รู้สึกมั่นคงในขณะนี้มีความมั่นคงตลอดไป
รู้สึกมั่นคงในขณะนี้มีความมั่นคงตลอดไป
เหตุใดจึงมักเป็นเรื่องยากที่จะหาความมั่นคง หรือถ้าอาจหาได้ก็เป็นเพียงชั่วคราว? เป็นไปได้ไหมว่าความรู้สึกมั่นคงของคนเรามีพื้นฐานมาจากจินตนาการ คือจากสิ่งที่เราคาดหวังว่าจะได้มา แทนที่จะเป็นสิ่งที่เราหาได้จริง. ความรู้สึกจอมปลอมเช่นนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นการอยู่ในโลกแห่งความฝัน.
จินตนาการทำให้ความคิดล่องลอยไปจากความเป็นจริงของชีวิตซึ่งไม่มีความมั่นคง แล้วเข้าสู่สภาพที่สวยงามและมั่นคงปลอดภัย โดยเพิกเฉยต่อสิ่งใด ๆ ที่อาจทำลายความฝันนั้น. อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งปัญหาต่าง ๆ ในโลกแห่งความจริงก็แทรกเข้ามาในโลกแห่งความฝันอย่างทันทีทันใด ลบล้างความรู้สึกเป็นสุขออกไปอย่างไร้ความปรานี และปลุกผู้ที่กำลังฝันนั้นให้ตื่นขึ้นมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง.
ให้เราพิจารณาขอบเขตหนึ่งที่ผู้คนเสาะหาความมั่นคง นั่นคือ ทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์. ยกตัวอย่าง เมืองใหญ่อาจดูมีหวังในเรื่องความสำเร็จ ทำให้คิดถึงภาพของช่วงเวลาที่น่าเพลิดเพลิน, รายได้ก้อนโต, และบ้านที่หรูหราน่าอยู่. ใช่แล้ว สิ่งเหล่านั้นดูเหมือนจะให้ความมั่นคงซึ่งเฝ้ารอมานานได้. แต่นั่นเป็นการมองตามความเป็นจริงไหม?
ทำเลที่ตั้ง—เมืองใหญ่หรือฝันที่ยิ่งใหญ่?
ในประเทศที่กำลังพัฒนา สิ่งล่อใจของเมืองใหญ่ถูกส่งเสริมโดยการโฆษณาซึ่งชักจูงให้เกิดจินตนาการที่อยากได้ใคร่มี. องค์กรต่าง ๆ ที่ให้เงินสนับสนุนการโฆษณาเช่นนั้นไม่จำเป็นต้องสนใจในเรื่องความมั่นคงของคุณ เสมอไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาใส่ใจในยอดขายของตนเอง มากกว่า. พวกเขาเคลือบปัญหาต่าง ๆ ของโลกแห่งความจริงด้วยฉากแห่งความสำเร็จที่แสดงถึงความมั่นคง. ด้วยเหตุนี้ ความมั่นคงจึงถูกเชื่อมโยงเข้ากับสินค้าที่พวกเขาโฆษณาและกับเมืองใหญ่.
