เวลาที่พระเจ้าทรงยอมให้มีความทุกข์ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว
เวลาที่พระเจ้าทรงยอมให้มีความทุกข์ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว
ไม่ว่าคุณจะมองไปทางไหน ทุกแห่งหนมีแต่ความทุกข์. บางคนนำความทุกข์มาสู่ตัวเอง. พวกเขาเป็นโรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือประสบผลกระทบจากการใช้ยาเสพย์ติดหรือแอลกอฮอล์หรือการสูบบุหรี่. หรือไม่ก็พวกเขาประสบปัญหาสุขภาพเนื่องจากนิสัยการกินที่ไม่ดี. อย่างไรก็ตาม ความทุกข์ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากปัจจัยหรือเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของคนธรรมดา เช่น สงคราม, ความรุนแรงระหว่างชาติพันธุ์, อาชญากรรม, ความยากจน, ความอดอยาก, โรคภัยไข้เจ็บ. สิ่งอื่นอีกที่มนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้เลยคือความทุกข์อันเกี่ยวข้องกับวัยชราและความตาย.
คัมภีร์ไบเบิลรับรองกับเราว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก.” (1 โยฮัน 4:8) ถ้าเช่นนั้น ทำไมพระเจ้าองค์เปี่ยมด้วยความรักทรงยอมให้ความทุกข์ทั้งหมดนี้มีอยู่เรื่อยมาตลอดหลายศตวรรษ? เมื่อไรพระองค์จะทรงแก้ไขสถานการณ์? เพื่อตอบคำถามดังกล่าว เราต้องตรวจสอบดูพระประสงค์ของพระเจ้าเกี่ยวกับมนุษย์. การทำเช่นนี้จะช่วยเราเข้าใจสาเหตุที่พระเจ้าทรงยอมให้มีความทุกข์และสิ่งที่พระองค์จะทรงทำเกี่ยวกับความทุกข์นั้น.
ของประทานเกี่ยวกับเจตจำนงเสรี
เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คนแรก พระองค์ไม่เพียงแค่สร้างร่างกายที่มีสมองเท่านั้น. นอกจากนี้ พระเจ้ามิได้สร้างอาดามและฮาวาให้เป็นหุ่นยนต์ที่ไร้ความคิด. พระองค์ได้ทรงปลูกฝังความสามารถในการใช้เจตจำนงเสรีไว้ในตัวเขาทั้งสอง. เยเนซิศ 1:31) ถูกแล้ว “กิจการของพระองค์สมบูรณ์พร้อม.” (พระบัญญัติ 32:4, ล.ม.) เราทุกคนเห็นคุณค่าของเจตจำนงเสรีที่เป็นของประทานนี้ เพราะเราไม่ต้องการให้ใครมาบงการความคิดและการกระทำทั้งสิ้นของเราโดยที่เราไม่มีทางเลือกใด ๆ เลย.
และนั่นเป็นของประทานที่ดีเลิศ เพราะ “พระเจ้าทอดพระเนตรดูสิ่งทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างไว้นั้นเห็นว่าดีนัก.” (อย่างไรก็ตาม จะใช้ของประทานที่ดีเลิศเกี่ยวกับเจตจำนงเสรีนั้นได้อย่างไม่มีขอบเขตไหม? ในคำแนะนำที่ให้แก่คริสเตียนยุคแรก พระคำของพระเจ้าตอบว่า “จงเป็นเหมือนคนที่มีเสรีภาพ, แต่ท่านอย่าใช้เสรีภาพนั้นให้เป็นที่ปกปิดความชั่วไว้, แต่จงใช้เหมือนเป็นทาสของพระเจ้า.” (1 เปโตร 2:16) เพื่อผลประโยชน์ร่วมกันของทุกคน จำต้องมีขอบเขต. ฉะนั้น เจตจำนงเสรีต้องได้รับการควบคุมโดยหลักกฎหมาย. มิฉะนั้นแล้ว จะทำให้เกิดความสับสนอลหม่าน.
กฎหมายของผู้ใดล่ะ?
