เราไม่ละทิ้งเขตงานที่ได้รับมอบหมาย
เรื่องราวชีวิตจริง
เราไม่ละทิ้งเขตงานที่ได้รับมอบหมาย
เล่าโดยเฮอร์มันน์ บรือเดอร์
ผมมีทางเลือกง่าย ๆ คือ รับหน้าที่ห้าปีในกองทหารต่างด้าวของฝรั่งเศส หรือยอมติดคุกในประเทศโมร็อกโก. ขอผมชี้แจงว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในสภาพการณ์นี้อย่างไร.
ผมเกิดปี 1911 ที่เมืองโอพเพอนาว ประเทศเยอรมนี เพียงสามปีก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง. พ่อแม่ผมคือโยเซฟและฟรีดา บรือเดอร์ มีบุตรชายหญิง 17 คน. ผมเป็นคนที่ 13.
ความทรงจำแรก ๆ ของผมในวัยเยาว์คือการเฝ้าดูทหารเดินแถวไปตามถนนสายหลักในบ้านเกิดของเรา. เนื่องจากผมชอบเสียงเพลงมาร์ชอันคึกคัก ผมจึงเดินตามกลุ่มผู้เล่นดนตรีไปจนถึงสถานีทันเวลาได้เห็นพ่อและพวกผู้ชายในเครื่องแบบทหารกำลังขึ้นรถไฟ. ขณะขบวนรถไฟเคลื่อนออกจากสถานี ผู้หญิงบางคนที่อยู่บนชานชาลาร้องไห้. ไม่นานหลังจากนั้น บาทหลวงประจำหมู่บ้านได้เทศน์อย่างยืดยาวในโบสถ์และประกาศชื่อชายสี่คนที่สละชีพปกป้องปิตุภูมิ. “ตอนนี้พวกเขาอยู่ในสวรรค์” บาทหลวงอธิบาย. ผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ผมถึงกับเป็นลม.
พ่อติดโรคไข้รากสาดน้อยระหว่างปฏิบัติการที่แนวรบด้านรัสเซีย. ท่านกลับมาถึงบ้านมีอาการอ่อนเพลียมากและถูกนำส่งโรงพยาบาลทันที. บาทหลวงแนะนำผม “ไปที่โรงสวดข้างสุสานแล้วกล่าวคำข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย 50 ครั้ง และคำอธิษฐานขอวันทาท่านมารีอา 50 ครั้ง. แล้วพ่อของเจ้าจะหายไข้.” ผมปฏิบัติตามคำแนะนำของเขา ทว่าวันถัดมาพ่อผมก็เสียชีวิต. แม้แต่เด็กชายอายุน้อยยังได้ประสบว่าสงครามนำมาซึ่งความเจ็บปวดมากมาย.
ผมพบความจริงได้อย่างไร
ระหว่างปี 1919 และ 1939 ในประเทศเยอรมนี การได้งานทำนั้นไม่ง่าย. อย่างไรก็ตาม ภายหลังออกจากโรงเรียนในปี 1928 ผมได้งานเป็นคนสวนในเมืองบาเซิล สวิตเซอร์แลนด์.
ผมเป็นชาวคาทอลิกที่เคร่งครัดเหมือนพ่อ. ผมตั้งเป้าว่าจะปฏิบัติกิจทางศาสนาด้วยการบวชเป็นพระนิกายโรมันคาทอลิกในอินเดีย. เมื่อริคาร์ดน้องชายของผม ตอนนั้นเป็นพยานพระยะโฮวาแล้วล่วงรู้ถึงแผนการเหล่านี้ เขาอุตส่าห์เดินทางไปยังสวิตเซอร์แลนด์เป็นพิเศษเพื่อยับยั้งผม. เขาเตือนถึงอันตรายของการไว้วางใจมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเทศน์นักบวช และสนับสนุนผมให้อ่านคัมภีร์ไบเบิลและไว้ใจเพียงคัมภีร์ไบเบิลเท่านั้น. ทั้ง ๆ ที่สงสัย แต่ผมก็ได้คัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เล่มหนึ่งมาและเริ่มต้นอ่าน. ทีละเล็กทีละน้อยผมจึงเข้าใจชัดเจนว่าคำสอนหลายอย่างที่ผมเชื่อไม่สอดคล้องกับคัมภีร์ไบเบิล.
