ความสามารถในการคิดจะป้องกันคุณได้อย่างไร?
ความสามารถในการคิดจะป้องกันคุณได้อย่างไร?
คลื่นสูงในทะเลเป็นภาพงดงามน่าเกรงขาม ทว่าสำหรับพวกกะลาสีแล้วคลื่นเหล่านั้นหมายถึงอันตราย. น้ำที่ซัดกระหน่ำนั้นอาจทำให้พวกเขาเสียชีวิตได้.
คล้ายกัน ผู้รับใช้ของพระเจ้าอาจเผชิญกับความกดดันมากขึ้นซึ่งส่อเค้าว่าจะโถมทับพวกเขา. คุณอาจได้รับรู้ว่าคลื่นแห่งการทดลองและการล่อใจโหมซัดสาดคริสเตียนอยู่อย่างต่อเนื่อง. แน่นอน คุณต้องการที่จะโต้ฝ่าคลื่นดังกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว โดยตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยงการอับปางฝ่ายวิญญาณ. (1 ติโมเธียว 1:19) ความสามารถในการคิดเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในการต่อสู้ปกป้องของคุณ. ความสามารถในการคิดคืออะไร และจะได้มาโดยวิธีใด?
คำภาษาฮีบรู เมซีมาห์ ที่ได้รับการแปลว่า “ความสามารถในการคิด” มาจากรากศัพท์ที่หมายถึง “การวางแผนหรือวางเค้าโครง.” (สุภาษิต 1:4) ด้วยเหตุนี้ คัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลบางฉบับได้แปลเมซีมาห์ ว่า “ความสุขุมรอบคอบ” หรือ “การมองการณ์ไกล.” เจมีสัน, ฟอสเซ็ต, และบราวน์ ผู้คงแก่เรียนด้านคัมภีร์ไบเบิลพรรณนาคำเมซีมาห์ ว่าเป็น “ความระวังระไวซึ่งทำให้หลีกหนีสิ่งชั่วร้ายและพบสิ่งที่ดี.” นี่แสดงนัยถึงการคำนึงถึงผลจากการกระทำของเราในระยะยาวรวมทั้งผลที่เกิดขึ้นทันที. เนื่องจากมีความสามารถในการคิด เราจะพิจารณาทางเลือกของเราอย่างรอบคอบก่อนลงมือทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องทำการตัดสินใจที่สำคัญ.
เมื่อคนที่มีความสามารถในการคิดทำการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตหรือในเรื่องสภาพการณ์ของเขาในปัจจุบัน ก่อนอื่นเขาวิเคราะห์อย่างรอบคอบถึงอันตรายหรือหลุมพรางที่อาจเกิดขึ้น. เมื่อมองออกถึงอันตรายที่อาจเป็นไปได้นั้นแล้ว เขาก็ตั้งใจไว้ว่าจะหลีกเลี่ยงอันตรายนั้นได้อย่างไร โดยคำนึงถึงผลกระทบจากสภาพแวดล้อมและการคบหาสมาคมของเขา. โดยวิธีนี้เขาจึงสามารถวางแนวทางซึ่งจะก่อผลดี บางทีถึงกับได้รับพระพรจากพระเจ้าด้วยซ้ำ. ขอให้เราพิจารณาบางตัวอย่างที่ใช้ได้จริงซึ่งแสดงให้เห็นขั้นตอนดังที่กล่าวมา.
จงหลีกเลี่ยงหลุมพรางของการผิดศีลธรรมทางเพศ
เมื่อลมพัดเอาคลื่นที่มีพลังมากมาทางหัวเรือ มีการพรรณนาสภาพการณ์เช่นนั้นว่าเป็นคลื่นทวนกระแส. กะลาสีต้องบังคับหัวเรือสู้คลื่นอย่างชำนาญ ถ้าไม่อย่างนั้นก็เสี่ยงที่เรือจะล่ม.