จะต้องใช้กฎหมายของผู้ใดกำหนดขอบเขตที่เหมาะสมของเสรีภาพ? คำตอบสำหรับคำถามนี้เกี่ยวข้องกับเหตุผลพื้นฐานที่พระเจ้าทรงยอมให้มีความทุกข์. เนื่องจากพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงทราบดีที่สุดว่าพวกเขาต้องเชื่อฟังกฎหมายอะไรเพื่อประโยชน์ของตัวเขาเองและเพื่อประโยชน์ของคนอื่น. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้ดังนี้: “เราคือยะโฮวา, พระเจ้าของเจ้าผู้สั่งสอนเจ้า, เพื่อประโยชน์แก่ตัวของเจ้าเอง, และผู้นำเจ้าให้ดำเนินในทางที่เจ้าควรดำเนิน.”—ยะซายา 48:17.
ปรากฏชัดว่า จุดสำคัญคือดังนี้: มนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างให้มีชีวิตอยู่โดยไม่ขึ้นกับพระเจ้า. พระองค์ทรงสร้างเขาในวิธีที่ความสำเร็จและความสุขของเขาขึ้นอยู่กับการเชื่อฟังกฎหมายอันชอบธรรมของพระองค์. ยิระมะยาผู้พยากรณ์ของพระเจ้าได้กล่าวว่า “โอ้พระยะโฮวา, ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าทางที่มนุษย์จะไปนั้นไม่ได้อยู่ในตัวของตัว, ไม่ใช่ที่มนุษย์ซึ่งดำเนินนั้นจะได้กำหนดก้าวของตัวได้.”—ยิระมะยา 10:23.
พระเจ้าทรงให้มนุษยชาติอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติของพระองค์ เช่น กฎของแรงโน้มถ่วง. คล้ายกัน พระองค์ทรงให้มนุษย์อยู่ภายใต้กฎศีลธรรมของพระองค์ ซึ่งได้รับการกำหนดขึ้นเพื่อก่อให้เกิดสังคมที่ปรองดองกัน. ดังนั้นแล้ว ด้วยเหตุผลที่ดี พระคำของพระเจ้ากระตุ้นเตือนว่า “จงวางใจในพระยะโฮวาด้วยสุดใจของเจ้า, อย่าพึ่งในความเข้าใจของตนเอง.”—สุภาษิต 3:5.
ด้วยเหตุนี้ ครอบครัวมนุษย์จะไม่มีวันประสบผลสำเร็จได้เลยในการปกครองตนเองโดยปราศจากการปกครองของพระเจ้า. โดยพยายามจะไม่ขึ้นกับพระองค์ ผู้คนคิดค้นระบบสังคม, เศรษฐกิจ, การเมือง, และระบบศาสนาขึ้นมาซึ่งขัดแย้งกัน และ “มนุษย์ใช้อำนาจเหนือมนุษย์อย่างที่ก่อผลเสียหายแก่เขา.”—ท่านผู้ประกาศ 8:9, ล.ม.
อะไรผิดพลาดไปหรือ?
พระเจ้าทรงให้อาดามและฮาวา บิดามารดาคู่แรกของเรามีการเริ่มต้นที่ดีพร้อม. เขาทั้งสองมีร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์และมีบ้านที่เป็นอุทยาน. หากเขาได้ยอมอยู่ใต้การปกครองของพระเจ้าแล้ว เขาจะยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์และมีความสุขต่อไป. ในที่สุด เขาทั้งสองจะเป็นบิดามารดาของครอบครัวมนุษย์ทั้งสิ้นที่สมบูรณ์ มีความสุขเยเนซิศ 1:27-29; 2:15.
อยู่บนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน. นั่นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์.—อย่างไรก็ตาม บรรพบุรุษแรกเดิมของเราใช้เจตจำนงเสรีของเขาอย่างผิด ๆ. เขาสำคัญผิดว่าตนสามารถประสบผลสำเร็จได้โดยไม่ต้องขึ้นกับพระเจ้า. ด้วยเจตจำนงเสรีของตนเอง เขาได้ก้าวออกนอกขอบเขตแห่งกฎหมายของพระองค์. (เยเนซิศบท 3) เพราะเขาได้ปฏิเสธการปกครองของพระองค์ พระองค์จึงไม่มีพันธะต้องค้ำจุนเขาในสภาพสมบูรณ์อีกต่อไป. “เขาทั้งหลายได้ลงมือก่อความหายนะในส่วนของเขาเอง; . . . หาได้เป็นบุตรของพระองค์ไม่ ข้อบกพร่องเป็นของเขาเอง.”—พระบัญญัติ 32:5, ล.ม.
