จงมองหาส่วนดีในคนทั้งปวง
จงมองหาส่วนดีในคนทั้งปวง
“โอ้พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอทรงระลึกถึงข้าพเจ้าด้วยความโปรดปราน.”—นะเฮมยา 13:31, ล.ม.
1. พระยะโฮวาทรงสำแดงความดีต่อคนทั้งปวงโดยวิธีใด?
หลังจากมีเมฆมากและมืดครึ้มมาหลายวัน แสงแดดทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่ายินดี. ผู้คนอารมณ์แจ่มใสขึ้นและรู้สึกเบิกบานใจ. เช่นเดียวกัน หลังจากมีแดดจัดและอากาศแห้งแล้งมาเป็นเวลานาน สายฝนที่โปรยปราย กระทั่งพายุฝนกระหน่ำ ก็ทำให้เกิดความสดชื่นและเย็นสบาย. พระยะโฮวา พระผู้สร้างของเราองค์เปี่ยมด้วยความรัก ทรงออกแบบชั้นบรรยากาศของโลกให้มีสภาพฟ้าอากาศที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เป็นของประทานแก่เรา. พระเยซูนำความสนใจไปสู่พระทัยเอื้ออารีของพระเจ้าเมื่อพระองค์สอนว่า “จงรักศัตรู และอวยพรแก่ผู้ที่แช่งด่าท่าน จงทำคุณแก่ผู้ที่เกลียดชังท่าน, และจงขอพรให้แก่ผู้ที่ประทุษร้ายเคี่ยวเข็ญท่าน เพื่อท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้อยู่ในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงบันดาลให้ดวงอาทิตย์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่ว และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม.” (มัดธาย 5:43-45) ถูกแล้ว พระยะโฮวาทรงสำแดงความดีต่อคนทั้งปวง. ผู้รับใช้ของพระองค์ควรพยายามที่จะเลียนแบบพระองค์โดยการมองหาส่วนดีในตัวผู้อื่น.
2. (ก) พระยะโฮวาทรงสำแดงความดีโดยอาศัยพื้นฐานอะไร? (ข) พระยะโฮวาทรงสังเกตอะไรเกี่ยวกับวิธีที่เราตอบสนองความดีของพระองค์?
2 พระยะโฮวาทรงสำแดงความดีโดยอาศัยพื้นฐานอะไร? นับตั้งแต่อาดามตกเข้าสู่การทำบาป พระยะโฮวาไม่เคยล้มเลิกที่จะมองหาส่วนดีในตัวมนุษย์. (บทเพลงสรรเสริญ 130:3, 4) พระองค์ประสงค์ให้มนุษยชาติที่เชื่อฟังได้มีชีวิตอยู่ในอุทยานดังเดิม. (เอเฟโซ 1:9, 10) ด้วยพระกรุณาอันไม่พึงได้รับ พระองค์ทรงให้ความหวังแก่เราที่จะได้รับการปลดเปลื้องจากบาปและความไม่สมบูรณ์โดยทางพงศ์พันธุ์ตามคำสัญญา. (เยเนซิศ 3:15; โรม 5:12, 15) การยอมรับการจัดเตรียมเรื่องค่าไถ่เปิดทางให้กลับสู่ความสมบูรณ์ในที่สุด. หนึ่งในหลายสิ่งที่พระยะโฮวากำลังเฝ้าสังเกต ดูเพื่อจะเห็นในตัวเราแต่ละคนก็คือปฏิกิริยาตอบสนองของเราต่อพระทัยเอื้ออารีของพระองค์. (1 โยฮัน 3:16) พระองค์ทรงสังเกตเห็นการกระทำทุกอย่างของเราที่แสดงถึงความหยั่งรู้ค่าต่อความดีของพระองค์. อัครสาวกเปาโลเขียนว่า “พระเจ้าไม่ใช่อธรรมที่จะทรงลืมการงานของท่านและความรักที่ท่านได้สำแดงต่อพระนามของพระองค์.”—เฮ็บราย 6:10.
3. คำถามอะไรที่สมควรได้รับการพิจารณา?
