การเลือกของคุณในเรื่องหลักจรรยา
การเลือกของคุณในเรื่องหลักจรรยา
คุณเป็นคนที่ได้รับการชี้นำจากหลักจรรยาไหม? หรือคุณถือว่าหลักจรรยาเป็นเรื่องค่อนข้างล้าสมัย? ข้อเท็จจริงคือ ทุกคนได้รับการชี้นำจากหลักการบางอย่างที่เขาถือว่าสำคัญ. ตามที่พจนานุกรมเดอะ นิว ชอร์ตเทอร์ ออกซฟอร์ด อิงลิช กล่าวไว้ อาจให้คำจำกัดความหลักจรรยาว่าเป็น “กฎเกณฑ์เฉพาะตัวเกี่ยวกับการกระทำที่ถูกต้อง.” หลักจรรยาหรือหลักการมีผลกระทบต่อการตัดสินใจของเราและกำหนดแนวทางชีวิตของเรา. หลักการทำหน้าที่เหมือนเข็มทิศ.
ตัวอย่างเช่น พระเยซูทรงกระตุ้นเหล่าสาวกของพระองค์ให้ปฏิบัติตามกฎทองซึ่งพบที่มัดธาย 7:12 ที่ว่า “เหตุฉะนั้นสิ่งสารพัตรซึ่งท่านปรารถนาให้มนุษย์ทำแก่ท่าน, จงกระทำอย่างนั้นแก่เขาเหมือนกัน.” สานุศิษย์ของขงจื๊อปฏิบัติตามหลักการของลี้และเรน ซึ่งเพ่งเล็งในคุณลักษณะต่าง ๆ เช่น ความกรุณา, ความถ่อม, ความนับถือ, และความภักดี. แม้แต่คนที่ไม่เคร่งศาสนาก็มีการจัดลำดับความสำคัญหรือแนวชี้นำบางอย่างที่กำหนดการกระทำของเขา.
เราควรเลือกหลักการชนิดใด?
อย่างไรก็ตาม เราควรจำไว้ว่าหลักการอาจมีทั้งดีและไม่ดี. ตัวอย่างเช่น ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้รับแรงกระตุ้นจากสิ่งที่มีการระบุไว้ตลอด 10 ปีที่แล้วว่าเป็นทัศนะแบบ “ฉันก่อน.” ถึงแม้หลายคนอาจไม่รู้จักคำนี้หรือรู้สึกว่าคำนี้ใช้ไม่ได้กับเขาก็ตาม หลักที่ว่า “ฉันก่อน” เป็นกฎความประพฤติที่หลายคนใช้ขณะที่พวกเขาละทิ้งมาตรฐานอันสูงส่งในเรื่องความประพฤติ. ไม่ว่าได้รับการนิยามอย่างนั้นหรือไม่ก็ตาม หลักดังกล่าวเป็นการแสดงออกถึงความเห็นแก่ตัว บ่อยครั้งพร้อมกับวัตถุนิยมที่ไร้ความคิด. ผู้บริหารด้านทีวีคนหนึ่งในประเทศจีนอ้างว่า “เรามีหลักการเพียงสองอย่าง. อย่างหนึ่งคือการสนองความต้องการของผู้ซื้อ. อีกอย่างหนึ่งคือการกอบโกยเงิน.”
ความคิดที่ว่า ฉันก่อน อาจเป็นเหมือนแม่เหล็ก. และแม่เหล็กมีผลกระทบต่อเข็มทิศอย่างไร? เมื่อเอาสองสิ่งนี้มาวางเคียงข้างกัน เข็มของเข็มทิศชี้ไปผิดทาง. ในทำนองเดียวกัน ความคิดที่ว่าฉันก่อน ทำให้เข็มทิศด้านศีลธรรม หรือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับความประพฤติที่ถูกต้องของคนเราสับสน โดยทำให้ทุกสิ่งอยู่ในอันดับรองจากความปรารถนาของตนเอง.
คุณแปลกใจไหมที่รู้ว่าความคิดแบบฉันก่อนไม่ใช่ปรากฏการณ์เฉพาะสมัยปัจจุบัน? ความคิดเช่นนี้ได้เริ่มขึ้นในสวนเอเดนคราวเมื่อบิดามารดาคู่แรกได้ละทิ้งมาตรฐานความประพฤติที่พระผู้สร้างของเราได้กำหนดไว้. นั่นได้ทำให้เข็มทิศด้านศีลธรรมของเขาทั้งสองเปลี่ยนไป. ในฐานะลูกหลานของอาดามและฮาวา มนุษย์ถูกรบกวนด้วยความคิดแบบเดียวกัน ซึ่งมีการเรียกเมื่อไม่นานมานี้ว่า “ทัศนะแบบฉันก่อน.”—เยเนซิศ 3:6-8, 12.
ความแพร่หลายของทัศนะเช่นนั้นเป็นที่สังเกตได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างยุคที่คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลเรียกว่า “สมัยสุดท้าย” ซึ่งเห็นได้ชัดโดย “วิกฤตกาลซึ่งยากที่จะรับมือได้.” หลายคนเป็น ‘คนรักตัวเอง.’ จึงไม่ต้องแปลกใจที่เราประสบความกดดันให้เลียนแบบ2 ติโมเธียว 3:1-5, ล.ม.
ทัศนะแบบฉันก่อน.—บางทีคุณอาจเห็นพ้องกับชายหนุ่มที่ชื่อโอลาฟ ซึ่งเขียนจดหมายถึงสาขาแห่งหนึ่งของพยานพระยะโฮวาในยุโรปว่า “เป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะยังคงซื่อตรงด้านศีลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพวกเราที่เป็นหนุ่มสาว. โปรดเตือนเราต่อ ๆ ไปให้ระลึกถึงความจำเป็นที่จะยึดมั่นกับหลักการในคัมภีร์ไบเบิล.”
โอลาฟได้แสดงให้เห็นทัศนะที่มีความสังเกตเข้าใจ. หลักการของพระเจ้าช่วยเราได้ ไม่ว่าเป็นหนุ่มสาวหรือผู้สูงอายุ ให้ยึดมั่นกับมาตรฐานอันสูงส่งเกี่ยวกับความประพฤติ. หลักการเหล่านั้นยังทำให้เราสามารถต้านทานความคิดแบบฉันก่อน ไม่ว่าจะเรียกอย่างนั้นหรือไม่ก็ตาม. หากคุณปรารถนาจะเรียนรู้มากขึ้นว่าหลักการในคัมภีร์ไบเบิลจะช่วยคุณจริง ๆ ได้อย่างไรแล้ว โปรดพิจารณาบทความถัดไป.
[ภาพหน้า 4]
ทุกวันนี้หลายคนไม่คำนึงถึงความจำเป็นของผู้อื่น