พระยะโฮวาทรงชักนำคนถ่อมให้มารู้ความจริง
เรื่องราวชีวิตจริง
พระยะโฮวาทรงชักนำคนถ่อมให้มารู้ความจริง
เล่าโดยอาซาโนะ โคชิโนะ
ในปี 1949 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงเพียงไม่กี่ปี ได้มีชายต่างชาติรูปร่างสูง ท่าทางเป็นมิตรแวะมาเยือนครอบครัวหนึ่งในเมืองโกเบที่ฉันทำงานอยู่ด้วย. ชายคนนี้เป็นมิชชันนารีพยานพระยะโฮวาคนแรกที่เข้ามาในประเทศญี่ปุ่น. การเยี่ยมของเขาเปิดโอกาสให้ฉันได้รับการชักนำให้มารู้ความจริงในคัมภีร์ไบเบิล. แต่ก่อนอื่นฉันขอเล่าภูมิหลังของตัวเองให้คุณฟัง.
ฉันเกิดปี 1926 ณ หมู่บ้านเล็ก ๆ ในโอกายามาตอนเหนือ. ฉันเป็นคนที่ห้าในจำนวนลูกแปดคน. พ่อเป็นคนศรัทธาแรงกล้าในเทพเจ้าแห่งศาสนาชินโตของท้องถิ่น. ฉะนั้น พวกเราเด็ก ๆ จึงชอบงานเฉลิมฉลองและการอยู่กันพร้อมหน้าของครอบครัว ณ งานรื่นเริงทางศาสนาซึ่งมีตลอดปี.
พอโตขึ้น ฉันมีคำถามมากมายเกี่ยวกับชีวิต แต่เรื่องที่กังวลมากที่สุดคือความตาย. ตามธรรมเนียมประเพณี คนเราต้องตายที่บ้านและขณะใกล้ตายก็ขอให้มีลูกหลานสมาชิกครอบครัวอยู่ใกล้ ๆ. ฉันรู้สึกเศร้าเสียใจมากตอนที่ย่าเสียชีวิตและตอนที่น้องชายตายเมื่ออายุยังไม่ถึงหนึ่งขวบด้วยซ้ำ. ฉันรู้สึกสลดหดหู่เมื่อนึกถึงวันที่พ่อแม่จะตาย. ‘เรามีแต่คอยท่าความตายเท่านั้นหรือ? ชีวิตน่าจะมีอะไรที่มากกว่านี้ไหม?’ ฉันร้อนใจใคร่รู้เหลือเกิน.
ปี 1937 ตอนนั้นฉันเรียนชั้นประถมหก สงครามจีน-ญี่ปุ่นได้เริ่มขึ้น. ผู้ชายถูกเกณฑ์เป็นทหารและส่งไปรบในประเทศจีน. เด็กนักเรียนพากันร่ำลาพ่อหรือพี่ชายของตน ต่างก็ร้อง “บันไซ!” (ทรงพระเจริญ) ถวายแก่จักรพรรดิ. ประชาชนมั่นใจในชัยชนะของญี่ปุ่น ชาติที่เทพเจ้าปกครองและองค์จักรพรรดิคือเทพเจ้าผู้ทรงพระชนม์.
หลังจากนั้นไม่นาน หลาย ๆ ครอบครัวเริ่มได้รับข่าวการเสียชีวิตของทหารที่อยู่แนวหน้า. ครอบครัวทั้งหลายที่สูญเสียญาติมิตรไม่มีคำปลอบโยนใด ๆ จะช่วยพวกเขาได้. ความเกลียดชังก่อตัวขึ้นภายในหัวใจ และพวกเขายินดีปรีดาเมื่อฝ่ายศัตรูจำนวนมากบาดเจ็บและเสียชีวิต. แต่เวลาเดียวกัน ฉันคิดว่า ‘ผู้คนฝ่ายตรงกันข้ามซึ่งเป็นศัตรูคงต้องทุกข์ทรมานมากเช่นเดียวกันกับเราอย่างแน่นอน เมื่อคนที่พวกเขารักได้ตายจากไป.’ ตอนเรียนจบโรงเรียนประถม สงครามลุกลามลึกเข้าไปในประเทศจีนแล้ว.
