อย่าปล่อยหัวใจของบุตรตามแต่จะเป็นไป!
อย่าปล่อยหัวใจของบุตรตามแต่จะเป็นไป!
ดินเหนียวไร้ค่าก้อนหนึ่งในมือช่างปั้นที่ชำนิชำนาญอาจถูกปั้นให้เป็นภาชนะที่งามสะดุดตา. ช่างฝีมือเพียงไม่กี่คนได้ผลิตสิ่งของเครื่องใช้มากมายหลากหลายที่งามวิจิตรและมีประโยชน์จากก้อนดินธรรมดา ๆ นี้เอง. นับพัน ๆ ปีทีเดียวที่สังคมมนุษย์ได้อาศัยช่างปั้นเพื่อจะมีเครื่องอุปโภค อาทิ ถ้วย, จาน, หม้อหุงต้ม, โอ่ง, ไห, และภาชนะประดับตกแต่งที่สวยงาม.
บิดามารดาก็เช่นกัน ได้สร้างคุณประโยชน์อย่างหาค่ามิได้แก่สังคม โดยการขัดเกลานิสัยและบุคลิกภาพบุตรของตน. คัมภีร์ไบเบิลเปรียบพวกเราแต่ละคนเหมือนดินเหนียว และพระเจ้าทรงมอบภาระหน้าที่สำคัญไว้กับบิดามารดาในการปั้น “ดิน” ซึ่งหมายถึงบุตรหลานของเขา. (โยบ 33:6; เยเนซิศ 18:19) การจะทำเครื่องปั้นดินเผาสักชิ้นหนึ่งให้งามวิจิตรนั้นไม่ใช่งานง่ายฉันใด การขัดเกลาบุตรให้เป็นผู้ใหญ่ที่น่าไว้วางใจและสมดุลก็ไม่ใช่งานง่ายฉันนั้น. การขัดเกลาดังกล่าวใช่ว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญ.
อิทธิพลหลายอย่างกำลังหล่อหลอมหัวใจบุตรของเรา. น่าเสียดายที่อิทธิพลเหล่านี้ก่อความเสียหาย. ดังนั้น แทนที่จะปล่อยหัวใจบุตรตามแต่จะเป็นไป บิดาหรือมารดาที่รอบคอบพึงฝึกสอนบุตรให้ “ประพฤติตามทางที่ควรจะประพฤตินั้น” ด้วยความมั่นใจว่า “เมื่อแก่ชราแล้วเขาจะไม่เดินห่างจากทางนั้น.”—สุภาษิต 22:6.
ระหว่างช่วงเวลาอันยาวนานที่น่าตื่นเต้นและสำคัญในการเลี้ยงดูบุตร บิดามารดาคริสเตียนที่สุขุมจะต้องสละเวลาป้องกันบุตรให้พ้นจากอิทธิพลไม่ดีซึ่งคุกคามหัวใจของบุตร. ความรักของบิดามารดาจะถูกทดสอบอย่างหนักขณะที่อุตส่าห์พยายาม “สั่งสอนและแก้ไขพวกเขาตามการอบรมเลี้ยงดูแบบคริสเตียน.” (เอเฟโซ 6:4, เดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล) แน่นอน ภาระหน้าที่ของบิดามารดาจะเบาขึ้นมากหากเขาเริ่มอบรมสั่งสอนบุตรตั้งแต่อายุยังน้อย.
