ถูกทดลองอย่างรุนแรงแสนสาหัส
เรื่องราวชีวิตจริง
ถูกทดลองอย่างรุนแรงแสนสาหัส
เล่าโดยเพอริคลิซ ยานนอริส
ความชื้นและอากาศอับในห้องขังทำให้ผมรู้สึกหนาวสะท้าน. ขณะนั่งอยู่คนเดียวที่นั่น มีเพียงผ้าห่มผืนบางคลุมตัว ผมยังจำสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึกของภรรยาสาวตอนที่ทหารลากตัวผมออกจากบ้านเมื่อสองวันก่อน ละภรรยากับลูกเล็ก ๆ สองคนที่ป่วยไว้เบื้องหลัง. ในเวลาต่อมา ภรรยาซึ่งไม่เชื่ออย่างที่ผมเชื่อได้ส่งกล่องพัสดุและแนบกระดาษมีข้อความสั้น ๆ ว่า “ฉันส่งขนมปังมาให้ และหวังว่าคุณคงป่วยเหมือนลูกของคุณ.” ผมจะมีชีวิตรอดกลับไปหาครอบครัวหรือเปล่าหนอ?
นั่นเป็นเพียงเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในช่วงการต่อสู้อันยาวนาน และยากลำบากเพื่อรักษาความเชื่อของคริสเตียน การต่อสู้อย่างหนักเนื่องจากครอบครัวต่อต้าน, การรังเกียจเดียดฉันท์จากชุมชน, การสู้คดี, และการข่มเหงที่โหดร้าย. แต่มีความเป็นมาอย่างไรและทำไม ผมซึ่งเป็นคนเงียบ ๆ และเกรงกลัวพระเจ้าจึงได้ลงเอยในสภาพอันน่าสังเวชเช่นนี้? ขอให้ผมชี้แจงให้ทราบ.
เด็กยากจนแต่มีความใฝ่ฝันสูง
เมื่อผมเกิดในปี 1909 ที่เมืองสตาฟโรเมโนบนเกาะครีต ประเทศของเราอยู่ในภาวะสงคราม, ต่อสู้กับความยากจน, และการกันดารอาหาร. ต่อมา น้องสี่คนและตัวผมเองเกือบไม่รอดจากไข้หวัดใหญ่สเปน. ผมจำได้ว่าพ่อแม่กักตัวพวกเราให้อยู่แต่ในบ้านนานหลายสัปดาห์ เพื่อป้องกันการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่.
พ่อเป็นชาวนาฐานะยากจน เคร่งศาสนาแต่เป็นคนใจเปิด. เนื่องจากพ่อเคยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสและเกาะมาดากัสการ์ ท่านจึงเปิดกว้างที่จะรับแนวคิดในเรื่องศาสนา. กระนั้น ครอบครัวของเรายังคงยึดมั่นในคริสตจักรกรีกออร์โทด็อกซ์, เข้าร่วมพิธีมิสซาทุกวันอาทิตย์และเปิดบ้านรับรองบิชอปประจำท้องถิ่นให้เข้ามาพักระหว่างที่เขา
ทำการเยี่ยมในรอบปี. ผมเป็นนักร้องประสานเสียงในโบสถ์ และวาดฝันในชีวิตว่าจะเป็นบาทหลวง.ปี 1929 ผมเข้าทำงานในกองตำรวจ. พ่อผมตายในช่วงที่ผมปฏิบัติหน้าที่ในเมืองเทสซาโลนีกา ภาคเหนือของกรีซ. ด้วยความหวังจะได้รับการปลอบประโลมและความรู้ความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ผมได้ขอย้ายไปสังกัดกองตำรวจแห่งเขาเอทอส อยู่ใกล้ ๆ ชุมชนอารามที่ชาวคริสต์นิกายออร์โทด็อกซ์นับถือเป็น “ภูเขาอันบริสุทธิ์.” * ผมทำงานอยู่ที่นั่นสี่ปี และสังเกตเห็นชีวิตนักบวชได้อย่างใกล้ชิด. แทนที่จะถูกชักนำเข้าใกล้พระเจ้า ผมกลับรู้สึกสลดใจเพราะมีการทำผิดศีลธรรมและการทุจริตกันอย่างครึกโครม. ผมนึกรังเกียจนักบวชคนหนึ่งที่ผมเคยนับถือซึ่งเป็นถึงรองบิชอปทำท่าจะลวนลามผม. แม้นว่าจะรู้สึกผิดหวังด้วยเหตุดังกล่าว ผมยังคงต้องการรับใช้พระเจ้าด้วยความสุจริตใจและอยากเป็นบาทหลวง. ผมถึงกับเอาเสื้อคลุมยาวของบาทหลวงมาใส่แล้วถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก. ในที่สุด ผมย้ายกลับไปที่เกาะครีต.
