การอ่านคัมภีร์ไบเบิล—ได้ประโยชน์และน่าเพลิดเพลิน
การอ่านคัมภีร์ไบเบิล—ได้ประโยชน์และน่าเพลิดเพลิน
“เจ้าต้องอ่าน . . . ทั้งกลางวันกลางคืน.”—ยะโฮซูอะ 1:8, ล.ม.
1. การอ่านโดยทั่วไปและการอ่านคัมภีร์ไบเบิลโดยเฉพาะให้ประโยชน์อะไรบ้าง?
การอ่านเรื่องที่คุ้มค่านับเป็นการใช้เวลาอย่างเกิดประโยชน์. นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส มงเตกีเออ (ชาลส์-หลุยส์ เดอ เซอกงดา) เขียนไว้ว่า “สำหรับข้าพเจ้าแล้ว การศึกษาเรียนรู้ให้การเยียวยาที่ทรงประสิทธิภาพเสมอสำหรับความอิดโรยที่เกิดขึ้นในชีวิต. ไม่มีความตึงเครียดใดซึ่งเคยเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าที่การอ่านสักชั่วโมงหนึ่งขับไล่ไปไม่ได้.” ข้อนี้นับว่าเป็นความจริงอย่างยิ่งกับการอ่านคัมภีร์ไบเบิล. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญซึ่งได้รับการดลใจกล่าวว่า “กฎหมายของพระยะโฮวาดีรอบคอบ เป็นที่ให้จิตวิญญาณฟื้นตื่นขึ้น. คำเตือนสติของพระยะโฮวาวางใจได้ ทำให้ผู้ที่ขาดประสบการณ์มีปัญญา. คำสั่งของพระยะโฮวานั้นเที่ยงตรง ทำให้หัวใจชื่นบาน.”—บทเพลงสรรเสริญ 19:7, 8, ล.ม.
2. เหตุใดพระยะโฮวาจึงทรงพิทักษ์รักษาคัมภีร์ไบเบิลตลอดยุคสมัยต่าง ๆ และพระองค์ทรงคาดหมายว่าไพร่พลของพระองค์จะปฏิบัติเช่นไรต่อคัมภีร์ไบเบิล?
2 ในฐานะผู้ประพันธ์คัมภีร์ไบเบิล พระยะโฮวาพระเจ้าทรงพิทักษ์รักษาคัมภีร์ไบเบิลตลอดศตวรรษต่าง ๆ ที่มีการต่อต้านอย่างร้ายกาจจากศัตรู ทั้งทางศาสนาและทางโลก. เนื่องจากพระองค์มีพระทัยประสงค์ให้ “คนทุกชนิดได้ความรอดและบรรลุความรู้อันถ่องแท้เรื่องความจริง” พระองค์จึงได้ทรงดูแลให้พระคำของพระองค์มีไปถึงมนุษยชาติทั้งสิ้น. (1 ติโมเธียว 2:4, ล.ม.) มีการประมาณกันว่า เราสามารถติดต่อกับผู้คนได้ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของประชากรในโลกโดยใช้ 100 ภาษา. เนื้อความของคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มหาอ่านได้ใน 370 ภาษา และบางส่วนของพระคัมภีร์จะหาอ่านได้ในอีก 1,860 ภาษารวมทั้งภาษาถิ่น. พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้ไพร่พลพระองค์อ่านพระคำของพระองค์. พระองค์ทรงอวยพรผู้รับใช้ของพระองค์ที่เอาใจใส่พระคำของพระองค์ ผู้ซึ่งอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน.—บทเพลงสรรเสริญ 1:1, 2.
ผู้ดูแลต้องอ่านคัมภีร์ไบเบิล
3, 4. พระยะโฮวาทรงเรียกร้องอะไรจากกษัตริย์ชาติยิศราเอล และมีเหตุผลอะไรบ้างสำหรับข้อเรียกร้องนี้ซึ่งใช้ได้กับคริสเตียนผู้ปกครองในทุกวันนี้ด้วย?