ขอพิจารณาตัวอย่างต่อไปนี้. บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐในเมืองหนึ่งแถบแอฟริกาตะวันตกได้ตั้งป้ายโฆษณามากมายซึ่งแสดงภาพอย่างชัดเจนว่า การสูบบุหรี่ในความเป็นจริงแล้วไม่ต่างอะไรกับการเผาเงินที่หามาด้วยความยากเย็นทิ้งไป. นั่นเป็นส่วนหนึ่งของการรณรงค์เพื่อเตือนให้ประชาชนเห็นโทษของการสูบบุหรี่. ฝ่ายผู้ผลิตและผู้ขายบุหรี่ต่างก็ตอบโต้ด้วยการติดป้ายโฆษณาที่ออกแบบอย่างชาญฉลาด ซึ่งดึงดูดสายตาด้วยภาพผู้สูบบุหรี่ในฉากแห่งความสุขและความสำเร็จ. ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทผู้ผลิตบุหรี่รายหนึ่งยังได้ให้พนักงานแต่งกายในชุดที่มีลวดลายสะดุดตาและสวมหมวกเบสบอลสีสดใสแจกบุหรี่ให้แก่คนหนุ่มสาวตามถนน พร้อมทั้งเชิญชวนแต่ละคนให้ “ลองดู.” หนุ่มสาวเหล่านี้จำนวนไม่น้อยซึ่งมาจากหมู่บ้านรอบนอกและไม่เดียงสาต่อแผนการโฆษณาอันแยบยลต่าง ๆ ได้ตกเป็นเหยื่อของการเชิญชวนนี้. พวกเขากลายเป็นนักสูบที่ติดงอมแงม. วัยรุ่นจากหมู่บ้านเหล่านี้เข้ามาในเมืองใหญ่เพื่อเสาะหาความมั่นคงเพราะต้องจุนเจือครอบครัว หรือมิฉะนั้นก็เพื่อจะประสบความสำเร็จทางการเงิน. แต่กลับกลายเป็นว่า พวกเขา
ได้ผลาญเงินจำนวนมากที่ควรจะได้ใช้เพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ ที่ดีกว่า.การโฆษณาต่าง ๆ ซึ่งแสดงภาพชีวิตที่ประสบความสำเร็จในเมืองใหญ่นั้นไม่ได้มาจากผู้ขายสินค้าเสมอไป. คำโฆษณาเช่นนั้นอาจถูกบอกเล่าจากปากของคนที่ได้ย้ายไปยังเมืองใหญ่และรู้สึกอายที่จะกลับไปยังหมู่บ้านของตน. เนื่องจากไม่ต้องการถูกมองว่าเป็นคนล้มเหลว พวกเขาจึงอวดอ้างความมั่งคั่งและความสำเร็จจอมปลอมที่พวกเขาได้พบในเมือง. อย่างไรก็ดี หากพิจารณาสถานภาพที่พวกเขากล่าวอ้างให้ละเอียดยิ่งขึ้น จะพบว่ารูปแบบชีวิตที่เขามีในขณะนี้ไม่ได้ดีไปกว่าชีวิตที่เขาเคยมีก่อนหน้านี้เมื่ออยู่ในหมู่บ้าน; พวกเขากำลังดิ้นรนหาเงินเช่นเดียวกับคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในเมือง.
เป็นความจริงโดยเฉพาะในเมืองขนาดใหญ่ ที่ผู้เสาะหาความมั่นคงซึ่งย้ายมาอยู่ใหม่ได้ตกเป็นเหยื่อของคนที่ไร้ศีลธรรม. ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? โดยทั่วไปแล้ว พวกเขาเหล่านี้ไม่มีเวลาจะพัฒนามิตรภาพที่ใกล้ชิดระหว่างกัน ทั้งยังอยู่ห่างไกลจากสมาชิกครอบครัวอีกด้วย. ดังนั้น พวกเขาจึงขาดที่ปรึกษาซึ่งอาจช่วยมิให้ตกหลุมพรางของชีวิตในเมืองที่มุ่งเน้นการนิยมวัตถุได้.
โชซเวไม่ได้ติดกับของการสูบบุหรี่. นอกจากนั้น เขายังได้มาตระหนักว่าสิ่งที่ชีวิตในเมืองใหญ่เรียกร้องนั้นเกินกำลังที่เขาจะสามารถรับมือได้อย่างประสบผลสำเร็จ. ในกรณีของเขา อย่างดีที่สุดที่เมืองใหญ่สามารถให้เขาได้จริง ๆ นั้นมีอยู่สิ่งเดียวคือ ความฝันที่ยิ่งใหญ่และไม่เป็นจริง. เขาต้องยอมรับว่าเขาไม่มีความมั่นคงที่แท้จริงในเมืองใหญ่และที่นั่นไม่ใช่ที่สำหรับเขา. ความรู้สึกว่างเปล่า, ด้อยค่า, และล้มเหลวก็เกาะกุมเขา และในที่สุด เขายอมกล้ำกลืนทิฐิของตัวเองและกลับไปที่หมู่บ้าน.