ตั้งแต่ตอนที่เขาไม่เชื่อฟังพระเจ้า อาดามและฮาวาเริ่มเสื่อมลงทั้งทางร่างกายและจิตใจ. บ่อเกิดแห่งชีวิตอยู่กับพระยะโฮวา. (บทเพลงสรรเสริญ 36:9) ดังนั้น เนื่องจากได้แยกตัวจากพระยะโฮวา มนุษย์คู่แรกจึงกลายเป็นคนไม่สมบูรณ์และตายในที่สุด. (เยเนซิศ 3:19) สอดคล้องกับกฎเกี่ยวกับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ลูกหลานจะได้รับเฉพาะแต่สิ่งที่บิดามารดาของพวกเขาเองมีอยู่เท่านั้น. และสิ่งนั้นคืออะไร? นั่นคือความไม่สมบูรณ์และความตาย. เพราะฉะนั้น อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “บาปเข้ามาในโลกโดยทางคนคนเดียว [อาดาม] และความตายเข้ามาโดยทางบาป และด้วยเหตุนั้นความตายจึงลามถึงคนทั้งปวงเพราะพวกเขาล้วนได้ทำบาป.”—โรม 5:12, ล.ม.
ประเด็นสำคัญ—พระบรมเดชานุภาพ
เมื่ออาดามและฮาวาได้ขัดขืนพระเจ้า เขาทั้งสองได้ท้าทายพระบรมเดชานุภาพของพระองค์ นั่นคือ สิทธิของพระองค์ที่จะปกครอง. พระยะโฮวาสามารถทำลายเขาทั้งสองแล้วเริ่มสร้างมนุษย์ใหม่อีกคู่หนึ่งได้ แต่นั่นคงจะไม่ตัดสินประเด็นที่ว่าการปกครองของผู้ใดถูกต้องและดีที่สุดสำหรับมนุษย์. โดยมีเวลาที่จะพัฒนาสังคมตามแนวคิดของตนเอง มนุษย์จะพิสูจน์ให้เห็นอย่างไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เลยว่าการปกครองที่ไม่ขึ้นกับพระเจ้าจะมีวันประสบผลสำเร็จได้หรือไม่.
ประวัติศาสตร์ของมนุษย์หลายพันปีเผยให้เห็นอะไร? ตลอดศตวรรษต่าง ๆ เหล่านั้น ผู้คนได้ทดลองใช้ระบบสังคม, เศรษฐกิจ, การเมือง, และศาสนาหลายรูปแบบ. อย่างไรก็ตาม ความชั่วและความทุกข์ก็ยังมีอยู่เรื่อยมา. ที่จริง ‘คนชั่วได้กำเริบชั่วร้ายมากยิ่งขึ้น’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยของเรา.—2 ติโมเธียว 3:13.
ศตวรรษที่ 20 ปรากฏว่ามีการบรรลุผลสำเร็จสูงสุดทางด้านวิทยาศาสตร์และด้านอุตสาหกรรม. แต่ก็ปรากฏว่ามีความทุกข์แสนสาหัสด้วยในประวัติศาสตร์ทั้งสิ้นของเผ่าพันธุ์มนุษย์. และไม่ว่าจะมีความก้าวหน้าด้านการแพทย์เพียงใดก็ตาม กฎของพระเจ้าก็ยังคงเป็นจริงอยู่ที่ว่า มนุษย์ที่แยกตัวจากพระเจ้า—บ่อเกิดแห่งชีวิต—เจ็บป่วย, แก่ลง, และตาย. เรื่องนี้พิสูจน์อย่างชัดแจ้งสักเพียงไรว่า มนุษย์ไม่สามารถ ‘กำหนดก้าวของเขาเองได้’!
