ยาโคบชื่นชอบค่านิยมฝ่ายวิญญาณ
ยาโคบชื่นชอบค่านิยมฝ่ายวิญญาณ
ชีวิตของยาโคบโดดเด่นในเรื่องการต่อสู้ดิ้นรนและความทุกข์ยากลำบาก. เนื่องจากความโกรธแค้นของพี่ชายคู่แฝดที่อาฆาตมุ่งหมายจะฆ่าท่าน ยาโคบจึงต้องหนีเอาชีวิตรอด. แทนที่จะได้แต่งงานกับหญิงคนรัก ท่านถูกหลอกให้แต่งงานกับอีกคนหนึ่งก่อน และในที่สุดกลายเป็นว่าท่านมีภรรยาสี่คนและเกิดปัญหาหลายอย่างตามมา. (เยเนซิศ 30:1-13) ท่านทำงานนานถึง 20 ปีให้แก่ชายผู้หนึ่งซึ่งแสวงประโยชน์จากท่าน. ท่านปล้ำสู้กับทูตสวรรค์องค์หนึ่งเป็นเหตุให้ท่านรับผลเสียหายถาวร. ลูกสาวของท่านถูกข่มขืน, พวกลูกชายก่อเหตุสังหารหมู่, และท่านร้องไห้เป็นทุกข์โศกเศร้าเพราะลูกชายและภรรยาซึ่งท่านรักมากได้เสียชีวิต. ในวัยชราท่านต้องอพยพไปอยู่นอกประเทศเนื่องจากเกิดทุพภิกขภัย ท่านยอมรับว่าเวลาที่ดำรงชีวิตอยู่นั้น “ก็น้อยและมีความลำบาก.” (เยเนซิศ 47:9) แม้ทุกอย่างดังกล่าวเกิดขึ้นกับท่าน ทว่า ยาโคบเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณที่ไว้วางใจพระเจ้า. ท่านเชื่อผิดคนไหม? เราได้บทเรียนอะไรบ้างจากการพิจารณาประสบการณ์บางอย่างของยาโคบ?
ยาโคบต่างกันมากกับพี่ชาย
สาเหตุของความบาดหมางกับพี่ชายคือ ยาโคบชื่นชอบค่านิยมฝ่ายวิญญาณที่มีค่าสูง ในขณะที่เอซาวกลับดูถูกสิ่งเหล่านั้น. ยาโคบสนใจสัญญาไมตรีที่พระเจ้าทำไว้กับอับราฮาม และทุ่มเทตัวเองดูแลครอบครัวซึ่งพระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้รับมรดกนั้น. พระยะโฮวาจึง “รัก” ท่านด้วยเหตุนี้. ยาโคบ “ปราศจากตำหนิ” คำนี้ใช้หมายถึงความเป็นเลิศทางศีลธรรม. ในทางกลับกัน เอซาวใส่ใจมรดกฝ่ายวิญญาณน้อยเกินไปจนยอมขายมรดกให้แก่ยาโคบเพื่อแลกกับสิ่งที่มีค่าเพียงเล็กน้อย. เมื่อยาโคบอ้างสิทธิของตนโดยอาศัยความเห็นชอบของพระเจ้า และรับเอาพระพรซึ่งทีแรกมุ่งหมายให้แก่พี่ชาย เอซาวโกรธแค้นมาก. ยาโคบจึงละทิ้งทุกสิ่งที่ท่านรัก แต่ผลที่ตามมาช่วยฟื้นฟูจิตใจที่ห่อเหี่ยวให้กลับแช่มชื่นขึ้นอย่างแน่นอน.—มาลาคี 1:2, 3; เยเนซิศ 25:27-34, ล.ม.; 27:1-45.
ในฝัน พระเจ้าโปรดให้ยาโคบเห็นทูตสวรรค์ขึ้นลงบันไดหินที่ทอดระหว่างสวรรค์กับแผ่นดินโลก และพระองค์ตรัสว่าจะคุ้มครองยาโคบและพงศ์พันธุ์ของท่าน. “มนุษย์โลกทุกชาติจะได้พระพรเพราะเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเจ้า. นี่แน่ะ, เมื่อเจ้าจะไปในที่ใด ๆ, เราจะอยู่ด้วยเจ้า, จะปกป้องรักษาไว้, และจะพากลับมาถึงแผ่นดินนี้อีก; ด้วยเราจะไม่ละทิ้งเจ้าเสียกว่าการที่เราได้ตรัสไว้แก่เจ้าจะสำเร็จ.”—เยเนซิศ 28:10-15.