พบกับชาวต่างประเทศโดยไม่คาดหมาย
เนื่องจากพวกเราเป็นชาวนา ครอบครัวมีฐานะยากจนเสมอมา แต่พ่อยอมให้ฉันมุ่งหาความรู้ตราบที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย. ดังนั้น ในปี 1941 ฉันจึงได้เข้าเรียนในโรงเรียนสตรีเมืองโอกายามา ห่างจากบ้านราว ๆ 100 กิโลเมตร. โรงเรียนแห่งนี้เปิดรับนักเรียนหญิงเพื่อฝึกสอนให้เป็นภรรยาและมารดาที่มีทักษะ และกำหนดให้นักเรียนพักอยู่กับครอบครัวที่ร่ำรวยในเมืองเพื่อฝึกงานเป็นแม่บ้าน. ภาคเช้านักเรียนรับการฝึกให้ช่วยทำงานที่บ้านเหล่านั้น และตอนบ่ายก็ไปเรียนหนังสือ.
หลังเสร็จพิธีปฐมนิเทศแล้ว ครูของฉันในชุดกิโมโนได้พาฉันไปที่เรือนหลังใหญ่. แต่โดยไม่ทราบสาเหตุ สตรีเจ้าของบ้านไม่ยอมรับฉัน. ครูถามฉันว่า “ให้เราไปที่บ้านมิสซิสโคดะดีไหม?” ครูพาฉันไปที่บ้านทรงยุโรปและกดกริ่งประตู. หลังจากนั้นครู่หนึ่ง สตรีร่างสูง ผมสีเงินก็เดินมาเปิดประตู. ฉันประหลาดใจมาก! เธอไม่ใช่คนญี่ปุ่น และตั้งแต่เกิดฉันก็ไม่เคยพบเห็นชาวตะวันตกมาก่อน. ครูแนะนำฉันให้รู้จักคุณม็อด โคดะแล้วก็ผละไปอย่างรวดเร็ว. ฉันลากถุงเสื้อผ้าเดินตามเข้าไปในบ้านด้วยความประหม่า. ฉันมารู้ทีหลังว่าคุณม็อดเป็นคนอเมริกัน ได้แต่งงานกับชายญี่ปุ่นที่เคยไปศึกษาในประเทศสหรัฐ. เธอสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนพาณิชยการหลายแห่ง.
ชีวิตที่สาละวนอยู่กับงานเริ่มตั้งแต่เช้าของวันรุ่งขึ้น. สามีคุณโคดะป่วยเป็นโรคลมชัก และฉันต้องช่วยดูแล. เนื่องจากฉันไม่เข้าใจภาษาอังกฤษแม้แต่น้อย ฉันรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง. ฉันโล่งใจเมื่อคุณโคดะพูดกับฉันเป็นภาษาญี่ปุ่น. ทุกวันฉันได้ยินคนทั้งสองคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ และหูฉันเริ่มชินศัพท์สำเนียงภาษานั้น. ฉันชื่นชอบบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์ในบ้าน.
ฉันรู้สึกประทับใจการเสียสละของคุณม็อดที่ปฏิบัติสามีผู้เจ็บป่วย. เขาชอบอ่านคัมภีร์ไบเบิล. ฉันได้มารู้ตอนหลังว่าคนทั้งสองได้ซื้อหนังสือแผนการของพระเจ้าเกี่ยวกับยุคต่าง ๆ ภาษาญี่ปุ่นจากร้านขายหนังสือเก่าและเป็นสมาชิกบอกรับวารสารหอสังเกตการณ์ ภาษาอังกฤษมานานหลายปี.