3 ถ้าอย่างนั้น เราจะเลียนแบบพระยะโฮวาในการมองหาส่วนดีในตัวผู้อื่นได้อย่างไร? ขอให้เราพิจารณาคำตอบสำหรับคำถามนี้ในสี่ขอบเขตของชีวิต คือ (1) งานรับใช้ของคริสเตียน, (2) ครอบครัว, (3) ประชาคม, และ (4) ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้อื่น.
ในการประกาศและการทำให้คนเป็นสาวก
4. การเข้าส่วนร่วมในงานประกาศของคริสเตียนเป็นการแสดงอย่างไรว่าเรามองหาส่วนดีในตัวผู้อื่น?
4 ในคำตอบที่พระเยซูให้แก่เหล่าสาวกที่ทูลถามเกี่ยวกับความหมายของอุทาหรณ์เรื่องข้าวดีกับข้าวละมาน พระองค์ทรงอธิบายว่า “นานั้นได้แก่โลกนี้.” ในฐานะสาวกของพระคริสต์สมัยปัจจุบัน เรายอมรับความจริงดังกล่าวเมื่อเราทำงานประกาศ. (มัดธาย 13:36-38; 28:19, 20) งานรับใช้ของเราในเขตงานเกี่ยวข้องกับการประกาศความเชื่อของเราแก่สาธารณชน. ข้อเท็จจริงที่ว่าพยานพระยะโฮวาในทุกวันนี้เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องการประกาศตามบ้านเรือนและตามถนนเป็นข้อพิสูจน์ว่าเราหมั่นเสาะหาทุกคนที่คู่ควรกับข่าวสารราชอาณาจักร. อันที่จริง พระเยซูบัญชาว่า “เมื่อท่านมาถึงนครใดหรือหมู่บ้านใด จงสืบดูว่าใครเป็นคนเหมาะสมในที่นั้น.”—มัดธาย 10:11, ฉบับแปลใหม่; กิจการ 17:17; 20:20.
5, 6. เหตุใดเราพยายามกลับไปประกาศแก่ผู้คนที่บ้านของเขาซ้ำอีก?
5 เมื่อเราไปเยี่ยมผู้คนโดยที่เขาไม่ได้คาดหมาย เราสังเกตเห็นปฏิกิริยาของพวกเขาต่อข่าวสารของเรา. บางครั้งเราพบว่าบางคนในบ้านอยากจะฟังเรา ขณะที่คนอื่นในบ้านตะโกนออกมาว่า “พวกเราไม่สนใจ” และการเยี่ยมก็จบลง. เรารู้สึกเสียดายสักเพียงไรที่การต่อต้านหรือการที่คนหนึ่งไม่สนใจมีผลกระทบต่อการตอบรับของอีกคนหนึ่ง! ถ้าอย่างนั้น เราจะทำอะไรได้เพื่อยังคงมองหาส่วนดีในคนทั้งปวงต่อ ๆ ไป?
6 การเยี่ยมบ้านหลังดังกล่าวในครั้งต่อมาเมื่อมีการประกาศในเขตนั้นอีกอาจทำให้เรามีโอกาสได้พูดโดยตรงกับคนที่ตัดบทการสนทนาในคราวก่อน. การนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งก่อนจะช่วยเราในการเตรียมตัว. คนที่ต่อต้านอาจทำไปด้วยความหวังดี โดยคิดว่าเขาควรห้ามคนที่ตอบรับนั้นไม่ให้ฟังข่าวสารราชอาณาจักร. ทัศนะของเขาอาจเป็นผลมาจากการได้รับข้อมูลผิด ๆ เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของเรา. แต่นั่นไม่ได้ยับยั้งเราไว้ไม่ให้ประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรแก่บ้านหลังนั้นอีก โดยพยายามที่จะแก้ไขความเข้าใจผิดอย่างผ่อนสั้นผ่อนยาว. เราสนใจที่จะช่วยเหลือทุกคนให้บรรลุถึงความรู้ถ่องแท้เรื่องพระเจ้า. แล้วพระยะโฮวาอาจชักนำคนนั้นมาหาพระองค์ในภายหลัง.—7. อะไรจะช่วยเราให้มีทัศนะในแง่บวกเมื่อเข้าพบผู้คน?
