หนุ่มสาวทั้งหลาย จงดำเนินคู่ควรกับพระยะโฮวา
หนุ่มสาวทั้งหลาย จงดำเนินคู่ควรกับพระยะโฮวา
หนุ่มสาวคริสเตียนบางคนต้องอยู่ห่างจากครอบครัวและประชาคมเดิมของตนชั่วคราว. บางคนทำเช่นนั้นเพื่อจะขยายงานรับใช้ของตน. คนอื่น ๆ ต้องจากบ้านไปเนื่องจากยึดจุดยืนที่เป็นกลางต่อเรื่องต่าง ๆ ของโลกนี้. (ยะซายา 2:4; โยฮัน 17:16) ในบางประเทศ “ซีซาร์” ได้ตัดสินจำคุกหนุ่มสาวที่รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงหรือไม่ก็ให้ทำงานบริการชุมชน. *—มาระโก 12:17, ล.ม.; ติโต 3:1, 2.
ขณะที่ติดคุกอยู่เนื่องด้วยรักษาความเป็นกลาง หนุ่มสาวเหล่านี้อาจถูกขังเป็นเวลายาวนานร่วมกับผู้เยาว์ที่เสเพล. การอยู่ห่างจากบ้านเนื่องด้วยเหตุผลอื่นได้บีบบังคับให้หนุ่มสาวทำงานในสภาพแวดล้อมที่ไร้ศีลธรรมเช่นกัน. คริสเตียนหนุ่มสาวเหล่านี้หรือคนอื่นที่ต้องฝืนใจอยู่ในสภาพดังกล่าวจะรับมืออย่างเป็นผลสำเร็จกับแรงกดดันและการเรียกร้องที่พวกเขาเผชิญได้อย่างไร ขณะที่เขาพยายามจะ “ดำเนินคู่ควรกับพระเจ้าต่อไป”? (1 เธซะโลนิเก 2:12, ล.ม.) บิดามารดาจะช่วยพวกเขาได้อย่างไรเพื่อเตรียมตัวรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ไม่น่ายินดีใด ๆ ที่อาจเป็นไปได้?—สุภาษิต 22:3.
ข้อท้าทายเฉพาะอย่าง
ทาเคส วัย 21 ปี ซึ่งต้องอยู่ห่างจากบ้านนานถึง 37 เดือน บอกว่า “การอยู่ห่างไกลจากการปกป้องดูแลของคุณพ่อคุณแม่ อีกทั้งการดูแลด้วยความรักของผู้ปกครองที่รู้จักผมดีเป็นเรื่องที่ก่อความลำบากและน่ากลัว.” * เขากล่าวเสริมว่า “บางครั้ง ผมรู้สึกว่าอยู่ในสภาพที่เสี่ยงอันตรายเหลือเกิน.” เพทรอส วัย 20 ปีต้องอยู่ห่างจากบ้านเป็นเวลาสองปีกว่า. เขายอมรับว่า “เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมต้องตัดสินใจเลือกด้วยตัวเองทั้งหมดในเรื่องความบันเทิงและการคบหาสมาคม และการเลือกของผมไม่ได้ฉลาดเสมอไป.” แล้วเขาออกความเห็นว่า “บางครั้ง ผมรู้สึกกังวลเรื่องความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นซึ่งเกิดจากการมีเสรีภาพเพิ่มขึ้น.” ทาโซส คริสเตียนผู้ปกครองซึ่งติดต่อเป็นประจำกับหนุ่มสาวคริสเตียนที่อยู่ในสภาพการณ์ดังกล่าว ให้ข้อสังเกตว่า “คำพูดที่ไม่สะอาด, การขืนอำนาจ, และพฤติกรรมที่รุนแรงของคนรุ่นเดียวกันที่ไม่มีความเชื่ออาจส่งผลกระทบต่อหนุ่มสาวที่ไม่ระวังและถูกโจมตีได้ง่าย.”