เราเผชิญกับสภาพการณ์คล้ายกัน เพราะเรามีชีวิตอยู่ในโลกที่ถูกครอบงำด้วยเรื่องเพศ. ทุก ๆ วัน เราเผชิญกับคลื่นแห่งความคิดและภาพต่าง ๆ ที่เร้าราคะตัณหา. เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อผลกระทบที่สิ่งเหล่านั้นอาจมีต่อความปรารถนาทางเพศตามปกติของเรา. เราต้องใช้ความสามารถในการคิดและต้านทานการล่อใจนั้นอย่างเด็ดเดี่ยว แทนที่จะเพียงแต่ปล่อยตัวให้ล่องลอยเข้าไปในสภาพการณ์ที่เป็นอันตราย.
ตัวอย่างเช่น บ่อยครั้งผู้ชายคริสเตียนทำงานด้วยกันกับคนเหล่านั้นที่ไม่ค่อยจะมีความนับถือต่อพวกผู้หญิง โดยถือว่าพวกเธอเป็นเพียงเป้าสนองความต้องการทางเพศเท่านั้น. เพื่อนร่วมงานอาจเพิ่มรสชาติการสนทนาของพวกเขาด้วยเรื่องตลกลามกและการพูดสองแง่สองง่าม. สภาพแวด
ล้อมแบบนี้อาจเพาะความคิดแบบผิดศีลธรรมในจิตใจของคริสเตียนในที่สุด.สตรีคริสเตียนอาจต้องทำงานอาชีพด้วยเช่นกัน และด้วยเหตุนี้อาจประสบความยุ่งยากต่าง ๆ. เธออาจทำงานด้วยกันกับพวกผู้ชายและผู้หญิงที่ไม่มีมาตรฐานด้านศีลธรรมเหมือนกับเธอ. บางที ผู้ชายที่เป็นเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งอาจแสดงความสนใจในตัวเธอ. ในตอนแรก เขาอาจเอาอกเอาใจเธอ ถึงกับแสดงความนับถือต่อแง่คิดทางศาสนาของเธอด้วยซ้ำ. การเอาใจใส่สนใจอย่างไม่ละลดของเขาและการอยู่ใกล้ชิดกันเรื่อย ๆ อาจกระตุ้นให้เธอต้องการการคบหาที่สนิทสนมยิ่งขึ้น.
ในฐานะคริสเตียน ความสามารถในการคิดจะช่วยเราได้อย่างไรในสภาพการณ์เช่นนั้น? ประการแรก ความสามารถในการคิดจะทำให้เราระวังระไวต่ออันตรายฝ่ายวิญญาณ และประการที่สอง สามารถกระตุ้นเราให้คิดหาแนวทางความประพฤติที่เหมาะสม. (สุภาษิต 3:21-23) ในสภาพการณ์ดังกล่าวนี้ เราอาจต้องชี้แจงอย่างชัดแจ้งแก่เพื่อนร่วมงานว่า มาตรฐานของเราต่างออกไปเนื่องจากความเชื่อของเราตามหลักพระคัมภีร์. (1 โกรินโธ 6:18) คำพูดและความประพฤติของเราอาจเสริมน้ำหนักให้กับคำชี้แจงนั้นได้. นอกจากนี้ อาจต้องจำกัดการติดต่อสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานบางคน.
อย่างไรก็ตาม สภาพการณ์ที่อาจนำไปสู่การผิดศีลธรรมใช่ว่าจำกัดอยู่แค่ที่ทำงาน. สภาพการณ์เช่นนั้นอาจเกิดขึ้นด้วยหากคู่สมรสปล่อยให้ปัญหาต่าง ๆ บ่อนทำลายเอกภาพของเขาทั้งสอง. ผู้ดูแลเดินทางคนหนึ่งให้ข้อสังเกตว่า “การพังทลายของชีวิตสมรสใช่ว่าเกิดขึ้นโดยฉับพลัน. คู่สมรสอาจค่อย ๆ แยกจากกันด้านอารมณ์ ไม่ค่อยพูดคุยกันหรือไม่ค่อยได้ใช้เวลาด้วยกัน. ทั้งสองอาจมุ่งแสวงหาทรัพย์สมบัติฝ่ายวัตถุเพื่อเติมความว่างเปล่าในชีวิตสมรส. และเนื่องจากไม่ค่อยชมเชยกันและกัน ต่างฝ่ายอาจรู้สึกถูกดึงดูดไปหาคนอื่นที่เป็นเพศตรงข้าม.”