“เขาร้ายจริง ๆ!”
ปี 1942 ผมแต่งงานกับฟรอซินี หญิงสาวที่น่ารัก ซึ่งมาจากครอบครัวที่มีคนนับหน้าถือตา. ชีวิตสมรสยิ่งเสริมความแน่วแน่ต่อการตัดสินใจของผมที่จะเป็นบาทหลวง เนื่องจากญาติ ๆ ฝ่ายภรรยาศรัทธาศาสนาเป็นอย่างมาก. * ผมตั้งใจจะไปยังเอเธนส์เพื่อศึกษาในวิทยาลัยเทววิทยา. ปลายปี 1943 ผมไปถึงท่าเรืออิราคลีโอน เกาะครีต ทว่าไม่ได้ไปเอเธนส์ตามที่ตั้งใจ. ทั้งนี้อาจเป็นเพราะในเวลาเดียวกันนั้นผมประสบความสดชื่นฝ่ายวิญญาณจากอีกแหล่งหนึ่ง. เกิดอะไรขึ้นหรือ?
เอมันวิล ลีโอนูดาคิส ผู้เผยแพร่วัยหนุ่มที่แข็งขันซึ่งได้สมทบกับพยานพระยะโฮวามานานหลายปี เขาสอนความจริงของคัมภีร์ไบเบิลทั่วเกาะครีตอย่างที่ให้ความรู้ความเข้าใจชัดเจน. * บางคนรู้สึกประทับใจเมื่อได้รับความเข้าใจที่แจ่มแจ้งเกี่ยวกับพระคำของพระเจ้าจากเหล่าพยานฯ แล้วจึงได้ละทิ้งศาสนาเท็จ. ในเมืองซิเทียที่อยู่ใกล้กัน มีการตั้งกลุ่มพยานฯ ที่กระตือรือร้นขึ้น. การนี้รบกวนใจบิชอปประจำเมืองนั้น เขาเคยอยู่ในสหรัฐและรู้ด้วยตัวเองมาแล้วว่าพยานพระยะโฮวาเป็นผู้เผยแพร่ที่มีประสิทธิภาพมากเพียงไร. เขาหมายมั่นปั้นมือจะกำจัด “ลัทธินอกรีต” ในเขตปกครองของตน. ด้วยการยุยงของบิชอป ตำรวจมักจะลากตัวพยานฯ เข้าคุก และบังคับพยานฯ ต้องขึ้นศาลด้วยข้อหาต่าง ๆ นานาอันเป็นเท็จ.
หนึ่งในพยานฯ กลุ่มนี้พยายามอธิบายความจริงของคัมภีร์ไบเบิลให้ผมฟัง แต่เขาเหมาเอาว่าผมคงไม่สนใจ. ดังนั้น เขาจึงส่งผู้เผยแพร่ที่ช่ำชองมากกว่ามาคุยกับผม. ปรากฏว่าการโต้ตอบของผมแบบขวานผ่าซากทำให้พยานฯ คนที่สองกลับไปหากลุ่มเล็ก ๆ ของตนและรายงานว่า “ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เพอริคลิซจะมาเป็นพยานฯ. เขาร้ายจริง ๆ!”
