มีความสุขกับมรดกพิเศษ
เรื่องราวชีวิตจริง
มีความสุขกับมรดกพิเศษ
เล่าโดยแครอล แอลเลน
ฉันยืนอยู่คนเดียว มือถือหนังสือเล่มใหม่ที่สวยงามไว้แน่น. ฉันรู้สึกกลัวมาก และร้องไห้น้ำตาไหลอาบแก้ม. ถ้าจะว่าไป ตอนนั้นฉันเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อายุเจ็ดขวบ พลัดหลงอยู่ต่างเมืองท่ามกลางผู้คนหลายหมื่น!
ไม่นานมานี้ ซึ่งก็เกือบ 60 ปีต่อมา ความทรงจำอันแจ่มชัดเกี่ยวกับประสบการณ์ในวัยเด็กพรั่งพรูกลับคืนมาตอนที่ฉันกับพอลสามีของฉันได้ไปเยือนศูนย์การศึกษาของว็อชเทาเวอร์ที่สวยงาม ที่แพตเทอร์สัน รัฐนิวยอร์ก. พอลได้รับเชิญไปที่นั่นเพื่อเข้าเรียนในรุ่นที่สองของหลักสูตรสำหรับผู้ดูแลเดินทางของพยานพระยะโฮวา.
ขณะที่เรามองรอบ ๆ ห้องโถงรับแขกที่สว่างด้วยแสงอาทิตย์ ฉันสังเกตเห็นรูปภาพมากมายที่ถูกนำมาแสดงไว้ มีป้ายข้อความว่า “การประชุมใหญ่.” รูปภาพที่อยู่ตรงกลางคือรูปขาว-ดำสมัยเก่า เป็นภาพพวกเด็ก ๆ ต่างก็แกว่งหนังสือของเขาเองอย่างตื่นเต้นดีใจซึ่งเป็นหนังสือเล่มที่ฉันมีเมื่อวัยเด็ก! ฉันรีบอ่านข้อความกำกับรูปนั้น: “ปี 1941 ในเมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี เมื่อเริ่มการประชุมภาคเช้า เยาวชนจำนวน 15,000 คน—อายุระหว่าง 5 ถึง 18 ปี—ที่ชุมนุมกัน ณ สนามกีฬาใหญ่ได้มารวมกันอยู่ตรงหน้าเวที. . . . บราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดประกาศการออกหนังสือใหม่ชื่อเด็กทั้งหลาย (ภาษาอังกฤษ).”
เด็กแต่ละคนได้รับหนังสือหนึ่งเล่มเป็นส่วนตัว. ครั้นแล้วเด็กทุกคนต่างก็กลับไปหาพ่อแม่ตามที่นั่ง—ยกเว้นฉันคนเดียว. ฉันหาพ่อแม่ไม่เจอ! ผู้ต้อนรับแขกท่าทางเป็นมิตรอุ้มฉันขึ้นยืนบนหีบบริจาคที่สูงจากพื้นและบอกฉันให้มองหาคนที่ฉันรู้จัก. ด้วยความว้าวุ่นใจ ฉันกวาดสายตามองกลุ่มผู้คนที่กำลังหลั่งไหลลงมาตามบันไดกว้าง. ทันใดนั้นเอง ฉันรู้จักคนหนึ่ง! “ลุงบ็อบ! ลุงบ็อบ!” เขาเห็นฉันแล้ว! บ็อบ เรนเนอร์จูงมือฉันไปหาพ่อแม่ที่กำลังคอยฉันอยู่อย่างกระวนกระวาย.