ขณะที่ดำเนินชีวิตและทำงานท่ามกลางคนที่ขาดความนับถือต่อหลักการในคัมภีร์ไบเบิล หนุ่มสาวคริสเตียนดังกล่าวต้องระวังการล่อใจให้เลียนแบบแนวทางที่ผิดศีลธรรมและไม่ถูกหลักพระคัมภีร์ของคนรอบข้าง. (บทเพลงสรรเสริญ 1:1; 26:4; 119:9) การรักษากิจวัตรที่ดีในการศึกษาส่วนตัว, การเข้าร่วมการประชุม, และงานเผยแพร่ตามบ้านอาจดูเหมือนเป็นเรื่องยาก. (ฟิลิปปอย 3:16) การตั้งเป้าหมายฝ่ายวิญญาณและพยายามบรรลุเป้านั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยเช่นกัน.
หนุ่มสาวคริสเตียนที่ซื่อสัตย์ต้องการอย่างแน่นอนที่จะทำให้พระยะโฮวาพอพระทัยในความประพฤติและคำพูดของเขา. พวกเขาพยายามอย่างภักดีที่จะเอาใจใส่คำเชิญชวนอย่างจริงจังของพระบิดาของเขาผู้สถิตในสวรรค์ที่ว่า “บุตรชายของเราเอ๋ย จงมีปัญญาและทำให้หัวใจเราปีติยินดี เพื่อเราจะตอบผู้ที่เยาะเย้ยเรา.” (สุภาษิต 27:11, ล.ม.) พวกเขาตระหนักว่ามารยาทที่ดีและความประพฤติของตนมีผลกระทบต่อวิธีที่คนอื่นมองดูพระยะโฮวาและประชาชนของพระองค์.—1 เปโตร 2:12.
โกโลซาย 1:9-11, ล.ม.) คัมภีร์ไบเบิลให้ตัวอย่างหลายเรื่องเกี่ยวกับหนุ่มสาวที่เกรงกลัวพระเจ้าซึ่งดำเนินคู่ควรกับพระเจ้าอย่างเป็นผลสำเร็จท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย, มีคนเป็นปรปักษ์, และมีการไหว้รูปเคารพ.—ฟิลิปปอย 2:15.
น่าชมเชย หนุ่มสาวเช่นนั้นส่วนใหญ่พยายามสุดความสามารถที่จะเป็นเหมือนพี่น้องของพวกเขาในสมัยศตวรรษแรกซึ่งอัครสาวกเปาโลได้อธิษฐานเผื่อว่า “ดำเนินคู่ควรกับพระยะโฮวา เพื่อทำให้พระองค์พอพระทัยอย่างเต็มเปี่ยม ขณะที่ท่านทั้งหลายเกิดผลต่อไปในการงานที่ดีทุกอย่าง . . . เพื่อจะเพียรอดทนเต็มที่และอดกลั้นไว้นานด้วยความยินดี.” (“พระยะโฮวาอยู่ด้วยโยเซฟ”
ตอนวัยเยาว์ โยเซฟ บุตรชายที่รักของยาโคบและราเฮ็ลอยู่ห่างไกลจากบ้านที่ให้การปกป้องของบิดาผู้เกรงกลัวพระเจ้า. ท่านถูกขายไปเป็นทาสในอียิปต์. โยเซฟได้วางตัวอย่างที่น่าชมเชยในฐานะเป็นชายหนุ่มที่ขยันหมั่นเพียร, ไว้ใจได้, และมีศีลธรรม. ทั้ง ๆ ที่เป็นทาสของโพติฟา ซึ่งไม่ใช่ผู้นมัสการพระยะโฮวา โยเซฟก็ยังเป็นคนซื่อตรงและขยัน จนกระทั่งในที่สุดนายได้มอบหมายท่านให้ดูแลการงานทั้งสิ้นในครัวเรือน. (เยเนซิศ 39:2-6) โยเซฟได้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระยะโฮวา และเมื่อการทำเช่นนี้ยังผลให้ท่านถูกขังคุก ท่านก็มิได้ลงความเห็นว่า “การรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงเป็นประโยชน์ตรงไหน?” แม้แต่เมื่ออยู่ในคุก ท่านได้แสดงคุณลักษณะที่ดีต่าง ๆ และไม่นานท่านก็ได้เอาใจใส่ดูแลงานปลีกย่อยหลายอย่างของการดำเนินงานในคุก. (เยเนซิศ 39:17-22) พระเจ้าทรงอวยพระพรท่าน และดังที่กล่าวไว้ในเยเนซิศ 39:23 “พระยะโฮวาอยู่ด้วยโยเซฟ.”