เขาเคยกลัวว่าจะถูกเยาะเย้ย. แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ครอบครัวของเขาและบรรดาเพื่อนแท้ต่างก็ต้อนรับเขาอย่างเต็มอกเต็มใจ. เนื่องจากความอบอุ่นที่ได้รับจากครอบครัว, สิ่งแวดล้อมที่คุ้นเคยในหมู่บ้าน, และความรักของเพื่อน ๆ ในประชาคมคริสเตียน ไม่ช้า โชซเวก็รู้สึกมั่นคงยิ่งกว่าเมื่ออยู่ในเมืองใหญ่ ที่ซึ่งความฝันของหลายคนได้กลายเป็นฝันร้าย. เขาต้องแปลกใจที่พบว่า แท้จริงแล้วการทำงานหนักในไร่กับพ่อทำให้เขากับครอบครัวมีรายได้มากกว่าเงินได้สุทธิที่เขาเคยหาได้เมื่ออยู่ในเมืองเสียอีก.
เงิน—อะไรคือปัญหาที่แท้จริง?
เงินจะให้ความรู้สึกมั่นคงแก่คุณได้ไหม? ลิซ จากแคนาดาบอกดังนี้: “เมื่อยังเป็นวัยรุ่น ดิฉันเคยเชื่อว่าเงินจะนำอิสรภาพพ้นจากความกังวลมาให้ได้.” เธอตกหลุมรักกับชายฐานะดีคนหนึ่ง. ไม่นานทั้งสองก็แต่งงานกัน. ลิซรู้สึกมั่นคงไหม? เธอเล่าต่อว่า “เมื่อดิฉันแต่งงาน เรามีบ้านที่สวยงามและรถสองคัน และฐานะของเราก็ทำให้เรามีอิสระที่จะเพลิดเพลินกับสิ่งต่าง ๆ เกือบทุกอย่างในด้านวัตถุสิ่งของ, การเดินทางท่องเที่ยว, และนันทนาการ. น่าแปลกจริง ๆ ที่ดิฉันยังคงกังวลเกี่ยวกับเงินอยู่ดี.” เธออธิบายว่า นั่นเป็นเพราะ “เรามีมากเหลือเกินที่จะสูญเสีย. ดูเหมือนว่า ยิ่งคุณมีเงินมากเท่าไร คุณก็ยิ่งรู้สึกมั่นคงน้อยลงเท่านั้น. เงินไม่ได้นำอิสรภาพพ้นจากความวิตกกังวลมาให้เลย.”
ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณมีเงินไม่มากพอเพื่อจะรู้สึกมั่นคง จงถามตัวเองว่า ‘อะไรคือปัญหาที่แท้จริง? เป็นเพราะขาดเงินจริง ๆ ไหม หรือว่าเป็นเพราะขาดการจัดการเรื่องเงินอย่างสุขุมกันแน่?’ เมื่อคิดใคร่ครวญถึงอดีตของตนเอง ลิซกล่าวว่า “ตอนนี้ดิฉันรู้แล้วว่าที่มาของปัญหาในครอบครัวเมื่อดิฉันเป็นเด็กคือ การบริหารเงินที่ไม่ดีพอ. เราซื้อของเงินเชื่อเสมอ และดังนั้นเราจึงมีหนี้สินที่ต้องแบกอยู่ตลอดเวลา. สิ่งนี้ทำให้เรากังวลใจ.”
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันลิซกับสามีของเธอรู้สึกมั่นคงขึ้นมาก แม้ว่าพวกเขาจะมีเงินน้อยลง. เมื่อได้มาเรียนรู้ความจริงแห่งพระคำของพระเจ้า ทั้งสองก็หยุดฟังคำกล่าวอ้างอันลวงหลอกเกี่ยวกับเรื่องเงินและหันมาฟังสติปัญญาของพระเจ้า รวมถึงถ้อยคำเหล่านี้ที่ว่า “ส่วนผู้ที่ฟังเรา เขาจะอาศัยอยู่ด้วยความปลอดภัยและไม่ถูกรบกวนด้วยความหวาดกลัวเนื่องจากความหายนะ.” (สุภาษิต 1:33, ล.ม.) ทั้งคู่ต้องการให้ชีวิตของตนมีความหมายยิ่งกว่าที่เงินจำนวนมากในบัญชีธนาคารจะให้ได้. ขณะนี้ ฐานะมิชชันนารีในต่างแดน ลิซและสามีกำลังสอนทั้งคนร่ำรวยและคนยากจนให้รู้ว่า ในไม่ช้าพระยะโฮวา พระเจ้าจะนำมาซึ่งความมั่นคงปลอดภัยแท้ตลอดทั่วแผ่นดินโลก. กิจกรรมนี้ทำให้มีความอิ่มใจพอใจและความมั่นคงที่แท้จริง ซึ่งเป็นผลมาจากการมีจุดมุ่งหมายที่ดีกว่าและค่านิยมอันสูงส่ง มิใช่จากการได้มาซึ่งเงินทอง.