เหตุการณ์ต่าง ๆ ในวัยเยาว์ซึ่งได้หล่อหลอมชีวิตฉัน
เมื่อมองภาพที่ติดไว้ให้ชม ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ก็พรั่งพรูขึ้นมา—เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่หล่อหลอมชีวิต
ฉันและนำเราให้มาอยู่ที่ศูนย์การศึกษาแพตเทอร์สันที่สวยงามแห่งนี้. ความคิดของฉันย้อนไปหาเหตุการณ์ต่าง ๆ เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว โดยเฉพาะเรื่องราวที่ได้ฟังจากคุณปู่คุณย่าและจากพ่อแม่ของฉัน.เดือนธันวาคม 1894 ผู้เผยแพร่เต็มเวลาจากกลุ่มนักศึกษาพระคัมภีร์ ชื่อเรียกพยานพระยะโฮวาสมัยนั้น ได้มาเยี่ยมคุณปู่เคลย์ตัน เจ. วูดเวิร์ทที่บ้านของท่านในเมืองสแกรนตัน รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา. คุณปู่เคลย์ตันเพิ่งแต่งงาน. ท่านเขียนจดหมายถึงชาลส์ เทซ รัสเซลล์ นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ และจดหมายฉบับนั้นได้ตีพิมพ์ลงในวารสารหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 15 มิถุนายน 1895. ท่านชี้แจงว่า
“เราเป็นคู่สามีภรรยาวัยหนุ่มสาว เป็นสมาชิกคริสตจักรในนามแห่งหนึ่งมาร่วมสิบปี แต่บัดนี้ เราเชื่อแน่ว่าเราได้ก้าวออกจากความมืดสู่ความสว่างของวันใหม่ซึ่งกำลังฉายแสงส่องทางให้เหล่าบุตรผู้ซึ่งอุทิศตัวแด่พระผู้สูงสุด. . . . นานก่อนที่เราทั้งสองจะได้มาพบกัน เรามีความปรารถนาอันแรงกล้าว่าหากเป็นพระทัยประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราอาจได้ปฏิบัติรับใช้พระองค์ฐานะมิชชันนารีในต่างแดน.”
ต่อมา ในปี 1903 คุณตาทวดเซบาสเชียนและคุณยายทวดแคทรีน เครซเก ต่างก็ดีใจเมื่อได้ฟังข่าวสารเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลซึ่งตัวแทนสองคนจากว็อชเทาเวอร์นำมาบอกพวกท่านที่ฟาร์มใหญ่ซึ่งท่านทั้งสองอาศัยอยู่ ในแถบเทือกเขาโพโกโนอันสวยงาม แห่งรัฐเพนซิลเวเนีย. ลูกสาวสองคนของคุณทวดคือโคราและแมรีก็อยู่ที่นั่นกับสามีของพวกเธอคือวอชิงตันและเอดมุนด์ โฮเวลล์. ตัวแทนของว็อชเทาเวอร์ซึ่งได้แก่คาร์ล แฮมเมอร์เล และเรย์ แรตคลิฟได้พักอยู่ที่บ้านของคนเหล่านี้ตลอดสัปดาห์ สั่งสอนพวกท่านหลายข้อหลายประการ. สมาชิกครอบครัวทั้งหกคนได้รับฟัง, ศึกษา และไม่นานจากนั้นก็ได้เป็นนักศึกษาพระคัมภีร์ที่กระตือรือร้น.
ณ ปี 1903 นั้นเอง โคราและวอชิงตัน โฮเวลล์ก็ได้ลูกสาวชื่อแคทรีน. ในที่สุดเธอได้สมรสกับเคลย์ตัน เจ. วูดเวิร์ท จูเนียร์ พ่อของฉันได้อย่างไรนั้นเป็นเรื่องน่าสนใจ และฉันคิดว่าเป็นเรื่องราวที่มีความสำคัญทีเดียว. นั่นเผยให้เห็นการหยั่งรู้เข้าใจของเคลย์ตัน เจ. วูดเวิร์ท ซีเนียร์ คุณปู่ของฉันในฐานะเป็นบิดาที่มีความรักและห่วงใยบุตรของตน.
พ่อฉันรับการช่วยเหลืออันเปี่ยมด้วยความรัก
พ่อฉัน เคลย์ตัน จูเนียร์ เกิดในปี 1906 ที่เมืองสแกรนตัน ห่างจากฟาร์มตระกูลโฮเวลล์ประมาณ 80 กิโลเมตร. สมัยโน้น คุณปู่วูดเวิร์ทได้มารู้จักคุ้นเคยกันดีกับครอบครัวโฮเวลล์ซึ่งเป็นครอบครัวใหญ่ ได้ร่วมสังสรรค์บ่อย ๆ กับครอบครัวนี้ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปในเรื่องความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่. ท่านเป็นผู้ให้การช่วยเหลืออย่างมากแก่ประชาคมของนักศึกษาพระคัมภีร์ในแถบนั้น. ต่อมา คุณปู่ได้รับเชิญไปประกอบการสมรสให้แก่ลูกชายทั้งสามคนของตระกูลโฮเวลล์ และด้วยการคำนึงถึงสวัสดิภาพของบุตรชายตัวเอง ท่านพาบุตรชายไปร่วมงานสมรสเหล่านี้แต่ละรายด้วย.