ช่างทำให้อุ่นใจสักเพียงไร! พระยะโฮวาทรงยืนยันว่า คำสัญญาที่ทำไว้กับอับราฮามและยิศฮาคจะยังความมั่งคั่งฝ่ายวิญญาณแก่ครอบครัวของยาโคบ. ยาโคบรับรู้ว่าทูตสวรรค์สามารถปรนนิบัติบรรดาผู้ที่พระเจ้าโปรดปรานและได้คำรับรองว่าพระเจ้าจะทรงคุ้มครองท่าน. ด้วยความสำนึกรู้คุณ ยาโคบปฏิญาณตนจะซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา.—ยาโคบไม่เคยนึกแย่งมรดกของเอซาว. ก่อนเด็กชายทั้งสองเกิด พระยะโฮวาตรัสว่า “พี่จะปรนนิบัติน้อง.” (เยเนซิศ 25:23) บางคนอาจถามว่า ‘เรื่องจะไม่ง่ายกว่าหรือถ้าพระเจ้าบันดาลให้ยาโคบคลอดออกมาก่อน?’ เรื่องราวที่เกิดภายหลังทำให้เรารู้ความจริงสำคัญ ๆ หลายประการ. พระเจ้าไม่กันพระพรไว้สำหรับผู้ที่คิดว่าเขามีสิทธิจะได้ แต่พระองค์ทรงสำแดงพระกรุณาอันไม่พึงได้รับแก่บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร. ดังนั้น สิทธิบุตรหัวปีจึงตกทอดไปยังยาโคบ ไม่ได้ตกทอดไปยังพี่ชายผู้ไม่หยั่งรู้ค่า. ในทำนองเดียวกัน เนื่องด้วยชาวยิวโดยกำเนิดฐานะเป็นชนชาติหนึ่งแสดงท่าทีเหมือนเอซาว พวกเขาจึงมีอิสราเอลฝ่ายวิญญาณเข้ามาแทนที่. (โรม 9:6-16, 24) ทุกวันนี้ สัมพันธภาพที่ดีกับพระยะโฮวาจะไม่เป็นมรดกตกทอดมาถึงคนเราโดยที่เราไม่บากบั่นพยายาม ถึงแม้คนเราเกิดในครอบครัวที่เกรงกลัวพระเจ้าหรืออยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมแบบนั้น. ทุกคนที่ต้องการพระพรจากพระเจ้าต้องพยายามเป็นบุคคลที่สำแดงความเลื่อมใสในพระเจ้า หยั่งรู้ค่าสิ่งฝ่ายวิญญาณอย่างแท้จริง.
ลาบานให้การต้อนรับ
เมื่อถึงเมืองพาดันอารำเพื่อหาภรรยาจากท่ามกลางหมู่ญาติของท่าน ยาโคบได้พบราเฮ็ลลูกพี่ลูกน้องซึ่งเป็นลูกสาวลาบานที่บ่อน้ำ และท่านได้กลิ้งศิลาใหญ่ที่ปิดปากบ่อออกเพื่อตักน้ำให้ฝูงสัตว์ของนางกิน. * ราเฮ็ลรีบไปที่บ้านแจ้งแก่ลาบานเรื่องยาโคบเดินทางมาถึงแล้ว และลาบานเองก็รีบออกไปพบ. ถ้าลาบานนึกย้อนหลังว่าครอบครัวของตนเคยได้ความมั่งคั่งร่ำรวยจากคนต้นเรือนของอับราฮาม เขาก็ต้องผิดหวังเพราะยาโคบมามือเปล่า. แต่ดูเหมือนว่าลาบานมองเห็นอะไรบางอย่างที่เขาสามารถฉวยประโยชน์ได้ นั่นคือแรงงานของคนขยัน.—เยเนซิศ 28:1-5; 29:1-14.