ชิมรสการต่อต้านครั้งแรก
ผมดีใจที่พระเจ้าไม่ทรงมองผมอย่างนั้น. เดือนกุมภาพันธ์ 1945 ดิมอสเตนีซ น้องชายผมซึ่งเชื่อมั่นว่าพยานพระยะโฮวาสอนความจริงได้มอบหนังสือเล่มเล็กปลอบโยนคนทั้งปวงที่โศกเศร้า * (ภาษาอังกฤษ) ให้ผม. เนื้อหาในหนังสือนั้นประทับใจผม. พวกเราเลิกเข้าโบสถ์ออร์โทด็อกซ์นับแต่นั้น แล้วเข้าร่วมสมทบกลุ่มเล็ก ๆ ที่เมืองซิเทีย และให้คำพยานแก่น้อง ๆ ถึงความเชื่อใหม่ที่เราเพิ่งเรียนรู้. พวกเขาทุกคนรับรองความจริงของคัมภีร์ไบเบิล. เป็นดังที่คาดไว้ การตัดสินใจละทิ้งศาสนาเท็จทำให้ภรรยาและทางฝ่ายครอบครัวของเธอตัดขาดผมและแสดงความเป็นปฏิปักษ์. มีอยู่ช่วงหนึ่ง พ่อตาไม่ยอมพูดกับผมด้วยซ้ำ. ที่บ้าน จึงมีการไม่ลงรอยและตึงเครียดอยู่บ่อย ๆ. ถึงแม้เป็นเช่นนั้น วันที่ 21 พฤษภาคม 1945 ผมกับดิมอสเตนีซก็ได้รับบัพติสมาโดยบราเดอร์มีโนส โคคีนาคิส. *
ในที่สุด ผมสามารถทำให้ฝันของผมเป็นจริงและทำงานฐานะเป็นผู้รับใช้แท้ของพระเจ้า! ผมยังจำวันแรกได้เมื่อผมออกไปประกาศตามบ้าน. กระเป๋าของผมบรรจุหนังสือเล่มเล็ก 35 เล่ม ผมขึ้นรถประจำทางไปยังหมู่บ้านเพียงลำพัง. ผมรู้สึกหวั่น ๆ เมื่อเริ่มออกไปตามบ้าน. ยิ่งไปไกล ผมก็
ยิ่งกล้ามากขึ้น. เมื่อบาทหลวงที่โมโหโกรธาเข้ามาในหมู่บ้าน ผมสามารถประจันหน้าเขาอย่างกล้าหาญ ผมทำเฉยต่อคำสั่งที่จะให้ผมไปสถานีตำรวจกับเขา. ผมบอกเขาว่าผมจะไปก็ต่อเมื่อได้เยี่ยมทั่วทั้งหมู่บ้านเสียก่อน และผมก็ทำอย่างที่พูด. ผมมีความสุขมากจนไม่ได้รอขึ้นรถโดยสาร แต่เดินกลับบ้านระยะทาง 15 กิโลเมตร.ตกอยู่ในมือเหล่าร้ายใจอำมหิต
เดือนกันยายน 1945 ผมรับผิดชอบหน้าที่หลายอย่างที่เพิ่มเข้ามาในประชาคมซึ่งตั้งขึ้นใหม่ของเราในเมืองซิเทีย. ไม่นานหลังจากนั้นก็เกิดสงครามกลางเมืองในกรีซ. กลุ่มพรรคต่าง ๆ ลุกฮือขึ้นต่อต้านกันอย่างโหดร้ายรุนแรง. บิชอปฉวยประโยชน์จากสถานการณ์ด้วยการปลุกเร้าทหารกองโจรในท้องถิ่นให้ใช้ทุกวิธีการที่เห็นว่าเหมาะเพื่อกำจัดเหล่าพยานฯ ให้หมดสิ้น. (โยฮัน 16:2) ขณะที่กลุ่มทหารกองโจรนั่งรถโดยสารมุ่งหน้ามาที่หมู่บ้านของเรา ในรถคันนั้นมีสุภาพสตรีที่เป็นมิตร คนหนึ่งนั่งมาด้วย เธอเผอิญได้ยินคนพวกนั้นวางแผนปฏิบัติการตามที่ “พระเจ้าทรงกำหนด” และเธอได้เตือนพวกเราให้รู้ล่วงหน้า. เราจึงหลบซ่อนตัว และญาติอีกคนหนึ่งเข้าช่วยเหลือพวกเรา. เราจึงเอาชีวิตรอดมาได้.