การเริ่มต้นแต่เนิ่น ๆ
ในการทำงาน ช่างปั้นชอบใช้ดินที่อ่อนนิ่มซึ่งจะปั้นเป็นรูปใด ๆ ก็ได้ แต่แข็งพอที่จะคงรูปที่ขึ้นไว้แต่แรก. เมื่อช่างปั้นเตรียมดินได้ตามต้องการแล้ว เขาจะใช้ดินเหนียวที่เตรียมไว้ภายในหกเดือน. ในทำนองเดียวกัน เวลาที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับบิดามารดาจะเริ่มนวดปั้นหัวใจของบุตรก็
คือในช่วงที่บุตรแสดงปฏิกิริยาตอบสนองมากที่สุดและดัดแปลงได้ง่าย.ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กเล็กพูดว่าพออายุแปดเดือน เด็กได้เรียนรู้การแยกเสียงสำเนียงต่าง ๆ ในภาษาของเขา, สร้างสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับบิดามารดา, พัฒนาทักษะเกี่ยวกับการรับรู้, และเริ่มสำรวจโลกรอบ ๆ ตัว. ช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดสำหรับการนวดปั้นหัวใจของบุตรคือเมื่ออายุยังน้อยอยู่. นับว่าเป็นข้อได้เปรียบสักปานใดหากบุตรของคุณเป็นอย่างติโมเธียวคือ ‘ได้รู้จักคำจารึกอันศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่เป็นทารก’!—2 ติโมเธียว 3:15, ล.ม. *
โดยธรรมชาติ ทารกจะเลียนแบบบิดามารดา. นอกจากเลียนสุ้มเสียง, สีหน้า, และท่าทางแล้ว พวกเขาเรียนในเรื่องของความรัก, ความกรุณา, และความเมตตาสงสารเมื่อเห็นบิดามารดาแสดงคุณลักษณะเหล่านี้. ถ้าเราต้องการฝึกสอนบุตรให้ประพฤติตามข้อกฎหมายของพระยะโฮวา ก่อนอื่นพระบัญญัติของพระเจ้าต้องมีอยู่ในหัวใจของเรา. ความหยั่งรู้ค่าจากหัวใจต่อข้อบัญญัติของพระเจ้าย่อมกระตุ้นให้บิดามารดาพูดคุยกับบุตรเป็นประจำเกี่ยวกับพระยะโฮวาและพระคำของพระองค์. คัมภีร์ไบเบิลกระตุ้นเตือนดังนี้: ‘จงพูดถึงถ้อยคำเหล่านี้เมื่อเจ้านั่งอยู่ในเรือนและเมื่อเจ้าเดินในหนทางและเมื่อเจ้านอนลงและเมื่อเจ้าลุกขึ้น.’ (พระบัญญัติ 6:6, 7, ล.ม.) ฟรันซิสโกและโรซาอธิบายวิธีที่เขาทำเช่นนี้ต่อบุตรวัยเยาว์ทั้งสองของเขา. *
“นอกจากการพูดคุยกันทุกวันเป็นกิจวัตร เราพยายามจะคุยกับลูกแต่ละคนเป็นส่วนตัวอย่างน้อยวันละ 15 นาที. เมื่อเราจับเรื่องได้ว่ามีปัญหา เราจะใช้เวลามากขึ้น และเรามักจะพบว่ามีปัญหาจริง ๆ. ยกตัวอย่าง เมื่อเร็ว ๆ นี้ลูกชายวัยห้าขวบของเรากลับจากโรงเรียนมาถึงบ้านและบอกว่าเขาไม่ได้เชื่อในพระยะโฮวาเลย. ปรากฏว่านักเรียนคนหนึ่งในชั้นพูดเยาะเย้ยเขา ทั้งได้พูดว่าไม่มีพระเจ้า.”
บิดามารดาเหล่านี้ตระหนักว่าจำเป็นที่บุตรต้องพัฒนาความเชื่อในพระผู้สร้างของตน. ความเชื่อดังกล่าวอาจก่อตัวขึ้นบนความหลงใหลตรึงใจตามธรรมชาติต่อสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น. อันที่จริง เด็กมักชอบเล่นกับสัตว์, เด็ดดอกไม้รายทาง, หรือเล่นทรายตามชายหาดเสียนี่กระไร! บิดามารดาสามารถช่วยลูกนำเอาสิ่งทรงสร้างมาเกี่ยวโยงกับพระผู้สร้างได้. (บทเพลงสรรเสริญ 100:3; 104:24, 25) ความเกรงขามและความนับถือที่เขาได้พัฒนาขึ้นต่อสรรพสิ่งทรงสร้างของพระยะโฮวาเช่นนั้นจะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต. (บทเพลงสรรเสริญ 111:2, 10) ด้วยความเข้าใจดังกล่าว เด็กย่อมพัฒนาความปรารถนาเพื่อจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า และความกลัวที่จะทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย. ข้อนี้จะกระตุ้นเขาให้ “หลีกความชั่วร้าย.”—สุภาษิต 16:6, ฉบับแปลใหม่.