7 คำแนะนำที่พระเยซูให้แก่สาวกของพระองค์รวมถึงเรื่องการต่อต้านจากครอบครัวด้วย. พระองค์กล่าวมิใช่หรือว่า “เรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดาของตน, และลูกสาวหมางใจกับมารดา, และลูกสะใภ้หมางใจกับแม่ผัว”? พระเยซูกล่าวด้วยว่า “ผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกันก็จะเป็นศัตรูต่อกัน.” (มัดธาย 10:35, 36) กระนั้น สภาพการณ์และทัศนคติย่อมเปลี่ยนไป. ความเจ็บป่วยอย่างกะทันหัน, การสูญเสียญาติพี่น้อง, ภัยพิบัติ, ภาวะวิกฤติทางอารมณ์, และปัจจัยอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วนอาจมีผลกระทบต่อปฏิกิริยาของผู้คนต่องานประกาศของเรา. หากเรามีทัศนะในแง่ลบ คิดว่าผู้คนที่เราประกาศแก่เขานั้นคงจะยังไม่ตอบรับ เรากำลังมองหาส่วนดีในตัวเขาจริง ๆ ไหม? จะดีไหมถ้าจะกลับไปประกาศที่บ้านหลังนั้นอีกด้วยความยินดีในโอกาสหน้า? เราอาจพบท่าทีที่เปลี่ยนไป. บางครั้ง ไม่เพียงแต่สิ่งที่เราพูดเท่านั้น แต่วิธีที่เราพูดทำให้การตอบรับของผู้คนเปลี่ยนไปได้. การอธิษฐานอย่างแรงกล้าถึงพระยะโฮวาก่อนออกประกาศจะช่วยเราให้มีทัศนะในแง่บวกและเสนอข่าวสารราชอาณาจักรในวิธีที่น่าดึงดูดใจแก่ทุกคน.—โกโลซาย 4:6; 1 เธซะโลนิเก 5:17.
8. ผลอาจเป็นเช่นไรเมื่อคริสเตียนมองหาส่วนดีของสมาชิกครอบครัวหรือญาติพี่น้องที่ไม่ใช่ผู้เชื่อถือ?
8 ในบางประชาคม มีสมาชิกหลายคนในเครือญาติเดียวกันรับใช้พระยะโฮวา. บ่อยครั้ง สิ่งที่ทำให้ลูกหลานชื่นชมและนับถือก็คือความพากเพียรของบรรดาญาติพี่น้องที่เป็นผู้ใหญ่ในการรักษาสายสัมพันธ์อันดีในหมู่วงศ์ญาติและในชีวิตสมรสของพวกเขา ซึ่งช่วยให้เด็ก ๆ ตอบรับความจริงได้ง่ายขึ้น. การเอาใจใส่ฟังคำแนะนำของอัครสาวกเปโตรได้ช่วยภรรยาคริสเตียนหลายคนสามารถชนะใจสามี “แม้นไม่เอ่ยปาก.”—1 เปโตร 3:1, 2, ล.ม.
ในครอบครัว
9, 10. ทั้งยาโคบและโยเซฟมองหาส่วนดีของคนในครอบครัวอย่างไร?
9 ความผูกพันใกล้ชิดที่เชื่อมสมาชิกครอบครัวเข้าด้วยกันเป็นอีกขอบเขตหนึ่งที่เราสามารถมองหาส่วนดีในตัวผู้อื่น. ขอพิจารณาบทเรียนจากวิธีที่ยาโคบปฏิบัติต่อเหล่าบุตรชายของท่าน. ที่เยเนซิศบท 37 ข้อ 3 และ 4 คัมภีร์ไบเบิลแสดงว่ายาโคบรักโยเซฟเป็นพิเศษ. พวกพี่ชายของโยเซฟอิจฉา ถึงขนาดคบคิดกันจะฆ่าน้องของตนด้วยซ้ำ. อย่างไรก็ตาม ขอให้สังเกตเจตคติของยาโคบและโยเซฟในเวลาต่อมา. ทั้งสองมองหาส่วนดีของคนในครอบครัวตน.