จงจดจำความจริงพื้นฐานข้อนี้ไว้: การมั่งมีกับพระเจ้ามีค่ายิ่งกว่าความมั่งคั่งด้านวัตถุมากนัก. ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ตลอดทั้งเล่มนั้น สิ่งที่ได้รับการเน้นไม่ใช่การมีความมั่งคั่งด้านวัตถุ แต่เป็นการมีฐานะที่ดีจำเพาะพระยะโฮวา ซึ่งเราสามารถรักษาฐานะเช่นนั้นไว้ได้โดยการทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์ต่อ ๆ ไปด้วยความเชื่อ. พระคริสต์เยซูสนับสนุนเราให้เป็นคน “มั่งมีจำเพาะพระเจ้า” และให้สะสม “ทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์.”—ลูกา 12:21, 33.
ตำแหน่งหน้าที่—คุณจะไปถึงไหน?
ถ้าคุณถูกล่อใจให้รู้สึกว่าการไต่เต้าเพื่อจะมีฐานะทางสังคมที่สูงขึ้นเป็นหนทางสู่ความมั่นคง จงถามตัวเองดังนี้: ‘มีใครบ้างที่กำลังทำเช่นนั้นได้มาซึ่งความมั่นคงที่แท้จริง? ฉันจะต้องไต่เต้าให้สูงอีกแค่ไหนจึงจะได้ความมั่นคง?’ งานอาชีพที่ประสบความสำเร็จอาจให้ความรู้สึกมั่นคงแบบหลอก ๆ ซึ่งนำไปสู่ความผิดหวังหรือซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้นคือตกเข้าสู่ความหายนะ.
ประสบการณ์ชีวิตจริงมากมายแสดงให้เห็นว่าการมีชื่อเสียงดีกับพระเจ้าสามารถให้ความมั่นคงได้มากกว่าการมีชื่อเสียงกับมนุษย์หลายเท่า. เฉพาะพระยะโฮวาเท่านั้นที่สามารถให้ของประทานแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้. นั่นเกี่ยวข้องกับการเขียนชื่อของเราไว้ มิใช่ในบันทึกบุคคลเด่นดังเล่มใด แต่เขียนไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระเจ้า.—ถ้าผลักความคิดอยากได้ใคร่มีออกไปก่อน คุณจะประเมินสภาพการณ์ของคุณเองในขณะนี้อย่างไร และคุณจะคาดหมายสิ่งใดจากอนาคตได้อย่างแท้จริง? ไม่มีใครมีทุกสิ่งได้. ดังคริสเตียนที่สุขุมคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า “ผมได้เรียนรู้ว่า ชีวิตคนเราใช่ว่าจะมีสิ่งนี้และ สิ่งนั้น จะมีก็แต่สิ่งนี้หรือ สิ่งนั้น.” ขอให้หยุดสักครู่แล้วอ่านในกรอบ “เรื่องเล่าในเบนิน.”
ตอนนี้ จงตอบคำถามต่อไปนี้: อะไรคือจุดหมายหรือเป้าหมายที่สำคัญในชีวิตของฉัน? ทางใดเป็นทางตรงที่สุดที่จะไปถึงจุดหมายนั้น? เป็นไปได้ไหมว่าฉันกำลังอยู่ในทางอ้อมที่ยาวไกลไม่มั่นคง และเป็นได้ไหมที่สิ่งซึ่งฉันต้องการจริง ๆ และอาจหาได้ตามความเป็นจริงนั้นสามารถได้มาโดยทางที่ง่ายกว่านี้?