ถึงแม้เด็กเล็กส่วนใหญ่มักอยากรู้อยากเห็นและเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ทว่าอาจไม่ค่อยจะเชื่อฟัง. (บทเพลงสรรเสริญ 51:5) บางครั้งพวกเขาอาจเอาแต่ใจตัวเอง หรือเอาให้ได้ทุกอย่างตามที่ต้องการ. บิดามารดาต้องหนักแน่น, อดทน, และตีสอนเพื่อป้องกันไม่ให้ท่าทีดังกล่าวกลายเป็นนิสัย. (เอเฟโซ 6:4) ฟิลลิสและพอลประสบเรื่องเช่นนี้มาแล้ว ทั้งสองได้เลี้ยงดูลูกชายหญิงห้าคนและสำเร็จผลเป็นอย่างดี.
ฟิลลิสเล่าว่า “แม้ลูกแต่ละคนมีบุคลิกต่างกัน แต่ทุกคนก็อยากทำตามที่ตัวเองชอบ. มันยากเอาการ แต่ในที่สุดลูก ๆ ก็เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ไม่.’” พอล สามีฟิลลิส กล่าวดังนี้: “บ่อยครั้ง เราให้เหตุผลสำหรับการตัดสินใจของเราถ้าเขาโตพอจะเข้าใจได้. ถึงแม้เราพยายามเป็นคนใจดี
อยู่เสมอ แต่เราก็สั่งสอนเขาให้เคารพอำนาจที่พระเจ้าทรงมอบแก่เรา.”แม้บุตรที่อยู่ในวัยเด็กอาจมีปัญหาอยู่บ้าง แต่บิดามารดาส่วนใหญ่พบว่า ปัญหาที่ท้าทายมากที่สุดเกิดขึ้นในช่วงที่บุตรเป็นวัยรุ่น เมื่อหัวใจอ่อนเยาว์ของเขาเผชิญการทดลองใหม่ ๆ หลายอย่าง.
เข้าถึงหัวใจวัยรุ่น
ช่างปั้นหม้อต้องเริ่มปั้นก่อนที่ดินเหนียวจะแห้ง. เพื่อให้เวลาเขาเป็นพิเศษ เขาจะเติมน้ำลงไปให้ดินเปียกชุ่มปั้นได้ง่าย. ทำนองเดียวกัน บิดามารดาต้องบากบั่นพยายามเพื่อป้องกันหัวใจบุตรวัยรุ่นไม่ให้กลายเป็นคนหัวดื้อ. แน่นอน เครื่องมือหลักของเขาคือคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งเขาสามารถใช้เพื่อ ‘ว่ากล่าว, จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย, และเตรียมลูกของตนไว้พร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง.’—2 ติโมเธียว 3:15-17, ล.ม.
อย่างไรก็ตาม เด็กวัยรุ่นอาจไม่รับคำแนะนำของบิดามารดาทันทีเหมือนตอนที่เขาอายุยังน้อย. เด็กวัยรุ่นอาจเริ่มสนใจคนรุ่นเดียวกันมากขึ้น ที่เคยสื่อความกับพ่อแม่อย่างไม่ปิดบังก็กลายเป็นพูดอึก ๆ อัก ๆ. ตอนนี้แหละที่ต้องใช้ความอดทนและทักษะเป็นพิเศษ เนื่องจากบทบาทของบิดามารดาและบุตรต่างก็เข้าสู่ขั้นตอนใหม่. วัยรุ่นต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสรีระและอารมณ์. เขาต้องเริ่มตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ และวางเป้าหมายซึ่งอาจมีผลกระทบไปจนตลอดชีวิต. (2 ติโมเธียว 2:22) ตลอดช่วงที่ท้าทายนี้ เขาต้องรับมือกับพลังอำนาจซึ่งจะยังความหายนะแก่หัวใจของเขาได้ พลังนั้นคือแรงกดดันจากคนรุ่นเดียวกัน.
