พระยะโฮวาทรงใฝ่พระทัยในคนธรรมดาสามัญ
พระยะโฮวาทรงใฝ่พระทัยในคนธรรมดาสามัญ
เราต้องเป็นบุคคลพิเศษหรือเด่นดังทางหนึ่งทางใดไหมเพื่อที่พระเจ้าจะสังเกตเห็นเรา? มีการยกถ้อยแถลงของอับราฮาม ลิงคอล์น ประธานาธิบดีคนที่ 16 แห่งสหรัฐขึ้นมากล่าวดังนี้: “องค์พระผู้เป็นเจ้าสนพระทัยคนธรรมดาสามัญนี่แหละ. นั่นเป็นเหตุผลที่พระองค์สร้างคนแบบนี้ไว้มากมาย.” หลายคนรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น. การเป็นคนธรรมดาอาจแสดงนัยว่าเป็น “คนจน ต่ำต้อย.” คล้ายกัน คำว่าสามัญอาจบ่งชี้ถึงการไม่มีอภิสิทธิ์หรือฐานะตำแหน่งพิเศษ, ต่ำกว่ามาตรฐานทั่วไป, หรือถูกจัดให้อยู่ในระดับด้อยกว่าด้วยซ้ำ. คุณพอใจจะอยู่ร่วมกับคนแบบไหน? คนหยิ่งทะนง, ก้าวร้าวไหม? คุณคงเลือกอยู่ใกล้คนมีอัธยาศัยไมตรี, ถ่อมใจ, เจียมตน, ผู้ซึ่งให้ความสนใจแก่ผู้อื่นอย่างอบอุ่นจริงใจมิใช่หรือ?
เนื่องจากการพูดจาวางอำนาจด้วยอารมณ์และการพูดเยาะเย้ยเป็นเรื่องธรรมดาในโลกทุกวันนี้ บางคนจึงลงความเห็นว่ายากที่จะเชื่อว่าพระเจ้าทรงสนพระทัยพวกเขาเป็นส่วนตัว. ผู้อ่านวารสารนี้เขียนว่า “ผมมาจากครอบครัวที่ไม่ค่อยจะแสดงความรักต่อกันและกัน. พวกเขาเหยียดหยาม, ล้อเลียน, และหัวเราะเยาะผม. ดังนั้น ตั้งแต่ผมเป็นเด็ก ผมรู้สึกเป็นคนไร้ค่า. ผมยังคงฝังใจกับความรู้สึกในอดีตซึ่งยากจะลืม ซึ่งทำให้ผมท้อแท้มากในยามประสบความทุกข์ลำบาก.” ถึงกระนั้น มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าพระเจ้าทรงสนพระทัยคนธรรมดาสามัญเป็นรายบุคคล.
พระเจ้าทรงสนพระทัยคนธรรมดาสามัญ
กษัตริย์ดาวิดเขียนดังนี้: “พระยะโฮวาเป็นองค์ยิ่งใหญ่และสมควรได้รับการสรรเสริญอย่างยิ่ง และความยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้นเหลือที่จะรู้หมดได้.” (บทเพลงสรรเสริญ 145:3, ล.ม) อย่างไรก็ดี สิ่งนี้ไม่ได้กีดกั้นพระยะโฮวาจากการใฝ่พระทัยด้วยความรักใคร่เมตตาต่อพวกเรา. (1 เปโตร 5:7, ล.ม.) เพื่อให้ตัวอย่าง ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญกล่าวว่า “พระยะโฮวาทรงอยู่ใกล้คนที่หัวใจสลาย; และคนที่จิตใจชอกช้ำพระองค์ทรงช่วยให้รอด.”—บทเพลงสรรเสริญ 34:18, ล.ม.