พระบรมเดชานุภาพของพระเจ้าได้รับการยืนยัน
การทดลองที่น่าสลดใจในการไม่ยอมขึ้นกับพระเจ้าได้พิสูจน์ให้เห็นครั้งเดียวตลอดไปว่า การปกครองของมนุษย์โดยไม่พึ่งพระองค์นั้นไม่สามารถประสบผลสำเร็จได้เลย. เฉพาะการปกครองของพระเจ้าเท่านั้นสามารถนำมาซึ่งความสุข, เอกภาพ, สุขภาพ, และชีวิต. นอกจากนั้น คัมภีร์ไบเบิลบริสุทธิ์ พระคำที่ไม่ผิดพลาดของพระเจ้าแสดงให้เห็นว่า เรากำลังมีชีวิตอยู่ใน “สมัยสุดท้าย” แห่งการปกครองของมนุษย์ที่ไม่ขึ้นกับพระเจ้า. (2 ติโมเธียว 3:1-5, ล.ม.) การที่พระยะโฮวาทรงยอมให้เป็นเช่นนี้และยอมให้มีความชั่วกับความทุกข์ก็ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว.
ในไม่ช้าพระเจ้าจะเข้าแทรกแซงในกิจธุระของมนุษย์. พระคัมภีร์บอกเราว่า “ในสมัยของกษัตริย์เหล่านั้น [การปกครองของมนุษย์ที่มีอยู่ขณะนี้] พระเจ้าแห่งสรวงสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่งขึ้น [ในสวรรค์] ซึ่งจะไม่มีวันถูกทำลาย. และอาณาจักรนี้จะไม่ถูกยกแก่ชนชาติอื่นใด [มนุษย์จะไม่ปกครองแผ่นดินโลกอีกเลย]. อาณาจักรนี้จะบดขยี้อาณาจักรทั้งปวง [การปกครองในปัจจุบัน] นั้นและทำให้สิ้นไป และอาณาจักรนี้จะคงอยู่จนเวลาไม่กำหนด.”—ดานิเอล 2:44, ล.ม.
การพิสูจน์ความถูกต้องแห่งพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวาพระเจ้าโดยทางราชอาณาจักรทางภาคสวรรค์เป็นอรรถบทของคัมภีร์ไบเบิล. พระเยซูทรงทำให้เรื่องนี้เป็นคำสอนสำคัญที่สุดของพระองค์. พระองค์ตรัสว่า “ข่าวดีแห่งราชอาณาจักรนี้จะได้รับการประกาศทั่วทั้งแผ่นดินโลกมัดธาย 24:14, ล.ม.
ที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อให้คำพยานแก่ทุกชาติ; และครั้นแล้วอวสานจะมาถึง.”—เมื่อการปกครองของพระเจ้าเข้ามาแทนที่การปกครองของมนุษย์ ใครจะรอดชีวิตและใครจะไม่รอด? มีการให้คำรับรองกับเราที่สุภาษิต 2:21, 22 (ล.ม.) ว่า “คนซื่อตรง [ผู้ที่สนับสนุนการปกครองของพระเจ้า] เป็นผู้ที่จะได้อาศัยบนแผ่นดินโลก และคนที่ไร้ข้อตำหนิเป็นผู้ที่จะเหลืออยู่บนแผ่นดิน. ส่วนคนชั่ว [ผู้ที่ไม่สนับสนุนการปกครองของพระเจ้า] พวกเขาจะถูกตัดขาดจากแผ่นดินโลก.” ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญที่ได้รับการดลใจจากพระเจ้าได้ร้องเพลงว่า “ยังอีกหน่อยหนึ่ง, คนชั่วจะไม่มี . . . แต่คนทั้งหลายที่มีใจถ่อมลงจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก, และเขาจะชื่นชมยินดีด้วยความสงบสุขอันบริบูรณ์. คนสัตย์ธรรมจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก, และจะอาศัยอยู่ที่นั่นต่อไปเป็นนิตย์.”—บทเพลงสรรเสริญ 37:10, 11, 29.