10 ในคราวที่โยเซฟปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้อำนวยการด้านเสบียงอาหารในอียิปต์ ซึ่งเกิดการกันดารอาหารอย่างหนัก ท่านได้ต้อนรับพวกพี่ชาย. ขณะที่ยังไม่เปิดเผยตัวว่าท่านเป็นใคร ท่านคิดแผนการเพื่อจะทำให้แน่ใจว่าพวกพี่ชายได้เยเนซิศ 41:53–42:8; 45:23) เช่นเดียวกัน ยาโคบขณะใกล้จะสิ้นใจได้กล่าวคำอวยพรเชิงพยากรณ์แก่บุตรชายทั้งหมดของตน. แม้การทำผิดทำให้พวกเขาต้องเสียสิทธิ์บางอย่างไป แต่ไม่มีใครในพวกเขาที่ถูกตัดสิทธิ์ไม่ให้ได้รับมรดกในแผ่นดินนั้น. (เยเนซิศ 49:3-28) ช่างเป็นการแสดงออกที่ดีเยี่ยมถึงความรักอันไม่มีวันเสื่อมคลายของยาโคบ!
รับการเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดีและมีอาหารที่จะนำกลับไปให้บิดาซึ่งชราภาพแล้ว. ถูกแล้ว แม้เคยถูกพวกพี่ชายเกลียดชังมาก่อน โยเซฟก็ยังดำเนินการเพื่อประโยชน์อันดีที่สุดของพวกเขา. (11, 12. (ก) ตัวอย่างเชิงพยากรณ์อะไรที่เน้นถึงความสำคัญของการมองหาส่วนดีภายในครอบครัว? (ข) เราได้บทเรียนอะไรจากตัวอย่างของบิดาในอุทาหรณ์ของพระเยซูเรื่องบุตรสุรุ่ยสุร่าย?
11 ความอดกลั้นพระทัยของพระยะโฮวาเมื่อปฏิบัติต่อชาติอิสราเอลที่ขาดความเชื่อให้ความกระจ่างมากขึ้นถึงวิธีที่พระองค์ทรงมองหาส่วนดีในประชาชนของพระองค์. พระยะโฮวาแสดงให้เห็นความรักอันยั่งยืนของพระองค์โดยใช้สถานการณ์ในครอบครัวของผู้พยากรณ์โฮเซอาเป็นภาพตัวอย่าง. นางโฆเมร ภรรยาของโฮเซอา เล่นชู้หลายครั้ง. ถึงกระนั้น พระยะโฮวาบัญชาโฮเซอาว่า “จงไปสมานรักกับหญิงที่นอกใจสามีและมักมากในการล่วงประเวณีอีก, ดุจดังพระยะโฮวาสมานรักพวกยิศราเอล, ถึงแม้ว่าเขาได้หลงไปติดต่อกับพระอื่น ๆ, และนิยมชมชอบกับขนมอันทำด้วยผลองุ่น.” (โฮเซอา 3:1) ทำไมพระองค์บัญชาเช่นนั้น? พระองค์รู้ว่าท่ามกลางประชาชนของชาติที่หันเหไปจากแนวทางของพระองค์ จะมีบางคนที่จะตอบรับต่อการที่พระองค์ทรงสำแดงความอดกลั้นพระทัย. โฮเซอาแถลงว่า “ภายหลังพวกยิศราเอลจะกลับมาแสวงหาพระยะโฮวาพระเจ้าของเขาและดาวิดกษัตริย์ของเขา, และเวลาในที่สุดปลาย เขาจะเข้าเฝ้าพระยะโฮวาและโมทนาพระคุณความดีของพระองค์ด้วยความยำเกรง.” (โฮเซอา 3:5) แน่นอน นี่เป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมสำหรับใคร่ครวญเมื่อเผชิญปัญหาในครอบครัว. การที่คุณมองหาส่วนดีของสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวต่อ ๆ ไป อย่างน้อยที่สุดจะเป็นการวางตัวอย่างที่ดีในเรื่องการแสดงความอดทน.
12 อุทาหรณ์ของพระเยซูเรื่องบุตรสุรุ่ยสุร่ายให้ภาพกระจ่างมากขึ้นไปอีกถึงวิธีที่เราสามารถมองหาส่วนดีของสมาชิกในครอบครัวเรา. บุตรคนเล็กกลับมาบ้านหลังจากเลิกใช้ชีวิตเสเพล. บิดาปฏิบัติต่อเขาด้วยความเมตตา. บิดามีปฏิกิริยาอย่างไรต่อคำบ่นติเตียนของบุตรคนโตซึ่งไม่เคยทิ้งครอบครัวไปเลย? บิดากล่าวแก่บุตรคนโตว่า “ลูกเอ๋ย, ลูกา 15:11-32.
