จงให้หลักการของพระเจ้าชี้นำก้าวเดินของคุณ
จงให้หลักการของพระเจ้าชี้นำก้าวเดินของคุณ
“[พระยะโฮวา] ผู้สั่งสอนเจ้า, เพื่อประโยชน์แก่ตัวของเจ้าเอง.”—ยะซายา 48:17.
1. พระผู้สร้างทรงนำมนุษย์อย่างไร?
ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ทำงานอย่างหนักเพื่อไขความลับของเอกภพ พวกเขารู้สึกพิศวงเนื่องด้วยพลังงานอันท่วมท้นที่อัดแน่นอยู่ในจักรวาลรอบตัวเรา. ดวงอาทิตย์ของเราซึ่งเป็นดาวขนาดกลางผลิตพลังงานเท่ากับที่เกิดจาก “การระเบิดของระเบิดไฮโดรเจน 100,000 ล้านลูกทุก ๆ วินาที.” พระผู้สร้างทรงสามารถควบคุมและบังคับวิถีของเทห์ฟากฟ้าขนาดมหึมาเช่นนั้นด้วยอำนาจอันไร้ขีดจำกัดของพระองค์. (โยบ 38:32; ยะซายา 40:26) จะว่าอย่างไรสำหรับเราที่เป็นมนุษย์ ซึ่งพระเจ้าได้ประทานเจตจำนงเสรี, ความสามารถด้านศีลธรรม, ความสามารถคิดหาเหตุผล, และศักยภาพที่จะเข้าใจสิ่งฝ่ายวิญญาณแก่เรา? พระผู้สร้างของเราทรงเห็นควรจะนำทางเราโดยวิธีใด? พระองค์ทรงชี้นำเราด้วยความรักโดยกฎหมายอันสมบูรณ์และหลักการอันสูงส่งของพระองค์ ร่วมกับสติรู้สึกผิดชอบของเราซึ่งได้รับการฝึกอบรมอย่างดี.—2 ซามูเอล 22:31; โรม 2:14, 15.
2, 3. พระเจ้าทรงยินดีในการเชื่อฟังแบบใด?
2 พระเจ้าทรงยินดีในสิ่งทรงสร้างที่มีเชาวน์ปัญญาซึ่งเลือกเชื่อฟังพระองค์. (สุภาษิต 27:11) แทนที่จะวางโปรแกรมไว้ให้เราอยู่ใต้อำนาจพระองค์เหมือนหุ่นยนต์ที่ไร้ความคิด พระยะโฮวาประทานเจตจำนงเสรีแก่เราเพื่อเรา จะสามารถตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้องโดยอาศัยข้อมูลที่ให้ไว้อย่างครบถ้วน.—เฮ็บราย 5:14.
3 พระเยซูผู้ทรงสะท้อนถึงพระบิดาอย่างสมบูรณ์แบบตรัสแก่เหล่าสาวกว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นมิตรของเราถ้าเจ้าปฏิบัติตามที่เราสั่งเจ้า. เราไม่เรียกเจ้าทั้งหลายว่าทาสอีกต่อไป.” (โยฮัน 15:14, 15, ล.ม.) ในสมัยโบราณ ทาสแทบไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้เป็นนาย. ในทางตรงข้าม มิตรภาพก่อเกิดด้วยการแสดงคุณลักษณะที่ดึงดูดหัวใจ. เราสามารถเป็นมิตรกับพระยะโฮวา. (ยาโกโบ 2:23) มิตรภาพนี้ได้รับการเสริมให้แน่นแฟ้นโดยความรักที่มีต่อกัน. พระเยซูทรงเชื่อมโยงการเชื่อฟังพระเจ้าเข้ากับความรัก เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา, ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา.” (โยฮัน 14:23) เนื่องจากทรงรักเราและประสงค์จะนำทางเราให้ปลอดภัย พระยะโฮวาทรงเชิญเราให้ดำเนินชีวิตตามหลักการของพระองค์.