เนื่องจากอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลจากครอบครัวของท่านที่เกรงกลัวพระเจ้า คงง่ายเพียงไรที่โยเซฟจะประพฤติตามอย่างคนนอกรีตซึ่งอยู่รอบตัวท่าน และเลียนแบบแนวทางชีวิตที่ผิดศีลธรรมของชาวอียิปต์! แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ท่านยึดมั่นกับหลักการของพระเจ้าและรักษาฐานะที่สะอาดทั้ง ๆ ที่เผชิญการล่อใจอย่างรุนแรงที่สุด. เมื่อภรรยาของโพติฟาได้รบเร้าท่านครั้งแล้วครั้งเล่าให้มีเพศสัมพันธ์กับเธอ ท่านตอบอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ข้าพเจ้าจะทำผิดดังนี้อย่างไรได้, เป็นบาปใหญ่หลวงนักต่อพระเจ้า.”—เยเนซิศ 39:7-10.
ในทุกวันนี้ หนุ่มสาวพยานฯ ต้องเอาใจใส่คำเตือนซึ่งอาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลักที่ให้ระวังการคบหาสมาคมที่ไม่สมควร, ความบันเทิงที่ผิดศีลธรรม, สื่อลามก, และดนตรีที่เสื่อมทราม. พวกเขาตระหนักว่า “พระเนตรของพระยะโฮวาอยู่ทั่วทุกแห่ง, เฝ้าดูทั้งคนชั่วและคนดี.”—สุภาษิต 15:3.
โมเซหลีกเลี่ยง ‘ความเพลิดเพลิน . . . กับบาป’
โมเซเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมของราชสำนักฟาโรห์ที่มีการไหว้รูปเคารพและแสวงหาความสนุกเพลิดเพลิน. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงท่านว่า “โดยความเชื่อ โมเซ . . . ไม่ยอมให้ใครเรียกท่านว่าเป็นบุตรของธิดากษัตริย์ฟาโรห์ แต่เฮ็บราย 11:24, 25, ล.ม.
เลือกเอาการถูกเคี่ยวเข็ญร่วมกับประชาชนของพระเจ้าแทนที่จะเพลิดเพลินชั่วคราวกับบาป.”—มิตรภาพกับโลกอาจยังผลด้วยข้อได้เปรียบบางประการ แต่ก็เพียงชั่วคราว. อย่างมากที่สุด ข้อได้เปรียบนั้นอยู่ได้แค่เวลาจำกัดที่เหลืออยู่สำหรับโลกนี้. (1 โยฮัน 2:15-17) จะดีกว่ามิใช่หรือที่จะติดตามตัวอย่างของโมเซ? คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ท่านยืนหยัดมั่นคงต่อ ๆ ไปประหนึ่งเห็นพระองค์ผู้ไม่ปรากฏแก่ตา.” (เฮ็บราย 11:27, ล.ม.) ท่านคอยระวังให้ความคิดจิตใจเพ่งเล็งอยู่ที่มรดกฝ่ายวิญญาณของบรรพบุรุษท่านซึ่งเกรงกลัวพระเจ้า. ท่านทำให้พระประสงค์ของพระยะโฮวาเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตท่าน ตั้งเป้าของท่านให้ทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า.—เอ็กโซโด 2:11; กิจการ 7:23, 25.