3 ในการตรัสถึงเวลาเมื่อชาติยิศราเอลจะมีกษัตริย์ที่เป็นมนุษย์ พระยะโฮวาตรัสว่า “เมื่อผู้นั้นนั่งบนที่นั่งในแผ่นดินของท่านแล้ว, ท่านจะได้ลอกเขียนพระบัญญัติเหล่านี้, ออกไว้จากหนังสือพระบัญญัติที่อยู่กับพวกปุโรหิตและพวกเลวี. และพระบัญญัตินั้นจะต้องอยู่กับท่าน และท่านจะต้องอ่านพระบัญญัตินั้นมิได้ขาดจนสิ้นชีวิต; เพื่อจะได้เรียนการที่จะเกรงกลัวพระยะโฮวาพระเจ้าของตน, และจะได้รักษาบรรดาถ้อยคำในพระบัญญัติ, และข้อกฎหมายเหล่านี้, และประพฤติตาม; เพื่อมิให้ใจสูงกว่าพี่น้อง, และเพื่อมิให้หลีกเลี่ยงจากพระบัญญัติเหล่านี้ไปข้างขวา, หรือข้างซ้าย.”—พระบัญญัติ 17:18-20.
4 โปรดสังเกตถึงเหตุผลที่พระยะโฮวาทรงเรียกร้องผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ของชาติยิศราเอลให้อ่านหนังสือแห่งกฎหมายของพระเจ้าทุกวัน: (1) “เพื่อจะได้เรียนการที่จะเกรงกลัวพระยะโฮวาพระเจ้าของตน, และจะได้รักษาบรรดาถ้อยคำในพระบัญญัติ, และข้อกฎหมายเหล่านี้, และประพฤติตาม”; (2) “เพื่อมิให้ใจสูงกว่าพี่น้อง”; (3) “เพื่อมิให้หลีกเลี่ยงจากพระบัญญัติเหล่านี้ไปข้างขวา, หรือข้างซ้าย.” คริสเตียนผู้
ดูแลในทุกวันนี้ก็ต้องเกรงกลัวพระยะโฮวา, เชื่อฟังกฎหมายของพระองค์, หลีกเว้นจากการยกตัวเองเหนือพี่น้อง, และหลีกเลี่ยงจากการหันเหไปจากพระบัญญัติของพระยะโฮวามิใช่หรือ? การอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวันย่อมสำคัญสำหรับพวกเขามิได้น้อยไปกว่าสำหรับกษัตริย์ชาติยิศราเอล.5. เมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการปกครองเขียนจดหมายอะไรถึงสมาชิกคณะกรรมการสาขาเกี่ยวกับการอ่านคัมภีร์ไบเบิล และเหตุใดคริสเตียนผู้ปกครองทุกคนจึงควรทำตามคำแนะนำดังกล่าว?
5 คริสเตียนผู้ปกครองในทุกวันนี้มีตารางเวลาเต็มแน่น ทำให้การอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวันเป็นเรื่องท้าทาย. เพื่อเป็นตัวอย่าง สมาชิกคณะกรรมการปกครองของพยานพระยะโฮวาและคณะกรรมการสาขาทั่วโลกล้วนแต่เป็นคนที่มีธุระยุ่งมาก. กระนั้น จดหมายเมื่อเร็ว ๆ นี้จากคณะกรรมการปกครองถึงคณะกรรมการสาขาทุกคณะเน้นถึงความจำเป็นที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวันและมีนิสัยที่ดีในการศึกษา. ตามที่จดหมายนี้ชี้ไว้ การทำเช่นนี้จะทำให้ความรักของเราต่อพระยะโฮวาและความจริงเพิ่มพูนขึ้น และ “จะช่วยเรารักษาความเชื่อ, ความยินดี, และความพากเพียรจนถึงที่สุดปลายอันรุ่งโรจน์.” ผู้ปกครองทุกคนในประชาคมของพยานพระยะโฮวารู้สึกถึงความจำเป็นอย่างเดียวกันนี้. การอ่านพระคัมภีร์ทุกวันจะช่วยพวกเขาให้ “ปฏิบัติอย่างสุขุมรอบคอบ.” (ยะโฮซูอะ 1:7, 8, ล.ม.) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพวกเขา การอ่านคัมภีร์ไบเบิล “เป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม.”—2 ติโมเธียว 3:16, ฉบับแปลใหม่.