หลังจากให้คำแนะนำเกี่ยวกับคุณค่าอันจำกัดของสิ่งฝ่ายวัตถุเมื่อเทียบกับคุณค่าของสิ่งฝ่ายวิญญาณแล้ว พระเยซูตรัสว่าให้รักษาตาให้ “ปกติ” หรือ “มองเห็นชัดเจนที่จุดใดจุดหนึ่ง.” (มัดธาย 6:22, ล.ม.; เชิงอรรถ) พระเยซูทรงทำให้เข้าใจชัดเจนว่า สิ่งที่สำคัญในชีวิตคือค่านิยมและเป้าหมายต่าง ๆ ฝ่ายวิญญาณ ซึ่งรวมจุดอยู่ที่พระนามของพระเจ้าและราชอาณาจักรของพระองค์. (มัดธาย 6:9, 10) สิ่งอื่น ๆ นอกจากนี้มีความสำคัญน้อยกว่า กล่าวคือไม่ใช่จุดรวมความสนใจ.
กล้องถ่ายรูปหลายชนิดในทุกวันนี้สามารถจับภาพของสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ใกล้และไกลได้ชัดเจนโดยอัตโนมัติ. คุณมีแนวโน้มจะเป็นเช่นนั้นไหม? สิ่งที่คุณมองดูเกือบทั้งหมดล้วนแต่ “ชัดเจน” คือมีความสำคัญ, น่าปรารถนา, และเมื่อคิดด้วยความรู้สึกอยากได้ใคร่มีแล้ว ไม่เกินความสามารถที่จะหาได้อย่างนั้นไหม? หากเป็นเช่นนั้นแม้เพียงบางส่วน ก็เป็นเรื่องง่ายที่สิ่งสำคัญสำหรับคริสเตียน คือเรื่องราชอาณาจักรนั้น จะหายเข้าไปปะปนอยู่ในหมู่ภาพทั้งหลายซึ่งต่างก็กำลังแย่งความสนใจของคุณ. คำเตือนสติอันหนักแน่นของพระเยซูคือดังนี้: “ดังนั้น จงแสวงหาราชอาณาจักรและความชอบธรรมของพระองค์ก่อนเสมอไป แล้วสิ่ง [อื่น] เหล่านี้ทั้งหมดจะเพิ่มเติมให้แก่ท่าน.”—มัดธาย 6:33, ล.ม.
มั่นคงในขณะนี้และตลอดไป
เราทุกคนอาจคิดฝันถึงสิ่งที่ดีกว่าสำหรับตัวเราและคนที่เรารัก. อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าเราต่างไม่สมบูรณ์, มีชีวิตอยู่ในโลกที่ไม่สมบูรณ์, และมีช่วงชีวิตที่จำกัดนั้น ทำให้เราต้องจำกัดขอบเขตของสิ่งต่าง ๆ ที่เราหวังจะได้ตามความเป็นจริง. ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งอธิบายไว้เมื่อหลายพันปีมาแล้วว่า “ข้าพเจ้ากลับมาเห็นภายใต้ดวงอาทิตย์ว่า คนที่วิ่งเร็วมิใช่จะชนะในการวิ่งแข่ง หรือคนที่มีอำนาจใหญ่โตมิใช่จะชนะการสู้รบได้ หรือคนฉลาดก็เช่นกันจะมีอาหารกินเสมอก็หาไม่ หรือคนที่มีความเข้าใจก็เหมือนกันหาใช่ว่าจะมั่งคั่งไม่ หรือแม้แต่คนเหล่านั้นที่มีความรู้ก็จะหาได้รับความโปรดปรานไม่ เพราะวาระและเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดล่วงหน้าย่อมบังเกิดแก่เขาทุกคน.”—ท่านผู้ประกาศ 9:11, ล.ม.