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ปี 1933 ขณะอยู่ที่บ้านของริคาร์ดในเยอรมนี เขาแนะนำให้ผมรู้จักคู่สามีภรรยาพยานพระยะโฮวา. เมื่อรู้ว่าผมอ่านคัมภีร์ไบเบิล เขาได้มอบหนังสือเล่มเล็กชื่อวิกฤตการณ์ ให้ผม. * ผมอ่านหนังสือเล่มนั้นอยู่จนดึกดื่นเกือบเที่ยงคืน. ผมเชื่อมั่นว่าผมได้พบความจริงแล้ว!
พยานพระยะโฮวาในบาเซิลมอบชุดหนังสือคู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ * สองเล่มให้ผมพร้อมกับวารสารและสรรพหนังสืออื่น ๆ บางเล่ม. ผมประทับใจในเรื่องต่าง ๆ ที่ได้อ่าน ผมจึงติดต่อบาทหลวงประจำท้องที่ขอถอนชื่อผมออกจากทะเบียนสมาชิกของโบสถ์. บาทหลวงโมโหมากและเตือนว่าผมกำลังอยู่ในอันตรายที่จะสูญเสียความเชื่อ. ที่จริง ผมไม่มีวันจะสูญเสียความเชื่ออย่างแน่นอน. นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมกำลังเริ่มปลูกฝังความเชื่อแท้.
พวกพี่น้องในเมืองบาเซิลวางแผนจะเดินทางไปประกาศปลายสัปดาห์โดยการข้ามพรมแดนไปยังฝรั่งเศส. หนึ่งในบรรดาพี่น้องฝ่ายชายได้ชี้แจงอย่างกรุณาว่าที่ไม่ได้ชวนผมไปเนื่องจากผมเพิ่งสมาคมคบหากับประชาคมได้ไม่นาน. ด้วยความไม่ย่อท้อ ผมแสดงความปรารถนาอย่างเด็ดเดี่ยวจะเริ่มประกาศเผยแพร่. หลังจากได้ปรึกษาผู้ปกครองอีกคนหนึ่ง เขาจึงมอบหมายให้ผมทำเขตงานหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์. เช้าตรู่วันอาทิตย์ ผมขี่จักรยานเดินทางไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้เมืองบาเซิล พร้อมกับกระเป๋าบรรจุหนังสือปกแข็ง 4 เล่ม, วารสาร 28 เล่ม, และจุลสาร 20 เล่มสำหรับใช้ในงานประกาศ. เมื่อผมไปถึงที่นั่น ชาวบ้านส่วนใหญ่นมัสการอยู่ในโบสถ์. แม้เป็นเช่นนั้น ตอน 11 นาฬิกา หนังสือก็เกลี้ยงกระเป๋าแล้ว.
เมื่อผมแจ้งความประสงค์แก่พี่น้องชายว่าต้องการรับบัพติสมา พวกเขาได้สนทนาอย่างจริงจังกับผม และตั้งคำถามที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความจริง. ผมรู้สึกประทับใจจริง ๆ ที่พวกเขามีใจแรงกล้าและภักดีต่อพระยะโฮวาและองค์การของพระองค์. เนื่องจากช่วงนั้นเป็นหน้าหนาว บราเดอร์คนหนึ่งจึงให้บัพติสมาผมในอ่างอาบน้ำที่บ้านผู้ปกครอง. จำได้ว่าผมรู้สึกชื่นชมยินดีสุดพรรณนาและรู้สึกว่าเกิดความเข้มแข็งภายใน. นั่นคือปี 1934.