สิ่งซึ่งจำเป็นสำหรับคนหนุ่มสาวและผู้สูงอายุ
6. เหตุใดยะโฮซูอะจึงอ่านถ้อยคำทั้งสิ้นในพระบัญญัติของพระยะโฮวาด้วยเสียงอันดังต่อตระกูลต่าง ๆ ของยิศราเอลและคนต่างด้าวที่อยู่กับพวกเขาซึ่งเข้ามาชุมนุมกัน?
6 ในสมัยโบราณ ไม่มีพระคัมภีร์เล่มส่วนตัวสำหรับแต่ละคน ดังนั้นจึงมีการอ่านคัมภีร์ไบเบิลต่อหน้าผู้คนที่เข้ามาชุมนุมกัน. หลังจากที่พระยะโฮวาประทานชัยชนะเหนือเมืองฮายแก่ยะโฮซูอะ ท่านก็รวบรวมตระกูลต่าง ๆ ของยิศราเอลให้มารวมตัวกันที่เชิงเขาเอบาลและฆะรีซีม. จากนั้น บันทึกบอกเราว่า “ท่านประกาศ [“อ่านด้วยเสียงอันดัง,” ล.ม.] ถ้อยคำพระบัญญัติทั้งสิ้น, ทั้งคำอวยพรและคำสาป, ตามสรรพสิ่งซึ่งเขียนไว้ในหนังสือพระบัญญัตินั้น. มิได้ขาดเหลือสักคำเดียวในสรรพสิ่งซึ่งโมเซได้สั่งไว้แล้ว, ซึ่งยะโฮซูอะมิได้ประกาศ [“อ่านด้วยเสียงอันดัง,” ล.ม.] ต่อหน้าพวกยิศราเอลทั้งปวง ณ ที่ประชุมผู้หญิงและเด็กและแขกเมืองที่อยู่ด้วยกันนั้น.” (ยะโฮซูอะ 8:34, 35) ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาวหรือผู้สูงอายุ ชาวยิศราเอลหรือคนต่างด้าวที่อยู่กับพวกเขา ต่างก็ต้องจดจำถ้อยคำเหล่านี้ราวกับจารึกลงไว้ในหัวใจและจิตใจ ว่าการกระทำเช่นไรที่จะนำมาซึ่งพระพรจากพระยะโฮวาและการกระทำเช่นไรทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย. การอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำจะช่วยเราในแง่นี้แน่นอน.
7, 8. (ก) ใครในทุกวันนี้ที่เป็นเหมือน “แขกเมือง” และเหตุใดพวกเขาจำเป็นต้องอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน? (ข) “เด็ก” ในท่ามกลางไพร่พลของพระยะโฮวาจะเจริญรอยตามแบบอย่างของพระเยซูได้อย่างไร?
7 ทุกวันนี้ ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาหลายล้านคนเป็นเหมือนกับ “แขกเมือง” เหล่านั้นในแง่ฝ่ายวิญญาณ. ก่อนหน้านี้ พวกเขาเคยดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของโลก แต่พวกเขาได้เปลี่ยนวิธีดำเนินชีวิตของตน. (เอเฟโซ 4:22-24; โกโลซาย 3:7, 8) พวกเขาจำเป็นต้องเตือนใจตัวเองอยู่เสมอเกี่ยวกับมาตรฐานของพระยะโฮวาในเรื่องความดีความชั่ว. (อาโมศ 5:14, 15) การอ่านพระคำของพระเจ้าทุกวันช่วยพวกเขาให้ทำอย่างนี้.—เฮ็บราย 4:12; ยาโกโบ 1:25.