บางครั้งเราอาจกลายเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับกิจวัตรประจำวันที่น่าเบื่อหน่ายจนลืมสนใจเรื่องที่สำคัญและมีความหมายมากกว่าที่ว่า เราเป็นใครและเราต้องการสิ่งใดจริง ๆ เพื่อจะรู้สึกมั่นคงอย่างแท้จริง. จงพิจารณาถ้อยคำแห่งสติปัญญาอันเก่าแก่เหล่านี้ที่ว่า “คนรักเงิน, ไม่อิ่มด้วยท่านผู้ประกาศ 5:10, 12) ถูกแล้ว ความมั่นคงของคุณอยู่ที่ไหนเล่า?
เงิน; และคนรักกำไร, ไม่รู้อิ่มด้วยความมั่งคั่ง; นี่อีกเป็นอนิจจังด้วย. การหลับของกรรมกรก็ผาสุก, จะแปลกประหลาดอะไรที่เขากินน้อยหรือกินมาก; แต่ความอิ่มท้องของคนมั่งมีก็ไม่ช่วยให้เขาหลับ.” (ถ้าสถานการณ์ของคุณคล้ายกับฝันที่ไม่เป็นจริงของโชซเวอยู่บ้าง คุณจะเปลี่ยนแปลงแผนการของคุณได้ไหม? คนที่รักคุณอย่างแท้จริงจะยินดีช่วยคุณ เช่นเดียวกับที่ครอบครัวและเพื่อนในประชาคมคริสเตียนของโชซเวได้ทำ. คุณอาจพบความมั่นคงในสิ่งแวดล้อมที่ไม่เจริญซึ่งมีคนที่รักคุณ มากกว่าที่จะได้จากในเมืองซึ่งมีแต่คนที่คอยหาประโยชน์จากคุณ.
ถ้าคุณมีสิ่งต่าง ๆ มากแล้วเช่นที่ลิซและสามีเคยมี คุณจะปรับรูปแบบชีวิตของคุณเพื่อจะใช้เวลาและกำลังของคุณช่วยคนอื่น ๆ ไม่ว่าร่ำรวยหรือยากจนให้เรียนรู้เกี่ยวกับราชอาณาจักรซึ่งเป็นวิถีทางที่จะได้ความมั่นคงอันแท้จริงได้ไหม?
ถ้าคุณกำลังไต่เต้าเพื่อจะมีฐานะทางสังคมหรือการงานที่สูงขึ้น คุณอาจต้องการที่จะคิดใคร่ครวญอย่างตรงไปตรงมาว่าอะไรที่กำลังกระตุ้นคุณให้ทำเช่นนั้น. จริงอยู่ ความสะดวกสบายส่วนตัวบางอย่างอาจเพิ่มความเพลิดเพลินให้กับชีวิตได้. แต่คุณจะสามารถให้ราชอาณาจักร ซึ่งเป็นวิถีทางที่แท้จริงเพื่อได้มาซึ่งความมั่นคงถาวร เป็นจุดรวมความสนใจของคุณต่อไปได้ไหม? จงระลึกถึงคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ.” (กิจการ 20:35) หากคุณเข้าส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ ในประชาคมคริสเตียน คุณจะประสบความมั่นคงที่น่าพึงพอใจได้.
คนเหล่านั้นที่ได้ไว้วางใจเต็มที่ในพระยะโฮวาและราชอาณาจักรของพระองค์บริบูรณ์ในความมั่นคงอันอบอุ่นหัวใจในขณะนี้และคอยท่าความมั่นคงทุกแง่ทุกด้านในอนาคต. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญกล่าวดังนี้: “ข้าพเจ้าได้ตั้งพระยะโฮวาไว้ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ: เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่ข้างมือขวาของข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าจะไม่แปรปรวนไป. เพราะฉะนั้นใจของข้าพเจ้าจึงปีติยินดี, และวิญญาณจิตต์ก็ชื่นชม: เนื้อหนังของข้าพเจ้าจะดำรงอยู่ในที่ปลอดภัยด้วย.”—บทเพลงสรรเสริญ 16:8, 9.
[กรอบ/ภาพหน้า 6]
เรื่องเล่าในเบนิน
เรื่องนี้ถูกเล่ามาแล้วนับพันครั้งในหลายแบบต่าง ๆ กันไป. เมื่อไม่นานมานี้ ผู้เฒ่าคนหนึ่งของหมู่บ้านในเบนิน แอฟริกาตะวันตก ได้เล่าเรื่องนี้ให้หนุ่มสาวบางคนฟัง.