ทำงานที่ฟาร์มราชอาณาจักร
ปี 1936 ผมได้ข่าวพยานพระยะโฮวาจัดซื้อที่ดินผืนหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์. ผมจึงเสนอตัวเป็นคนทำสวน. ผมดีใจเมื่อได้คำตอบให้เข้าทำงานในฟาร์มราชอาณาจักรที่เมืองชเตฟฟิสบูร์ก ห่างจากกรุงเบิร์นประมาณ 30 กิโลเมตร. เมื่อไรก็ตามที่เป็นไปได้ ผมมักจะช่วยบางคนทำงานส่วนของเขาที่ฟาร์มนั้น. เบเธลสอนผมรู้ความสำคัญของการมีน้ำใจให้ความร่วมมือซึ่งกันและกัน.
ระหว่างหลายปีที่อยู่เบเธล ช่วงสำคัญยิ่งของผมคือ ตอนที่บราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดแวะไปเยี่ยมฟาร์มในปี 1936. เมื่อท่านเห็นมะเขือเทศลูกใหญ่และพืชผลอุดมสมบูรณ์ ท่านยิ้มและแสดงความพออกพอใจเป็นอย่างมาก. ท่านเป็นบราเดอร์ที่น่ารักน่าชื่นชมเหลือเกิน!
เมื่อผมได้มาทำงานที่ฟาร์มแห่งนี้นานสามปีเศษ ก็มีการอ่านจดหมายจากสำนักงานใหญ่ของพยานพระยะโฮวาในสหรัฐที่โต๊ะรับประทานอาหารเช้า. จดหมายฉบับนั้นเน้นความเร่งด่วนของงานเผยแพร่ และกล่าวเชิญชวนผู้ใดที่อยู่พร้อมจะไปทำงานต่างแดนฐานะเป็นไพโอเนียร์. ผมอาสาสมัครทันทีโดยไม่ลังเล. เดือนพฤษภาคม 1939 ผมถูกมอบหมายให้ไปประเทศบราซิล!
ในเวลานั้น ผมเข้าร่วมการประชุมที่ประชาคมทูน ใกล้ฟาร์มราชอาณาจักร. พอถึงวันอาทิตย์ กลุ่มของเราจะไปประกาศแถบภูเขาแอลป์ ขี่จักรยานจากทูนไปสองชั่วโมง. มาร์การิทา สไตเนอร์เป็นคนหนึ่งในกลุ่ม. ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาทันที: พระเยซูทรงส่งสาวกออกไปเป็นคู่มิใช่หรือ? เมื่อผมพูดขึ้นมาลอย ๆ กับมาร์การิทาว่าผมถูกมอบหมายไปบราซิล เธอแสดงความปรารถนาออกมาว่าอยากทำงานรับใช้ในที่ซึ่งมีความต้องการมากกว่า. เราแต่งงานกันเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 1939.
จุดแวะที่ไม่ได้คาดหมาย
เราลงเรือจากเลอ อาฟร์ ประเทศฝรั่งเศสเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 1939 มุ่งไปยังเมืองซานโตส ประเทศบราซิล. ห้องเตียงนอนแบบสองชั้นในเรือมีไม่พอผู้โดยสาร เราจึงต้องแยกกันนอนคนละห้อง. ขณะอยู่ระหว่างการเดินทางมีการประกาศข่าวว่าบริเตนใหญ่และฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมนีแล้ว. กลุ่มผู้โดยสารชาวเยอรมันประมาณ 30 คนแสดงท่าทีตอบสนองด้วยการร้องเพลงชาติเยอรมัน. ทั้งนี้ทำให้กัปตันเรือโกรธมากถึงกับเปลี่ยนเส้นทางและนำเรือเข้าเทียบท่าที่ซาฟิ ประเทศโมร็อกโก. ผู้โดยสารที่ถือหนังสือเดินทางเยอรมันมีเวลาขึ้นบกได้เพียงห้านาที. เราสองคนรวมอยู่ด้วย.