หลักการของพระเจ้า
4. คุณจะพรรณนาคำว่าหลักการอย่างไร?
4 หลักการคืออะไร? มีผู้นิยามหลักการว่าเป็น “ความจริงพื้นฐานหรือความจริงโดยทั่วไป: กฎหมาย, หลักข้อเชื่อ, หรือข้อสันนิษฐานที่ครอบคลุมและเป็นพื้นฐานซึ่งเป็นฐานหรือที่มาของกฎหมายและหลักข้อเชื่อต่าง ๆ.” (พจนานุกรมเว็บสเตอส์ เทิร์ด นิว อินเตอร์แนชันแนล) การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างถี่ถ้วนเผยให้เห็นว่าพระบิดาฝ่ายสวรรค์ของเราทรงจัดให้มีข้อชี้นำพื้นฐานที่ครอบคลุมสถานการณ์และแง่มุมต่าง ๆ ของชีวิต. พระองค์ทรงทำอย่างนี้โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ถาวรของเรา. ทั้งนี้สอดคล้องกับที่กษัตริย์ซะโลโมผู้ฉลาดสุขุมได้เขียนไว้ว่า “ฟังนะ, ศิษย์ของเราเอ๋ย, และจงรับเอาถ้อยคำของเรา; และชีวิตของเจ้าจะยืนนานปี. เราได้สอนเจ้าไปในทางแห่งพระปัญญา; เราได้นำเจ้าไปในทางแห่งความตรง.” (สุภาษิต 4:10, 11) หลักการสำคัญ ๆ ที่พระยะโฮวาทรงจัดไว้มีผลต่อสัมพันธภาพของเรากับพระองค์และกับเพื่อนมนุษย์, การนมัสการของเรา, และชีวิตประจำวันของเรา. (บทเพลงสรรเสริญ 1:1) ให้เรามาพิจารณาหลักการพื้นฐานเหล่านี้บางประการ.
5. จงยกตัวอย่างหลักการพื้นฐานบางอย่าง.
5 พระเยซูตรัสเกี่ยวกับสัมพันธภาพของเรากับพระยะโฮวาว่า “จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตต์ของเจ้า, และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า.” (มัดธาย 22:37) นอกจากนั้น พระเจ้าทรงจัดให้มีหลักการที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ เช่น กฎทอง ซึ่งกล่าวไว้ว่า “เหตุฉะนั้นสิ่งสารพัตรซึ่งท่านปรารถนาให้มนุษย์ทำแก่ท่าน, จงกระทำอย่างนั้นแก่เขาเหมือนกัน.” (มัดธาย 7:12; ฆะลาเตีย 6:10; ติโต 3:2) เราได้รับคำเตือนสติในเรื่องการนมัสการดังนี้: “ให้เราพิจารณาดูกันและกันเพื่อเร้าใจให้เกิดความรักและการกระทำที่ดี ไม่ละการประชุมร่วมกัน.” (เฮ็บราย 10:24, 25, ล.ม.) อัครสาวกเปาโลกล่าวเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันของเราว่า “ท่านทั้งหลายจะกินจะดื่มก็ดี, หรือจะทำประการใดก็ดี, จงกระทำทุกสิ่งให้เป็นที่ถวายเกียรติยศแก่พระเจ้า.” (1 โกรินโธ 10:31) มีหลักการอื่น ๆ อีกมากมายในพระคำของพระเจ้า.
6. หลักการต่างกับกฎหมายอย่างไร?