สิ่งซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนในโลก อาทิ ความสวยงามด้านสรีระ, ชื่อเสียงเกียรติยศ, หรือความร่ำรวยนั้นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงถือว่าสำคัญ. กฎหมายของพระเจ้าที่ประทานแก่ชาวอิสราเอลเผยให้เห็นความสนพระทัยอันประกอบด้วยความเมตตาสงสารคนยากจน, ลูกกำพร้า, หญิงม่าย, และคนต่างประเทศ. พระเจ้าตรัสสั่งชาวอิสราเอลซึ่งเคยได้รับการปฏิบัติอย่างทารุณในคราวที่อาศัยอยู่ในอียิปต์ว่า “อย่าทำร้ายหรือข่มเหงแขกเมืองเลย . . . อย่าข่มเหงหญิงหม้ายหรือลูกกำพร้าเลย. ถ้าเจ้าได้ข่มเหงเขาในทางใด ๆ, และถ้าเขาจะร้องทุกข์ถึงเรา, เราจะฟังคำร้องของเขาเป็นแน่.” (เอ็กโซโด 22:21-24) ยิ่งกว่านั้น ผู้พยากรณ์ยะซายาได้กล่าวแสดงความเชื่อมั่นในการใฝ่พระทัยของพระเจ้าต่อคนยากจนว่า “พระองค์ได้ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนยากจน ทรงเป็นที่กำบังเข้มแข็งของคนขัดสนเมื่อเขาทุกข์ใจ ทรงเป็นที่กำบังจากพายุและเป็นร่มกันความร้อน เพราะลมของผู้ที่ทารุณก็เหมือนพายุพัดกำแพง.”—ยะซายา 25:4, ฉบับแปลใหม่.
ตลอดเวลาที่ทำการเผยแพร่ พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็น “การถอดแบบอย่างแม่นยำ” ของพระเจ้าจึงได้มาเป็นตัวอย่างแก่บรรดาสาวกด้วยการแสดงความสนพระทัยอย่างแท้จริงต่อคนธรรมดาสามัญ. (เฮ็บราย 1:3, ล.ม.) ครั้นทรงเห็นฝูงชนซึ่ง “อิดโรยกระจัดกระจายไปดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง” พระเยซู “ทรงพระกรุณาเขา.”—มัดธาย 9:36.
กิจการ 4:13, ฉบับแปลใหม่) หลังการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู สาวกของพระองค์เริ่มเชิญชวนคนทุกชนิดรับฟังพระคำของพระเจ้า. อัครสาวกเปาโลเขียนไว้ว่า “คนที่ไม่เชื่อหรือคนที่รู้ไม่ถึง [“คนธรรมดา,” ล.ม.]” ก็สามารถเข้ามาในประชาคมคริสเตียนและมาเป็นผู้มีความเชื่อได้. (1 โกรินโธ 14:24, 25) แทนที่จะเลือกเฉพาะคนเหล่านั้นที่ได้รับการยกย่องตามมาตรฐานของโลก พระเจ้ากลับเลือกสามัญชนคนธรรมดาเข้ามารับใช้พระองค์. อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย, จงพิจารณาดูคนทั้งหลายในพวกท่านที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมาแล้วคือว่า คนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา, คนมีอำนาจ คนตระกูลสูงมีน้อยคนนัก แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าโฉดเขลา, เพื่อจะให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนกำลัง เพื่อจะให้คนมีกำลังมากอับอาย. พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำและสิ่งที่ถูกดูหมิ่น, ทั้งทรงเลือกสิ่งเหล่านั้นซึ่งยังมิได้เกิดเป็นตัวจริงด้วย, เพื่อจะได้ทำลายสิ่งซึ่งเป็นตัวจริงอยู่แล้ว เพื่อมิให้มนุษย์สักคนหนึ่งอวดได้เฉพาะพระเจ้า.”—1 โกรินโธ 1:26-29.