โลกใหม่ที่น่าพิศวง
ภายใต้การปกครองแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า ผู้รอดชีวิตผ่านอวสานของระบบปัจจุบันจะถูกนำเข้าสู่แผ่นดินโลกที่ได้รับการชำระให้ปราศจากความชั่วและความทุกข์. จะมีการจัดเตรียมคำสั่งสอนที่พระเจ้าทรงประทานให้สำหรับมนุษยชาติ และในที่สุด “แผ่นดินโลกจะเต็มไปด้วยความรู้ฝ่ายพระยะโฮวาดุจน้ำท่วมเต็มมหาสมุทร.” (ยะซายา 11:9) การสั่งสอนที่เสริมสร้างและเป็นประโยชน์เช่นนี้จะก่อให้เกิดสังคมที่สงบสุข ปรองดองกันอย่างแท้จริง. ดังนั้น จะไม่มีสงคราม, ฆาตกรรม, ความรุนแรง, การข่มขืน, การขโมย, หรืออาชญากรรมอื่นใดอีกต่อไป.
ผลประโยชน์ที่น่าพิศวงทางร่างกายจะหลั่งไหลมาสู่มนุษย์ที่เชื่อฟังซึ่งมีชีวิตอยู่ในโลกใหม่ของพระเจ้า. จะมีการขจัดผลที่ไม่ดีทั้งสิ้นจากการขัดขืนต่อการปกครองของพระเจ้า. ความไม่สมบูรณ์, ความเจ็บป่วย, วัยชรา, และความตายจะเป็นเรื่องของอดีต. คัมภีร์ไบเบิลรับรองกับเราว่า “จะไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นั่นพูดว่า, ‘ข้าพเจ้าป่วยอยู่.’ ” นอกจากนี้ พระคัมภีร์สัญญาว่า “ขณะนั้นตาของคนตาบอดจะเห็นได้, และหูของคนหูหนวกจะยินได้. แล้วคนง่อยจะเต้นได้ดุจดังอีเก้ง, และลิ้นของคนใบ้จะร้องเพลง.” (ยะซายา 33:24; 35:5, 6) จะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นเสียจริง ๆ ที่จะมีสุขภาพแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าทุกวัน—ตลอดกาล!
ภายใต้การชี้นำด้วยความรักของพระเจ้า ประชากรของโลกใหม่นั้นจะใช้พลังและทักษะของตนในการสร้างอุทยานทั่วแผ่นดินโลก. ความยากจน, ความหิวโหย, และการไร้ที่อยู่อาศัยจะผ่านพ้นไปตลอดกาล เพราะคำพยากรณ์ของยะซายากล่าวว่า “เขาจะสร้างบ้านเรือนและจะได้อยู่เป็นแน่; และเขาจะทำสวนองุ่นแล้วได้กินผลแน่นอน. เขาจะไม่สร้างแล้วคนอื่นอยู่อาศัย; เขาจะไม่ปลูกแล้วคนอื่นได้กิน.” (ยะซายา 65:21, 22, ล.ม.) ที่จริง “ต่างคนก็จะนั่งอยู่ใต้ซุ้มเถาองุ่นและใต้ต้นมะเดื่อเทศของตน; และจะไม่มีอะไรมาทำให้เขาสะดุ้งกลัว.”—มีคา 4:4.
แผ่นดินโลกจะตอบสนองการดูแลเอาใจใส่ด้วยความรักของพระเจ้าและมนุษย์ที่เชื่อฟัง. เราได้รับคำรับรองจากพระคัมภีร์ดังนี้ “ถิ่นทุรกันดารและที่แห้งแล้งจะปีติยินดี และป่าทรายจะเปรมปรีดิ์และมีดอกดกดุจหญ้าฝรั่น . . . .น้ำจะได้พุพลุ่งขึ้นแล้วในป่ากันดาร และมีน้ำไหลเชี่ยวในที่ราบทะเลทราย.” (ยะซายา 35:1, 6, ล.ม.) “ธัญญาหารจะบริบูรณ์บนแผ่นดิน; ต้นไม้บนยอดเขาจะมีผลดก.”—บทเพลงสรรเสริญ 72:16, ล.ม.