ผู้รับใช้ที่มีประสบการณ์คนนี้กล่าวต่อไปว่า “คู่สมรสควรนั่งลงพูดคุยกันเป็นประจำว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดหรือไม่ที่กำลังก่อความเสียหายกับความสัมพันธ์ของเขาทั้งสอง. เขาควรวางแผนเพื่อจะศึกษา, อธิษฐาน, และทำงานเผยแพร่ด้วยกัน. ทั้งสองจะได้รับประโยชน์มากทีเดียวโดยพูดคุยกัน ‘ในเรือน, ในหนทาง, เมื่อเขานอนลง, และเมื่อเขาลุกขึ้น’ เช่นเดียวกับที่บิดามารดาและบุตรทำ.”—พระบัญญัติ 6:7-9.
การรับมือกับความประพฤติที่ไม่ใช่แบบคริสเตียน
นอกจากช่วยเราให้เผชิญกับการล่อใจทางด้านศีลธรรมอย่างเป็นผลสำเร็จแล้ว ความสามารถในการคิดจะช่วยเราให้รับมือกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนคริสเตียนด้วย. เมื่อลมพัดคลื่นเข้าทางท้ายเรือ นั่นทำให้เกิดคลื่นที่เคลื่อนไปในทิศทางเดียวกับเรือ. คลื่นนั้นอาจยกท้ายเรือขึ้นแล้วพาท้ายเรือไปทางด้านข้าง. นี่ทำให้กราบเรือหันเข้าหาคลื่นและอาจถูกคลื่นกระแทกจนเสียหายได้.
เราก็เช่นกัน อาจได้รับผลกระทบได้ง่ายจากอันตรายซึ่งมาจากทิศทางที่ไม่ได้คาดหมาย. เรารับใช้พระยะโฮวา “เคียงบ่าเคียงไหล่” พี่น้องชายหญิงคริสเตียนที่ซื่อสัตย์หลายคน. (ซะฟันยา 3:9, ล.ม.) หากคนหนึ่งในพวกเขาประพฤติตัวในแบบที่ไม่ใช่คริสเตียน นั่นอาจดูเหมือนว่าเป็นการทำลายความไว้วางใจและอาจทำให้เราทุกข์ระทมใจเหลือเกิน. ความสามารถในการคิดจะป้องกันเราไม่ให้กลายเป็นคนไม่สมดุลและเจ็บใจเกินควรได้โดยวิธีใด?
จำไว้ว่า “ไม่มีมนุษย์สักคนหนึ่งซึ่งมิได้กระทำบาป.” (1 กษัตริย์ 8:46, ล.ม.) เพราะฉะนั้น เราไม่ควรตกใจที่บางครั้งพี่น้องคริสเตียนอาจทำให้เราอึดอัดหรือขุ่นเคืองใจ. เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราก็สามารถเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นนั้นและคิดไตร่ตรองว่าเราจะแสดงปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร. อัครสาวกเปาโลตอบรับอย่างไรเมื่อพี่น้องคริสเตียนบางคนพูดเกี่ยวกับตัวท่านในแบบที่ทำให้เจ็บใจ ในเชิงดูถูก? แทนที่จะสูญเสียความสมดุลฝ่ายวิญญาณ ท่านลงความเห็นว่าการได้รับความพอพระทัยจากพระยะโฮวาสำคัญกว่าการได้รับความพอใจจากมนุษย์. (2 โกรินโธ 10:10-18) การมีเจตคติเช่นนี้จะช่วยเราหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาที่หุนหันพลันแล่นเมื่อถูกยั่วยุ.
นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างคล้ายกับการที่นิ้วเท้าเราสะดุดหิน. เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ความคิดเราอาจไม่แจ่มชัดอยู่ชั่วครู่. แต่หลังจากความเจ็บปวดทุเลาลงแล้ว เราอาจคิดได้และลงมือทำอย่างปกติ. คล้ายกัน เราไม่ควรโต้ตอบทันทีต่อคำพูดหรือการกระทำที่ไม่แสดงความกรุณา. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงหยุดสักครู่แล้วไตร่ตรองดูผลของการแก้เผ็ดโดยไม่ยั้งคิด.
มัลคัม ซึ่งเป็นมิชชันนารีหลายปี อธิบายว่าเขาทำเช่นไรเมื่อถูกทำให้ขุ่นเคืองใจ. “สิ่งแรกที่ผมทำคือพิจารณาดูรายการคำถามที่เตรียมไว้ก่อน เช่น ผมโกรธพี่น้องคนนี้เพราะบุคลิกของเราขัดกันไหม? สิ่งที่เขาพูดนั้นสำคัญจริง ๆ ไหม? การที่ไข้มาลาเรียมีผลกระทบต่อประสาทผมทำให้ความรู้สึกของผมรุนแรงขึ้นไหม? ผมจะมองดูเรื่องราวอย่างที่ต่างออกไปในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นไหม?” บ่อยครั้ง ดังที่มัลคัมได้ประสบ ความขัดแย้งนั้นไม่สำคัญและเป็นเรื่องที่มองข้ามได้.มัลคัมกล่าวเสริมว่า “บางครั้ง ทั้ง ๆ ที่ผมพยายามทุกอย่างเพื่อแก้ไขสถานการณ์แล้วก็ตาม เจตคติของพี่น้องอีกคนหนึ่งก็ยังคงไม่เป็นมิตร. ผมพยายามไม่ปล่อยให้เรื่องนี้รบกวนใจ. เมื่อได้ทำทุกอย่างเท่าที่ผมทำได้แล้ว ผมก็มองเรื่องราวในแบบที่ต่างออกไป. ผมละเรื่องนั้นไว้ คิดว่าถ้าเวลาผ่านไปก็จะได้รับการแก้ไข แทนที่จะมองดูเรื่องนั้นว่าเป็นสิ่งที่ผมต้องแก้ไขด้วยตัวเอง. ผมจะไม่ปล่อยให้เรื่องนั้นฉุดผมลงทางฝ่ายวิญญาณหรือมีผลกระทบต่อสัมพันธภาพของผมกับพระยะโฮวาและกับพี่น้องของผม.”
คล้ายกับมัลคัม เราไม่ควรปล่อยให้ความประพฤติผิดของบุคคลหนึ่งรบกวนใจเราเกินควร. ในทุกประชาคมมีพี่น้องชายหญิงที่น่ารักและซื่อสัตย์หลายคน. เป็นเรื่องน่ายินดีที่จะดำเนินในแนวทางคริสเตียน “เคียงข้างกัน” กับพวกเขา. (ฟิลิปปอย 1:27, ล.ม.) การระลึกถึงการเกื้อหนุนด้วยความรักจากพระบิดาของเราทางภาคสวรรค์จะช่วยเราให้มองเรื่องราวอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง.—บทเพลงสรรเสริญ 23:1-3; สุภาษิต 5:1, 2; 8:12.