อนึ่ง พึงสังเกตด้วยว่าพระเยซูทรงเลือกบุคคลแบบไหนให้เป็นอัครสาวกของพระองค์ พระองค์ทรงเลือกคนที่ได้รับการพรรณนาว่าเป็นคน “ขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ.” (ทุกวันนี้ พระเจ้าทรงสนพระทัยพวกเราอย่างแท้จริงเช่นเดียวกัน. พระทัยประสงค์ของพระเจ้าคือ “ให้คนทุกชนิดได้ความรอดและบรรลุความรู้ถ่องแท้เรื่องความจริง.” (1 ติโมเธียว 2:4, ล.ม.) ถ้าพระเจ้าทรงรักมนุษยชาติมากถึงขนาดส่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกให้ตายแทนเรา ไม่มีเหตุผลที่จะคิดว่าไม่มีใครรักเรา หรือรู้สึกว่าเราเป็นคนไร้ค่า. (โยฮัน 3:16) พระเยซูคริสต์ทรงแสดงให้สาวกของพระองค์เห็นความสำคัญของการปฏิบัติต่อผู้เล็กน้อยที่สุดในบรรดาพี่น้องฝ่ายวิญญาณเสมือนว่าเขากระทำต่อพระเยซูเอง. พระองค์ตรัสดังนี้: “สิ่งที่เจ้าได้ทำต่อผู้เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องเหล่านี้ของเรา ก็เท่ากับเจ้าได้ทำต่อเรา.” (มัดธาย 25:40, ล.ม.) ไม่ว่าโลกอาจมองเราอย่างไร หากเรารักความจริง เราก็เป็นคนพิเศษในสายพระเนตรพระเจ้า.
ฟรังซิสคู * เด็กชายกำพร้าพ่อชาวบราซิลรู้สึกเช่นนั้นภายหลังการพัฒนาสัมพันธภาพเป็นส่วนตัวกับพระเจ้า. เขาชี้แจงว่า “การรู้จักพระยะโฮวาและองค์การของพระองค์ช่วยผมรับมือและเอาชนะความรู้สึกที่เป็นคนขี้อาย และความรู้สึกไม่ปลอดภัย. ผมได้มารู้ว่าพระยะโฮวาทรงสนพระทัยพวกเราแต่ละคนเป็นส่วนตัว.” สำหรับฟรังซิสคู พระยะโฮวาได้กลายมาเป็นบิดาที่แท้จริง.
ใฝ่พระทัยในคนหนุ่มสาว
พระยะโฮวาทรงสนพระทัยคนหนุ่มสาวอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นกลุ่มอย่างเดียว แต่เป็นรายบุคคล. แน่นอน ไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ เราไม่ต้องการคิดถือตัวสูงส่งเกินกว่าที่ควรจะคิด. กระนั้น เราอาจมีความสามารถและคุณสมบัติบางอย่างที่พระเจ้าจะทรงใช้ในวันข้างหน้าได้. พระยะโฮวาทรงทราบว่าเราจำเป็นต้องรับการแก้ไขและการฝึกอบรมด้านใดบ้างเพื่อเราจะใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่จากขีดความสามารถของเรา. ยกตัวอย่าง ขอพิจารณาเรื่องราวในพระธรรม 1 ซามูเอล บท 16. เนื่องจากผู้พยากรณ์ซามูเอลเห็นว่ามีคนอื่นประกอบด้วยคุณสมบัติพร้อมจะเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอลมากกว่าดาวิด พระยะโฮวาจึงทรงชี้แจงเหตุผลที่พระองค์เลือกดาวิดบุตรคนสุดท้องของยิซัยให้เป็นกษัตริย์1 ซามูเอล 16:7, ล.ม.