ตอนนั้นพ่อไม่ได้ร่วมงานเผยแพร่ของกลุ่มนักศึกษาพระคัมภีร์อย่างขันแข็ง. ที่จริงท่านขับรถให้คุณปู่ไปเยี่ยมเพื่อนบ้านเพื่อเผยแพร่ แต่ถึงแม้คุณปู่ได้ให้การสนับสนุนสักเพียงไร พ่อเองก็ไม่เข้าส่วนร่วมกิจกรรม. สมัยนั้น ความสนใจของพ่อทางด้านดนตรีเข้าแทนที่งานอื่นทุกอย่าง และพ่อก็กำลังมุ่งมั่นจะเป็นนักดนตรีมืออาชีพ.
แคทรีน ลูกสาวของโคราและวอชิงตัน โฮเวลล์ก็กลายเป็นนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จเช่นกัน ทั้งเล่นและสอนเปียโน. แต่ทั้ง ๆ ที่โอกาสได้เปิดกว้างให้เธอยึดเอาเป็นงาน
อาชีพก็ตาม เธอกลับไม่สนใจ แล้วเริ่มเข้าส่วนร่วมงานรับใช้เต็มเวลา. คุณปู่คงต้องได้หมายตาเพื่อนคู่ใจที่ดีที่สุดของบุตรชายไว้แล้ว—อย่างน้อยก็จากแง่คิดของฉัน! พ่อรับบัพติสมา และหกเดือนต่อมาพ่อกับแม่ก็แต่งงานกันในเดือนมิถุนายน ปี 1931.คุณปู่ภูมิใจเสมอในความสามารถของบุตรชายทางด้านดนตรี. ท่านมีความสุขเหลือเกินเมื่อพ่อได้รับเชิญให้ช่วยฝึกกลุ่มนักดนตรีวงออร์เคสตราวงใหญ่สำหรับการประชุมนานาชาติปี 1946 ที่คลิฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ. ปีต่อ ๆ มา พ่อเข้ามาเป็นผู้ควบคุมวงดนตรีนั้น ณ การประชุมใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในที่อื่น ๆ อีกหลายครั้ง.
คุณปู่ถูกดำเนินคดีและชีวิตในคุก
ในห้องโถงรับแขกที่แพตเทอร์สัน พอลกับฉันยังได้เห็นรูปภาพที่ตั้งแสดงไว้อีกด้วย เป็นภาพที่เห็นอยู่ในหน้าถัดไป. ฉันจำรูปภาพนั้นได้ทันที เนื่องจากคุณปู่ส่งให้ฉันรูปหนึ่งเมื่อ 50 กว่าปีมาแล้ว. ท่านคือคนที่ยืนริมขวาสุด.
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งความคลั่งในลัทธิชาตินิยมมีอยู่อย่างแพร่หลาย นักศึกษาพระคัมภีร์แปดคนเหล่านี้—รวมทั้ง โจเซฟ เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด (นั่งกลาง) นายกสมาคมว็อชเทาเวอร์ถูกจำคุกอย่างไม่เป็นธรรมและไม่อนุญาตให้มีการประกันตัว. คำฟ้องที่กล่าวหาพวกเขามุ่งไปที่คำกล่าวบางอย่างในหนังสือเล่มที่เจ็ดของชุดคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งมีชื่อว่าข้อลับลึกสำเร็จแล้ว. มีการถือกันอย่างผิด ๆ ว่าคำกล่าวเหล่านั้นขัดกับการที่สหรัฐเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง.
ในช่วงเวลาหลายปี ชาลส์ เทซ รัสเซลล์ ได้เขียนหกเล่มแรกในหนังสือชุดคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ แต่ท่านสิ้นชีวิตเสียก่อนจะได้เขียนเล่มที่เจ็ด. ดังนั้น สมุดจดบันทึกของท่านจึงถูกมอบให้คุณปู่และนักศึกษาพระคัมภีร์อีกท่านหนึ่ง และบุคคลทั้งสองจึงได้เขียนเล่มที่เจ็ด. หนังสือนี้ออกเมื่อปี 1917 ก่อนสงครามสิ้นสุดลง. ณ การพิจารณาคดีคราวนั้น คุณปู่และคนอื่น ๆ เกือบทั้งหมดถูกตัดสินว่ามีความผิดสี่กระทง ให้จำคุก 20 ปี พร้อมกันไปสำหรับความผิดแต่ละกระทง.