8 นอกจากนี้ ยังมี “เด็ก” จำนวนมากในหมู่ไพร่พลของพระยะโฮวาซึ่งได้รับการสอนในเรื่องมาตรฐานของพระโรม 12:1, 2) พวกเขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร? ในชาติยิศราเอล พวกปุโรหิตและผู้เฒ่าผู้แก่ได้รับคำสั่งดังนี้: “เจ้าจงอ่านพระบัญญัตินี้ให้พวกยิศราเอลทั้งปวงฟัง. จงให้คนทั้งปวงมาประชุมกัน, ทั้งชายหญิงกับเด็กทั้งปวง, และคนต่างชาติซึ่งอยู่ในเขตแดนภายในประตูเมืองทั้งปวงของเจ้า, ให้เขาทั้งหลายได้ยินฟัง, และกลัวเกรงพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า, และเชื่อฟังประพฤติตามพระบัญญัติทั้งปวงนี้; และให้บุตรทั้งหลายของเขาซึ่งยังมิได้รู้จักอะไร, ได้ยิน, และเรียนรู้ที่จะเกรงกลัวพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า.” (พระบัญญัติ 31:11-13) โดยดำเนินชีวิตภายใต้พระบัญญัติ เมื่อมีพระชนมายุได้ 12 พรรษา พระเยซูทรงแสดงความสนใจอย่างยิ่งที่จะเข้าใจกฎหมายของพระบิดาพระองค์. (ลูกา 2:41-49) ในเวลาต่อมา พระองค์ทรงถือปฏิบัติเป็นกิจวัตรที่จะฟังและร่วมในการอ่านพระคัมภีร์ที่ธรรมศาลา. (ลูกา 4:16; กิจการ 15:21) เยาวชนในทุกวันนี้ควรเจริญรอยตามแบบอย่างของพระเยซูโดยอ่านพระคำของพระเจ้าทุกวันและเข้าร่วมการประชุมซึ่งมีการอ่านและศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ.
ยะโฮวาโดยบิดามารดา แต่จำเป็นต้องเสริมความมั่นใจด้วยตัวเขาเองในเรื่องความถูกต้องชอบธรรมแห่งพระทัยประสงค์ของพระองค์. (การอ่านคัมภีร์ไบเบิล—ต้องมาก่อน
9. (ก) เหตุใดเราจำเป็นต้องรู้จักเลือกสิ่งที่เราจะอ่าน? (ข) บรรณาธิการผู้ก่อตั้งวารสารนี้กล่าวเช่นไรเกี่ยวกับคู่มือศึกษาคัมภีร์ไบเบิล?
9 กษัตริย์ซะโลโมผู้ฉลาดสุขุมเขียนไว้ว่า “จงรับคำเตือน: การจะทำหนังสือมากนั้นไม่มีที่สิ้นสุด และการทุ่มเทกับหนังสือเหล่านั้นทำให้เนื้อหนังอิดโรยไป.” (ท่านผู้ประกาศ 12:12, ล.ม.) อาจกล่าวเพิ่มเติมได้ด้วยว่า การอ่านหนังสือมากมายที่วางจำหน่ายกันในทุกวันนี้ไม่เพียงแค่ทำให้อิดโรยเท่านั้น แต่โดยแท้แล้วยังเป็นอันตรายต่อจิตใจด้วย. ดังนั้น จึงสำคัญที่จะรู้จักเลือก. นอกจากการอ่านหนังสือคู่มือศึกษาคัมภีร์ไบเบิลแล้ว เราต้องอ่านคัมภีร์ไบเบิลโดยตรงด้วย. บรรณาธิการผู้ก่อตั้งวารสารนี้เขียนถึงผู้อ่านว่า “ขออย่าลืมว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นมาตรฐานหลักของเราและแม้ว่าคู่มือศึกษาเหล่านี้เป็นเครื่องช่วยที่พระเจ้าประทานให้ แต่ก็ยังเป็น ‘เครื่องช่วย’ อยู่นั่นเอง ไม่ใช่สิ่งที่จะเข้ามาแทนคัมภีร์ไบเบิล.” * ดังนั้น ใน ขณะที่เราไม่มองข้ามสิ่งพิมพ์ที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก เราจำเป็นต้องอ่านคัมภีร์ไบเบิลโดยตรง.