องค์ต่อไปแห่งอิสราเอลว่า “อย่ามองที่รูปร่างหน้าตาและที่ความสูงของเขา เนื่องด้วยเราได้ปฏิเสธเขา [พี่ชายของดาวิด]. ด้วยว่าพระเจ้าทรงเห็นไม่ใช่อย่างที่มนุษย์เห็น เพราะมนุษย์เห็นสิ่งที่ปรากฏแก่ตา แต่พระยะโฮวาทรงเห็นว่าหัวใจเป็นเช่นไร.”—หนุ่มสาวสมัยนี้จะมั่นใจได้ไหมว่าพระยะโฮวาทรงสนพระทัยพวกเขาจริง ๆ? ขอให้นึกถึงอันนา หญิงสาวชาวบราซิล. เธอก็เหมือนหนุ่มสาวหลายคน อันนารู้สึกไม่สบายใจที่เห็นการทุจริตฉ้อฉลและความไม่เป็นธรรม. ตอนนั้นบิดาของเธอเริ่มพาเธอ, น้องฝาแฝด, และน้องสาวเข้าร่วมการประชุมคริสเตียน. ต่อมา เธอเริ่มชอบสิ่งที่เธอเรียนรู้เกี่ยวกับพระคำของพระเจ้า. แล้วอันนาก็เริ่มต้นอ่านพระคัมภีร์ควบกับสรรพหนังสือคริสเตียนและอธิษฐานถึงพระยะโฮวาพระเจ้า. ทีละเล็กทีละน้อยเธอได้สร้างสัมพันธภาพใกล้ชิดกับพระเจ้า. เธอเล่าว่า “ฉันชอบขี่จักรยานไปที่ภูเขาใกล้บ้าน ซึ่งที่นั่นฉันได้ชมความสวยงามยามสนธยา. ฉันอธิษฐานขอบคุณพระยะโฮวาสำหรับความกรุณาและความเอื้อเฟื้อของพระองค์ พยายามเอ่ยถ้อยคำออกมาว่าฉันรักพระองค์มากขนาดไหน. การได้มารู้จักพระยะโฮวาพระเจ้าและรู้เกี่ยวกับพระประสงค์ของพระองค์ทำให้ฉันมีใจสงบและรู้สึกปลอดภัย.” คุณก็เช่นกันพยายามหาเวลาเพื่อใคร่ครวญความใฝ่พระทัยด้วยความรักของพระยะโฮวาไหม?
เป็นที่ยอมรับแล้วว่า ภูมิหลังของเราอาจเป็นอุปสรรคทำให้ยากแก่การสร้างสัมพันธภาพใกล้ชิดกับพระยะโฮวา. ขอยกเอาลิดยาเป็นตัวอย่าง. เมื่อเธอเผยความในใจกับพ่อเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวที่เธอกังวลใจอยู่ลึก ๆ พ่อบอกปัดโดยพูดว่า “เหลวไหลน่า.” แม้เธอเข้าใจว่าพ่อต้องการให้เธอลืมปัญหานั้นเสีย แต่ลิดยาบอกว่า “การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลให้ฉันได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนาและมากเกินต้องการด้วยซ้ำ. บุคลิกภาพที่น่าดึงดูดใจของพระยะโฮวาทำให้ฉันพบมิ่งมิตรที่ยอดเยี่ยม. ตอนนี้ฉันมีบิดาองค์ใหญ่ยิ่งผู้มีความรักและความเข้าใจ ซึ่งฉันสามารถระบายความรู้สึกส่วนตัวและเรื่องที่ฉันกลัวมากได้อย่างสะดวกใจ. ฉันสามารถใช้เวลาหลายชั่วโมงสนทนากับบุคคลสำคัญที่สุดในเอกภพ แน่ใจว่าพระองค์จะสดับฟังฉัน.” ข้อคัมภีร์ต่าง ๆ เช่นฟิลิปปอย 4:6, 7 (ล.ม.) ได้ช่วยเธอให้สำนึกถึงการใฝ่พระทัยอย่างรักใคร่ของพระยะโฮวา. ข้อนั้นอ่านว่า “อย่ากระวนกระวายด้วยสิ่งใด แต่ในทุกสิ่งจงทูลขอต่อพระเจ้าโดยการอธิษฐานและการวิงวอนพร้อมด้วยการขอบพระคุณ; แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าที่เหนือกว่าความคิดทุกอย่างจะป้องกันรักษาหัวใจและความสามารถในการคิดของท่านไว้โดยพระคริสต์เยซู.”