เมื่อหนุ่มสาวที่เกรงกลัวพระเจ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ผู้คนไม่เลื่อมใสพระเจ้าและไม่เป็นมิตร พวกเขาสามารถเสริมสร้างสัมพันธภาพเฉพาะตัวกับพระยะโฮวาโดยการศึกษาส่วนตัว เพื่อรู้จัก “พระองค์ผู้ไม่ปรากฏแก่ตา” ดีขึ้น. การทำกิจกรรมคริสเตียนอย่างเต็มที่ ซึ่งรวมถึงการเข้าร่วมการประชุมและการเผยแพร่ตามบ้านเป็นประจำ จะช่วยหนุ่มสาวเหล่านี้ให้มุ่งความคิดจิตใจไปที่สิ่งฝ่ายวิญญาณ. (บทเพลงสรรเสริญ 63:6; 77:12) พวกเขาควรพยายามจะปลูกฝังความเชื่อและความหวังให้มั่นคงเหมือนอย่างโมเซ. พวกเขาควรจะพยายามให้ความคิดและการกระทำของเขาเพ่งเล็งอยู่ที่พระยะโฮวา มีความสุขที่ได้เป็นมิตรของพระองค์.
เธอใช้ลิ้นเพื่อสรรเสริญพระเจ้า
เยาวชนอีกคนหนึ่งซึ่งพิสูจน์ว่าเป็นแบบอย่างที่ดีขณะอยู่ห่างไกลจากบ้านคือเด็กหญิงชาวอิสราเอลที่ถูกพวกซีเรียจับเป็นเชลยในสมัยของอะลีซา ผู้พยากรณ์ของพระเจ้า. เธอได้มาเป็นคนปรนนิบัติภรรยาของนามานแม่ทัพซีเรียซึ่งเป็นโรคเรื้อน. เด็กหญิงคนนี้ได้บอกนายหญิงของเธอว่า “ถ้านามานนายของข้าพเจ้าอยู่กับผู้พยากรณ์ที่กรุงซะมาเรียก็จะดีมาก! ด้วยผู้พยากรณ์อาจรักษาท่านให้หายจากโรคเรื้อน.” เนื่องจากคำพยานของเธอ นามานจึงไปหาอะลีซาในอิสราเอล แล้วหายจากโรคเรื้อน. ยิ่งกว่านั้น นามานได้กลายมาเป็นผู้นมัสการพระยะโฮวา.—2 กษัตริย์ 5:1-3, 13-19.
ตัวอย่างของเด็กหญิงคนนี้เน้นความจำเป็นที่หนุ่มสาวจะใช้ลิ้นในวิธีที่ถวายพระเกียรติพระเจ้า แม้แต่เมื่อพวกเขาเอเฟโซ 5:4; สุภาษิต 15:2) นีคอส ชายหนุ่มวัยยี่สิบเศษ ซึ่งถูกจำคุกเนื่องจากจุดยืนที่เป็นกลางเล่าสิ่งที่เขาจำได้ดังนี้: “เมื่อผมอยู่กับพี่น้องหนุ่มบางคนที่คุกซึ่งทำการเกษตร อยู่ไกลจากอิทธิพลของบิดามารดาและประชาคม ผมสังเกตว่าคุณภาพคำพูดของพวกเราเสื่อมลง. คำพูดของเรามิได้นำคำสรรเสริญมาสู่พระยะโฮวาอย่างแน่นอน.” น่ายินดี นีคอสและคนอื่นได้รับการช่วยเหลือให้เอาใจใส่คำแนะนำของเปาโลในเรื่องนี้ที่ว่า “การล่วงประเวณี, การลามกต่าง ๆ, และความโลภ, อย่าให้เอ่ยชื่อท่ามกลางท่านเลย, จะได้สมกับท่านที่เป็นสิทธชน.”—เอเฟโซ 5:3.