เราถูกกักตัวไว้ที่สถานีตำรวจหนึ่งวัน ครั้นแล้วต้องนั่งเบียดกันในรถประจำทางเก่าบุโรทั่งที่นำเราไปยังเรือนจำอีกแห่งหนึ่งที่มาร์ราเคช ระยะทางประมาณ 140 กิโลเมตร. จากนั้นวันแห่งความยุ่งยากลำบากก็ตามมา. ห้องขังของเราทั้งมืดและแออัดยัดเยียด. แถมห้องส้วมรวมก็อุดตันเสมอ ซึ่งมันก็คือช่องที่เจาะบนพื้นห้องนั่นเอง. แต่ละคนได้รับแจกกระสอบสกปรกใบหนึ่งไว้ปูนอน ตกกลางคืน พวกเราโดนหนูกัดที่น่อง. เรารับแจกอาหารปันส่วนวันละสองครั้งในกระป๋องเกรอะสนิม.
นายทหารบอกผมว่าจะถูกปล่อยตัวก็ต่อเมื่อผมตกลงรับหน้าที่ห้าปีในกองทหารต่างด้าวของฝรั่งเศส. เพราะผมตอบปฏิเสธจึงต้องถูกกักเป็นเวลา 24 ชั่วโมงในสภาพที่บอกได้อย่างเดียวว่าร้ายกาจน่าสยดสยอง. ตอนนั้นผมใช้เวลาส่วนใหญ่อธิษฐาน.
ครั้นล่วงไปแปดวัน เจ้าหน้าที่เรือนจำอนุญาตให้ผมได้พบมาร์การิทาอีก. เธอซูบผอมไปมากและร้องไห้อย่างหนัก. ผมทำดีที่สุดเพื่อให้การหนุนกำลังใจเธอ. เราถูกสอบสวนและย้ายไปที่เมืองคาซาบลังกาโดยรถไฟ ที่นั่นเขาปล่อยมาร์การิทาเป็นอิสระ. ส่วนผมถูกส่งเข้าค่ายคุมขังที่พอร์ตไลโอเทย์ (เคนิทรา ในปัจจุบัน) ไกลออกไปราว ๆ 180 กิโลเมตร. สถานกงสุลสวิตเซอร์แลนด์ได้แนะนำมาร์การิทาให้กลับสวิตเซอร์แลนด์ แต่ด้วยความภักดี เธอปฏิเสธที่จะไปเพียงลำพังโดยไม่มีผมไปด้วย. ช่วงสองเดือนที่ผมติดคุกที่พอร์ตไลโอเทย์ เธอเดินทางจากคาซาบลังกามาเยี่ยมและนำอาหารมาให้ผมทุกวัน.
ก่อนหน้านั้นหนึ่งปี พยานพระยะโฮวาออกหนังสือชื่อสงครามครูเสดปราบปรามศาสนาคริสเตียน (ภาษาเยอรมัน) เพื่อสาธารณชนจะได้รู้จักว่าพยานฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับการปกครองระบอบนาซี. ระหว่างที่ผมอยู่ในค่ายคุมขัง สำนักงานสาขาของพยานพระยะโฮวาในกรุงเบิร์นส่งจดหมายถึงเจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส พร้อมกับแนบหนังสือเล่มนั้นเป็นการยืนยันว่าพวกเราไม่ใช่นาซี. มาร์การิทาทำงานอย่างน่ายกย่องเช่นกัน ด้วยการไปพบเจ้าหน้าที่บ้านเมือง และพยายามให้พวกเขาเห็นว่าพวกเราไม่มีความผิด. ในที่สุด ปลายปี 1939 เราได้รับอนุญาตให้เดินทางออกจากประเทศโมร็อกโก.