6 หลักการคือความจริงสำคัญ ๆ ที่ใช้การได้ และคริสเตียนที่ฉลาดสุขุมเรียนรู้ที่จะรักหลักการเหล่านั้น. พระยะโฮวาทรงดลใจซะโลโมให้เขียนดังนี้: “จงสนใจในคำพูดทั้งหลายของเรา; จงเงี่ยหูของเจ้าฟังถ้อยคำของเรา. อย่าให้คำนั้น ๆ พ้นจากสายตาของเจ้า; จงรักษาไว้ท่ามกลางดวงใจของเจ้า. เพราะว่าคำเหล่านั้นเป็นชีวิตแก่คนทั้งปวงที่พบ, และเป็นสุขภาพแก่ทุกส่วนฝ่ายเนื้อหนังของเขา.” (สุภาษิต 4:20-22) หลักการต่างกับกฎหมายอย่างไร? หลักการเป็นพื้นฐานสำหรับกฎหมาย. กฎซึ่งมักจะเจาะจงอาจใช้ได้ในบางเวลาหรือบางสถานการณ์ แต่หลักการใช้ได้เสมอไม่จำกัดเวลา. (บทเพลงสรรเสริญ 119:111) หลักการของพระเจ้าไม่ล้าสมัยหรือเสื่อมสูญไป. คำกล่าวซึ่งผู้พยากรณ์ยะซายาเขียนโดยการดลใจปรากฏว่าเป็นความจริง ที่ว่า “หญ้านั้นก็เหี่ยวแห้ง, และดอกไม้ก็ร่วงโรยไป, แต่พระดำรัสของพระเจ้าของเราจะยั่งยืนอยู่เป็นนิจ.”—ยะซายา 40:8.
จงคิดและทำโดยอาศัยหลักการ
7. พระคำของพระเจ้าสนับสนุนเราอย่างไรให้คิดและทำโดยอาศัยหลักการ?
7 ครั้งแล้วครั้งเล่า “พระดำรัสของพระเจ้าของเรา” สนับสนุนเราให้คิดและทำโดยอาศัยหลักการ. เมื่อมีคนขอให้พระเยซูสรุปเกี่ยวกับกฎหมาย พระองค์ทรงแถลงสองข้อซึ่งสั้นและชัดเจน ข้อหนึ่งเน้นความรักต่อพระยะโฮวา และมัดธาย 22:37-40) ในการแถลงดังกล่าว พระเยซูทรงยกข้อความบางส่วนจากบทสรุปย่อเกี่ยวกับหลักการพื้นฐานของพระบัญญัติของโมเซที่มีอยู่ก่อนแล้ว ดังบันทึกไว้ที่พระบัญญัติ 6:4, 5 ว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของเราเป็นเอกพระยะโฮวา: และเจ้าจงรักพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจ, สุดจิตต์ของเจ้า, และด้วยสิ้นสุดกำลังของเจ้า.” ดูเหมือนว่า พระเยซูทรงนึกถึงพระบัญชาของพระเจ้าซึ่งพบที่เลวีติโก 19:18 ด้วย. ในคำลงท้ายที่ชัดเจน, กระชับ, และมีพลังของพระธรรมท่านผู้ประกาศ คำกล่าวของกษัตริย์ซะโลโมสรุปกฎหมายมากมายของพระเจ้าดังนี้: “ให้เราฟังคำสรุปของเรื่องทั้งหมด: จงเกรงกลัวพระเจ้า, จงถือรักษาบัญญัติทั้งปวงของพระองค์; เพราะว่าการนี้เป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน. ด้วยว่าพระเจ้าจะเอาการงานทุกประการ, อันเกี่ยวด้วยสิ่งเร้นลับทุกอย่าง, ไม่ว่าเป็นการดีหรือเป็นการชั่วมาพิพากษา.”—ท่านผู้ประกาศ 12:13, 14; มีคา 6:8.
อีกข้อเน้นความรักต่อเพื่อนมนุษย์. (8. เหตุใดการมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในหลักการพื้นฐานของคัมภีร์ไบเบิลจึงเป็นการปกป้อง?