ไม่รักสิ่งต่าง ๆ ของโลก
ความสามารถในการคิดอาจช่วยเรารับมือกับความกดดันที่แฝงเร้นอีกอย่างหนึ่งได้. เมื่อลมพัดคลื่นซัดเข้าทางด้านข้างของเรือ เรียกกันว่าลูกคลื่นที่โหมซัดทางขวาง. ในช่วงที่สภาพอากาศปกติ คลื่นดังกล่าวอาจค่อย ๆ พัดพาเรือ
ออกนอกเส้นทางที่มุ่งหมาย. อย่างไรก็ดี ระหว่างที่มีพายุ ลูกคลื่นที่โหมซัดทางขวางอาจทำให้เรือล่มได้.คล้ายกัน หากเรายอมจำนนต่อความกดดันให้เพลิดเพลินกับทุกสิ่งที่โลกชั่วเสนอให้ รูปแบบชีวิตที่ฝักใฝ่ทางวัตถุเช่นนี้อาจทำให้เราหลุดออกนอกแนวทางในด้านวิญญาณได้. (2 ติโมเธียว 4:10) หากไม่มีการควบคุมแล้ว ความรักต่อโลกอาจทำให้เราละทิ้งแนวทางคริสเตียนอย่างสิ้นเชิงในที่สุด. (1 โยฮัน 2:15) ความสามารถในการคิดจะช่วยเราได้อย่างไร?
ประการแรก ความสามารถในการคิดจะช่วยเราคาดการณ์ล่วงหน้าว่าเราอาจเผชิญกับอันตรายอะไร. โลกใช้กลเม็ดทางการตลาดทุกอย่างเท่าที่จะนึกออกเพื่อล่อใจเรา. โดยไม่ละลดโลกส่งเสริมรูปแบบชีวิตที่ทึกทักเอาว่าทุกคนควรมุ่งแสวงหา นั่นคือรูปแบบชีวิตที่หรูหราของคนรวย, คนที่มีเสน่ห์เย้ายวน, และ “คนที่ดูเหมือนได้ประสบผลสำเร็จ.” (1 โยฮัน 2:16) มีการสัญญากับเราว่าจะได้รับความนิยมชมชอบและความพอใจจากทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนรุ่นเดียวกับเราและเพื่อนบ้าน. ความสามารถในการคิดจะช่วยเราต้านทานการโฆษณาชวนเชื่อเช่นนี้ ทำให้เราระลึกถึงความสำคัญของ ‘การพ้นจากการรักเงินเสมอ’ เนื่องจากพระยะโฮวาทรงสัญญาไว้ว่า ‘พระองค์จะไม่ละเราไว้เลย.’—เฮ็บราย 13:5.
ประการที่สอง ความสามารถในการคิดจะป้องกันเราไม่ให้ติดตามคนเหล่านั้นที่ได้ “หลงจากความจริง.” (2 ติโมเธียว 2:18) เป็นเรื่องยากทีเดียวที่จะขัดแย้งกับคนเหล่านั้นที่เราเคยชอบและไว้วางใจ. (1 โกรินโธ 15:12, 32-34) ถึงแม้เราได้รับผลกระทบแค่เล็กน้อยเท่านั้นจากคนที่ได้ละทิ้งแนวทางคริสเตียน นั่นก็อาจขัดขวางความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณของเราได้และในที่สุดทำให้เราอยู่ในอันตราย. เราอาจเป็นเหมือนเรือที่เฉออกไปเพียงเล็กน้อยจากเส้นทางที่ถูกต้อง. ในการเดินทางที่ยาวไกล เรือดังกล่าวอาจพลาดจุดหมายปลายทางไปไกลมากทีเดียว.—เฮ็บราย 3:12.
ความสามารถในการคิดอาจช่วยเราตัดสินได้ว่าสภาพฝ่ายวิญญาณที่แท้จริงของเราเป็นเช่นไร และสภาพนั้นจะเป็นอย่างไรในวันข้างหน้า. บางทีเราตระหนักถึงความจำเป็นที่จะมีส่วนร่วมมากขึ้นในกิจกรรมแบบคริสเตียน. (เฮ็บราย 6:11, 12) โปรดสังเกตวิธีที่พยานฯ หนุ่มคนหนึ่งใช้ความสามารถในการคิดเพื่อช่วยตัวเองให้ติดตามเป้าหมายฝ่ายวิญญาณ: “ผมมีโอกาสที่จะทำงานอาชีพในวงการหนังสือพิมพ์. งานนี้ดึงดูดใจผมจริง ๆ แต่ผมนึกถึงข้อหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิลที่บอกว่า ‘โลกกำลังผ่านพ้นไป’ ส่วน ‘ผู้ที่ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์.’ (1 โยฮัน 2:17, ล.ม.) ผมหาเหตุผลว่าวิธีที่ผมดำเนินชีวิตน่าจะสะท้อนให้เห็นความเชื่อของผม. พ่อแม่ของผมได้ละทิ้งความเชื่อแบบคริสเตียน และผมไม่ต้องการติดตามตัวอย่างของท่าน. ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมายและได้สมัครเข้าทำงานรับใช้เต็มเวลาฐานะไพโอเนียร์ประจำ. หลังจากเวลาสี่ปีที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจ ผมรู้ว่าตัวเองได้เลือกอย่างถูกต้องแล้ว.”