หลังจากลงเรือต่อไปบราซิล เราจึงได้รู้ว่าเรือดำน้ำอูของฝ่ายเยอรมันได้มุ่งโจมตีเรือบนเส้นทางเดินเรือในมหาสมุทรแอตแลนติก และพวกเราเป็นเป้าสำคัญ. ถึงแม้เป็นเรือพาณิชย์ แต่เรือชาไมค์ ติดตั้งปืนใหญ่ที่หัวเรือและท้ายเรือด้วย. ในเวลากลางวัน กัปตันแล่นเรือเลี้ยวไปเลี้ยวมาและระดมยิงปืนใหญ่ไม่ขาดระยะ. ตกกลางคืน เราปฏิบัติตามคำสั่งให้ปิดไฟเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจพบจากฝ่ายเยอรมัน. เรารู้สึกโล่งใจเพียงใดเมื่อในที่สุดเราเข้าเทียบท่าเรือที่ซานโตส ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1940 ภายหลังออกจากยุโรปมานานกว่าห้าเดือน!
กลับเข้าคุกอีก
เขตงานประกาศแรกที่เราได้รับมอบหมายคือเขตเมืองมองเตนีโกร ในรัฐริโอกรานเดโดซูลทางภาคใต้ของบราซิล. ปรากฏว่าพวกเจ้าหน้าที่ฝ่ายคริสตจักรรับแจ้งเรื่องการมาของเราแล้ว. หลังจากออกทำงานเผยแพร่เพียงสองชั่วโมง ตำรวจก็จับกุมเราและยึดชุดแผ่นเสียงที่บันทึกคำเทศน์เกี่ยวกับเรื่องในคัมภีร์ไบเบิล, สรรพหนังสือทุกอย่าง, กระทั่งกระเป๋าหนังอูฐที่ใช้ใส่หนังสือสำหรับงานเผยแพร่ซึ่งซื้อจากโมร็อกโก. บาทหลวงและนักเทศน์คนหนึ่งที่พูดภาษาเยอรมันคอยเราอยู่แล้วที่สถานีตำรวจ. เขาฟังขณะที่นายตำรวจเปิดแผ่นเสียงคำบรรยายของบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดจากหีบเสียงที่ยึดไปจากเรา. แน่นอน บราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดเป็นคนพูดตรงไปตรงมา! เมื่อตอนหนึ่งในคำบรรยายพูดถึงสำนักวาติกัน บาทหลวงหน้าแดงทั้งโกรธทั้งอับอายและก้าวพรวดพราดออกไป.
เมื่อรับคำร้องเรียนจากบิชอปแห่งรัฐซานตามาเรีย ตำรวจย้ายเราไปที่ปอร์โต อเลเกร เมืองหลวงของรัฐ. ไม่ช้า มาร์การิทาได้รับการปล่อยตัว แล้วจึงได้ร้องขอสถานกงสุลสวิสให้ช่วย. ทางกงสุลแนะนำเธอให้กลับสวิตเซอร์แลนด์. อีกครั้งหนึ่ง เธอปฏิเสธที่จะทิ้งผมไป. ตลอดเวลา มาร์การิทาเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ภักดีอย่างแท้จริง. สามสิบวันต่อมา ผมถูกสอบสวนแล้วได้รับการปล่อยตัว. ทางตำรวจเสนอทางเลือกให้เราคือออกจากรัฐภายในสิบวัน หรือ “เผชิญกับผลที่จะเกิดขึ้น.” เมื่อได้รับการเสนอแนะจากสำนักงานใหญ่ เราจึงออกเดินทางไปนครริวเดจาเนโร.