8 การมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในหลักการพื้นฐานเช่นนั้นสามารถช่วยเราให้เข้าใจและทำตามพระบัญชาที่เจาะจงกว่า. นอกจากนั้น หากเราไม่เข้าใจและไม่ยอมรับหลักการพื้นฐานอย่างครบถ้วน เราอาจไม่สามารถตัดสินใจอย่างฉลาดสุขุมและความเชื่อของเราอาจสั่นคลอนได้โดยง่าย. (เอเฟโซ 4:14) หากเราให้หลักการฝังแน่นในจิตใจและหัวใจ เราจะอยู่พร้อมที่จะใช้หลักการเหล่านั้นในการตัดสินใจ. เมื่อเราใช้หลักการด้วยความเข้าใจ ก็จะนำความสำเร็จมาให้.—ยะโฮซูอะ 1:8; สุภาษิต 4:1-9.
9. เหตุใดจึงไม่ง่ายเสมอไปที่จะสังเกตเข้าใจและใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิล?
9 การสังเกตเข้าใจและการใช้หลักการของคัมภีร์ไบเบิลไม่ง่ายเหมือนกับการปฏิบัติตามกฎหมาย. เนื่องจากเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ เราอาจไม่ได้พยายามลงความเห็นด้วยการคิดหาเหตุผลโดยอาศัยหลักการ. เราอาจชอบให้มีกฎชัด ๆ ง่าย ๆ มากกว่าเมื่อต้องตัดสินใจหรือเผชิญกับสถานการณ์ที่ทำให้สับสน. บางครั้ง เราอาจขอคริสเตียนที่อาวุโสหรือผู้ปกครองในประชาคมให้ช่วยชี้นำ โดยหวังว่าเขาจะให้กฎที่เฉพาะเจาะจงซึ่งใช้ได้กับกรณีของเรา. ทว่า คัมภีร์ไบเบิลหรือสรรพหนังสือที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักอาจไม่ได้ให้กฎที่เฉพาะเจาะจงไว้ และแม้แต่หากเราได้รับกฎอย่างหนึ่ง กฎนั้นอาจจะไม่สามารถใช้ได้ในทุกเวลาทุกสถานการณ์. คุณอาจจำได้ว่ามีชายคนหนึ่งถามพระเยซูว่า “อาจารย์เจ้าข้า. ขอสั่งพี่ชายของข้าพเจ้าให้แบ่งมฤดกให้กับข้าพเจ้า.” แทนที่จะประทานกฎเพื่อจัดการข้อพิพาทระหว่างพี่น้องในทันที พระเยซูประทานหลักการที่กว้างกว่าแก่เขาดังนี้: “จงระวังและเว้นเสียจากการโลภทั่วไป.” พระเยซูจึงให้การชี้นำที่เป็นประโยชน์ในเวลานั้นและยังเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน.—ลูกา 12:13-15.
10. ความประพฤติของเราซึ่งประสานกับหลักการเผยให้เห็นแรงกระตุ้นในหัวใจเราอย่างไร?
10 คุณอาจเคยเห็นหลายคนที่มีแนวโน้มจะเชื่อฟังกฎหมายอย่างจำยอม เพราะกลัวถูกลงโทษ. ความนับถือต่อหลักการทำให้เราไม่มีเจตคติเช่นนั้น. ธรรมชาติของหลักการกระตุ้นผู้ที่มีหลักการชี้นำให้ตอบสนองจากหัวใจ. ที่จริง หลักการส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวข้องกับการลงโทษในทันทีสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตาม. ทั้งนี้เปิดโอกาสแก่เราที่จะเผยให้เห็นเหตุผลที่เราเชื่อฟังพระยะโฮวา และเผยว่าแรงกระตุ้นในหัวใจเราเป็นเช่นไร. เราพบตัวอย่างหนึ่งจากการที่โยเซฟปฏิเสธการเชื้อเชิญที่ผิดศีลธรรมของภรรยาโพติฟา. แม้ว่าพระยะโฮวาเยเนซิศ 2:24; 12:18-20) เราสามารถเห็นจากปฏิกิริยาของท่านว่าหลักการดังกล่าวมีผลกระทบต่อท่านอย่างมีพลัง: “ข้าพเจ้าจะทำผิดดังนี้อย่างไรได้, เป็นบาปใหญ่หลวงนักต่อพระเจ้า.”—เยเนซิศ 39:10.