ชาวประมงกำลังพายเรือลำเล็กของเขากลับบ้านและได้พบกับผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ในประเทศกำลังพัฒนานี้. ผู้เชี่ยวชาญถามชายชาวประมงว่าทำไมจึงกลับบ้านเร็วนัก. ชาวประมงตอบว่าเขาจะออกไปนานกว่านี้ก็ได้ แต่เขาก็จับปลาได้มากพอที่จะเลี้ยงครอบครัวแล้ว.
ผู้เชี่ยวชาญจึงถามว่า “แล้ววันหนึ่ง ๆ คุณทำอะไรบ้างล่ะนี่?”
ชาวประมงตอบว่า “ผมก็ไปตกปลานิด ๆ หน่อย ๆ. เล่นกับลูก ๆ บ้าง. ถ้าอากาศร้อนนัก เราทั้งหมดก็นอนกลางวัน. ตอนเย็น เรากินข้าวด้วยกัน. หลังจากนั้น ผมก็ไปเล่นดนตรีกับเพื่อน ๆ และทำอะไรอื่น ๆ อีก.”
ผู้เชี่ยวชาญขัดขึ้นว่า “นี่คุณ ผมเองจบมหาวิทยาลัยและเคยเรียนเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มา. ผมอยากจะช่วยคุณนะ. คุณน่าจะออกไปหาปลาให้นานกว่านี้. คุณจะได้มีเงินมากขึ้น แล้วไม่นานคุณก็จะสามารถซื้อเรือลำใหญ่กว่านี้ได้. และถ้าคุณมีเรือที่ใหญ่กว่านี้ คุณก็จะหาเงินได้มากขึ้นอีก แล้วหลังจากนั้นคุณก็อาจจะมีเรืออวนลากเป็นกองทัพเลยทีเดียว.”
“แล้วจากนั้นล่ะ?” ชาวประมงถามต่อ.
“จากนั้น แทนที่คุณจะขายปลาให้กับพ่อค้าคนกลาง คุณก็เจรจาต่อรองกับโรงงานโดยตรงหรืออาจจะตั้งโรงงานแปรรูปปลาของตัวเองก็ได้. แล้วคุณก็จะได้ไปจากหมู่บ้าน อาจจะย้ายไปอยู่ที่โคโตนู, หรือปารีส, หรือไม่ก็นิวยอร์ก แล้วบริหารธุรกิจของคุณจากที่นั่น. หรือคุณจะคิดถึงการนำธุรกิจของคุณเข้าตลาดหุ้นก็ยังได้ แล้วคุณก็จะมีเงินเป็นล้าน ๆ เลยล่ะ.”
“ที่คุณพูดมาทั้งหมดนั่นจะต้องใช้เวลาสักเท่าไร?” ชาวประมงถาม.
“อาจจะสัก 15 ถึง 20 ปี” ผู้เชี่ยวชาญตอบ.
“แล้วหลังจากนั้นล่ะ?” ชาวประมงถามอีก.
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า “ตอนนี้แหละที่ชีวิตจะมีอะไรน่าสนใจ. คุณจะได้ปลดระวางตัวเองเสียที. แล้วก็ย้ายออกจากชีวิตที่เร่งรีบวุ่นวายในเมือง ไปอยู่ในหมู่บ้านไกล ๆ สักแห่ง.”
“แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป?” ชาวประมงถาม.
“เมื่อถึงเวลานั้น คุณก็จะมีเวลาไปตกปลานิด ๆ หน่อย ๆ เล่นกับลูก ๆ บ้าง เวลาอากาศร้อน ๆ คุณก็นอนพักกลางวันได้ คุณจะได้กินอาหารเย็นกับครอบครัวและไปเล่นดนตรีกับเพื่อน ๆ ของคุณน่ะสิ.”
[ภาพหน้า 7]
การมีตำแหน่งที่สูงขึ้นนำมาซึ่งความมั่นคงไหม?
[ภาพหน้า 8]
เพื่อนคริสเตียนของคุณสนใจในสวัสดิภาพของคุณอย่างแท้จริง