ความกดดันดังกล่าวมักจะไม่เกิดขึ้นเพียงหนเดียวในเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่โดดเด่น. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น ความกดดันมักจะมีมาเป็นพัก ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยคำพูดวิพากษ์วิจารณ์หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งบั่นทอนความเชื่อมั่นของคนเราต่อสิ่งที่ตนถือว่าจริงและสำคัญเรื่อยมากระทั่งเวลานั้น. คำพูดและเหตุการณ์ดังกล่าวจู่โจมสิ่งที่เป็นจุดอ่อนสำหรับเยาวชนจำนวนไม่น้อย นั่นคือ ความกลัวที่ฝังลึกในใจว่าตนจะไม่เป็นที่ยอมรับของเยาวชนคนอื่น ๆ. ในการต่อสู้กับความรู้สึกว่าคนอื่นคิดอย่างไรกับตัวเองพร้อมด้วยความต้องการอยากเป็นที่ยอมรับ เยาวชนอาจเริ่มเห็นด้วยกับ “สิ่งต่าง ๆ ในโลก” ที่เยาวชนคนอื่น ๆ ส่งเสริม.—1 โยฮัน 2:15-17, ล.ม.; โรม 12:2.
ที่แย่ยิ่งกว่านั้นอีกคือ ความปรารถนาตามธรรมชาติของหัวใจที่ผิดบาปอาจเสริมน้ำหนักให้กับคำพูดของคนรุ่นเดียวกัน. การพูดชักชวนเช่น “ไปสนุกกันเถอะ” และ “ทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ” ฟังดูแล้วน่าดึงดูดใจไม่น้อย. มารีอาเล่าประสบการณ์ของเธอดังนี้: “ฉันฟังเพื่อนวัยรุ่นที่เชื่อว่าหนุ่มสาวมีสิทธิจะหาความสนุกสุดเหวี่ยงให้ตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา. เนื่องจากฉันต้องการทำเหมือนเพื่อนที่โรงเรียน ฉันเกือบถลำตัวเข้าสู่ปัญหาที่ร้ายแรง.” ฐานะที่คุณเป็นบิดามารดา คุณย่อมต้องการช่วยลูกวัยรุ่นของคุณเอาชนะความกดดันเช่นนั้น แต่คุณจะทำได้อย่างไร?
สุภาษิต 20:5) โดยทางสีหน้าท่าทางหรืออารมณ์ของเขา คุณอาจสังเกตได้ว่าเขามีความทุกข์ใจหรือจิตใจว้าวุ่น. จงตอบสนองความจำเป็นของเขาถึงแม้เขาไม่ได้เอ่ยปากก็ตาม และ ‘ชูใจเขา.’—โกโลซาย 2:2.
โดยคำพูดและการกระทำ รับรองกับลูกและทำให้เขามั่นใจว่าคุณห่วงใย. พยายามสืบค้นดูว่าเขามีความรู้สึกอย่างไรต่อเรื่องต่าง ๆ และพยายามเข้าใจปัญหาของเขา ซึ่งอาจยุ่งยากมากกว่าปัญหาที่คุณเคยเผชิญในโรงเรียนเสียอีก. โดยเฉพาะในยามนี้ ลูกของคุณต้องถือว่าคุณเป็นผู้ที่เขาจะเผยความในใจและปรับทุกข์ได้. (แน่นอน นับว่าสำคัญที่จะใช้ความหนักแน่นเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง. บิดามารดาหลายคนได้ประสบว่าบางครั้งก็ขัดใจกับบุตรบ้าง แต่เขาไม่อาจจะยอมผ่อนปรนได้ในเมื่อการตัดสินใจของตนมีเหตุผลหนักแน่นพอ. อีกด้านหนึ่ง จงทำให้แน่ใจว่าคุณเข้าใจสภาพการณ์อย่างชัดเจนก่อนตัดสินใจว่าจะให้การตีสอนด้วยความรักหรือไม่ และจะทำวิธีใดหากจำเป็นต้องทำ.—สุภาษิต 18:13.