10. “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” เน้นอย่างไรเกี่ยวกับความสำคัญของการอ่านคัมภีร์ไบเบิล?
10 ด้วยความสำนึกถึงความจำเป็นนี้ จนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” ได้จัดตารางการอ่านคัมภีร์ไบเบิลไว้ให้เป็นส่วนหนึ่งในรายการโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้าในแต่ละประชาคม. (มัดธาย 24:45, ล.ม.) กำหนดการสำหรับการอ่านคัมภีร์ไบเบิลที่ใช้อยู่ในปัจจุบันจะทำให้อ่านคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มจบภายในเวลาประมาณเจ็ดปี. กำหนดการนี้เป็นประโยชน์สำหรับทุกคน แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนใหม่ ๆ ที่ไม่เคยอ่านคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มมาก่อน. มีข้อเรียกร้องสำหรับคนที่เข้าโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดสำหรับมิชชันนารี และโรงเรียนฝึกอบรมเพื่องานรับใช้ รวมทั้งสมาชิกใหม่ของครอบครัวเบเธลด้วย ว่าต้องอ่านคัมภีร์ไบเบิลทั้งเล่มจบภายในหนึ่งปี. ไม่ว่าคุณติดตามกำหนดการอันไหน อ่านเป็นส่วนตัวหรือเป็นครอบครัว เพื่อจะรักษาตารางการอ่านนี้ได้จำเป็นจะต้องให้ความสำคัญแก่การอ่านคัมภีร์ไบเบิลมากกว่าเรื่องอื่น ๆ.
นิสัยการอ่านของคุณเผยให้เห็นอะไร?
11. เราควรรับการบำรุงเลี้ยงด้วยโอวาทของพระยะโฮวาทุก ๆ วันโดยวิธีใดและเพราะเหตุใด?
11 หากคุณมีปัญหาในการรักษาตารางเวลาการอ่านคัมภีร์ไบเบิล อาจเหมาะที่จะถามตัวเองว่า ‘นิสัยการอ่านหรือการดูทีวีของฉันอาจมีผลกระทบต่อความสามารถในการอ่านพระคำของพระยะโฮวาอย่างไร?’ อย่าลืมสิ่งที่โมเซได้เขียนไว้—และพระเยซูทรงยกขึ้นมาตรัส—ที่ว่า “มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้, แต่ด้วยบรรดาโอวาทซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า.” (มัดธาย 4:4; พระบัญญัติ 8:3) เช่นเดียวกับที่เราจำเป็นต้องกินอาหารทุกวันเพื่อจะบำรุงเลี้ยงชีวิตฝ่ายกาย เราจำเป็นต้องซึมซับเอาความคิดของพระยะโฮวาทุกวันเพื่อบำรุงเลี้ยงสภาพฝ่ายวิญญาณของเราเช่นกัน. เราสามารถรับทราบพระดำริของพระเจ้าทุกวันโดยการอ่านพระคัมภีร์.
12, 13. (ก) อัครสาวกเปโตรยกตัวอย่างเปรียบเทียบอย่างไรเกี่ยวกับความปรารถนาจะได้พระคำของพระเจ้าซึ่งเราควรมี? (ข) เปาโลใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเกี่ยวกับน้ำนมคนละแง่กับที่เปโตรใช้อย่างไร?