วันหนึ่ง ฉันได้รับคัมภีร์ไบเบิลเป็นของขวัญ. ฉันดีใจมากเพราะนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ฉันมีคัมภีร์ไบเบิลเป็นสมบัติส่วนตัว. ฉันอ่านพระคัมภีร์ระหว่างทางไปโรงเรียนทั้งขาไปขากลับ แต่ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร. เนื่องจากฉันรับการเลี้ยงดูเติบโตในศาสนาชินโตของชาวญี่ปุ่น พระเยซูคริสต์จึงดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัวมาก. ฉันไม่รู้เลยว่านี่คือจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ซึ่งในที่สุดได้ทำให้ฉันยึดเอาความจริงของคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งจะตอบคำถามของฉันในเรื่องชีวิตและความตาย.
เหตุการณ์เศร้าสลดสามอย่าง
สองปีของการฝึกงานเสร็จสิ้นลงอย่างรวดเร็ว และฉันจำต้องจากลาครอบครัวนี้ไป. ภายหลังจบจากโรงเรียน ฉันเข้าร่วมกลุ่มเด็กผู้หญิงอาสาทำกิจกรรมพิเศษ และรับงานผลิตเครื่องแบบทหารเรือ. เครื่องบินทิ้งระเบิด บี-29 ของอเมริกาได้เริ่มการโจมตีทางอากาศ และวันที่ 6 สิงหาคม 1945 เมืองฮิโรชิมาก็ถูกระเบิดปรมาณูถล่ม. สองสามวันถัดมา ฉันได้รับโทรเลขแจ้งข่าวแม่ป่วยหนัก. ฉันจับรถไฟขบวนแรกเท่าที่พาฉันกลับบ้านได้. พอลงจากรถไฟ ญาติที่มารอรับบอกฉันว่าแม่ตายแล้ว. แม่ตายวันที่ 11 สิงหาคม. สิ่งที่ฉันวิตกกลัวมาตลอดหลายปีก็เกิดขึ้นจริง! แม่ไม่มีวันจะได้พูดคุยหรือยิ้มให้ฉันอีกแล้ว.
วันที่ 15 สิงหาคม ญี่ปุ่นก็พ่ายแพ้. ดังนั้น ฉันต้องเผชิญเหตุการณ์เศร้าสลดถึงสามเรื่อง ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในช่วงสั้น ๆ แค่สิบวัน: เรื่องแรกการทิ้งระเบิดปรมาณู, ต่อมาการตายของแม่, และสุดท้าย ความพ่ายแพ้ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น. การที่รู้ว่าผู้คนจะไม่ต้องตายในสงครามอีกต่อไป อย่างน้อยก็เป็นคำปลอบโยน. ฉันลาออกจากโรงงานด้วยความรู้สึกระทมทุกข์ และกลับไปอยู่บ้านในชนบท.
ได้รับการชักนำเข้าสู่ความจริง
วันหนึ่ง โดยไม่คาดคิด ฉันได้รับจดหมายคุณม็อด โคดะจากเมืองโอกายามา. เธออยากให้ฉันไปช่วยทำงานบ้าน เพราะเธอเตรียมจะเปิดโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ. ฉันไม่แน่ใจว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี แต่ก็ได้ตอบรับคำเชิญของเธอ. สองสามปีต่อมา ฉันย้ายไปอยู่โกเบกับครอบครัวโคดะ.