“เชิญอ่านบัตรนี้”
ทั้งที่การเริ่มต้นเผยแพร่ในเขตงานที่บราซิลไม่ค่อยราบรื่น แต่เราชื่นชมยินดีเสียนี่กระไร! ที่สำคัญยิ่ง พวกเรายังมีชีวิตอยู่ กระเป๋าของเราจุหนังสือไว้เต็มอีกครั้งหนึ่ง
และเรามีนครริวเดจาเนโรทั้งเมืองเป็นเขตงานประกาศ. ทว่าเราจะประกาศอย่างไรในเมื่อเรารู้ภาษาโปรตุเกสเพียงไม่กี่คำ? บัตรที่พิมพ์คำพยานอย่างไรล่ะ. “โปร์ ฟาโวร์ เลอะ เอสเต คาร์เตา” (“เชิญอ่านบัตรนี้”) เป็นคำภาษาโปรตุเกสซึ่งเราได้เรียนครั้งแรกเพื่อใช้ในงานประกาศเผยแพร่. ผลสำเร็จจากการใช้บัตรนี้เยี่ยมจริง ๆ! ภายในเดือนเดียว เราจำหน่ายหนังสือปกแข็งมากกว่า 1,000 เล่ม. หลายคนที่รับสรรพหนังสือคู่มือพระคัมภีร์จากพวกเรา ในเวลาต่อมาได้รับเอาความจริง. ว่ากันตามตรง สรรพหนังสือของเราให้คำพยานอย่างมีประสิทธิผลเกินกว่าที่เราจะสามารถทำได้. จุดนี้ให้ความประทับใจแก่ผมว่าการให้หนังสือของเราตกไปอยู่ในมือผู้สนใจนั้นเป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ.สมัยนั้น นครริวเดจาเนโรเป็นเมืองหลวงของบราซิล และโดยเฉพาะตามสถานที่ราชการได้ต้อนรับข่าวสารของพวกเราเป็นอย่างดี. ผมสบโอกาสซึ่งถือว่าเป็นสิทธิพิเศษที่ได้ให้คำพยานด้วยตัวเองแก่รัฐมนตรีกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีกลาโหม. ณ โอกาสเหล่านี้ ผมมองเห็นหลักฐานชัดเจนว่าพระวิญญาณของพระยะโฮวาทรงดำเนินการ.
มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะเผยแพร่ที่จัตุรัสในใจกลางนครริวผมเดินเข้าไปในศาลยุติธรรม. ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ ผมได้เข้ามาอยู่ในห้องล้อมรอบด้วยผู้ชายหลายคนแต่งชุดดำเป็นคณะซึ่งดูเหมือนประกอบพิธีทำศพ. ผมเข้าหาผู้ชายคนหนึ่งซึ่งดูเด่นกว่าเพื่อน และได้ยื่นบัตรที่พิมพ์คำพยานให้อ่าน. ที่แท้ไม่ใช่งานศพ. จริง ๆ แล้ว ผมได้ขัดจังหวะการพิจารณาคดีความ และผมกำลังพูดกับผู้พิพากษา. เขาหัวเราะลั่นและยกมือเป็นสัญญาณให้ยามรักษาการณ์อยู่เฉย ๆ. เขารับเอาหนังสือเด็กทั้งหลาย * ไว้ด้วยมารยาทอันดีพร้อมกับให้เงินบริจาคด้วย. เมื่อเดินออกจากที่นั่น ยามรักษาการณ์ชี้ไปที่ป้ายติดบนประตูอ่านว่า ปรอยบีดา อา เอนตราดา เดอ เปโซอัส เอสตรังยัส (บุคคลภายนอกห้ามเข้า) ซึ่งมองเห็นได้ถนัดชัดเจน.
เขตงานที่บังเกิดผลดีอีกแห่งหนึ่งคือท่าเรือ. คราวหนึ่ง ผมเจอลูกเรือซึ่งรับหนังสือก่อนออกทะเล. ต่อมา ผมพบเขาที่การประชุมใหญ่. ทุกคนในครอบครัวของเขารับเอาความจริง และตัวเขาเองกำลังก้าวหน้าเป็นอย่างดี. ข่าวนี้ทำให้เรามีความสุขมาก.
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกอย่างราบรื่นเสมอไป. วีซ่ากำหนดเวลาหกเดือนของเรานั้นหมดอายุ และเราต้องเผชิญความเป็นไปได้ที่จะถูกเนรเทศออกนอกประเทศ. หลังจากรายงานสถานการณ์ของเราให้สำนักงานใหญ่ทราบแล้ว เราได้รับจดหมายแสดงความรักใคร่จากบราเดอร์รัทเทอร์ฟอร์ดที่หนุนใจเราให้เพียรอดทน และแนะนำเราว่าควรดำเนินการขั้นต่อไปอย่างไร. เราต้องการอยู่ในบราซิลต่อ และด้วยการช่วยเหลือของทนายความ ในที่สุด ปี 1945 เราก็ได้วีซ่าถาวร.