12 หากเราหยั่งรู้ค่าคัมภีร์ไบเบิล “ไม่ใช่อย่างคำของมนุษย์ แต่ ตามที่เป็นจริง อย่างพระคำของพระเจ้า” เราก็จะถูกดึงดูดให้สนใจคัมภีร์ไบเบิลเหมือนกับที่ทารกปรารถนาน้ำนมจากมารดา. (1 เธซะโลนิเก 2:13, ล.ม.) อัครสาวกเปโตรเปรียบเทียบอย่างนั้นโดยเขียนไว้ว่า “ดุจดังทารกที่เพิ่งคลอด จงปลูกฝังความปรารถนาจะได้น้ำนมอันไม่มีอะไรเจือปนที่เป็นของพระคำ เพื่อโดยน้ำนมนั้น ท่านทั้งหลายจะเติบโตถึงความรอด หากว่าท่านทั้งหลายได้ชิมดูรู้แล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าประกอบด้วยพระกรุณา.” (1 เปโตร 2:2, 3, ล.ม.) หากเราได้ชิมดูด้วยตัวเราเองจริง ๆ ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าประกอบด้วยพระกรุณา” เราก็จะมีความปรารถนาที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลมากขึ้น.
13 พึงสังเกตว่าในข้อความตอนนี้ เปโตรใช้น้ำนมเป็นสิ่งเปรียบเทียบคนละแง่กับที่อัครสาวกเปาโลใช้. สำหรับทารกแรกเกิด น้ำนมให้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนตามที่เขาจำเป็นต้องได้รับ. ตัวอย่างเปรียบเทียบของเปโตรชี้ว่าพระคำของพระเจ้ามีทุกสิ่งที่เราจำเป็นต้องได้รับเพื่อจะ “เติบโตถึงความรอด.” ในอีกด้านหนึ่ง เปาโลใช้เรื่องความจำเป็นที่จะต้องได้รับน้ำนมเพื่อชี้ถึงนิสัยที่ไม่ดีในการรับประทานอาหารของบางคนซึ่งอ้างว่าเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ. ในจดหมายถึงคริสเตียนชาวฮีบรู เปาโลเขียนดังนี้: “แม้ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้วเมื่อคำนึงถึงเวลา แต่ท่านก็ยังต้องการให้มีคนสอนท่านอีกถึงสิ่งพื้นฐานแห่งคำแถลงอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าตั้งแต่ต้น; และท่านทั้งหลายได้กลายเป็นอย่างคนที่ต้องการน้ำนม ไม่ใช่อาหารแข็ง. ด้วยว่าทุกคนที่กินน้ำนมอยู่ย่อมไม่คุ้นเคยกับถ้อยคำแห่งความชอบธรรม เพราะเขาเป็นทารกอยู่. แต่อาหารแข็งเป็นของผู้อาวุโส คือผู้ซึ่งด้วยการใช้จึงฝึกฝนความสามารถในการสังเกตเข้าใจเพื่อแยกออกว่าอะไรถูกอะไรผิด.” (เฮ็บราย 5:12-14, ล.ม.) การอ่านคัมภีร์ไบเบิลอย่างจดจ่ออาจช่วยได้มากที่จะพัฒนาความสามารถในการสังเกตเข้าใจและกระตุ้นความปรารถนาที่จะได้สิ่งฝ่ายวิญญาณ.
วิธีอ่านคัมภีร์ไบเบิล
14, 15. (ก) ผู้ประพันธ์คัมภีร์ไบเบิลเสนอสิทธิพิเศษอะไรแก่เรา? (ข) เราจะได้รับประโยชน์จากสติปัญญาของพระเจ้าโดยวิธีใด? (จงยกตัวอย่าง.)
14 การอ่านคัมภีร์ไบเบิลอย่างที่เกิดประโยชน์มากที่สุดนั้นไม่ได้เริ่มต้นด้วยการอ่าน แต่เริ่มด้วยการอธิษฐาน. การอธิษฐานเป็นสิทธิพิเศษที่น่าทึ่ง. การทำเช่นนี้เป็นเหมือนกับการที่คุณเริ่มต้นอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องที่ลึกซึ้งด้วยการยาโกโบ 1:5, 6, ล.ม.) คณะกรรมการปกครองในปัจจุบันกระตุ้นเตือนเราอยู่เสมอให้อ่านคัมภีร์ไบเบิลพร้อมด้วยการอธิษฐาน.