อยู่ห่างไกลจากบิดามารดา. หากเด็กหญิงคนนี้มีนิสัยชอบ “การพูดเล่นไม่เข้าเรื่อง” หรือ “การพูดตลกโลนเกเร” แล้ว เธอจะรู้สึกสะดวกใจไหมที่จะใช้ลิ้นอย่างมีประสิทธิภาพดังที่เธอได้ทำเมื่อมีโอกาส? (พระยะโฮวาทรงเป็นจริงสำหรับพวกเขา
ประสบการณ์ของเพื่อนชาวฮีบรูสามคนของดานิเอลในบาบิโลนโบราณยืนยันความจริงของหลักการที่พระเยซูตรัสไว้ที่ว่า การซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อยนำไปสู่การซื่อสัตย์ในสิ่งใหญ่. (ลูกา 16:10) เมื่อเผชิญกับปัญหาเรื่องการรับประทานอาหารที่พระบัญญัติของโมเซสั่งห้าม พวกเขาอาจหาเหตุผลว่า ตัวเองเป็นเชลยในต่างแดน และด้วยเหตุนี้จึงไม่มีทางเลือกในเรื่องอาหาร. แต่พวกเขาได้รับพระพรอะไรเช่นนี้ที่ถือว่าสิ่งซึ่งอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยเป็นเรื่องสำคัญ! พวกเขาได้พิสูจน์แล้วว่าทั้งมีสุขภาพดีและฉลาดกว่าเชลยคนอื่น ๆ ทั้งหมดที่ได้รับประทานอาหารรสโอชาของกษัตริย์อยู่เรื่อย ๆ. ความซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ได้ทำให้พวกเขาเข้มแข็งอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นเมื่อเผชิญการทดลองที่ใหญ่กว่าที่ให้ก้มลงกราบรูปเคารพ พวกเขาจึงปฏิเสธที่จะอะลุ่มอล่วย.—ดานิเอล 1:3-21; 3:1-30.
พระยะโฮวาทรงเป็นจริงสำหรับชายหนุ่มสามคนนี้อย่างแท้จริง. ทั้ง ๆ ที่อยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดและศูนย์กลางแห่งการนมัสการพระเจ้า พวกเขาได้ตั้งใจแน่วแน่ที่จะรักษาตัวให้ปราศจากด่างพร้อยของโลก. (2 เปโตร 3:14) สัมพันธภาพกับพระยะโฮวาเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับพวกเขาจนพวกเขาเต็มใจจะสละชีวิตเพื่อสัมพันธภาพนั้น.
พระยะโฮวาจะไม่ทรงละทิ้งคุณ
เมื่อหนุ่มสาวอยู่ห่างไกลจากคนที่ตนรักและไว้วางใจ เป็นที่เข้าใจได้ว่าพวกเขาอาจรู้สึกไม่มั่นคง, ไม่แน่ใจ, และหวั่นกลัว. อย่างไรก็ดี พวกเขาสามารถเผชิญการทดลองและความยากลำบากต่าง ๆ ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า “พระยะโฮวาจะไม่ทรงละทิ้ง” พวกเขา. (บทเพลงสรรเสริญ 94:14) หากหนุ่มสาวดังกล่าว “ทนทุกข์เพื่อเห็นแก่ความ ชอบธรรม” พระยะโฮวาจะทรงช่วยเหลือพวกเขาให้ดำเนินต่อไปใน “ทางแห่งความชอบธรรม.”—1 เปโตร 3:14, ล.ม.; สุภาษิต 8:20.
พระยะโฮวาทรงเสริมกำลังและประทานบำเหน็จอันอุดมแก่โยเซฟ, โมเซ, เด็กสาวชาวอิสราเอลที่เป็นทาส, และหนุ่มชาวฮีบรูผู้ซื่อสัตย์สามคนอย่างเสมอต้นเสมอปลาย. ทุกวันนี้ พระองค์ทรงใช้พระวิญญาณบริสุทธิ์, พระคำ, และองค์การของพระองค์เพื่อค้ำจุนคนเหล่านั้นที่ “สู้อย่างดีเพื่อความเชื่อ” ทรงตั้งบำเหน็จเกี่ยวกับ “ชีวิตนิรันดร์” ไว้ตรงหน้าพวกเขา. (1 ติโมเธียว 6:11, 12, ล.ม.) แท้ที่จริง การดำเนินคู่ควรกับพระยะโฮวาเป็นไปได้ และเป็นสิ่งฉลาดสุขุมที่พึงกระทำ.—สุภาษิต 23:15, 19.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 2 ดูวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับ 1 พฤษภาคม 1996 หน้า 18-20.
^ วรรค 5 บางชื่อเป็นนามสมมุติ.
[กรอบหน้า 25]
บิดามารดา—จงเตรียมลูกของคุณไว้!