ยาโคบได้เล่าเรื่องของตัวเองให้ลุงฟัง. ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าท่านเอ่ยถึงกลวิธีที่ท่านใช้เพื่อได้มาซึ่งสิทธิบุตรหัวปีหรือไม่ แต่หลังจากฟังความ “ทุกประการ” ลาบานได้พูดว่า “เจ้าเป็นเลือดเนื้อของเราแท้ ๆ.” ผู้คงแก่เรียนคนหนึ่งกล่าวว่า วลีนี้อาจหมายถึงการต้อนรับยาโคบอย่างอบอุ่นให้เข้ามาพักอาศัย หรือยอมรับความเป็นญาติซึ่งลาบานมีพันธะให้การคุ้มครอง. ไม่ว่ากรณีใด ไม่ช้าไม่นาน ลาบานก็คิดหาช่องทางจะแสวงประโยชน์จากหลานชายของตน.
ลาบานได้ยกเรื่องหนึ่งขึ้นมาซึ่งกลายเป็นเหตุให้ถกเถียงกันในอีก 20 ปีข้างหน้า. เขาพูดกับยาโคบดังนี้: “ถึงเราเป็นพี่น้องกัน, ควรที่เจ้าจะรับใช้การงานของเราเปล่า ๆ หรือ? เจ้าจะเรียกค่าจ้างเท่าไรจงบอกเถิด.” แม้ลาบานทำทีเป็นลุงใจดีมีเมตตาก็ตาม แต่เขาได้เปลี่ยนความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับยาโคบเป็นข้อตกลงทำงานรับค่าจ้าง. เนื่องจากยาโคบรักราเฮ็ล ท่านจึงตอบว่า “ฉันจะรับใช้การงานท่านเจ็ดปี, เพราะนางสาวราเฮ็ลบุตรน้อยของท่าน.”—เยเนซิศ 29:15-20.
การหมั้นมีผลบังคับใช้ต่อเมื่อได้จ่ายค่าตัวเจ้าสาวให้แก่ครอบครัวฝ่ายหญิง. พระบัญญัติของโมเซในเวลาต่อมาตั้งราคา 50 เชเกลสำหรับหญิงสาวที่ถูกชายล่อลวงให้เสียตัว. กอร์ดอน เวเนมผู้คงแก่เรียนเชื่อว่าราคานี้เป็น “ค่าสินสอดสูงสุดที่ต้องจ่ายให้แก่ครอบครัวฝ่ายหญิง” แต่ส่วนใหญ่แล้วจ่าย “ต่ำกว่าจำนวนนั้นมาก.” (พระบัญญัติ 22:28, 29) ยาโคบไม่สามารถหามาจ่ายให้ได้. ท่านเสนอตัวรับใช้ลาบานเจ็ดปี. “เนื่องจากคนใช้แรงงานไม่ประจำสมัยบาบิโลนโบราณได้รับค่าจ้างระหว่างครึ่งเชเกลและหนึ่งเชเกลต่อเดือน” (ในช่วงเจ็ดปีเต็มก็คงได้ระหว่าง 42 เชเกลถึง 84 เชเกล) เวเนมกล่าวต่อ “ยาโคบเสนอค่าสินสอดอย่างงามแก่ลาบานเพื่อจะได้ราเฮ็ลเป็นภรรยา.” ลาบานตกลงรับปากทันที.—เยเนซิศ 29:19.
สำหรับยาโคบ เวลาเจ็ดปีเป็นเหมือน “น้อยวัน” เพราะท่านรักราเฮ็ลมาก. ภายหลังจากนั้น ท่านอ้างสิทธิขอรับเอาเจ้าสาวซึ่งมีผ้าคลุมหน้าไว้ โดยไม่เฉลียวใจแม้แต่น้อยว่าลาบานเล่นไม่ซื่อ. นึกภาพความตกตะลึงของยาโคบเช้าวันรุ่งเยเนซิศ 29:20-27) ยาโคบหมดทางสู้และพลาดท่าหลงกล จึงไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่ายอมรับเงื่อนไขเหล่านั้นถ้าเขาต้องการราเฮ็ล.