เจ้าอยู่กับเราเสมอ, และสิ่งของทั้งหมดของเราก็เป็นของ ๆ เจ้า.” นี่ไม่ใช่การตำหนิด้วยความไม่พอใจ แต่เป็นเพียงการยืนยันความรักของผู้เป็นบิดา. บิดากล่าวต่อไปว่า “สมควรที่เราจะได้ชื่นชมยินดี เพราะน้องของเจ้าคนนี้ตายแล้วแต่กลับเป็นขึ้นอีก, หายไปแต่ได้พบกันอีก.” เราสามารถมองหาส่วนดีของผู้อื่นเสมอในลักษณะที่คล้าย ๆ กันนี้.—ในประชาคมคริสเตียน
13, 14. อะไรคือวิธีหนึ่งที่เราจะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเรื่องความรักภายในประชาคมคริสเตียน?
13 ในฐานะคริสเตียน เรามุ่งที่จะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติเรื่องความรัก. (ยาโกโบ 2:1-9) จริงอยู่ เราอาจให้การยอมรับสมาชิกของประชาคมที่มีฐานะทางการเงินต่างจากเรา. แต่เรามีการ “แบ่งชั้นวรรณะ” อันเนื่องมาจากภูมิหลังทางเชื้อชาติ, วัฒนธรรม, และแม้กระทั่งทางศาสนาไหม? ถ้าเป็นอย่างนั้น เราจะเอาใจใส่คำแนะนำของยาโกโบได้อย่างไร?
14 การต้อนรับทุกคนที่เข้าร่วมการประชุมคริสเตียนเป็นหลักฐานถึงความใจกว้างของเรา. เมื่อเราริเริ่มในการสนทนากับคนใหม่ ๆ ที่มายังหอประชุม นั่นคงจะช่วยให้ความรู้สึกประหม่าหรือเก้อเขินที่พวกเขามีในตอนแรกหายไป. อันที่จริง บางคนที่เข้าร่วมการประชุมคริสเตียนครั้งแรกได้กล่าวว่า “ทุกคนเป็นกันเองจริง ๆ ราวกับว่าทุกคนรู้จักผมมาก่อน. ผมรู้สึกผ่อนคลาย.”
15. จะช่วยเยาวชนในประชาคมให้แสดงความสนใจผู้สูงอายุได้อย่างไร?
15 ในบางประชาคมอาจมีเยาวชนสองสามคนรวมกลุ่มกันอยู่ด้านในหรือด้านนอกหอประชุมหลังจบการประชุม ไม่กล้าเข้าไปพูดคุยกับผู้ใหญ่. อาจทำอะไรได้ในแง่บวกเพื่อจะแก้ไขแนวโน้มเช่นนี้? แน่ล่ะ บิดามารดามีบทบาทอันดับแรกที่จะฝึกสอนบุตรของตนเมื่ออยู่ที่บ้าน เตรียมพวกเขาให้พร้อมสำหรับการประชุม. (สุภาษิต 22:6) พวกเขาอาจถูกมอบหมายหน้าที่ให้เตรียมหนังสือต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องใช้ในการประชุมไว้สำหรับทุกคน. นอกจากนี้ บิดามารดายังอยู่ในฐานะดีที่สุดที่จะสนับสนุนบุตรของตนให้แบ่งปันแง่คิดอะไรบางอย่างกับผู้สูงอายุและผู้ทุพพลภาพที่หอประชุม. การที่เด็ก ๆ มีเรื่องอะไรที่มีความหมายสักเรื่องหนึ่งเพื่อพูดคุยกับบุคคลเช่นนั้นจะช่วยให้พวกเขารู้สึกอิ่มอกอิ่มใจ.
16, 17. ผู้ใหญ่จะมองหาส่วนดีของเยาวชนในประชาคมได้โดยวิธีใด?