เหตุการณ์ครั้งนี้เตรียมทางไว้เผื่อความทุกข์ลำบากที่จะตามมา. การทุบตีและการข่มขู่กลายเป็นเรื่องปกติประจำวัน. พวกที่ต่อต้านพยายามจะบังคับเราให้กลับเข้าโบสถ์, ให้ลูกของเรารับศีลบัพติสมา, และทำสัญลักษณ์ไม้กางเขน. มีอยู่ครั้งหนึ่ง พวกเขารุมทุบตีน้องชายผมจนคิดว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว. ผมเจ็บปวดมากที่เห็นน้องสาวสองคนของผมถูกรุมฉีกเสื้อผ้าขาดลุ่ย มิหนำซ้ำถูกเฆี่ยน. ระหว่างเวลานั้น คริสตจักรบังคับให้ลูกพยานพระยะโฮวาถึงแปดคนด้วยกันรับศีลบัพติสมา.
ในปี 1949 แม่ของผมตาย. บาทหลวงตามไล่ล่าพวกเราอีก กล่าวหาว่าพวกเราไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายในเรื่องการขออนุญาตปลงศพ. ผมต้องสู้คดีในศาลและได้รับการปล่อยตัวพ้นผิด. เรื่องนี้เป็นการให้คำพยานที่วิเศษยิ่ง เนื่องจากได้ยินการเอ่ยนามพระยะโฮวาระหว่างการเริ่มพิจารณาคดี. ยังเหลือวิธีการอย่างเดียวเท่านั้นที่ศัตรูจะ “ทำให้เรารู้สำนึก” คือจับพวกเราแล้วเนรเทศ. พวกเขาได้ทำเช่นนั้นจริงเมื่อเดือนเมษายน 1949.
ตกอยู่ในการทดลองที่รุนแรงแสนสาหัส
ผมเป็นหนึ่งในจำนวนพี่น้องชายสามคนที่ถูกจับ. ภรรยาผมไม่ไปเยี่ยมผมที่สถานีตำรวจเสียด้วยซ้ำ. แห่งแรกที่เราแวะคือเรือนจำในเมืองอิราคลีโอน. ดังกล่าวข้างต้น ผมรู้สึกโดดเดี่ยวและเศร้าสลด. ผมละภรรยาสาวซึ่งไม่มีความเชื่อเหมือนผมไว้เบื้องหลัง แถมลูกเล็ก ๆ อีกสองคน. ผมทูลอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาอย่างไม่ละลด. ผมระลึกถึงพระคำของพระเจ้าดังบันทึกที่เฮ็บราย 13:5 (ล.ม.) ที่ว่า “เราจะไม่ละท่านไว้เลยและจะไม่ทิ้งท่านเสียเลย.” ผมตระหนักแน่ว่าการไว้วางใจพระยะโฮวาอย่างเต็มที่เป็นแนวทางแห่งสติปัญญา.—สุภาษิต 3:5.