ขึ้นเมื่อพบว่าท่านหาได้มีสัมพันธ์กับราเฮ็ลไม่ แต่กับนางเลอาพี่สาวของราเฮ็ลต่างหาก! ยาโคบเค้นเอาคำตอบจากลาบาน “ลุงทำอะไรอย่างนี้กับฉัน? ฉันได้รับใช้ลุงเพราะนางสาวราเฮ็ลมิใช่หรือ? ทำไมลุงจึงล่อลวงฉันเล่า?” ลาบานตอบว่า “ในเมืองเรานี้ไม่มีธรรมเนียมจะให้น้องสาวมีเหย้าเรือนก่อนพี่สาว. จงคอยรออยู่ให้การเลี้ยงเจ็ดวันของหญิงนี้สำเร็จ, แล้วเราจะยกคนนั้นให้ด้วย; ภายหลังเจ้าจะต้องรับใช้ลุงเพราะนางคนนั้นอีกเจ็ดปี.” (ไม่เหมือนเจ็ดปีแรก เจ็ดปีต่อจากนั้นสาหัสสากรรจ์. ยาโคบจะทำไม่รู้ไม่ชี้ต่อกลอุบายอันร้ายกาจของลาบานได้อย่างไร? และจะให้อภัยนางเลอาที่สมรู้ร่วมคิดกับลาบานไหม? แน่นอน ลาบานไม่พะวงคิดถึงวันข้างหน้าที่เขาได้เตรียมไว้สำหรับเลอากับราเฮ็ลว่าจะเดือดร้อนวุ่นวายอย่างไร. เขาห่วงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง. ราเฮ็ลไม่เพียงรู้สึกขุ่นเคืองแต่เกิดความอิจฉาด้วย เมื่อเลอามีลูกถี่เป็นผู้ชายสี่คน ขณะที่ราเฮ็ลเป็นหมัน. ครั้นแล้ว ความที่ราเฮ็ลอยากมีลูกเต็มทีจึงหาทางยกสาวใช้ให้เป็นอนุภรรยาเพื่อจะมีบุตรแทนตน และเพื่อไม่ให้น้อยหน้า เลอาก็ทำอย่างนั้นเหมือนกัน. ยาโคบพบตัวเองมีภรรยาถึง 4 คน บุตร 12 คน และแน่นอน คงไม่ใช่ครอบครัวที่มีความสุข. ถึงกระนั้น พระยะโฮวาทรงอวยพรยาโคบให้เป็นชนชาติใหญ่.—เยเนซิศ 29:28–30:24.
อุดมมั่งคั่งเพราะพระยะโฮวา
แม้ประสบความยากลำบาก ยาโคบก็ได้เห็นว่าพระเจ้าอยู่กับท่านตามที่สัญญาไว้. ลาบานก็รู้เช่นกัน เพราะสัตว์เพียงไม่กี่ตัวที่เขามีอยู่ตอนที่ยาโคบมาถึงได้ทวีจำนวนเป็นอันมากในระหว่างที่หลานชายของเขาเอาใจใส่ดูแล. ลาบานไม่อยากปล่อยยาโคบไป จึงบอกยาโคบให้กำหนดค่าจ้างทำงานขั้นต่อไป ยาโคบจึงขอค่าจ้างเป็นสัตว์เฉพาะตัวที่มีจุดหรือลายด่างอันเกิดจากฝูงสัตว์ของลาบาน. กล่าวกันว่าแกะทั่ว ๆ ไปในภูมิภาคแถบนั้นเป็นแกะขาว และแพะมักจะมีขนดำหรือสีน้ำตาลเข้ม, เพียงส่วนน้อยจะมีจุดหรือลายด่าง. ลาบานคงคิดว่าการใช้สัตว์มีจุดหรือด่างเป็นเงื่อนไขต่อรองเช่นนั้นคงเป็นค่าจ้างที่ต่ำสำหรับแรงงานของยาโคบ เขาจึงตกลงทันที และต้อนฝูงสัตว์ของตนที่มีจุดหรือลายด่างไปเลี้ยงในที่ห่างไกลออกไป เพื่อป้องกันการปะปนกันระหว่างฝูงสัตว์ของตนกับฝูงสัตว์ในความดูแลของยาโคบ. เห็นได้ชัดว่าลาบานเชื่อว่ายาโคบจะได้ประโยชน์เพียงเล็กน้อยจากข้อสัญญาที่ตกลงกัน แน่นอน ไม่ใช่ 20 เปอร์เซ็นต์ในจำนวนลูกแกะลูกแพะที่เกิดใหม่อันเป็นค่าจ้างปกติที่คนเลี้ยงแกะสมัยโบราณมักได้รับ. แต่ลาบานคิดผิด เพราะพระยะโฮวาอยู่ฝ่ายยาโคบ.—เยเนซิศ 30:25-36.