การเกื้อหนุนดูแลตามความจำเป็นของคุณ
พระยะโฮวาทรงเอื้ออาทรและห่วงใยผู้รับใช้ของพระองค์เป็นรายบุคคลเช่นเดียวกันกับประชาคมของพระองค์ที่อยู่ทั่วโลก. พวกเราสามารถแสดงความรักต่อพระบิดาฝ่ายสวรรค์ได้โดยการจัดเวลาสนทนากับพระองค์. อย่าถือเอาสัมพันธภาพระหว่างเรากับพระองค์เป็นเรื่องเล่น ๆ. ดาวิดเองได้คิดทบทวนอยู่เสมอในเรื่องสัมพันธภาพกับพระยะโฮวา. ท่านกล่าวว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา, ขอทรงโปรดให้ข้าพเจ้ารู้ทางของพระองค์, ขอทรงฝึกสอนข้าพเจ้าให้ดำเนินในพระมรคาของพระองค์. ขอทรงแนะนำสอนข้าพเจ้าตามความสัตย์จริงของพระองค์; เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า; ข้าพเจ้าคอยท่าพระองค์อยู่ตลอดวัน.”—บทเพลงสรรเสริญ 25:4, 5.
แนวคิดที่จะมีสัมพันธภาพใกล้ชิดกับพระเจ้าอาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับคุณ. ปัญหาใด ๆ ที่คุณอาจจะมี คุณมั่นใจได้เสมอว่าพระผู้สูงสุดสามารถช่วยคุณได้อย่างที่สอดคล้องกับพระทัยประสงค์ของพระองค์. (1 โยฮัน 5:14, 15, ล.ม.) ฉะนั้น จงพยายามฝึกการทูลอธิษฐานอย่างเฉพาะเจาะจง โดยคำนึงถึงสภาพการณ์และความต้องการของคุณ.
ความสำคัญในเรื่องการสำนึกถึงความจำเป็นของเราเป็นจุดเด่นในคำอธิษฐานของกษัตริย์ซะโลโมเมื่อมีการอุทิศพระวิหารดังนี้: “ถ้าเกิดกันดารอาหารที่แผ่นดิน, หรือโรค2 โครนิกา 6:28-30) จริง ๆ แล้ว เฉพาะคุณเองเท่านั้น ‘รู้สึกถึงความเจ็บป่วยหรือความทุกข์ร้อนใจของตน.’ ดังนั้นแล้ว สำคัญเพียงใดที่คุณพึงยอมรับความจำเป็นและความต้องการของคุณจริง ๆ. หากคุณยอมรับ ‘[พระยะโฮวา] จะทรงให้สิ่งที่ใจคุณปรารถนา.’—บทเพลงสรรเสริญ 37:4, ล.ม.
ภัยอันตราย, หรือเกิดข้าวลีบ, หรือข้าวตายฝอย, หรือฝูงตั๊กแตน, หรือตัวหนอนกินเสีย; หรือถ้ามีศัตรูตั้งค่ายล้อมรอบประตูเมืองของเขาทั่วแผ่นดิน, หรือจะมีกาฬโรค, หรือความเจ็บป่วยประการใดก็ดี: จะมีคำอธิษฐานหรือคำทูลขออย่างไร ๆ ที่คนหนึ่งคนใด หรือที่บรรดาพวกยิศราเอลพลไพร่ของพระองค์จะทูลขอนั้น, ขณะเมื่อต่างคนต่างรู้สึกความเจ็บป่วย หรือความทุกข์ร้อนใจของตน, . . . เมื่อนั้นขอพระองค์ทรงสดับฟังแต่สวรรค์ . . . และทรงพระกรุณาโปรดยกโทษเสีย, ให้แก่ทุกคนตามการประพฤติของตนทุกประการ.” (จงเสริมสัมพันธภาพระหว่างคุณกับพระยะโฮวาให้แน่นแฟ้น
พระยะโฮวาทรงพอพระทัยจะให้คนธรรมดาสามัญมีสัมพันธภาพใกล้ชิดกับพระองค์. พระคำของพระองค์รับรองเราดังนี้: “‘เราจะเป็นบิดาของเจ้าทั้งหลาย และเจ้าทั้งหลายจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา’ พระยะโฮวาองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการตรัส.” (2 โกรินโธ 6:18, ล.ม.) จริง ๆ แล้ว พระยะโฮวาและพระบุตรของพระองค์ทรงประสงค์จะให้เราบรรลุผลสำเร็จและได้รับชีวิตนิรันดร์. ช่างเป็นการหนุนใจมากเพียงใดที่รู้ว่าพระยะโฮวาจะช่วยเมื่อเราต้องดูแลหน้าที่รับผิดชอบภายในครอบครัว, ณ ที่ทำงาน, และในประชาคมคริสเตียน!