งานมอบหมายระยะยาว
แต่ก่อนหน้านั้น เราได้ลูกชายชื่อโยนาทานเกิดเมื่อปี 1941, รูธเกิดปี 1943, แล้วเอสเทอร์เกิดปี 1945. ผมจึงต้องหางานอาชีพเพื่อดูแลและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัวของเราที่กำลังขยายตัว. มาร์การิทายังคงรับใช้เต็มเวลาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเธอคลอดลูกคนที่สาม.
ตั้งแต่แรก เราทำงานด้วยกันเป็นครอบครัวเมื่อเผยแพร่ตามย่านชุมชนในเมือง, ที่สถานีรถไฟ, ตามถนน, และในเขตธุรกิจ. คืนวันเสาร์ เราไปด้วยกันเป็นครอบครัวเพื่อจำหน่ายวารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! และโอกาสที่ไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างนี้เอื้อความสุขเป็นพิเศษ.
ที่บ้าน ลูกแต่ละคนมีหน้าที่ประจำวันที่ต้องทำ. โยนาทานรับผิดชอบทำความสะอาดเตาไฟและห้องครัว. ลูกสาวทำสะอาดตู้เย็น, กวาดสนามหญ้า, และขัดรองเท้าของเรา. การทำงานแบบนี้ช่วยเขาเรียนรู้วิธีจัดระเบียบและเกิดความคิดริเริ่ม. เวลานี้ลูก ๆ ของเราขันแข็งดูแลบ้านเรือนและสมบัติส่วนตัวของเขาเป็นอย่างดี ทำให้ผมกับมาร์การิทามีความสุขมาก.
อนึ่ง เราคาดหมายให้ลูกประพฤติตัวเรียบร้อย ณ การประชุม. ก่อน เริ่มระเบียบวาระ พวกเขาดื่มน้ำหนึ่งแก้วและทำธุระในห้องน้ำให้เสร็จ. ณ ช่วงเวลาประชุม โยนาทานนั่งทางซ้ายมือผม รูธนั่งทางขวา มาร์การิทานั่งถัดไป และมีเอสเทอร์นั่งขนาบทางขวามือ. ทั้งนี้ เป็นการช่วยเด็กให้ตั้งใจจดจ่อและรับเอาอาหารฝ่ายวิญญาณตั้งแต่วัยเยาว์.
พระยะโฮวาทรงอวยพรความบากบั่นพยายามของเรา. ลูกทุกคนได้รับใช้พระยะโฮวาอย่างต่อเนื่องด้วยความซื่อสัตย์ และเข้าร่วมในงานเผยแพร่ด้วยความชื่นชมยินดี. ปัจจุบันโยนาทานรับใช้ฐานะผู้ปกครองในประชาคมโนวูเมเออร์ ในนครริวเดจาเนโร.
มาถึงปี 1970 ลูกทุกคนแต่งงานและออกเรือนกันหมด ผมกับมาร์การิทาจึงตกลงใจย้ายไปทำงานเผยแพร่ในเขตที่ยังมีความต้องการผู้ประกาศอยู่มาก. เขตแรกของเราคือเมืองปอซูส ดี คัลดัส ในรัฐมีนัสเจไรส์ ซึ่งตอนนั้นมีผู้ประกาศราชอาณาจักรแค่กลุ่มเล็ก ๆ เพียง 19 คน. ผมรู้สึกหนักใจเมื่อแรกเห็นสถานประชุมของเขา เป็นห้องใต้ถุนตึกไม่มีหน้าต่าง แถมจำเป็นต้องซ่อมแซมอีกมาก. เราเริ่มหาสถานที่แห่งใหม่ทันทีเพื่อจะมีหอประชุมราชอาณาจักรที่เหมาะสม และไม่นานก็เจออาคารสวยงามดึงดูดใจอยู่ในทำเลที่ดีมาก. มันต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว! ต่อมาราว ๆ สี่ปีครึ่ง จำนวนผู้ประกาศเพิ่มขึ้นถึง 155 คน. ปี 1989 เราได้ย้ายไปที่เมืองอะรารัวมาในรัฐริวเดจาเนโร เรารับใช้ที่นี่นานเก้าปี. ในช่วงเวลาดังกล่าว เราได้รู้เห็นการตั้งประชาคมใหม่สองประชาคม.