เราได้มารู้ว่าจะถูกเนรเทศไปยังมาครอนีซอส เกาะที่แห้งแล้งทุรกันดารนอกฝั่งแอตติกา ประเทศกรีซ. เพียงเอ่ยชื่อมาครอนีซอส ผู้คนก็ขยาดเสียแล้ว เพราะค่ายนักโทษบนเกาะนั้นลือชื่อในเรื่องการทรมานและการทำงานเยี่ยงทาส. ระหว่างทางไปยังเรือนจำ พวกเราได้แวะที่เมืองไพรีอัส. ถึงแม้กุญแจมือยังคาอยู่ แต่เราได้รับกำลังใจเมื่อเพื่อนร่วมความเชื่อบางคนขึ้นมาบนเรือและสวมกอดพวกเรา.—กิจการ 28:14, 15.
ชีวิตในมาครอนีซอสนั้นน่าหวาดกลัวและสยดสยอง. พวกทหารกระทำทารุณนักโทษอย่างโหดร้ายตั้งแต่เช้ายันค่ำ. นักโทษหลายคนที่ไม่ใช่พยานพระยะโฮวาถึงกับเสียสติวิปลาสไปก็มี, หลายคนถึงแก่ชีวิต, อีกจำนวนมากที่พิการทุพพลภาพ. ช่วงกลางคืน เราได้ยินเสียงร้องโหยหวนคร่ำครวญของคนเหล่านั้นที่ถูกทรมาน. ผ้าห่มบาง ๆ ของผมแทบไม่ได้ให้ความอบอุ่นสำหรับอากาศหนาวเย็นในเวลากลางคืน.
พยานพระยะโฮวาในค่ายคุมขังเป็นที่รู้จักมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมีการเรียกชื่อนั้นทุกเช้าในช่วงเข้าแถว. ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีหลายโอกาสให้คำพยาน. ผมมีสิทธิพิเศษได้ให้บัพติสมาแก่นักโทษการเมืองคนหนึ่งซึ่งก้าวหน้าจนถึงขั้นอุทิศชีวิตของเขาแด่พระยะโฮวา.
ระหว่างที่ถูกเนรเทศ ผมเขียนจดหมายถึงภรรยาที่รักเป็นประจำ ถึงแม้ไม่เคยได้รับจดหมายตอบจากเธอเลย. ถึงกระนั้น ผมก็ยังเขียนถึงเธอด้วยความรู้สึกรักใคร่อันอ่อนละมุน, ปลอบโยน, และรับรองให้เธอมั่นใจว่าสภาพซึ่งไม่น่าพึงใจเช่นนี้มีอยู่เพียงชั่วคราว แล้วเราจะมีความสุขด้วยกันอีก.
ในระหว่างนั้น จำนวนพยานฯ เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากพี่น้องหลายคนถูกส่งตัวมาที่นั่น. ช่วงที่ทำงานในห้องธุรการ ผมทำความรู้จักกับนายพันผู้บังคับการค่าย. เพราะเขาให้ความนับถือต่อเหล่าพยานฯ ผมจึงรวบรวมความกล้าถามเขาว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าจะขอรับสรรพหนังสือเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลจากสำนักงานของเราที่กรุงเอเธนส์. เขาพูดว่า “คงเป็นไปไม่ได้ แต่ทำแบบนี้จะดีกว่าไหม ถ้าให้พวกพ้องของคุณในเอเธนส์จัดหนังสือใส่กล่อง แล้วเขียนชื่อผมบนกล่องส่งถึงผม?” ผมนิ่งอึ้งด้วยความประหลาดใจ! หลังจากนั้นไม่กี่วัน ขณะที่เราขนของออกจากเรือ ตำรวจนายหนึ่งทำความเคารพนายพันและแจ้งว่า “ผู้พันครับ กล่องพัสดุของท่านมาถึงแล้ว.” นายพันถามทวนว่า “กล่องอะไร?” บังเอิญผมอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินการสนทนา ผมจึงกระซิบบอกว่า “อาจเป็นกล่องของพวกเรา ซึ่งส่งมาในชื่อของท่าน