ขอผู้ประพันธ์ช่วยคุณให้เข้าใจสิ่งที่กำลังจะอ่าน. นั่นอาจเป็นประโยชน์มากสักเพียงไร! พระยะโฮวาผู้ประพันธ์คัมภีร์ไบเบิลทรงเสนอสิทธิพิเศษนี้แก่คุณ. สมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการปกครองในศตวรรษแรกเขียนถึงพี่น้องว่า “ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอพระเจ้าต่อ ๆ ไป เพราะพระองค์ทรงประทานแก่ทุกคนด้วยพระทัยเอื้ออารีและโดยมิได้ทรงติว่า แล้วจะทรงประทานให้แก่ผู้นั้น. แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอต่อ ๆ ไปด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย.” (15 สติปัญญาเป็นการใช้ความรู้ในเชิงปฏิบัติ. ดังนั้น ก่อนที่คุณจะเปิดคัมภีร์ไบเบิล จงทูลขอพระยะโฮวาให้ช่วยคุณสังเกตเห็นจุดต่าง ๆ ในการอ่านที่คุณเองจำเป็นจะต้องใช้ในชีวิต. ผูกโยงความรู้ใหม่เข้ากับความรู้ที่มีอยู่แล้ว. ปรับให้เข้ากับ “แบบแผนแห่งถ้อยคำที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ” ซึ่งคุณได้มารู้จัก. (2 ติโมเธียว 1:13, ล.ม.) จงใคร่ครวญถึงเรื่องราวในชีวิตผู้รับใช้ของพระยะโฮวาในอดีต และถามตัวเองว่าคุณจะทำอย่างไรหากตกอยู่ในสถานการณ์คล้าย ๆ กัน.—เยเนซิศ 39:7-9; ดานิเอล 3:3-6, 16-18; กิจการ 4:18-20.
16. มีข้อเสนอแนะอะไรบ้างซึ่งใช้ได้สำหรับเราที่จะทำให้การอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น?
16 อย่าอ่านเพียงเพื่อให้จบตามกำหนด. จงใช้เวลาที่จะอ่าน. จดจ่ออยู่กับเรื่องที่คุณอ่าน. เมื่ออยากรู้รายละเอียดในบางจุด ให้ค้นดูข้ออ้างอิงที่โยงข้อนั้นกับข้ออื่น หากคัมภีร์ไบเบิลของคุณมี. หากจุดนั้นยังไม่กระจ่าง ก็ให้จดไว้เพื่อจะค้นคว้าเพิ่มเติมภายหลัง. ขณะที่คุณอ่าน หมายข้อความที่คุณต้องการจำเป็นพิเศษหรือคัดลอกข้อความนั้นไว้. คุณอาจเพิ่มหมายเหตุส่วนตัวและข้ออ้างอิงที่โยงไปถึงข้ออื่นไว้ที่ขอบด้านข้าง. สำหรับข้อพระคัมภีร์ที่คุณคิดว่าคงจะจำเป็นต้องใช้ไม่วันใดก็วันหนึ่งในการประกาศและงานสอน ให้จดไว้ที่ส่วนหลังของพระคัมภีร์. *
จงทำให้การอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นเรื่องน่ายินดี
17. เหตุใดเราควรปีติยินดีในการอ่านคัมภีร์ไบเบิล?