ยังไม่ได้ประทานกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษรห้ามการเล่นชู้และไม่มีบทลงโทษจากพระเจ้าในเรื่องการมีความสัมพันธ์กับภรรยาของชายอื่น โยเซฟทราบดีถึงหลักการเกี่ยวกับความซื่อสัตย์ในสายสมรสที่พระเจ้าทรงวางไว้. (11. คริสเตียนปรารถนาให้หลักการของพระยะโฮวาชี้นำในขอบเขตใดบ้าง?
11 ปัจจุบัน คริสเตียนปรารถนาให้หลักการของพระยะโฮวาชี้นำในเรื่องส่วนตัว เช่น การเลือกเพื่อน, ความบันเทิง, ดนตรี, และสิ่งที่เขาอ่าน. (1 โกรินโธ 15:33; ฟิลิปปอย 4:8) ขณะที่เราเติบโตขึ้นในความรู้, ความเข้าใจ, และความหยั่งรู้ค่าต่อพระยะโฮวาและมาตรฐานของพระองค์ สติรู้สึกผิดชอบหรือความสำนึกด้านศีลธรรมของเราจะช่วยเราให้ใช้หลักการของพระเจ้าภายใต้สภาพการณ์ใดก็ตามที่เราเผชิญ แม้แต่ในเรื่องส่วนตัวที่สุด. เมื่อได้รับการนำโดยหลักการในคัมภีร์ไบเบิล เราจะไม่มองหาจุดที่เป็นช่องโหว่ในกฎหมายของพระเจ้า อีกทั้งเราจะไม่เลียนแบบคนที่พยายามดูว่าเขาสามารถทำได้ถึงขนาดไหนโดยยังไม่ละเมิดกฎหมายจริง ๆ. เราตระหนักว่าการคิดเช่นนั้นมักจะก่อปัญหาและก่อผลเสียหาย.—ยาโกโบ 1:22-25.
12. หัวใจสำคัญของการให้หลักการของพระเจ้าชี้นำคืออะไร?
12 คริสเตียนที่อาวุโสยอมรับว่าหัวใจสำคัญของการปฏิบัติตามหลักการของพระยะโฮวาคือการมีความปรารถนาจะทราบว่าพระองค์ทรงรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญกระตุ้นเตือนว่า “ท่านทั้งหลายที่รักพระยะโฮวา, จงเกลียดการชั่ว.” (บทเพลงสรรเสริญ 97:10) สุภาษิต 6:16-19 กล่าวถึงบางสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดไว้ว่าชั่ว โดยกล่าวดังนี้: “มีอยู่หกอย่างที่พระยะโฮวาทรงชัง; เออ, มีถึงเจ็ดอย่างซึ่งพระองค์ทรงสะอิดสะเอียน: ตาหยิ่งยโส; ลิ้นพูดปด; มือที่ประหารคนที่ไม่มีผิดให้โลหิตตก; ใจที่คิดกะการชั่วร้ายนานา, เท้าที่วิ่งปราดไปกระทำผิด; พยานเท็จที่ระบายลมออกมาเป็นคำเท็จ, และคนที่แพร่การแตกสามัคคีในหมู่พี่น้อง.” เมื่อความปรารถนาจะสะท้อนความรู้สึกของพระยะโฮวาในเรื่องพื้นฐานต่าง ๆ ควบคุมชีวิตเรา เราก็จะดำเนินชีวิตประสานกับหลักการอย่างเสมอต้นเสมอปลาย.—ยิระมะยา 22:16.