ดังที่ท่านสั่งเอาไว้.” นี่เป็นหนึ่งในหลาย ๆ วิธีที่พระยะโฮวาทรงดูแลให้เราได้รับอาหารฝ่ายวิญญาณ.ได้รับพระพรโดยไม่คาดหมาย—ครั้นแล้วความทุกข์ลำบากเพิ่มทวี
ผมได้รับการปล่อยตัวปลายปี 1950. ผมกลับบ้านอย่างโผเผอิดโรย, ซีดเซียว, ซูบผอม, และไม่แน่ใจจะได้รับการต้อนรับหรือไม่. ผมดีใจเสียนี่กระไรที่จะได้เห็นหน้าภรรยาและลูก ๆ อีก! ที่ดียิ่งกว่านั้น ผมประหลาดใจเมื่อพบว่าความเป็นปฏิปักษ์จากฟรอซินีได้ลดลง. จดหมายเหล่านั้นที่เขียนในคุกได้ผล. ฟรอซินีซาบซึ้งที่ผมแสดงความอดทนนานและพากเพียรพยายาม. ต่อมาไม่นาน ผมใช้เวลาสนทนากับภรรยาอย่างสงบเยือกเย็นและยาวนาน. เธอตอบรับการศึกษาพระคัมภีร์และได้พัฒนาความเชื่อในพระยะโฮวาและคำสัญญาต่าง ๆ ของพระองค์. วันที่ผมมีความสุขอย่างยิ่งในชีวิตวันหนึ่งคือในปี 1952 เมื่อผมได้บัพติสมาให้เธอฐานะเป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวแด่พระยะโฮวา!
ปี 1955 เราเริ่มรณรงค์แจกหนังสือเล่มเล็กชื่อคริสต์ศาสนจักรหรือหลักการคริสเตียน—อย่างไหนคือ “ความสว่างของโลก”? ให้บาทหลวงคนละหนึ่งเล่ม. ผมถูกจับและดำเนินคดีพร้อมกับเพื่อนพยานฯ อีกหลายคน. มีการฟ้องร้องพยานพระยะโฮวาหลายคดี จนศาลต้องได้กำหนดวาระพิเศษพิจารณาทุกคดี. พอถึงวันนั้น บุคลากรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทางกฎหมายประจำท้องถิ่นได้เข้าร่วมพิจารณาคดี และในศาลก็คลาคล่ำไปด้วยพวกบาทหลวง. ส่วนบิชอปเองเดินกระสับกระส่ายไปมาในช่องทางเดินระหว่างที่นั่ง. บาทหลวงคนหนึ่งได้ยื่นฟ้องผมในข้อหาชักจูงผู้อื่นให้เปลี่ยนศาสนา. ผู้พิพากษาถามเขาว่า “ความเชื่อของคุณอ่อนแอขนาดนั้นเชียวหรือ แค่อ่านจุลสารเล่มเดียวก็เปลี่ยนศาสนาเสียแล้ว?” บาทหลวงถึงกับนิ่งอั้น. ผมถูกปล่อยตัวพ้นความผิด แต่พี่น้องบางคนถูกตัดสินจำคุกหกเดือน.
หลายปีหลังจากนั้น พวกเราถูกจับครั้งแล้วครั้งเล่า และมีการฟ้องร้องมากมายหลายคดี. เนื่องจากต้องไปว่าความในศาล ทนายฝ่ายเราจึงทำงานไม่ได้หยุดได้หย่อน. ผมถูกนำตัวขึ้นศาล 17 ครั้ง. ถึงแม้ถูกต่อต้านขัดขวาง พวกเราก็ยังคงทำกิจกรรมเผยแพร่อย่างสม่ำเสมอ. เรายอมรับข้อท้าทายนี้ด้วยความยินดี และการทดลองที่ร้อนแรงสาหัสทำให้ความเชื่อของเรามีคุณภาพ.—ยาโกโบ 1:2, 3.