17 ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญกล่าวถึงคนที่มีความสุขซึ่ง “ความปีติยินดีของเขาอยู่ในพระบัญญัติของพระยะโฮวา และเขาอ่านพระบัญญัติของพระองค์ด้วยออกเสียงแผ่วเบาทั้งกลางวันและกลางคืน.” (บทเพลงสรรเสริญ 1:2, ล.ม.) การที่เราอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวันไม่ควรเป็นเหมือนงานที่ทำเป็นกิจวัตร แต่ควรเป็นกิจกรรมที่ทำให้ยินดีอย่างแท้จริง. วิธีหนึ่งที่จะทำให้การอ่านคัมภีร์ไบเบิลน่าเพลิดเพลินก็คือ การสำนึกเสมอถึงคุณค่าของสิ่งที่ได้เรียนรู้. กษัตริย์ซะโลโมผู้ฉลาดสุขุมเขียนไว้ว่า “ความผาสุกมีแก่คนนั้นที่พบพระปัญญา . . . วิถีของพระปัญญานั้นคือทางความโสมนัส, และทางทั้งหลายของพระปัญญานั้นคือสันติสุข. พระปัญญาเป็นต้นไม้แห่งชีวิตแก่คนนั้น ๆ ที่ฉวยเอาพระองค์ไว้ได้ และทุกคนที่ยึดถือพระองค์ไว้นั้นก็จะมีความผาสุก.” (สุภาษิต 3:13, 17, 18) ความบากบั่นซึ่งจำเป็นต้องมีเพื่อจะได้มาซึ่งสติปัญญานั้นคุ้มค่าอย่างแท้จริง เพราะแนวทางของสติปัญญาเป็นแนวทางแห่งความยินดี, สันติสุข, ความสุข, และในที่สุด นำไปถึงชีวิต.
18. อะไรอีกที่จำเป็นนอกจากการอ่านคัมภีร์ไบเบิล และเราจะพิจารณาอะไรในบทความถัดไป?
18 ถูกแล้ว การอ่านคัมภีร์ไบเบิลให้ทั้งประโยชน์และความเพลิดเพลิน. แต่นั่นเพียงพอไหม? สมาชิกคริสตจักรต่าง ๆ แห่งคริสต์ศาสนจักรได้อ่านคัมภีร์ไบเบิลกันมาหลายศตวรรษ “เรียนอยู่เสมอและถึงกระนั้นก็ไม่สามารถบรรลุความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับความจริงได้เลย.” (2 ติโมเธียว 3:7, ล.ม.) เพื่อการอ่านคัมภีร์ไบเบิลจะเกิดผล เราต้องอ่านด้วยทัศนะที่จะนำเอาความรู้ที่ได้รับไปใช้ในชีวิตของเราเองและในงานประกาศสั่งสอน. (มัดธาย 24:14; 28:19, 20) การทำอย่างนี้ต้องอาศัยความเพียรพยายามและวิธีที่ดีในการศึกษา ซึ่งก็จะให้ความเพลิดเพลินและผลตอบแทนด้วย ดังที่เราจะได้พิจารณากันในบทความถัดไป.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 9 ดูพยานพระยะโฮวา—ผู้ประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้า (ภาษาอังกฤษ) หน้า 241 จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
^ วรรค 16 โปรดดูหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 พฤษภาคม 1995 หน้า 16, 17 “ข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับการอ่านคัมภีร์ไบเบิล.”
คำถามทบทวน
• คำแนะนำอะไรที่ให้แก่กษัตริย์ชาติยิศราเอลซึ่งใช้ได้กับผู้ดูแลในทุกวันนี้ และเพราะเหตุใด?
• ใครในปัจจุบันที่เป็นเหมือนกับ “แขกเมือง” และ “เด็ก” และเหตุใดพวกเขาจึงจำเป็นต้องอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน?
• “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” ช่วยเราเช่นไรในทางปฏิบัติที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำ?
• เราจะได้รับประโยชน์และความเพลิดเพลินอย่างแท้จริงจากการอ่านคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างไร?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 9]
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปกครองจำเป็นต้องอ่านคัมภีร์ไบเบิลทุกวัน
[ภาพหน้า 10]
พระเยซูทรงถือปฏิบัติเป็นกิจวัตรที่จะร่วมในการอ่านพระคัมภีร์ที่ธรรมศาลา