แรงกระตุ้นที่ดีเป็นสิ่งจำเป็น
13. พระเยซูทรงเน้นการคิดแบบใดในคำเทศน์บนภูเขา?
13 การรู้และการใช้หลักการยังป้องกันเราไว้ด้วยไม่ให้ติดกับดักแห่งการนมัสการอย่างพอเป็นพิธีและไร้แก่นสาร. มีความแตกต่างระหว่างการปฏิบัติตามหลักการกับการเชื่อฟังตามกฎอย่างเคร่งครัดในเรื่องหยุม ๆ หยิม ๆ. พระเยซูทรงชี้เรื่องนี้อย่างชัดเจนในคำเทศน์บนภูเขา. (มัดธาย 5:17-48) พึงจำไว้ว่าผู้ฟังของพระเยซูคือชาวยิว ดังนั้นความประพฤติของพวกเขาควรถูกควบคุมโดยพระบัญญัติของโมเซ. แต่ความเป็นจริงก็คือ พวกเขามีทัศนะที่บิดเบือนเกี่ยวกับพระบัญญัติ. พวกเขาเน้นพระบัญญัติตามตัวอักษร แทนที่จะเน้นเจตนารมณ์ของพระบัญญัติ. และพวกเขาเน้นประเพณี ยกประเพณีที่พวกเขาตั้งขึ้นให้อยู่เหนือคำสอนของพระเจ้า. (มัดธาย 12:9-12; 15:1-9) ผลคือ ประชาชนโดยทั่วไปไม่ได้รับการสอนให้คิดในแง่ของหลักการ.
14. พระเยซูทรงช่วยผู้ฟังอย่างไรให้คิดโดยอาศัยหลักการ?
14 ในทางตรงข้าม พระเยซูทรงสอนหลักการด้านศีลธรรมห้าขอบเขตในคำเทศน์บนภูเขา กล่าวคือ ความโกรธ, มัดธาย 5:28.
การสมรสกับการหย่าร้าง, คำมั่นสัญญา, การแก้แค้น, และความรักกับความเกลียดชัง. ในแต่ละขอบเขต พระเยซูทรงชี้ถึงผลประโยชน์ของการปฏิบัติตามหลักการ. โดยวิธีนั้น พระเยซูทรงยกระดับมาตรฐานด้านศีลธรรมของเหล่าสาวกให้สูงขึ้น. ตัวอย่างเช่น ในเรื่องการเล่นชู้ พระองค์ประทานหลักการที่ป้องกันเราไม่เฉพาะแต่การกระทำ แต่ป้องกันความคิดและความปรารถนาด้วย ดังที่พระองค์ตรัสว่า “ผู้ใดแลดูผู้หญิงด้วยใจกำหนัดในหญิงนั้น, ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว.”—15. เราสามารถหลีกเลี่ยงแนวโน้มที่จะเป็นคนเคร่งครัดเกินไปในเรื่องกฎข้อบังคับได้อย่างไร?
15 ตัวอย่างนี้แสดงว่าเราไม่ควรหลงประเด็นในเรื่องความมุ่งหมายและเจตนารมณ์ของหลักการของพระยะโฮวา. แน่นอน เราไม่ควรพยายามได้รับความพอพระทัยจากพระเจ้าด้วยการถือหลักศีลธรรมแค่เปลือกนอก. พระเยซูทรงเปิดโปงในเรื่องการมีเจตคติผิด ๆ เช่นนั้นโดยทรงชี้ไปที่ความเมตตาและความรักของพระเจ้า. (มัดธาย 12:7; ลูกา 6:1-11) โดยปฏิบัติตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิล เราจะหลีกเลี่ยงการพยายามดำเนินชีวิต (หรือการเรียกร้องให้ผู้อื่นดำเนินชีวิต) โดยอาศัยกฎอันเข้มงวดและละเอียดยิบเกี่ยวกับข้อควรทำและข้อพึงละเว้นซึ่งเกินเลยคำสอนในคัมภีร์ไบเบิล. เราจะเป็นห่วงเกี่ยวกับหลักการแห่งความรักและการเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเปลือกนอกของการนมัสการ.—ลูกา 11:42.