16 พี่น้องชายหญิงที่อายุมากกว่าควรสนใจเยาวชนในประชาคม. (ฟิลิปปอย 2:4) พวกเขาอาจริเริ่มพูดคุยกับเยาวชนในทางที่เสริมสร้าง. ตามปกติแล้วมักจะมีจุดเด่นบางจุดถูกนำขึ้นมาพิจารณาระหว่างการประชุม. อาจถามเยาวชนว่าเขาชอบการประชุมไหม มีจุดใดไหมที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษและที่เขาสามารถนำไปใช้ได้. ในฐานะส่วนสำคัญของประชาคม เยาวชนควรจะได้รับคำชมที่พวกเขาตั้งใจฟังและออกความเห็นระหว่างการประชุมหรือมีส่วนใด ๆ ในระเบียบวาระ. วิธีที่เยาวชนปฏิบัติต่อผู้ใหญ่ในประชาคมและวิธีที่พวกเขาช่วยเอาใจใส่งานง่าย ๆ ที่บ้านจะบ่งชี้ว่าพวกเขาคงจะเอาใจใส่หน้าที่รับผิดชอบที่ใหญ่กว่าได้เป็นอย่างดีเมื่อโตขึ้นแล้ว.—ลูกา 16:10.
17 โดยรับเอาหน้าที่รับผิดชอบ เยาวชนบางคนก้าวหน้าถึงขั้นที่เขามีคุณวุฒิฝ่ายวิญญาณที่จะรับเอาหน้าที่มอบหมายที่สำคัญกว่าได้. นอกจากนั้น การมีอะไรบางอย่างทำอาจช่วยระงับความประพฤติที่โฉดเขลาได้ด้วย. (2 ติโมเธียว ) งานมอบหมายเหล่านั้นอาจเป็นการ “ทดลองดูความเหมาะสม” ของพี่น้องชายที่กำลังมุ่งมั่นปรารถนาจะรับเอางานรับใช้ฐานะผู้ช่วยงานรับใช้. ( 2:221 ติโมเธียว 3:10, ล.ม.) การที่เยาวชนพร้อมจะมีส่วนร่วมในการประชุมต่าง ๆ, ความมีใจแรงกล้าในงานรับใช้, และความสนใจที่แสดงออกต่อทุกคนในประชาคม ทำให้พวกผู้ปกครองในประชาคมมองเห็นศักยภาพเมื่อพิจารณาถึงการมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบเพิ่มขึ้นให้พวกเขา.
มองหาส่วนดีในคนทั้งปวง
18. พึงหลีกเลี่ยงหลุมพรางอะไรในการตัดสินความ และเพราะเหตุใด?
18 สุภาษิต 24:23 กล่าวว่า “ที่จะเห็นแก่หน้าคนในการพิพากษาไม่ดีเลย.” สติปัญญาจากเบื้องบนเรียกร้องให้ผู้ปกครองต้องไม่ลำเอียงเมื่อตัดสินความในประชาคม. ยาโกโบกล่าวว่า “สติปัญญาจากเบื้องบนนั้นประการแรกบริสุทธิ์, แล้วก่อให้เกิดสันติสุข, มีเหตุผล, พร้อมที่จะเชื่อฟัง, เต็มไปด้วยความเมตตาและผลอันดี, ไม่เลือกหน้าผู้ใด, ไม่หน้าซื่อใจคด.” (ยาโกโบ 3:17, ล.ม.) เห็นได้ชัดว่าขณะที่ผู้ปกครองมองหาส่วนดีในตัวผู้อื่น พวกเขาต้องแน่ใจว่าการตัดสินความของพวกเขาจะไม่มีอคติเนื่องจากเอาความสัมพันธ์หรือความรู้สึกส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง. อาซาฟผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญเขียนว่า “พระเจ้าทรงเข้าประทับในสภาของพระเจ้า พระองค์ทรงทำการพิพากษาท่ามกลางพระทั้งหลาย [หรือ “ผู้ที่เป็นเยี่ยงพระเจ้า” (เชิงอรรถ, ล.ม.) ซึ่งหมายถึงผู้พิพากษาที่เป็นมนุษย์] ว่า ท่านจะตัดสินอย่างอยุติธรรม และแสดงความลำเอียงข้างคนอธรรมนานเท่าใด.” (บทเพลงสรรเสริญ 82:1, 2, ฉบับแปลใหม่) ดังนั้น คริสเตียนผู้ปกครองต้องระวังแนวโน้มที่จะเข้าข้างถ้าเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับเพื่อนหรือญาติของตน. โดยวิธีนี้ พวกเขาจะรักษาเอกภาพของประชาคมไว้และไม่มีสิ่งใดขัดขวางการหลั่งไหลของพระวิญญาณของพระยะโฮวา.—1 เธซะโลนิเก 5:23.