ต้นฤดูร้อน ปี 1949 สุภาพบุรุษร่างสูง ท่าทางเป็นมิตรมาเยี่ยมครอบครัวโคดะ. เขาชื่อดอนัลด์ แฮสเลตต์ มาจากโตเกียวเพื่อเสาะหาบ้านในโกเบสำหรับพวกมิชชันนารี. เขาเป็นมิชชันนารีพยานพระยะโฮวาคนแรกที่มาถึงญี่ปุ่น. เมื่อได้บ้านเรียบร้อยแล้ว และเดือนพฤศจิกายน 1949 มิชชันนารีหลายคนก็มาอยู่ที่เมืองโกเบ. วันหนึ่ง มีห้าคนมาเยี่ยมครอบครัวโคดะ. สองคนในจำนวนนี้คือลอยด์ แบร์รีและเพอร์ซี อิซลอบ ต่างก็กล่าวปราศรัยเป็นภาษาอังกฤษแก่คนที่ร่วมชุมนุมในบ้านนั้นคนละประมาณสิบนาที. คุณม็อดเป็นที่รู้จักของพวกมิชชันนารีว่าเป็นพี่น้องคริสเตียน และดูเหมือนเธอได้รับการหนุนใจเนื่องจากการสมาคมคบหา. ฉันเองเกิดแรงบันดาลใจอยากเรียนภาษาอังกฤษก็ตอนนั้นแหละ.
อาศัยการช่วยเหลือของมิชชันนารีที่มีใจแรงกล้า ฉันจึงได้มาเข้าใจความจริงพื้นฐานของคัมภีร์ไบเบิลทีละเล็กทีละน้อย. คำถามที่ค้างคาใจฉันตั้งแต่เด็กก็มีคำตอบ. ใช่แล้ว คัมภีร์ไบเบิลเสนอความหวังที่จะมีชีวิตตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก และคำสัญญาเรื่องการเป็นขึ้นจากตายของ “บรรดาผู้ซึ่งอยู่ในอุโมงค์รำลึก.” (โยฮัน 5:28, 29, ล.ม.; วิวรณ์ 21:1, 4) ฉันขอบคุณพระยะโฮวาที่ทรงดำเนินการให้ความหวังเช่นนั้นเป็นไปได้ โดยทางเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์.
กิจกรรมที่น่าชื่นชมของพยานพระยะโฮวา
พยานพระยะโฮวาได้จัดการประชุมใหญ่ครั้งแรกในญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 1949 ถึง 1 มกราคม 1950 ที่บ้านมิชชันนารีในเมืองโกเบ. ฉันไปกับคุณม็อด. มองจากบ้านหลังใหญ่ซึ่งเจ้าของเดิมเป็นสมาชิกพรรคนาซีก็ได้เห็นภูมิทัศน์ของเวิ้งอ่าวและเกาะอะวาจิงามสะดุดตา. เพราะเหตุที่ฉันมีความรู้จำกัดด้านคัมภีร์ไบเบิล จึงไม่ค่อยเข้าใจสาระของเรื่องที่กล่าว ณ การประชุม. กระนั้น ฉันรู้สึกประทับใจมากเมื่อเห็นพวกมิชชันนารีคุ้นเคยกันดีกับคนญี่ปุ่น. ผู้เข้าร่วมฟังคำบรรยายสาธารณะ ณ การประชุมครั้งนี้มีทั้งสิ้น 101 คน.
ไม่นานหลังจากนั้น ฉันตัดสินใจเข้าส่วนในงานประกาศตามบ้านเรือน. ฉันต้องใช้ความกล้าขณะไปตามบ้านหลังแล้วหลังเล่า เนื่องจากฉันเป็นคนขี้อาย. เช้าวันหนึ่งบราเดอร์ลอยด์ แบร์รีมาที่บ้านเพื่อพาฉันออกไปในงานประกาศ. เขาเริ่มประกาศที่บ้านหลังถัดจากบ้านซิสเตอร์โคดะนั่นเอง. ฉันหลบอยู่ข้างหลังคอยฟังวิธีการเสนอของเขา. เมื่อฉันออกไปเผยแพร่ครั้งที่สอง ฉันทำงานกับมิชชันนารีหญิงสองคน. หญิงสูงอายุชาวญี่ปุ่นเชิญเราเข้าไปในบ้าน ตั้งใจฟังแล้วก็ให้นมเราดื่มคนละแก้ว. เธอตกลงศึกษาพระคัมภีร์ที่บ้านและในที่สุดเธอก็เข้ามาเป็นคริสเตียนที่รับบัพติสมา.