คำบรรยายภาพในห้องโถงรับแขกที่แพตเทอร์สันว่าดังนี้: “เก้าเดือนภายหลังรัทเทอร์ฟอร์ดและพรรคพวกถูกจำคุก—และสงครามได้ผ่านไปแล้ว—ในวันที่ 21 มีนาคม 1919 ศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยทั้งแปดประกันตัวได้ และวันที่ 26 มีนาคม พวกเขาได้รับการปล่อยตัวในบรุกลินโดยวางเงินประกันคนละ 10,000 ดอลลาร์. วันที่ 5 พฤษภาคม 1920 เจ. เอฟ. รัทเทอร์ฟอร์ด พร้อมกับคนอื่น ๆ ก็ได้รับการประกาศให้พ้นผิดทุกข้อกล่าวหา.”
หลังจากถูกตัดสินลงโทษ แต่ก่อนจะถูกส่งเข้าทัณฑสถาน
ของรัฐบาลกลางในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย บุคคลทั้งแปดถูกกักขังสองสามวันแรกในเรือนจำที่ถนนเรย์มอนด์ บรุกลิน นิวยอร์ก. จากที่นั่น คุณปู่เขียนบรรยายว่าท่านถูกขังในห้องกว้างหกฟุตยาวแปดฟุต “ท่ามกลางสิ่งเน่าเหม็นน่าขยะแขยงและไม่เป็นระเบียบ.” ท่านให้ข้อสังเกตว่า “คุณมีหนังสือพิมพ์ปึกใหญ่และถ้าตอนแรกไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเท่าไรนัก แต่ชั่วเวลาอันสั้นคุณก็ตระหนักว่า กระดาษหนังสือพิมพ์เหล่านี้และสบู่กับผ้าถูตัวเท่านั้นที่ช่วยให้คุณมีโอกาสได้สะอาดและนับถือตัวเอง.”ถึงกระนั้น คุณปู่ก็ยังมีอารมณ์ขันอยู่โดยเอ่ยถึงคุกว่าเหมือน “โฮเตล เดอ รามองดี” และบอกว่า “ปู่จะออกไปจากที่นี่ทันทีที่ครบสัญญาเช่าห้องพัก.” คุณปู่ยังได้เล่าเรื่องการเดินเตร่ของท่านในสนามเรือนจำอีกด้วย. ครั้งหนึ่งเมื่อหยุดเดินเพียงชั่วครู่เพื่อหวีผม ก็มีคนล้วงกระเป๋าฉกเอานาฬิกาพกของท่าน แต่ท่านเขียนเล่าว่า “โซ่ร้อยนาฬิกาขาด และปู่ยังรักษามันไว้ได้.” เมื่อฉันไปเยี่ยมเบเธลที่บรุกลินปี 1958 แกรนต์ ซูตเตอร์ เหรัญญิกสมาคมว็อชเทาเวอร์เวลานั้น ได้เรียกฉันไปที่ห้องทำงานของท่านและให้นาฬิกาเรือนนั้นแก่ฉัน. ฉันยังคงเก็บรักษาไว้เสมือนสมบัติที่มีค่า.
ผลกระทบที่มีต่อพ่อ
ตอนที่คุณปู่ถูกจำคุกอย่างไม่เป็นธรรมในปี 1918 พ่อเป็นแค่เด็กวัย 12 ขวบเท่านั้น. คุณย่าปิดบ้านและพาพ่อไปอยู่กับคุณย่าทวดและน้องสาวสามคนของย่า. นามสกุลเดิมของคุณย่าคืออาเทอร์ และครอบครัวนี้กล่าวอ้างด้วยความภูมิใจที่ญาติคนหนึ่งในตระกูลนี้ชื่อ เชสเตอร์ อลัน อาเทอร์ ได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 21 ของประเทศสหรัฐ.
หลังจากคุณปู่วูดเวิร์ทถูกตัดสินจำคุกระยะยาวด้วยข้อกล่าวหาที่ว่ากระทำความผิดต่อประเทศสหรัฐ คนในตระกูลอาเทอร์ถือว่าคุณปู่ทำให้ชื่อเสียงครอบครัวของพวกเขาเสื่อมเสีย. มันเป็นช่วงเวลาที่พ่อรู้สึกปวดร้าวอย่างสาหัส. บางทีท่าทีเช่นนั้นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พ่อลังเลที่จะเข้าส่วนในงานรับใช้อย่างเปิดเผย.