ภายใต้การชี้นำของพระเจ้า ลูกสัตว์ที่เกิดจากการผสมพันธุ์ในฝูงที่ยาโคบดูแลนั้นอ้วนพีแข็งแรง และมีลายด่างตามต้องการ. (เยเนซิศ 30:37-42) แนวคิดของท่านเกี่ยวกับการผสมพันธุ์สัตว์นั้นไม่ถูกต้อง. กระนั้นก็ดี นักวิชาการนาฮุม ซาร์นาชี้แจงว่า “ในทางวิทยาศาสตร์ ผลที่ต้องการอาจบรรลุได้โดยให้สัตว์สีเดียวซึ่งมีหน่วยถ่ายพันธุ์สีอื่นที่จะก่อเป็นจุดหรือด่างซ่อนอยู่ . . . ผสมพันธุ์ไปเรื่อย ๆ.” และ “สัตว์ประเภทดังกล่าวสังเกตได้โดย . . . ความแข็งแรงของลูกผสม [ของมัน].”
เมื่อสังเกตเห็นผลที่ปรากฏ ลาบานพยายามเปลี่ยนข้อตกลงเกี่ยวกับสัตว์ตัวที่จะตกเป็นของหลานชายซึ่งมีลายด่างยาวเป็นทาง, หรือจุด. เขาแสวงผลประโยชน์ให้ตัวเอง แต่ไม่ว่าลาบานเปลี่ยนหรือแก้ไขสัญญาวิธีใดก็ตาม พระยะโฮวาจะดูแลให้ยาโคบอุดมมั่งคั่งเสมอ. ลาบานไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากกัดฟันด้วยความคั่งแค้น. ไม่นานต่อมา ยาโคบสะสมรวบรวมทรัพย์ได้มากมาย ทั้งฝูงแกะฝูงแพะ, คนรับใช้, ฝูงอูฐ, และลาจำนวนมาก ไม่ใช่เพราะความเฉลียวฉลาดของตัวเอง แต่เพราะการสนับสนุนของพระยะโฮวา. ต่อมา ท่านได้ชี้แจงแก่ราเฮ็ลและเลอาว่า “บิดาของเจ้าได้บิดพลิ้วเปลี่ยนค่าจ้างของฉันเสียสิบครั้งแล้ว; แต่พระเจ้ามิได้ทรงอนุญาตให้เขาทำอันตรายแก่ฉัน. . . . พระเจ้าจึงทรงยกสัตว์ของบิดาเจ้าพระราชทานให้แก่ฉัน.” นอกจากนั้น พระยะโฮวาทรงรับรองกับยาโคบว่าพระองค์ทรงเห็นบรรดาการที่ลาบานได้กระทำ แต่เรื่องนั้นยาโคบไม่ต้องวิตกกังวล. พระเจ้าตรัสว่า “จงกลับไปยังเมืองญาติพี่น้องของเจ้า, และเราจะกระทำการดีแก่เจ้า.”—เยเนซิศ 31:1-13; 32:9.
หลังจากแยกไปจากลาบานคนตีสองหน้าในที่สุด ยาโคบก็มุ่งหน้ากลับสู่บ้านเกิด. แม้เวลาล่วงเลยมานาน 20 ปีแล้ว ท่านยังรู้สึกหวาดกลัวเอซาวอยู่ และกลัวมากขึ้นเมื่อได้ข่าวเอซาวพร้อมกับพรรคพวกสี่ร้อยคนกำลังเดินทางมาพบ. เยเนซิศ 32:2-12.