สิทธิพิเศษใหม่ ๆ และข้อท้าทาย
ปี 1957 เราย้ายไปเอเธนส์. ไม่นาน ผมก็ได้รับการแต่งตั้งให้รับใช้ในประชาคมที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่. การสนับสนุนอย่างเต็มหัวใจจากภรรยาทำให้เราสามารถจัดชีวิตของเราให้เรียบง่ายและมุ่งมั่นเอางานฝ่ายวิญญาณไว้ในอันดับแรก. โดยวิธีนี้ เราสามารถทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับงานเผยแพร่. ตลอดหลายปี เราได้รับการร้องขอให้ย้ายไปช่วยประชาคมต่าง ๆ ที่มีความจำเป็น.
ปี 1963 ลูกชายวัย 21 ปีต้องรายงานตัวเพื่อการเกณฑ์ทหาร. เนื่องจากยืนหยัดในความเป็นกลาง พยานฯ ทุกคนที่มารายงานตัวจึงถูกเฆี่ยน, ถูกเยาะเย้ย, และต้องทนรับความอับอาย. นั่นเป็นประสบการณ์ของลูกชายผมเช่น
เดียวกัน. ดังนั้นผมจึงได้มอบผ้าห่มผืนที่ผมเคยใช้ตอนที่อยู่มาครอนีซอสให้ลูกเพื่อเขาจะมีกำลังใจ เตือนใจเขาให้ปฏิบัติตามตัวอย่างอดีตผู้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคง. พวกพี่น้องที่ถูกหมายเรียกต้องขึ้นศาลทหาร และโดยปกติถูกตัดสินจำคุกสองถึงสี่ปี. เมื่อได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว พวกเขาถูกเรียกตัวและถูกตัดสินจำคุกอีก. ในฐานะที่เป็นผู้สอนศาสนา ผมสามารถเข้าเยี่ยมเรือนจำหลายแห่งและได้พบลูกชายและเหล่าพยานฯ ที่ซื่อสัตย์คนอื่น ๆ ในชั่วเวลาจำกัด. ลูกชายผมติดคุกนานกว่าหกปี.พระยะโฮวาได้ทรงค้ำจุนพวกเราโดยตลอด
หลังจากเสรีภาพทางศาสนาในประเทศกรีซคืนสู่สภาพเดิม ผมมีสิทธิพิเศษได้ทำงานรับใช้ประเภทไพโอเนียร์พิเศษชั่วคราวบนเกาะโรดส์. ครั้นแล้ว ในปี 1986 มีความจำเป็นในเมืองซิเทีย เกาะครีต ซึ่งที่นั่นผมได้เริ่มงานประจำชีพฝ่ายคริสเตียน. ผมยินดีรับเอางานมอบหมายครั้งนี้เพื่อรับใช้ด้วยกันอีกกับบรรดาเพื่อนร่วมความเชื่อผู้เป็นที่รัก ซึ่งผมรู้จักพวกเขาตั้งแต่ผมเป็นหนุ่ม.
เนื่องจากมีอายุมากที่สุดในครอบครัว ผมปลื้มใจที่เห็นลูกหลานรวมทั้งสิ้นเกือบ 70 คนรับใช้พระยะโฮวาอย่างภักดี. และยังคงเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ. บางคนรับใช้เป็นผู้ปกครอง, บ้างก็เป็นผู้ช่วยงานรับใช้, ไพโอเนียร์, สมาชิกเบเธล, และผู้ดูแลเดินทาง. ความเชื่อของผมถูกทดลองอย่างรุนแรงแสนสาหัสนานกว่า 58 ปี. เวลานี้ผมอายุ 93 ปี และเมื่อมองย้อนไปในอดีต ผมไม่เสียใจแม้แต่น้อยที่ได้รับใช้พระเจ้า. พระองค์ทรงประทานกำลังแก่ผมเพื่อจะตอบรับคำเชิญของพระองค์อันเปี่ยมความรักที่ว่า “บุตรชายของเรา จงมอบหัวใจของเจ้าให้เรา และจงให้ดวงตาของเจ้าชื่นชมในทางทั้งหลายของเรา.”—สุภาษิต 23:26, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 9 ดูวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับวันที่ 1 ธันวาคม 1999 หน้า 30, 31.