เมื่อคุณปู่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำแล้ว ท่านได้ย้ายครอบครัวเข้าไปอยู่ในบ้านตึกหลังใหญ่ ที่ถนนควินซีในเมืองสแกรนตัน. ตอนเป็นเด็ก ฉันรู้จักบ้านหลังนี้—ทั้งเครื่องกระเบื้องสวย ๆ ของคุณย่า—เป็นอย่างดี. พวกเราเรียกเครื่องกระเบื้องเหล่านี้ว่าถ้วยชามศักดิ์สิทธิ์ เพราะไม่อนุญาตให้คนหนึ่งคนใดล้างถ้วยชามเหล่านั้น นอกจากคุณย่า. หลังคุณย่าสิ้นชีวิตเมื่อปี 1943 แม่จัดสังสรรค์บ่อย ๆ และมักจะใช้ถ้วยชามงาม ๆ เหล่านั้นในงานเลี้ยง.
ปฏิบัติราชกิจอย่างเอาจริงเอาจัง
อีกวันหนึ่ง ณ บริเวณศูนย์แพตเทอร์สัน ฉันเห็นรูปบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ด ขณะบรรยายในการประชุมใหญ่ที่ซีดาร์ พอยต์ รัฐโอไฮโอ. ตอนนั้นท่านกล่าวกระตุ้นบรรดาผู้ที่กำลังฟังอยู่ให้เข้าส่วนร่วมงานประกาศราชอาณาจักรของพระเจ้าด้วยใจแรงกล้า และใช้ เดอะ โกลเดน เอจ วารสารใหม่ที่เพิ่งออก ณ การประชุมครั้งนั้น. คุณปู่ได้รับการแต่งตั้งเป็นบรรณาธิการ และท่านได้เขียนบทความลงพิมพ์ในวารสารเรื่อยมาจนกระทั่งทศวรรษ 1940 ไม่นานก่อนท่านเสียชีวิต. ปี 1937 ชื่อวารสารได้เปลี่ยนเป็นคอนโซเลชัน พอมาในปี 1946 เปลี่ยนเป็นอะเวก! (ตื่นเถิด!).
คุณปู่ทำงานเขียนหนังสือที่บ้านในเมืองสแกรนตันและที่สำนักงานใหญ่ของว็อชเทาเวอร์ในบรุกลินด้วย ซึ่งไกลจากบ้านราว ๆ 240 กิโลเมตร คุณปู่ใช้เวลาทำงานแต่ละแห่งนานสองสัปดาห์. พ่อเล่าว่า พ่อจำได้ว่ามีเสียงรัวพิมพ์ดีดตอนเช้าตรู่เวลาตีห้าอยู่หลายวัน. ถึงกระนั้น คุณปู่ถือเป็นความรับผิดชอบอย่างจริงจังที่จะร่วมงานประกาศเผยแพร่ต่อสาธารณชนด้วย. อันที่จริง ท่านออกแบบเสื้อกั๊กผู้ชายมีกระเป๋าใหญ่อยู่ด้านในสำหรับใส่หนังสือคู่มืออธิบายพระคัมภีร์. นาโอมิ โฮเวลล์ น้าสะใภ้ของฉันวัย 94 ยังมีเก็บไว้ตัวหนึ่งเลย. คุณปู่เคยออกแบบกระเป๋าหนังสือสำหรับผู้หญิงด้วย.
คราวหนึ่ง หลังการถกกันถึงเรื่องพระคัมภีร์อย่างมีชีวิตชีวาแล้ว เพื่อนคุณปู่ที่ร่วมงานรับใช้พูดว่า “นี่คุณ ซี. เจ. คุณพลาดไปอย่างหนึ่งนะ.”
“พลาดตรงไหนล่ะ?” คุณปู่ถาม. ท่านสำรวจกระเป๋าเสื้อกั๊ก. ปรากฏว่ากระเป๋าเสื้อว่างทั้งสองข้าง.
“คุณลืมเสนอการบอกรับเป็นสมาชิกวารสารเดอะ โกลเดน เอจ ไงล่ะ.” พวกเขาฮากันใหญ่เพราะบรรณาธิการลืมเสนอวารสารของตน.