ผลที่เป็นสุข
16. จงยกตัวอย่างหลักการที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งบางข้อในคัมภีร์ไบเบิล.
16 ขณะที่เราพยายามเชื่อฟังพระยะโฮวา นับว่าสำคัญที่จะตระหนักว่ากฎหมายของพระองค์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการสำคัญ ๆ. ยกตัวอย่าง คริสเตียนต้องหลีกเลี่ยงการบูชารูปเคารพ, การประพฤติผิดศีลธรรมทางเพศ, และการใช้เลือดอย่างผิด ๆ. (กิจการ 15:28, 29) อะไรคือพื้นฐานของจุดยืนของคริสเตียนในประเด็นเหล่านั้น? พระเจ้าทรงคู่ควรจะได้รับความเลื่อมใสโดยเฉพาะจากเรา; เราควรซื่อสัตย์ต่อคู่สมรส; และพระยะโฮวาทรงเป็นผู้ประทานชีวิต. (เยเนซิศ 2:24; เอ็กโซโด 20:5; บทเพลงสรรเสริญ 36:9) การเข้าใจหลักการอันเป็นพื้นฐานเหล่านี้ทำให้ง่ายขึ้นที่จะยอมรับและปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง.
17. อาจเกิดผลดีเช่นไรบ้างจากการสังเกตเข้าใจและใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิล?
17 ขณะที่เราสังเกตเข้าใจหลักการอันเป็นพื้นฐานและใช้หลักการเหล่านั้น เราตระหนักว่าหลักการดังกล่าวมีไว้เพื่อประโยชน์ของเรา. พระพรฝ่ายวิญญาณที่ไพร่พลของพระเจ้าได้รับมักควบคู่ไปกับผลประโยชน์ที่เห็นได้ชัด. ตัวอย่างเช่น คนที่ละเว้นจากการสูบบุหรี่, คนที่ดำเนินชีวิตอย่างมีศีลธรรมที่ดี, และคนที่นับถือความศักดิ์สิทธิ์ของเลือดหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของโรคภัยบางอย่าง. คล้ายคลึงกัน การดำเนินชีวิตสอดคล้องกับความจริงของพระเจ้าอาจทำให้เราได้รับประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ, ด้านสังคม, หรือด้านชีวิตครอบครัว. ผลประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเช่นนั้นพิสูจน์คุณค่ามาตรฐานของพระยะโฮวาว่าใช้การได้อย่างแท้จริง. แต่การได้รับประโยชน์ในเชิงปฏิบัติเช่นนั้นไม่ใช่เหตุผลสำคัญในการใช้หลักการของพระเจ้า. คริสเตียนแท้เชื่อฟังพระยะโฮวาเพราะพวกเขารักพระองค์, เพราะพระองค์ทรงสมควรได้รับการนมัสการจากเขา, และเพราะนั่นคือสิ่งที่ถูกต้องพึงทำ.—วิวรณ์ 4:11.
18. หากเราปรารถนาจะเป็นคริสเตียนที่ประสบผลสำเร็จ เราควรให้อะไรชี้นำชีวิตเรา?