^ วรรค 11 บาทหลวงแห่งคริสตจักรกรีกออร์โทด็อกซ์แต่งงานได้.
^ วรรค 12 อ่านประวัติชีวิตของเอมันวิล ลีโอนูดาคิสได้จากหอสังเกตการณ์ ฉบับวันที่ 1 กันยายน 1999 หน้า 25-29.
^ วรรค 15 จัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา แต่ปัจจุบันงดพิมพ์แล้ว.
^ วรรค 15 สำหรับเรื่องที่มีโนส โคคีนาคิสชนะคดีนั้น โปรดอ่านหอสังเกตการณ์ ฉบับวันที่ 1 กันยายน 1993 หน้า 27-31.
[กรอบหน้า 27]
มาครอนีซอสเกาะที่น่าพรั่นพรึง
ในช่วงเวลาสิบปี จากปี 1947-1957 เกาะมาครอนีซอสที่แห้งแล้งและโดดเดี่ยวเป็นที่กักขังนักโทษมากกว่า 100,000 คน. ในจำนวนดังกล่าว มีพยานพระยะโฮวาที่ซื่อสัตย์จำนวนมากรวมอยู่ด้วย พวกเขาถูกส่งไปที่นั่นเพราะความเป็นกลางของคริสเตียน. ผู้ที่ยุยงให้เนรเทศพวกเขามักจะเป็นพวกนักบวชนิกายกรีกออร์โทด็อกซ์ ซึ่งกล่าวหาเท็จว่าพยานฯ เป็นคอมมิวนิสต์.
ว่าด้วยวิธีการ “ปฏิรูป” ที่ใช้บนเกาะมาครอนีซอสนั้น สารานุกรมกรีกพาพีรอส ลารุสส์ บริแทนนิกา ให้ข้อสังเกตดังนี้: “วิธีทรมานอย่างโหดเหี้ยม, . . . สภาพความเป็นอยู่ซึ่งชาติที่เจริญแล้วรับไม่ได้, และพฤติกรรมที่ต่ำทรามของผู้คุมที่กระทำต่อนักโทษ . . . ล้วนเป็นความอัปยศต่อประวัติศาสตร์ประเทศกรีซ.”
มีคนบอกพยานฯ บางคนว่าจะไม่มีการปล่อยตัวพวกเขาเป็นอิสระเว้นแต่ว่าพยานฯ จะละทิ้งความเชื่อทางศาสนาของตน. ถึงกระนั้น ความซื่อสัตย์มั่นคงของเหล่าพยานฯ ยังดำรงอยู่โดยไม่มีใครจะทำลายเสียได้. ยิ่งกว่านั้น นักโทษการเมืองบางคนได้รับเอาความจริงของคัมภีร์ไบเบิลเพราะการพบปะติดต่อกับเหล่าพยานฯ.
[ภาพหน้า 27]
มีโนส โคคีนาคิส (คนที่สามนับจากขวา) และผม (คนที่สี่จากซ้าย) เมื่อต้องโทษที่เกาะมาครอนีซอส
[ภาพหน้า 29]
ทำงานร่วมกับเพื่อนพยานฯ ในเมืองซิเทีย เกาะครีต ผมเคยรับใช้ที่นี่ตอนเป็นหนุ่ม