แต่กระนั้น พวกเราทุกคนยังคงเผชิญวิกฤตกาล. สุขภาพไม่ดี, ปัญหาในครอบครัว, รายได้น้อย, หรืออะไรอื่น ๆ อาจทำให้เราเจ็บปวด. เราอาจไม่รู้ว่าจะรับมือการทดลองหรือจัดการกับความยากลำบากอย่างไร. ความกดดันที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม มีต้นเหตุมาจากซาตานพญามาร จอมใส่ร้ายที่ชั่วช้าซึ่งประกาศสงครามฝ่ายวิญญาณกับคนของพระเจ้า. อย่างไรก็ดี มีผู้หนึ่งที่เข้าใจเราและช่วยเรารักษาสัมพันธภาพที่ดีกับพระยะโฮวา. ผู้นั้นคือพระเยซูคริสต์ซึ่งดำรงตำแหน่งสูงส่งในสวรรค์. เราอ่านว่า “เรามีผู้ที่เป็นมหาปุโรหิต มิใช่ผู้ที่ไม่สามารถเห็นอกเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ผู้ที่ได้ผ่านการทดลองมาแล้วทุกประการเหมือนพวกเรา แต่ปราศจากบาป. เหตุฉะนั้น ให้เราทั้งหลายเข้าไปถึงราชบัลลังก์แห่งพระกรุณาอันไม่พึงได้รับและพูดอย่างสะดวกใจ เพื่อเราจะได้รับความเมตตาและประสบพระกรุณาอันไม่พึงได้รับเพื่อช่วยในเวลาอันเหมาะ.”—เฮ็บราย 4:15, 16, ล.ม.
น่าอุ่นใจเพียงใดที่รู้ว่าการจะได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้านั้น เราไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงโด่งดังหรือร่ำรวย! แม้อยู่ในสภาพคับแค้นแสนเข็ญ จงเป็นเหมือนผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญซึ่งทูลอธิษฐานดังนี้: “ข้าพเจ้าเป็นคนทุกข์ยากและขัดสน; ถึงกระนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้า [พระยะโฮวา] ยังทรงระลึกถึงข้าพเจ้าอยู่: พระองค์เป็นผู้อุปถัมภ์และพระผู้ช่วยให้รอดของข้าพเจ้า.” (บทเพลงสรรเสริญ 31:9-14; 40:17) จงมั่นใจเถิดว่าพระยะโฮวาทรงรักคนใจถ่อม, คนธรรมดาสามัญ. อันที่จริง ‘เราสามารถมอบความกระวนกระวายทั้งสิ้นของเราไว้กับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงใฝ่พระทัยในเรา’—1 เปโตร 5:7, ล.ม.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 10 บางชื่อเป็นนามสมมุติ.
[ภาพหน้า 29]
สาวกหลายคนของพระเยซูเป็นผู้มิได้เล่าเรียนมากและเป็นสามัญชน
[ภาพหน้า 30]
คริสเตียนบากบั่นเพื่อความเชื่อที่มั่นคง
[ภาพหน้า 31]
ไม่จำเป็นที่เราต้องเป็นคนเด่นดังเพื่อจะได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า