การทดลองอาจมาจากภายในประชาคม
ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาอาจดูเหมือนว่าได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่หากไม่ผ่านกรรมวิธีการเผาจนได้ที่ ภาชนะที่ออกแบบไว้ใส่ของเหลวอาจจะเสียหายหรือรั่วซึมได้เพราะของเหลวที่อยู่ในภาชนะนั้น. คัมภีร์ไบเบิลเปรียบเทียบการทดลอง และความยากลำบากกับกรรมวิธีที่เผาด้วยไฟดังกล่าว เพราะการทดลองต่าง ๆ จะพิสูจน์ให้เห็นว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นคนชนิดใด. จริงอยู่ คัมภีร์ไบเบิลกำลังพูดถึงการทดลองความเชื่อของเราโดยเฉพาะ แต่โดยทั่วไป จุดสำคัญนี้ใช้ได้กับการทดลองด้านอื่น ๆ ด้วย. (ยาโกโบ 1:2-4) น่าประหลาดใจ การทดลองอันหนักหน่วงบางอย่างที่เยาวชนประสบนั้นอาจมาจากภายในประชาคม.
แม้ลูกวัยรุ่นของคุณดูเหมือนมีสุขภาพดีฝ่ายวิญญาณ ทว่าภายในเขาอาจดิ้นรนต่อสู้กับหัวใจที่แบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย. (1 กษัตริย์ 18:21) ยกตัวอย่าง แมเกนได้เผชิญกับแนวคิดแบบโลกที่มีสาเหตุมาจากหนุ่มสาวบางคนซึ่งได้มาที่หอประชุม:
“ฉันได้รับอิทธิพลจากหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งซึ่งถือว่าหลักการคริสเตียนเป็นสิ่งน่าเบื่อหน่ายและเป็นสิ่งกีดขวางการสนุกสนาน. พวกเขาพูดทำนองนี้: ‘ให้ฉันอายุครบ 18 ฉันจะทิ้งความจริงไปเลย’ หรือ ‘ฉันอยากออกไปจากความจริงจนแทบทนรอต่อไปไม่ไหวแล้ว.’ พวกเขามักหลบเลี่ยงหนุ่มสาวที่พูดเรื่องอะไรก็ตามซึ่งไม่เห็นพ้องกับตน แถมตั้งฉายาให้ว่าพวกคนชอบธรรม.”
เพียงหนึ่งหรือสองคนที่มีท่าทีไม่ถูกต้องก็มากพอที่จะกระตุ้นคนอื่น ๆ ให้ทำตาม. ปกติแล้ว คนในกลุ่มจะทำอย่างที่คนส่วนใหญ่ทำกัน. ความโฉดเขลาและอวดเก่งอาจเหยียบย่ำสติปัญญาและคุณงามความดี. ในหลายประเทศ เป็นเรื่องน่าเศร้าที่หนุ่มสาวคริสเตียนตกเข้าสู่ปัญหาเพราะพวกเขาติดตามคนหมู่มาก.
เป็นเรื่องธรรมดาที่วัยรุ่นต้องมีการคบหาสมาคมที่น่าชื่นชมยินดีในระดับหนึ่ง. คุณในฐานะบิดามารดาจะเตรียมการในเรื่องนี้ได้อย่างไร? จงคิดใคร่ครวญอย่างจริงจังในโรม 12:13) สนับสนุนลูกให้มุ่งทำกิจกรรมอันเป็นคุณประโยชน์ เช่น ฝึกเล่นเครื่องดนตรีหรือเรียนอีกภาษาหนึ่งให้เก่งหรือทำงานฝีมือ. ส่วนใหญ่ ลูกอาจจะทำกิจกรรมเหล่านี้ได้ที่บ้านซึ่งสภาพแวดล้อมปลอดภัย.