ความทรงจำขณะเติบโตขึ้น
ฉันจำได้ว่าในวัยเด็กฉันนั่งตักคุณปู่ คุณปู่กำมือน้อย ๆ ของฉันและเล่านิทานเรื่อง “นิ้วมือ” ให้ฉันฟัง. เริ่มต้นกับ “นิ้วโป้งทอมมี” แล้วก็เลื่อนไปยัง “นิ้วชี้ปีเตอร์” คุณปู่พูดถึงลักษณะพิเศษของแต่ละนิ้ว. แล้วท่านก็ค่อย ๆ รวบนิ้วมือทุกนิ้วเข้าด้วยกันพร้อมกับให้คติสอนใจว่า “นิ้วมือทำงานได้ดีที่สุดเมื่อทำงานร่วมกัน แต่ละนิ้วช่วยนิ้วอื่น ๆ ทั้งหมด.”
หลังจากพ่อกับแม่แต่งงานกันแล้วจึงได้ย้ายไปที่เมืองคลิฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ และกลายเป็นเพื่อนสนิทกับเอ็ดและแมรี ฮูเปอร์. ครอบครัวของเขาเป็นนักศึกษาพระคัมภีร์มาตั้งแต่ต้นศตวรรษ. พ่อแม่ของฉันเป็นเพื่อนสนิทรักใคร่ชอบพอกับลุงเอ็ดและป้าแมรีมากอย่างไม่อาจแยกจากกันได้. ลูกสาวคนเดียวของครอบครัวฮูเปอร์เสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นทารก ฉะนั้น เมื่อฉันเกิดในปี 1934 ฉันจึงกลายเป็น “ลูกสาว” คนพิเศษของเขา. จากการอบรมเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมอันอุดมฝ่ายวิญญาณเช่นนั้น ฉันได้อุทิศตัวแด่พระเจ้าและรับบัพติสมาก่อนฉันมีอายุครบแปดขวบ.
การอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นส่วนหนึ่งในช่วงชีวิตวัยเยาว์ของฉัน. คำพรรณนาที่ยะซายา 11:6-9 ที่พูดถึงชีวิตในโลกใหม่ของพระเจ้าเป็นหนึ่งในเนื้อความหลายตอนที่ฉันชอบมาก. ความพยายามครั้งแรกของฉันที่จะอ่านคัมภีร์ไบเบิลให้จบนั้นเริ่มเมื่อปี 1944 หลังจากได้รับฉบับแปลอเมริกัน สแตนดาร์ด เล่มหนึ่งเป็นของตัวเอง ซึ่งมีการออกฉบับพิเศษนี้ ณ การประชุมใหญ่ที่บัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก. ฉันตื่นเต้นดีใจเพียงไรเมื่อได้อ่านฉบับแปลนี้ซึ่งได้นำชื่อ ยะโฮวา พระนามพระเจ้าเกือบ 7,000 ครั้งกลับมาใส่ไว้ ณ ที่อันเหมาะสมใน “พระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม”!
วันสุดสัปดาห์เป็นเวลาที่เรามีความสุข. พ่อกับแม่และครอบครัวฮูเปอร์พาฉันออกไปทำงานให้คำพยานตามชนบท. เราจัดเตรียมอาหารมื้อกลางวันไปปิกนิกริมลำธาร. แล้วเราได้ไปที่ฟาร์มของใครบางคนเพื่อจัดบรรยายกลางแจ้งเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเราก็ได้เชิญชวนเพื่อนบ้านละแวกใกล้เคียงมาฟัง. สมัยนั้นชีวิตเรียบง่าย. เราชื่นชมยินดีด้วยกันเป็นครอบครัว. คนในครอบครัวมิตรสหายเก่าเหล่านี้มีหลายคนในเวลาต่อมาได้กลายเป็นผู้ดูแลเดินทาง ซึ่งนับรวมเอาเอ็ด ฮูเปอร์, บ็อบ ไรเนอร์ และลูกชายสองคนของเขา. ริชาร์ด ไรเนอร์ ยังคงทำงานนี้อยู่พร้อมกับมีลินดา ภรรยาเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง.
ฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขเป็นพิเศษ. ฉันพักอยู่กับญาติลูกพี่ลูกน้องที่ฟาร์มของโฮเวลล์. ในปี 1949 เกรซลูกสาวป้าแต่งงานกับมัลคอล์ม แอลเลน. ฉันไม่นึกเลยว่าหลายปีต่อมาฉันจะได้แต่งงานกับน้องชายของมัลคอร์ม. มาริออน ญาติผู้น้อง ลูกสาวของน้าชายเป็นมิชชันนารีในประเทศอุรุกวัย. เธอแต่งงานกับโฮเวิร์ด ฮิลบอนในปี 1966. ลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนนี้ได้รับใช้ร่วมกับสามี ณ สำนักงานใหญ่ในบรุกลินนานหลายปี.
คุณปู่กับวันที่ฉันจบการศึกษา
ในช่วงหลายปีที่ฉันเรียนระดับมัธยมปลาย คุณปู่เป็นผู้ที่พร้อมจะตอบจดหมายเสมอ. จดหมายของท่านจะมีรูปเก่า ๆ ของคนในครอบครัวสอดมาด้วยหลายรูป ด้านหลังรูปพิมพ์ข้อความเล่าประวัติครอบครัว. นี่คือวิธีที่ฉันได้รับรูปถ่ายของท่านและคนอื่นที่ติดคุกอย่างไม่เป็นธรรม.
ตอนปลายปี 1951 คุณปู่ไม่มีเสียงพูด เนื่องจากป่วยเป็นโรคมะเร็งที่กล่องเสียง. แต่เชาวน์ปัญญาของท่านยังคงฉับไวเช่นเดิม ทว่า ท่านต้องเขียนคำพูดลงบนสมุดฉีกเล่มเล็ก ๆ ซึ่งท่านพกติดตัวเสมอ. ฉันจวนจบชั้นมัธยมปลายตอนกลางเทอมในเดือนมกราคม 1952. ต้นเดือนธันวาคม ฉันได้ส่งฉบับร่างคำปราศรัยของฉันในวันฉลองการสำเร็จการศึกษาไปให้คุณปู่ดู. ท่านได้แก้ไขบางตอน แล้วที่หน้าสุดท้ายนั้นเอง ท่านเขียนสองคำซึ่งตรึงใจฉัน: “ปู่ดีใจ.” ท่านจบชีวิตทางแผ่นดินโลกเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 1951 อายุ 81 ปี. * ฉันยังถือว่ากระดาษร่างคำบรรยายอันเก่าคร่ำของฉันพร้อมกับถ้อยคำสองคำในหน้าสุดท้ายนั้นเป็นสมบัติล้ำค่า.
ทันทีหลังจากฉันจบการศึกษา ฉันก็เข้าสู่งานรับใช้ประเภทไพโอเนียร์ ชื่อที่พยานพระยะโฮวาใช้เรียกงานเผยแพร่เต็มเวลา. ปี 1958 ฉันได้เข้าร่วมการประชุมครั้งยิ่งใหญ่ใน
นครนิวยอร์ก ยอดผู้ร่วมประชุม 253,922 คนจาก 123 ประเทศเต็มสนามกีฬาแยงกีและโปโลกราวด์. ที่นั่น วันหนึ่งฉันได้พบตัวแทนจากแอฟริกาที่มาร่วมการประชุมติดบัตรระบุชื่อ “วูดเวิร์ท มิลส์.” ราว ๆ 30 ปีก่อนหน้านี้ได้มีการตั้งชื่อให้เขาตามชื่อคุณปู่!เป็นสุขกับมรดก
เมื่อฉันอายุ 14 ปี แม่เริ่มงานไพโอเนียร์อีก. 40 ปีต่อมา ในปี 1988 แม่เสียชีวิตขณะที่ยังเป็นไพโอเนียร์! เมื่อพ่อสามารถทำได้ พ่อก็จะเข้าร่วมงานไพโอเนียร์. พ่อเสียชีวิตก่อนแม่เก้าเดือน. คนเหล่านั้นที่เราได้นำการศึกษากับเขากลายเป็นเพื่อนรักกันชั่วชีวิต. ลูกชายของเขาบางคนเข้าไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ในบรุกลิน และบางคนเข้าสู่งานไพโอเนียร์.