หลายพันล้านคนที่เสียชีวิตไปแล้วจะเป็นอย่างไร? คนเหล่านั้นที่อยู่ในความทรงจำของพระเจ้าจะได้รับการทำให้กลับมีชีวิตอีก เพราะ “จะมีการกลับเป็นขึ้นจากตายทั้งของคนชอบธรรมและคนไม่ชอบธรรม.” (กิจการ 24:15, ล.ม.) ถูกแล้ว จะมีการทำให้คนตายกลับมีชีวิตอีก. พวกเขาจะได้รับการสอนความจริงอันเยี่ยมยอดเกี่ยวกับการปกครองของพระเจ้าและได้รับโอกาสที่จะมีชีวิตตลอดไปในอุทยาน.—โยฮัน 5:28, 29.
โดยวิธีการเหล่านี้ พระยะโฮวาพระเจ้าจะทรงทำให้สภาพการณ์เลวร้ายเกี่ยวกับความทุกข์, ความเจ็บป่วย, และความตายที่ได้ครอบงำมนุษยชาติมาเป็นเวลาหลายพันปีนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง. ความเจ็บป่วยไม่มีอีกต่อไป! ความพิการไม่มีอีก! ความตายไม่มีต่อไป! พระเจ้า “จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของพวกเขา และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ทั้งความทุกข์โศกหรือเสียงร้องหรือความเจ็บปวดจะไม่มีอีกเลย. สิ่งที่เคยมีอยู่เดิมนั้น [จะ] ผ่านพ้นไปแล้ว.”—วิวรณ์ 21:3, 4, ล.ม.
พระเจ้าจะทรงทำให้ความทุกข์สิ้นสุดลงโดยวิธีนั้น. พระองค์จะทรงทำลายโลกที่เสื่อมทรามนี้และนำระบบใหม่อย่างแท้จริงเข้ามาซึ่ง “ความชอบธรรมจะดำรงอยู่” ที่นั่น. (2 เปโตร 3:13) นี่ช่างเป็นข่าวดีเสียจริง ๆ! เราต้องการโลกใหม่แบบนั้นอย่างยิ่ง. และเราจะไม่ต้องคอยอีกนานเพื่อจะเห็นโลกใหม่ที่ว่านั้น. จากความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิล เราทราบว่าโลกใหม่ใกล้จะมาถึงอยู่แล้ว และเวลาที่พระเจ้าทรงยอมให้มีความทุกข์นั้นจวนจะสิ้นสุดแล้ว.—มัดธาย 24:3-14.
[กรอบหน้า 8]
ความล้มเหลวของการปกครองโดยมนุษย์
เฮลมุท ชมิดท์ อดีตนายกรัฐมนตรีเยอรมันได้กล่าวเกี่ยวกับการปกครองของมนุษย์ว่า “พวกเราที่เป็นมนุษย์ . . . ได้ปกครองโลกตลอดมาเพียงบางส่วนเท่านั้น และเวลาส่วนใหญ่ที่ปกครองก็ย่ำแย่จริง ๆ. . . . เราไม่เคยปกครองโลกด้วยสันติภาพที่ครบถ้วนเลย.” รายงานพัฒนาการของมนุษย์ประจำปี 1999 (ภาษาอังกฤษ) ชี้ชัดว่า “ทุกประเทศรายงานการเซาะกร่อนโครงสร้างทางสังคมของพวกเขา พร้อมกับความไม่สงบทางสังคม, อาชญากรรมมากขึ้น, ความรุนแรงมากขึ้นในบ้าน. . . . การคุกคามทั่วโลกกำลังเพิ่มขึ้น เกินกว่าความสามารถในระดับประเทศจะรับมือกับเหตุการณ์เหล่านั้น และเร็วกว่าการตอบสนองของนานาชาติ.”
[ภาพหน้า 8]
“เขาจะชื่นชมยินดีด้วยความสงบสุขอันบริบูรณ์.”—บทเพลงสรรเสริญ 37:11.
[ที่มาของภาพหน้า 5]
Third from top, mother and child: FAO photo/B. Imevbore; bottom, explosion: U.S. National Archives photo