นับว่าเป็นการหนุนกำลังใจที่เห็นความก้าวหน้าของเธอ.เดือนเมษายน ปี 1951 บราเดอร์นาทาน เอช. นอรร์จากสำนักงานใหญ่บรุกลินได้เดินทางมาเยือนญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก. มีประมาณ 700 คนมาฟังคำบรรยายสาธารณะ ณ ห้องประชุมเคียวริตสึในเขตคันดา กรุงโตเกียว. ณ การประชุมพิเศษคราวนี้ ทุกคน ณ ที่ประชุมแสดงความยินดีเมื่อมีการประกาศออกวารสารหอสังเกตการณ์ ภาษาญี่ปุ่น. เดือนถัดมา บราเดอร์นอรร์แวะเยือนโกเบ และ ณ การประชุมพิเศษที่นั่น ฉันได้รับบัพติสมาเป็นสัญลักษณ์แสดงการอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา.
ประมาณหนึ่งปีต่อมา ฉันได้รับการสนับสนุนให้เข้าสู่งานรับใช้เต็มเวลา คืองานไพโอเนียร์. สมัยนั้นมีไพโอเนียร์เพียงไม่กี่คนในญี่ปุ่น และฉันข้องใจว่าจะเอาเงินเลี้ยงชีพมาจากไหน. นอกจากนั้น วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรถ้าฉันคิดเรื่องการแต่งงาน. แต่แล้วจึงตระหนักว่าการรับใช้พระยะโฮวาต้องมาเป็นอันดับแรกในชีวิต ดังนั้น ฉันสมัครเป็นไพโอเนียร์เมื่อปี 1952. น่าดีใจ ฉันสามารถจัดแบ่งเวลาทำงานให้ซิสเตอร์โคดะได้ระหว่างที่เป็นไพโอเนียร์.
ช่วงนั้น พี่ชายซึ่งฉันนึกว่าตายแล้วในสงคราม ได้กลับจากไต้หวันมาถึงบ้านพร้อมด้วยครอบครัว. คนในครอบครัวของเราไม่เคยสนใจคริสต์ศาสนา แต่ด้วยความร้อนรนตามแบบไพโอเนียร์ ฉันเริ่มส่งวารสารและหนังสือเล่มเล็กไปให้พวกเขา. ในเวลาต่อมา พี่ชายพร้อมกับครอบครัวได้ย้ายมาทำงานที่โกเบ. ฉันจึงถามพี่สะใภ้ว่า “พี่ได้อ่านวารสารบ้างไหม?” ฉันรู้สึกประหลาดใจเมื่อเธอตอบว่า “วารสารเหล่านั้นน่าสนใจ.” เธอเริ่มศึกษาพระคัมภีร์กับมิชชันนารีคนหนึ่ง และน้องสาวของฉันซึ่งอาศัยอยู่กับครอบครัวพี่ชายก็เข้าร่วมกับเธอในการศึกษา. ในที่สุด ทั้งสองคนก็กลายเป็นคริสเตียนที่ได้รับบัพติสมา.
ภราดรภาพนานาชาติก่อความประทับใจ
มิช้ามินาน ฉันตกตะลึงเมื่อได้รับจดหมายเชิญเข้าโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดในรุ่นที่ 22. ฉันกับบราเดอร์สึโตมุ ฟุกาเซเป็นรุ่นแรกจากญี่ปุ่นที่ได้รับเชิญเข้าโรงเรียนนี้. ปี 1953 ก่อนเปิดเรียน พวกเราสามารถเข้าร่วมการประชุมสมาคมโลกใหม่ ที่สนามกีฬาแยงกี นครนิวยอร์ก. ภราดรภาพนานาชาติท่ามกลางประชาชนของพระยะโฮวายังความประทับใจแก่ฉันเป็นอย่างมาก.