สำหรับฉันแล้ว ปี 1959 เป็นปีพิเศษจริง ๆ. นั่นเป็นคราวที่มีคนแนะนำฉันให้รู้จักพอล แอลเลน. เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลเดินทางในปี 1946 ภายหลังจบหลักสูตรรุ่นที่เจ็ดของโรงเรียนกิเลียด โรงเรียนฝึกอบรมมิชชันนารีของพยานพระยะโฮวา. ตอนที่เราพบกัน เราต่างคนต่างไม่ล่วงรู้เลยว่าเขตมอบหมายสำหรับพอลครั้งต่อไปจะเป็นที่คลิฟแลนด์ โอไฮโอ ซึ่งฉันทำงานไพโอเนียร์ในเมืองนั้น. พ่อรักเขามาก และแม่ก็รักเขาเช่นกัน. เราแต่งงานที่ฟาร์มของโฮเวลล์ในเดือนกรกฎาคม 1963 ห้อมล้อมไปด้วยบรรดาญาติ ๆ จากครอบครัวของเราและมีเอ็ด ฮูเปอร์เป็นประธานบรรยายงานสมรส. นั่นคือฝันที่เป็นจริง.
พอลไม่เคยมีรถยนต์ส่วนตัว. เมื่อเราออกจากเมืองคลิฟแลนด์ไปยังเขตมอบหมายถัดไป เราเก็บข้าวของทุกชิ้นใส่เข้าไปในรถโฟล์กสวาเกนรุ่นปี 1961 ของฉัน. เพื่อน ๆ มักจะแวะมาในวันจันทร์เพื่อดูเราจัดของใส่รถ เพราะเป็นวันที่เราจะเดินทางไปอีกประชาคมหนึ่ง. ดูคล้าย ๆ การแสดงละครสัตว์เมื่อเห็นกระเป๋าเสื้อผ้า กระเป๋าหนังสือ, แฟ้มเอกสาร, เครื่องพิมพ์ดีดและของอื่น ๆ หายเข้าไปในรถเล็ก ๆ คันนั้น.
พอลกับฉันเดินทางด้วยกันไม่รู้กี่พันกี่หมื่นกิโลเมตร ชื่นชมยินดีกับชีวิตปัจจุบันที่มีทั้งความสะดวกสบายและต้องอดทนต่อความยากลำบาก—ทุกสิ่งลุล่วงไปได้ด้วยกำลังเรี่ยวแรงซึ่งพระยะโฮวาองค์เดียวเท่านั้นให้เราได้. เดือนปีทั้งหลายที่ผ่านไปเป็นเวลาที่มีความสุข เต็มเปี่ยมด้วยความรักต่อพระยะโฮวา ความรักที่เรามีให้กัน ความรักที่มีต่อเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่. สองเดือนที่เราได้มาอยู่ที่แพตเทอร์สันระหว่างที่พอลรับการอบรมนี้ถือว่าเป็นช่วงที่น่าประทับใจยิ่งในชีวิตของเรา. การสังเกตเห็นองค์การของพระยะโฮวาทางแผ่นดินโลกอย่างใกล้ชิดยิ่งเสริมความเชื่อมั่นที่ดิฉันได้รับสืบทอดมาเสมือนเป็นส่วนมรดกฝ่ายวิญญาณอันมีค่าของฉันที่ว่า นี่คือองค์การของพระเจ้าอย่างแท้จริง. น่าชื่นชมยินดีเสียนี่กระไรที่ได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์การนี้ แม้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ก็ตาม!
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 44 โปรดดูจากวารสารหอสังเกตการณ์ (ภาษาอังกฤษ) ฉบับ 15 กุมภาพันธ์ 1952 หน้า 128.
[ภาพหน้า 25]
กับเอ็ด ฮูเปอร์ ไม่นานก่อนการประชุมใหญ่ที่เซนต์หลุยส์ ในปี 1941 ซึ่งที่นั่นฉันได้รับหนังสือ “เด็กทั้งหลาย” เป็นเล่มส่วนตัว
[ภาพหน้า 26]
ภาพคุณปู่ปี 1948
[ภาพหน้า 26]
ที่ฟาร์มของครอบครัวโฮเวลล์ เมื่อพ่อกับแม่ของฉัน (ในวงกลม) แต่งงาน
[ภาพหน้า 27]
นักศึกษาพระคัมภีร์แปดคนซึ่งถูกจำคุกอย่างไม่เป็นธรรมในปี 1918 (คุณปู่ยืนริมขวาสุด)
[ภาพหน้า 29]
ข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดของเราถูกอัดลงในรถโฟล์กสวาเกน
[ภาพหน้า 29]
กับพอล สามีของฉัน