19. เราจะมองหาส่วนดีในตัวผู้อื่นได้โดยวิธีใดบ้าง?
19 เมื่อเรามองหาส่วนดีของพี่น้องชายหญิงของเรา เราแสดงเจตคติแบบเดียวกับเปาโลเมื่อท่านกล่าวแก่ประชาคมเทสซาโลนีกาว่า “เรามีความไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้าเนื่องด้วยท่านทั้งหลายว่า, ท่านกำลังประพฤติและจะประพฤติต่อไปตามที่เราได้กำชับท่านแล้ว.” (2 เธซะโลนิเก 3:4) เราจะมีแนวโน้มมองข้ามข้อบกพร่องของผู้อื่นมากขึ้นเมื่อเรามองหาส่วนดีของเขา. เราจะมองหาสิ่งใดก็ตามที่เราสามารถชมเชยพี่น้องได้ และแน่นอน เราจะหลีกเลี่ยงน้ำใจชอบวิพากษ์วิจารณ์. เปาโลเขียนว่า “ฝ่ายผู้อารักขาเหล่านั้นต้องเป็นคนสัตย์ซื่อทุกคน.” (1 โกรินโธ 4:2) ความซื่อสัตย์ไม่เพียงแต่ของผู้อารักขาในประชาคมเท่านั้น แต่ของพี่น้องของเราทุกคน ที่ทำให้พวกเขาเป็นที่รักยิ่งของเรา. ด้วยเหตุนี้ เราจึงถูกชักนำให้เข้าใกล้พวกเขายิ่งขึ้น ทำให้ความผูกพันแห่งมิตรภาพของคริสเตียนเหนียวแน่นมากขึ้นไปอีก. เรารับเอาทัศนะแบบเดียวกับเปาโลที่มีต่อพี่น้องในสมัยของท่าน. พวกเขาเป็น ‘ผู้ร่วมงานเพื่อราชอาณาจักรของพระเจ้า’ และ “ผู้ช่วยเสริมกำลัง” แก่เรา. (โกโลซาย 4:11, ล.ม.) โดยวิธีนี้ เราจึงแสดงเจตคติของพระยะโฮวา.
20. ผู้ที่มองหาส่วนดีในคนทั้งปวงจะได้รับพระพรอะไร?
20 เราสะท้อนคำอธิษฐานของนะเฮมยาได้อย่างแน่นอนที่ว่า “โอ้พระเจ้าของข้าพเจ้า ขอทรงระลึกถึงข้าพเจ้าด้วยความโปรดปราน.” (นะเฮมยา 13:31, ล.ม.) เราดีใจสักเพียงไรที่พระยะโฮวาทรงมองหาส่วนดีในตัวมนุษย์! (1 กษัตริย์ 14:13) ขอเราทำอย่างเดียวกันนั้นเมื่อติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่น. การทำอย่างนั้นทำให้เรามีความคาดหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอดและได้รับชีวิตนิรันดร์ในโลกใหม่ที่ใกล้เข้ามาเต็มที.—บทเพลงสรรเสริญ 130:3-8.
คุณจะตอบอย่างไร?
• อะไรคือเหตุผลที่พระยะโฮวาทรงสำแดงความดีต่อคนทั้งปวง?
• เราจะมองหาส่วนดีในตัวผู้อื่นได้อย่างไร
• ในงานรับใช้ของเรา?
• ในครอบครัวของเรา?
• ในประชาคมของเรา?
• ในความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนทั้งปวง?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 18]
ทั้ง ๆ ที่พวกพี่ชายเกลียดชังท่านมาก่อน แต่โยเซฟมองหาส่วนดีของพวกเขา
[ภาพหน้า 19]
การต่อต้านไม่ได้ยับยั้งเราไว้จากการพยายามช่วยเหลือทุก ๆ คน
[ภาพหน้า 20]
ทั้ง ๆ ที่ทำไม่ดีในอดีต แต่ก็ไม่มีบุตรคนไหนของยาโคบที่ไม่ได้รับการอวยพรจากท่าน
[ภาพหน้า 21]
จงต้อนรับทุกคน ณ การประชุมคริสเตียน