ยาโคบจะทำอย่างไรดี? บุคคลฝ่ายวิญญาณย่อมไว้ใจพระเจ้าตลอดเวลา ท่านลงมือปฏิบัติด้วยความเชื่อ. ท่านอธิษฐาน ยอมรับว่าตัวเองไม่คู่ควรกับความเอื้อเฟื้อของพระยะโฮวาและทูลวิงวอนพระองค์ด้วยการอ้างคำสัญญาหลายประการของพระองค์ที่จะช่วยท่านและครอบครัวให้พ้นจากมือของเอซาว.—ครั้นแล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง. บุรุษผู้หนึ่งซึ่งแท้จริงคือทูตสวรรค์ได้ปล้ำสู้กับยาโคบตลอดคืน และแค่ทูตสวรรค์แตะโคนขาเพียงครั้งเดียวเป็นเหตุให้โคนขาท่านเคล็ด. ยาโคบไม่ยอมปล่อยทูตสวรรค์จนกว่าจะได้อวยพรท่านเสียก่อน. ภายหลังผู้พยากรณ์โฮเซอากล่าวว่ายาโคบ “ร้องไห้และขอความเมตตา.” (โฮเซอา 12:2-4, ฉบับแปลใหม่; เยเนซิศ 32:24-29) ยาโคบตระหนักว่าการปรากฏของทูตสวรรค์คราวก่อนเกี่ยวข้องกับสัญญาไมตรีที่ทำไว้กับอับราฮาม ซึ่งสำเร็จเป็นจริงโดยทางพงศ์พันธุ์ของท่าน. ดังนั้น ท่านจึงพยายามออกแรงปล้ำสู้อย่างแข็งขันและได้รับพร. ณ ตอนนี้ พระเจ้าได้เปลี่ยนชื่อท่านเป็นอิสราเอล มีความหมายว่า “ผู้ (ผู้พากเพียร) ต่อสู้กับพระเจ้า.”
คุณเต็มใจจะปล้ำสู้ไหม?
ยาโคบไม่เพียงแต่เอาชนะวิกฤตการณ์เมื่อปล้ำสู้กับทูตสวรรค์และเมื่อจะต้องเผชิญหน้าเอซาวเท่านั้น. แต่เหตุการณ์ที่นำขึ้นมาพิจารณานี้แสดงให้เห็นว่ายาโคบเป็นบุคคลประเภทไหน. ในขณะที่เอซาวทนความหิวเล็กน้อยไม่ได้เพื่อที่ตนจะได้รับสิทธิบุตรหัวปี ยาโคบกลับดิ้นรนต่อสู้ตลอดชีวิตเพื่อรับพระพร กระทั่งปล้ำสู้กับทูตสวรรค์ด้วยซ้ำ. สมดังที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ ยาโคบได้รับการชี้นำและการคุ้มครองจากพระเจ้า ท่านกลายเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูลของชนชาติใหญ่และเป็นบรรพบุรุษของพระมาซีฮา.—มัดธาย 1:2, 16.
คุณล่ะเต็มใจทุ่มเทตัวเองเต็มกำลังไหมเพื่อรับความโปรดปรานจากพระยะโฮวา ประหนึ่งปล้ำสู้เอา? ชีวิตทุกวันนี้เต็มไปด้วยความยากลำบากและความกดดันสำหรับผู้ที่ต้องการทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า และบางครั้งก็เป็นเรื่องของการดิ้นรนเพื่อจะตัดสินใจอย่างถูกต้อง. อย่างไรก็ดี ตัวอย่างอันดีของยาโคบส่งเสริมเราให้มีแรงกระตุ้นที่จะยึดมั่นในความหวังจะได้รางวัลที่พระเจ้าทรงจัดไว้ให้พวกเรา.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 9 การพบปะกันครั้งนี้คล้ายกันกับตอนที่นางริบะคามารดายาโคบตักน้ำให้ฝูงอูฐของอะลีอาเซ็รกิน. ตอนนั้นริบะคาวิ่งกลับบ้านพร้อมกับนำข่าวการมาถึงของคนแปลกหน้า. เมื่อลาบานเห็นน้องสาวได้ทองรูปพรรณหลายชิ้นเป็นของกำนัล เขาก็วิ่งออกไปต้อนรับอะลีอาเซ็ร.—เยเนซิศ 24:28-31, 53.
[ภาพหน้า 31]
ตลอดชีวิตของยาโคบ ท่านดิ้นรนต่อสู้เพื่อได้รับพระพร