน่วแน่จะรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงและความกล้าหาญเพื่อความจริง.แน่นอน บางครั้งลูกบางคนประพฤติไม่ดีหรือเลือกคบเพื่อนไม่ดี. บางครั้งเราที่เป็นพ่อแม่ก็สร้างปัญหาให้พวกเขาโดยอาจเข้มงวดเกินไปในบางเรื่อง. แต่การแสวงหาความช่วยเหลือจาก “การปรับความคิดจิตใจตามหลักการของพระยะโฮวา” ดังที่พบในคัมภีร์ไบเบิลจะช่วยแก้ไขเรื่องราวให้เรียบร้อยสำหรับเราทุกคน.—เอเฟโซ 6:4, ล.ม.; 2 ติโมเธียว 3:16, 17.
ช่วงที่มีความสุขมากที่สุดในชีวิตของผม
หลังจากลูก ๆ ของเราเริ่มงานรับใช้เต็มเวลา ผมกับเอคาเทรีนีก็เริ่มคิดอย่างจริงจังว่าเราจะทำอะไรได้เพื่อเราจะมีส่วนมากขึ้นในงานช่วยชีวิต. ด้วยเหตุนั้น ในปี 1994 หลังจากผมเกษียณอายุก่อนกำหนด เราทั้งสองคนก็เริ่มรับใช้เป็นไพโอเนียร์ประจำ. งานรับใช้ของเรารวมไปถึงการเข้าไปในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยท้องถิ่นเพื่อให้คำพยานกับนักศึกษาและนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับบางคน. เนื่องจากผมสามารถรู้ว่าพวกเขาต้องผจญความยากลำบากอะไรบ้าง—เพราะเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาผมก็เคยอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับพวกเขา—ผมจึงประสบความสำเร็จมากในการช่วยพวกเขาให้เรียนรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวา. ช่างเป็นความยินดีสักเพียงไรที่ได้ศึกษากับนักศึกษาจากประเทศจีน, ชิลี, ตุรกี, ไทย, บราซิล, โบลิเวีย, เม็กซิโก, อียิปต์, และเอธิโอเปีย! ผมยังชอบการให้คำพยานทางโทรศัพท์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ใช้ภาษาดั้งเดิมของผม.
แม้ว่าผมมีข้อจำกัดหลายอย่างเนื่องจากผมพูดติดสำเนียงแบบชาวกรีกและมีอายุมากขึ้น ผมก็ยังพยายามทำให้ตัวเองพร้อมเสมอและมีน้ำใจของท่านยะซายาที่ประกาศว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่; ทรงใช้ข้าพเจ้าเถิด.” (ยะซายา 6:8) เรามีความยินดีที่ได้ช่วยมากกว่าหกคนให้อุทิศชีวิตแด่พระยะโฮวา. นี่เป็นเวลาที่มีความสุขมากที่สุดสำหรับเราอย่างแท้จริง.
ครั้งหนึ่ง ชีวิตทั้งสิ้นของผมเกี่ยวข้องกับการสร้างอาวุธอันร้ายกาจที่ใช้เข่นฆ่าเพื่อนมนุษย์. อย่างไรก็ตาม ด้วยพระกรุณาอันไม่พึงได้รับของพระองค์ พระยะโฮวาได้ทรงเปิดทางให้ผมและครอบครัวมาเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวแล้วของพระองค์ และทุ่มเทชีวิตของเราเพื่อนำข่าวดีเรื่องชีวิตนิรันดร์ในอุทยานบนแผ่นดินโลกไปให้ผู้คน. ขณะที่ผมคิดรำพึงถึงการตัดสินใจที่ท้าทายซึ่งผมเคยทำ ผมก็นึกถึงถ้อยคำในมาลาคี 3:10 ที่ว่า “พระยะโฮวาจอมพลโยธาตรัสต่อไปว่า, ‘ . . . จงมาลองดูเราในเรื่องนี้, ดูทีหรือว่า, เราจะเปิดบัญชรท้องฟ้าให้เจ้าและเทพรให้แก่เจ้าจนเกินความต้องการหรือไม่.’ ” พระองค์ได้ทำเช่นนั้นจริง ๆ ซึ่งทำให้หัวใจของพวกเราเป็นสุข!