รับมือกับพายุฝ่ายวิญญาณอย่างเป็นผลสำเร็จ
ทำไมนับว่าเร่งด่วนที่เราใช้ความสามารถในการคิดในทุกวันนี้? กะลาสีต้องระวังระไวต่อสิ่งบ่งบอกอันตราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพายุกำลังตั้งเค้า. หากอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วและลมพัดแรงขึ้น พวกเขาปิดฝาครอบช่องลงไปสู่ท้องเรือและเตรียมตัวสำหรับสภาพอากาศที่เลวร้ายที่สุด. ในลักษณะคล้ายกัน เราต้องเตรียมตัวที่จะรับมือกับความกดดันที่รุนแรงเหมือนพายุขณะที่ระบบชั่วนี้ใกล้จะถึงจุดจบ. สายใยด้านศีลธรรมของสังคมกำลังขาดลุ่ย และ ‘คนชั่วกำเริบชั่วร้ายมากยิ่งขึ้น.’ (2 ติโมเธียว 3:13) เช่นเดียวกับกะลาสีรับฟังการพยากรณ์อากาศเป็นประจำ เราต้องเอาใจใส่ฟังคำเตือนเชิงพยากรณ์จากพระคำของพระเจ้าที่มีขึ้นโดยการดลใจ.—บทเพลงสรรเสริญ 19:7-11.
เมื่อเราใช้ความสามารถในการคิด เราใช้ความรู้ที่นำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ให้เป็นประโยชน์. (โยฮัน 17:3) เราสามารถคาดหมายล่วงหน้าถึงปัญหาต่าง ๆ และตัดสินใจว่าจะแก้ปัญหาเหล่านั้นโดยวิธีใด. ด้วยเหตุนี้ เราจะตั้งใจแน่วแน่ไม่หันเหไปจากแนวทางคริสเตียน และเราสามารถวาง “รากฐานอันดีสำหรับอนาคต” โดยการตั้งเป้าหมายฝ่ายวิญญาณและมุ่งติดตามเป้าหมายนั้น.—1 ติโมเธียว 6:19, ล.ม.
ถ้าเรารักษาสติปัญญาที่ใช้ได้จริงและความสามารถในการคิดแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้อง “วิตกถึงเหตุน่ากลัวอันจะเกิดขึ้นฉับพลัน.” (สุภาษิต 3:21, 25, 26) แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เราสามารถได้รับการปลอบประโลมใจจากคำสัญญาของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อสติปัญญาเข้าสู่หัวใจของเจ้า และความรู้เป็นที่น่าชื่นใจแก่จิตวิญญาณของเจ้า ความสามารถในการคิดนั่นเองจะป้องกันเจ้าไว้.”—สุภาษิต 2:10, 11, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 19 คริสเตียนควรพยายามส่งเสริมสันติสุข ประสานกับคำแนะนำที่มัดธาย 5:23, 24. หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความผิดร้ายแรง เขาควรพยายามที่จะได้พี่น้องคืนมา ดังที่มีการวางเค้าโครงไว้ในมัดธาย 18:15-17. โปรดดูหอสังเกตการณ์ ฉบับวันที่ 15 ตุลาคม 1999 หน้า 17-22.
[ภาพหน้า 23]
การสื่อความเป็นประจำเสริมสร้างชีวิตสมรส