เรื่องการบันเทิงของพวกเขา และวางแผนให้มีกิจกรรมที่น่าสนใจกับครอบครัวหรือกับกลุ่มที่มีทั้งหนุ่มสาวและผู้ใหญ่อยู่ด้วย. ทำความรู้จักกับเพื่อน ๆ ของลูก. ชวนเขามากินข้าวที่บ้าน หรือใช้เวลายามเย็นอยู่กับพวกเขา. (การศึกษาในโรงเรียนอาจเป็นการปกป้องคุ้มครอง
การศึกษาในโรงเรียนอาจช่วยพวกเขาให้จัดเอาการสนุกสนานเพลิดเพลินไว้ในอันดับที่เหมาะสมได้ด้วย. ลอลี ผู้บริหารโรงเรียนใหญ่แห่งหนึ่งเป็นเวลา 20 ปี กล่าวดังนี้: “ดิฉันได้พบเห็นพยานฯ หนุ่มสาวหลายคนจบไปจากโรงเรียน. หลายคนประพฤติอย่างน่าชมเชย แต่ก็มีบ้างที่ดูแล้วไม่แตกต่างไปจากนักเรียนคนอื่น ๆ. ตัวอย่างที่ดีได้แก่พวกที่เอาใจใส่การเล่าเรียนสม่ำเสมอ. ดิฉันขอแนะนำพ่อแม่ของนักเรียนให้สนใจอย่างจริงจังต่อความก้าวหน้าทางการเรียนของลูก ทำความรู้จักกับครูของเขา และช่วยให้ลูกเห็นว่าทักษะ, การประพฤติ, ผลการเรียนที่ลงในสมุดรายงานประจำตัวนักเรียนนั้นเป็นสิ่งสำคัญ. นักเรียนบางคนทำได้ดีมาก แต่ทุกคนสามารถทำได้ในระดับที่น่าพอใจและได้ความนับถือจากครูของเขา.”
การศึกษาในโรงเรียนดังกล่าวจะช่วยเด็กวัยรุ่นก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณได้เหมือนกัน. การเรียนในโรงเรียนจะสอนเขาให้มีนิสัยค้นคว้าศึกษาอย่างที่เป็นประโยชน์, มีวินัย, และทำให้รู้สำนึกในหน้าที่รับผิดชอบ. ความสามารถในการอ่านได้คล่องและที่จะจับจุดแนวคิดต่าง ๆ ย่อมเสริมให้เขาเป็นนักศึกษาอีกทั้งจะเป็นผู้สอนพระคำของพระเจ้าที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน. (นะเฮมยา 8:8) ข้อเรียกร้องอันเกี่ยวเนื่องกับงานของโรงเรียนและการศึกษาฝ่ายวิญญาณจะช่วยเขาในการจัดนันทนาการไว้ในลำดับที่เหมาะสม.
การยกย่องสรรเสริญจะตกอยู่กับคุณและพระยะโฮวา
ในประเทศกรีซโบราณ ภาชนะดินเผามากมายหลายอย่างมีลายมือชื่อช่างปั้นและชื่อผู้ตกแต่ง. พอเปรียบเทียบได้ว่า โดยทั่วไปมีสองคนในครอบครัวร่วมมือกันนวดปั้นลูก. ทั้งบิดาและมารดาร่วมมือกันพัฒนาหัวใจของบุตร และโดยนัยแล้ว ลูกของคุณมี “ลายมือชื่อ” คุณทั้งสอง. เช่นเดียวกันกับคนปั้น และ/หรือคนตกแต่งเครื่องปั้นดินเผาที่ประสบความสำเร็จ คุณจะรู้สึกภูมิใจผลงานของคุณที่ได้พัฒนาตกแต่งผู้เยาว์เป็นบุคคลที่มีคุณค่าและงดงาม.—สุภาษิต 23:24, 25.
ความสำเร็จของการบากบั่นพยายามอันดีเยี่ยมนี้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับขอบเขตที่คุณได้นวดปั้นหัวใจของลูก. หวังว่าคุณจะสามารถพูดได้อย่างนี้ว่า “พระธรรมของพระเจ้าอยู่ในจิตใจของเขา และย่างเท้าของเขาจะไม่พลาด.” (บทเพลงสรรเสริญ 37:31, ฉบับแปลใหม่) สภาพหัวใจของบุตรสำคัญเกินกว่าจะปล่อยตามแต่จะเป็นไป.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 8 บิดามารดาบางคนอ่านคัมภีร์ไบเบิลให้ทารกแรกเกิดฟัง. น้ำเสียงที่ผ่อนคลายและคล่องแคล่วซึ่งชวนให้เพลิดเพลินเช่นนี้จะเป็นแรงจูงใจบุตรให้ชอบการอ่านหนังสือไปตลอดชีวิต.
^ วรรค 9 บางชื่อเป็นนามสมมุติ.