[กรอบ/ภาพหน้า 27]
ลาคิส: คุณพ่อของผมเกลียดการหน้าไหว้หลังหลอก. ท่านพยายามจริง ๆ ที่จะไม่เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวางตัวอย่างที่ถูกต้องให้ครอบครัวของท่าน. ท่านมักจะบอกเราว่า “ถ้าลูกอุทิศชีวิตให้พระยะโฮวา นั่นหมายถึงอะไรบางอย่าง. ลูกควรจะเต็มใจเสียสละเพื่อพระยะโฮวา. นั่นคือสิ่งที่การเป็นคริสเตียนหมายถึง.” ถ้อยคำเหล่านี้ฝังอยู่ในจิตใจของผมและได้ช่วยผมให้ติดตามตัวอย่างของท่านในการเสียสละเพื่อพระยะโฮวา.
[กรอบ/ภาพหน้า 27]
คริสตอส: ผมหยั่งรู้ค่ามากสำหรับความภักดีอย่างสิ้นสุดจิตวิญญาณที่คุณพ่อคุณแม่มีต่อพระยะโฮวา รวมทั้งการเอาใจใส่หน้าที่ในฐานะพ่อและแม่อย่างเต็มที่. ในฐานะครอบครัว เราทำทุกอย่างร่วมกัน ตั้งแต่การรับใช้จนถึงการพักร้อน. แม้ว่าท่านทั้งสองสามารถหมกมุ่นกับอีกหลายสิ่งได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายและจดจ่ออยู่กับการรับใช้. ทุกวันนี้ ผมรู้ว่าผมมีความสุขที่สุดเมื่อผมมีส่วนร่วมเต็มที่ในการรับใช้พระยะโฮวา.
[กรอบ/ภาพหน้า 28]
เกรกอรี: สิ่งที่กระตุ้นให้ผมประเมินสภาพการณ์ของผมใหม่, เลิกคิดวิตกกังวลเกี่ยวกับการเริ่มการรับใช้เต็มเวลา, และทุ่มเทตัวเองมากขึ้นในงานของพระยะโฮวานั้น ไม่ใช่แค่ถ้อยคำของคุณพ่อคุณแม่ที่สนับสนุนให้ผมขยายงานรับใช้ แต่เป็นตัวอย่างและหลักฐานของความยินดีของท่านทั้งสองในการรับใช้พระยะโฮวา. ผมขอบพระคุณคุณพ่อคุณแม่ที่ช่วยผมพบความยินดีที่มาจากการทุ่มเทตัวเอง.
[กรอบ/ภาพหน้า 28]
ตูลา: คุณพ่อคุณแม่เน้นเสมอว่าสัมพันธภาพกับพระยะโฮวาเป็นสิ่งมีค่ามากที่สุดที่เราจะมีได้และวิธีเดียวที่เราจะมีความสุขอย่างแท้จริงได้ก็คือการให้สิ่งที่ดีที่สุดของเราแด่พระยะโฮวา. คุณพ่อคุณแม่ทำให้พระยะโฮวาเป็นจริงสำหรับพวกเรา. คุณพ่อมักจะบอกเราว่ามีความรู้สึกอันสุดจะพรรณนาเมื่อได้เข้านอนตอนกลางคืนด้วยสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาด โดยรู้ว่าเราได้ทำสุดความสามารถเพื่อทำให้พระยะโฮวาพอพระทัย.
[ภาพหน้า 25]
เมื่อผมเป็นทหารในกรีซ ปี 1951
[ภาพหน้า 25]
กับเอคาเทรีนีในปี 1966
[ภาพหน้า 26]
ครอบครัวของผมในปี 1996: (จากซ้ายไปขวา แถวหลัง) เกรกอรี, คริสตอส, ตูลา; (แถวหน้า) ลาคิส, เอคาเทรีนี, และผม