“ลูกธนูในมือของคนกล้าหาญเป็นฉันใด, บุตรชายหญิงของคนหนุ่มก็เป็นฉันนั้น.” (บทเพลงสรรเสริญ 127:4) ลูกธนูจะไม่เข้าเป้าโดยบังเอิญ. ต้องมีการเล็งลูกธนูอย่างชำนาญ. คล้ายกัน เด็ก ๆ จะไม่ถูกเตรียมไว้พร้อมเพื่อเผชิญกับสภาพที่เป็นจริงของการอยู่ห่างไกลจากบ้านโดยปราศจากการชี้นำที่เหมาะสมของบิดามารดา.—สุภาษิต 22:6.
หนุ่มสาวมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามแรงกระตุ้นหรือที่จะยอมจำนนต่อ “ความปรารถนาซึ่งมักมีในวัยหนุ่มสาว.” (2 ติโมเธียว 2:22, ล.ม.) คัมภีร์ไบเบิลเตือนว่า “ไม้เรียวที่ตีสอนทำให้เกิดปัญญา; แต่เด็กที่ถูกละเลยนั้นเป็นเหตุกระทำให้มารดาของตนได้ความละอาย.” (สุภาษิต 29:15) การไม่มีข้อจำกัดเรื่องความประพฤติสำหรับหนุ่มสาวทำให้เด็กไม่ได้ถูกเตรียมไว้สำหรับข้อเรียกร้องและความกดดันในชีวิตเมื่ออยู่ห่างไกลจากบ้าน.
ด้วยวิธีที่ชัดเจนและแสดงถึงความรับผิดชอบ บิดามารดาคริสเตียนควรวางเค้าโครงไว้สำหรับบุตรในเรื่องความยุ่งยาก, ความกดดัน, และสภาพที่เป็นจริงของชีวิตในระบบนี้. โดยปราศจากการมองในแง่ร้ายหรือทำให้หมดกำลังใจ บิดามารดาอาจพรรณนาถึงสภาพการณ์ที่ไม่น่ายินดีซึ่งหนุ่มสาวอาจเผชิญหากต้องอยู่ไกลบ้าน. การฝึกอบรมเช่นนี้ควบคู่ไปกับสติปัญญาที่พระเจ้าทรงประทานให้ จะ “ทำให้เกิดความเฉียบแหลมแก่ผู้ขาดประสบการณ์ ให้ความรู้และความสามารถในการคิดแก่คนหนุ่ม.”—สุภาษิต 1:4, ล.ม.
บิดามารดาซึ่งปลูกฝังค่านิยมและหลักศีลธรรมของพระเจ้าเข้าไว้ในหัวใจบุตรสามารถช่วยพวกเขาให้รับมือกับปัญหาชีวิตได้อย่างเป็นผลสำเร็จ. การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลในครอบครัวเป็นประจำ, การสื่อความอย่างเปิดเผยจริงใจ, และความสนใจอย่างแท้จริงในสวัสดิภาพของบุตร สามารถทำให้เกิดผลสำเร็จได้ ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะประสบความล้มเหลว. บิดามารดาควรให้การฝึกอบรมตามระบอบของพระเจ้าแก่บุตรอย่างสมดุลแต่ก็เป็นแบบที่เสริมสร้างและสมเหตุสมผล ซึ่งจะเตรียมบุตรไว้ที่จะยืนด้วยลำแข้งของตนเองในภายภาคหน้า. โดยตัวอย่างของตนเอง บิดามารดาจะสอนบุตรว่า เป็นไปได้ ที่จะอยู่ในโลกแต่ไม่เป็นส่วนของโลก.—โยฮัน 17:15, 16.
[ภาพหน้า 23]
หนุ่มสาวคริสเตียนบางคนต้องจากบ้านไป
[ภาพหน้า 24]
โดยต้านทานการล่อใจหนุ่มสาวสามารถเลียนแบบโยเซฟและยังคงสะอาดทางด้านศีลธรรมต่อไป
[ภาพหน้า 26]
จงเลียนแบบเด็กหญิงชาวอิสราเอลที่เป็นทาส ซึ่งได้ใช้ลิ้นเพื่อนำพระเกียรติมาสู่พระยะโฮวา