18 การยอมให้หลักการในคัมภีร์ไบเบิลชี้นำชีวิตนำเราให้ดำเนินในแนวทางชีวิตที่ดีเยี่ยมกว่า ซึ่งแนวทางชีวิตแบบนี้เองดึงดูดคนอื่น ๆ ให้เข้ามาดำเนินในแนวทางของพระเจ้า. ที่สำคัญที่สุด แนวทางชีวิตของเราถวายเกียรติแด่พระยะโฮวา. เราตระหนักว่าพระยะโฮวาทรงเป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักอย่างแท้จริงซึ่งประสงค์ให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุด. เมื่อเราตัดสินใจตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิลและคอยดูว่าพระยะโฮวาทรงอวยพรเราอย่างไร เรารู้สึกใกล้ชิดพระองค์มากยิ่งขึ้น. ถูกแล้ว เราพัฒนาสายสัมพันธ์อันเปี่ยมด้วยความรักมากยิ่งขึ้นกับพระบิดาฝ่ายสวรรค์ของเรา.
คุณจำได้ไหม?
• หลักการคืออะไร?
• หลักการแตกต่างกับกฎหมายอย่างไร?
• เหตุใดจึงเป็นประโยชน์ที่เราจะคิดและทำโดยอาศัยหลักการ?
[คำถาม]
[กรอบหน้า 20]
วิลสัน คริสเตียนคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่ประเทศกานา ได้รับแจ้งว่าในอีกไม่กี่วันเขาจะถูกไล่ออกจากงาน. ในวันสุดท้ายที่เขาทำงาน เขาได้รับมอบหมายให้ล้างรถของกรรมการผู้จัดการบริษัท. เมื่อวิลสันพบเงินก้อนหนึ่งในรถคันนั้น หัวหน้างานบอกเขาว่าพระเจ้าได้ประทานเงินนั้นให้เขา เพราะวิลสันกำลังจะถูกปลดออกจากงานในวันนั้นอยู่แล้ว. อย่างไรก็ตาม วิลสันใช้หลักการในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับความซื่อสัตย์และมอบเงินนั้นคืนให้กรรมการผู้จัดการ. ด้วยความประหลาดใจและประทับใจ กรรมการผู้จัดการไม่เพียงแต่เสนองานถาวรให้วิลสันในทันที แต่ยังเลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นสมาชิกอาวุโสของพนักงานบริษัทด้วย.—เอเฟโซ 4:28.
[กรอบหน้า 21]
รูเคียเป็นหญิงชาวแอลเบเนียวัยหกสิบกว่า ๆ. เนื่องด้วยความไม่ลงรอยกันในครอบครัว เธอไม่ได้พูดกับพี่ชายมาเป็นเวลานานกว่า 17 ปี. เธอเริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวาและเรียนรู้ว่าคริสเตียนแท้ต้องมีสันติสุขกับผู้อื่น ไม่ผูกใจเจ็บ. เธออธิษฐานตลอดทั้งคืน แล้วเดินไปบ้านพี่ชายด้วยหัวใจที่เต้นแรง. หลานสาวเป็นคนมาเปิดประตู. ด้วยความประหลาดใจ เธอถามรูเคียว่า “มีใครตายรึเปล่าคะนี่? คุณป้ามาทำอะไรที่นี่?” รูเคียขอพบพี่ชาย. เธออธิบายอย่างใจเย็นว่าสิ่งที่เธอกำลังเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการในคัมภีร์ไบเบิลและเกี่ยวกับพระยะโฮวาได้กระตุ้นเธอให้มาขอคืนดีกับพี่ชาย. หลังจากที่กอดกัน และร้องไห้ ทั้งสองก็ฉลองโอกาสพิเศษนี้ที่ได้กลับมาคืนดีกันอีก!—โรม 12:17, 18.
[ภาพหน้า 23]
[ภาพหน้า 23]
[ภาพหน้า 23]
[ภาพหน้า 23]
“ครั้นทรงทอดพระเนตร เห็นคนมากดังนั้น, พระองค์ก็เสด็จขึ้นภูเขา, และเมื่อประทับแล้วเหล่าสาวกของพระองค์มาเฝ้าพระองค์, แล้วพระองค์ทรงออกพระโอษฐ์สอนเขา.”—มัดธาย 5:1, 2