ได้รับผลตอบแทนสำหรับการยืนหยัดในเขตงานที่ได้รับมอบหมาย
ปี 1998 ปัญหาด้านสุขภาพและความต้องการจะอยู่ใกล้ลูก ๆ ทำให้เราย้ายไปที่เมืองเซากอนซาลู รัฐริวเดจาเนโร. ผมยังคงรับใช้ฐานะผู้ปกครองในประชาคมนั้น. เราพยายามทำดีที่สุดเพื่อมีส่วนร่วมงานประกาศอย่างสม่ำเสมอ. มาร์การิทาชอบให้คำพยานแก่ผู้คนที่ซูเปอร์มาร์เกตใกล้บ้าน และทางประชาคมก็กรุณากันเขตงานประกาศใกล้บ้านไว้ให้เรา ซึ่งทำให้สะดวกและง่ายที่จะประกาศตราบเท่าสุขภาพของเราอำนวย.
ผมกับมาร์การิทาได้อุทิศตัวเป็นผู้รับใช้ของพระยะโฮวามานานกว่าหกสิบปีแล้ว. เราประสบด้วยตัวเองว่า ‘ไม่ว่ารัฐบาลหรือสิ่งที่มีอยู่เดี๋ยวนี้หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นมาหรืออำนาจหรือความสูงหรือความลึกหรือสิ่งทรงสร้างอื่นใดจะไม่สามารถพรากเราจากความรักของพระเจ้าซึ่งอยู่ในพระคริสต์เยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา.’ (โรม 8:38, 39, ล.ม.) และน่าชื่นใจเสียจริง ๆ ที่มีโอกาสได้เห็นการรวบรวม “แกะอื่น” ซึ่งมีความหวังที่น่าพิศวงจะอยู่ตลอดไปบนแผ่นดินโลกที่สมบูรณ์พร้อม แวดล้อมด้วยสรรพสิ่งงดงามที่พระเจ้าทรงสร้าง! (โยฮัน 10:16) เมื่อเรามาถึงในปี 1940 นครริวเดจาเนโรมีเพียงประชาคมเดียว ผู้ประกาศ 28 คน. ปัจจุบันมีประมาณ 250 ประชาคมและผู้ประกาศราชอาณาจักรมากกว่า 20,000 คน.
เราสามารถกลับไปหาญาติในยุโรปได้ในบางโอกาส. แต่งานมอบหมายที่เราได้รับจากพระยะโฮวาอยู่ที่นี่ในประเทศบราซิล. เราดีใจมากเพียงใดที่เราไม่ละทิ้งเขตงานที่ได้รับมอบหมาย!
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 11 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา แต่ไม่มีการพิมพ์อีก.
^ วรรค 12 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา แต่ไม่มีการพิมพ์อีก.
^ วรรค 33 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา แต่ไม่มีการพิมพ์อีกแล้ว.
[ภาพหน้า 21]
ที่ฟาร์มราชอาณาจักร ชเตฟฟิสบูร์ก สวิตเซอร์แลนด์ ช่วงปลายทศวรรษ 1930 (ผมอยู่ซ้ายสุด)
[ภาพหน้า 23]
ไม่นานก่อนเราแต่งงานปี 1939
[ภาพหน้า 23]
คาซาบลังกา ในทศวรรษ 1940
[ภาพหน้า 23]
ทำงานเผยแพร่ด้วยกันเป็นครอบครัว
[ภาพหน้า 24]
ทุกวันนี้มีส่วนร่วมงานเผยแพร่อย่างสม่ำเสมอ