พอถึงวันที่ห้าของการประชุมใหญ่ บรรดาตัวแทนชาวญี่ปุ่นที่เข้าร่วมการประชุม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมิชชันนารีจะนุ่งกิโมโน. เนื่องจากชุดกิโมโนของฉันซึ่งจัดส่งล่วงหน้ายังมาไม่ถึง ฉันจึงขอยืมชุดของซิสเตอร์นอรร์. ระหว่างการประชุมดำเนินอยู่ ฝนเริ่มตก และฉันวิตกว่าชุดกิโมโนอาจเปียก. ทันใดนั้นเอง มีคนหนึ่งจากทางด้านหลังค่อย ๆ เอาเสื้อฝนคลุมให้ฉัน. ซิสเตอร์คนที่ยืนถัดจากฉันถามว่า “คุณรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?” ฉันมารู้ทีหลังว่าเขาคือบราเดอร์เฟรเดอริก ดับเบิลยู. แฟรนซ์ สมาชิกคณะกรรมการปกครอง. ฉันประสบด้วยตัวเองจริง ๆ ว่าการเอื้ออาทรกันมีอยู่ภายในองค์การของพระยะโฮวา!
กิเลียดรุ่นที่ 22 เป็นชั้นเรียนนานาชาติจริง ๆ มีนักเรียน 120 คนจาก 37 ประเทศ. แม้มีอุปสรรคด้านภาษาบ้าง แต่เราชื่นชมกับภราดรภาพนานาชาติ. ฉันเรียนจบหลักสูตรในวันหนึ่งของเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1954 วันนั้นมีหิมะตก และฉันได้รับมอบหมายให้กลับเขตงานที่ญี่ปุ่น. อิงเกอร์ แบรนต์ ซิสเตอร์ชาวสวีเดนได้รับมอบหมายให้ทำงานกับ
ฉันในเมืองนาโกยา. ที่นั่น เราได้สมทบกับมิชชันนารีกลุ่มที่อพยพจากเกาหลีเนื่องจากภัยสงครามในช่วงปี 1950-1953. ชั่วเวลาสองสามปีที่ปฏิบัติงานฐานะมิชชันนารีนั้นมีค่ามากจริง ๆ สำหรับฉัน.ความปีติยินดีในงานรับใช้ฐานะชีวิตคู่
เดือนกันยายน 1957 ฉันได้รับเชิญไปทำงานที่สำนักเบเธลโตเกียว. บ้านไม้สองชั้นถูกใช้เป็นสำนักงานสาขาญี่ปุ่น. มีสมาชิกทำงานสี่คนเท่านั้น รวมทั้งบราเดอร์แบร์รีผู้ดูแลสาขา. นอกนั้นเป็นมิชชันนารี. ฉันถูกมอบหมายให้ทำงานแปลและพิสูจน์อักษร อีกทั้งงานทำความสะอาด, ซักรีด, ทำอาหาร, และอื่น ๆ.
งานในญี่ปุ่นกำลังขยายตัว และพี่น้องชายอีกหลายคนได้รับคำเชิญเข้าเบเธล. หนึ่งในจำนวนนั้นได้เป็นผู้ดูแลประชาคมที่ฉันร่วมสมทบอยู่. ปี 1966 บราเดอร์จุนจิ โคชิโนะคนนี้ก็แต่งงานกับฉัน. หลังการแต่งงาน จุนจิได้รับมอบหมายงานดูแลหมวด. เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้รู้จักพี่น้องชายหญิงมากมายขณะที่เราเยี่ยมประชาคมต่าง ๆ. เนื่องจากฉันมีส่วนในงานแปล ฉันจึงทำงานแปลอยู่ที่บ้านที่เราพักระหว่างสัปดาห์นั้น. ขณะเดินทาง นอกจากเราต้องหอบหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าและสัมภาระอื่น ๆ แล้ว เรายังต้องขนเอาพจนานุกรมเล่มหนาและหนักติดตัวไปด้วยหลายเล่ม.
เราเพลิดเพลินกับงานเยี่ยมหมวดสี่ปีกว่า ก่อนกลับไปทำงานที่เบเธล และเห็นองค์การเติบโตขยายตัวอยู่เรื่อย ๆ. สาขาได้ย้ายไปตั้งอยู่ที่นุมะซุ และอีกหลายปีต่อมาย้ายไปที่เอบินา ซึ่งเป็นที่ตั้งอาคารสำนักงานสาขาในปัจจุบัน. ฉันกับจุนจิต่างก็ชื่นชมงานรับใช้ที่เบเธลมานาน เวลานี้เราทำงานร่วมกับครอบครัวที่ประกอบด้วยสมาชิกประมาณ 600 คน. เมื่อเดือนพฤษภาคม 2002 เพื่อน ๆ ที่เบเธลแสดงน้ำใจงาม โดยจัดงานฉลองให้ฉันที่รับใช้เต็มเวลาครบ 50 ปี.
ดีใจที่แลเห็นผลทวีขึ้น
ย้อนหลังไปเมื่อปี 1950 ตอนที่ฉันเริ่มรับใช้พระยะโฮวา ประเทศญี่ปุ่นมีผู้ประกาศเพียงไม่กี่คน. เดี๋ยวนี้มีผู้ประกาศราชอาณาจักรมากกว่า 210,000 คน. จริง ๆ แล้ว บุคคลที่เปรียบเสมือนแกะนับพันนับหมื่นคนได้รับการชักนำมาหาพระยะโฮวาเหมือนที่ฉันเคยประสบมา.
พี่น้องมิชชันนารีสี่คนที่ไปเยี่ยมเราที่บ้านซิสเตอร์โคดะเมื่อปี 1949 รวมทั้งซิสเตอร์ม็อด โคดะต่างก็จบชีวิตอย่างซื่อสัตย์. พี่ชายของฉันซึ่งเป็นผู้ช่วยงานรับใช้ และพี่สะใภ้ซึ่งได้รับใช้ฐานะไพโอเนียร์ประมาณ 15 ปีก็ล่วงลับไปเช่นเดียวกัน. อะไรคือความหวังในอนาคตสำหรับพ่อแม่ของฉัน ซึ่งฉันเคยนึกวิตกกลัวในเรื่องการตายของท่านสมัยฉันยังเด็ก? คำสัญญาในคัมภีร์ไบเบิลว่าด้วยการกลับเป็นขึ้นจากตายนั้นให้ความหวังและการปลอบโยนแก่ฉัน.—กิจการ 24:15.
เมื่อฉันใคร่ครวญเรื่องราวในอดีต ฉันรู้สึกว่าการได้พบคุณม็อดในปี 1941 นั้นเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของฉัน. หากฉันไม่ได้พบเธอตอนนั้นและฉันไม่ได้ตอบรับการชักชวนให้มาทำงานกับเธออีกในช่วงหลังสงคราม ฉันคงได้ตั้งหลักปักฐานที่ไร่ของเราในหมู่บ้านอันห่างไกล และคงไม่มีการติดต่อใด ๆ กับพวกมิชชันนารีสมัยแรก ๆ นั้น. ฉันขอบพระคุณพระยะโฮวามากปานใดที่ทรงชักนำฉันมารู้ความจริงโดยอาศัยคุณม็อดและพวกมิชชันนารีรุ่นแรก ๆ!
[ภาพหน้า 25]
กับคุณม็อด โคดะและสามีของเธอ. ฉันอยู่ด้านหน้าทางซ้าย
[ภาพหน้า 27]
กับมิชชันนารีจากญี่ปุ่นที่สนามกีฬาแยงกี ปี 1953. ฉันอยู่ซ้ายสุด
[ภาพหน้า 28]
ที่เบเธลกับจุนจิสามีของฉัน