“คนที่เฉลียวฉลาดทุกคนทำงานด้วยใช้ความรู้”
“คนที่เฉลียวฉลาดทุกคนทำงานด้วยใช้ความรู้”
การชี้นำจากคัมภีร์ไบเบิล พระคำของพระเจ้า “น่าปรารถนามากกว่าทองคำ; หรือยิ่งกว่าทองนพคุณ.” (บทเพลงสรรเสริญ 19:7-10) เพราะอะไร? เพราะ “โอวาทของคนมีปัญญา [พระยะโฮวา] เป็นเหมือนน้ำพุแห่งชีวิต; เพื่อคนจะได้หนีจากเครื่องดักแห่งความตาย.” (สุภาษิต 13:14) เมื่อนำเอาคำแนะนำจากพระคัมภีร์ไปใช้ ไม่เพียงแต่ปรับปรุงคุณภาพชีวิตเท่านั้น แต่ยังช่วยเราหลีกพ้นกับดักที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเราด้วย. สำคัญเพียงใดที่เราพึงพยายามสืบเสาะหาความรู้จากพระคัมภีร์และปฏิบัติตามที่เราได้เรียนรู้!
ตามที่บันทึกไว้ในสุภาษิต 13:15-25 กษัตริย์ซะโลโมแห่งชาติอิสราเอลโบราณให้คำแนะนำซึ่งช่วยพวกเราปฏิบัติสอดคล้องกับความรู้ เพื่อเราจะมีชีวิตที่ดีขึ้นและมีอายุยืนยาว. * โดยการใช้สุภาษิตที่รวบรัด ท่านชี้ให้เห็นว่าพระคำของพระเจ้าสามารถช่วยเราให้เป็นที่ชอบพอรักใคร่ของคนอื่นได้อย่างไร, ช่วยเราดำรงตนซื่อสัตย์มั่นคงอยู่ในงานรับใช้, มีทัศนะถูกต้องต่อการตีสอน, และเลือกเพื่อนที่เราคบหาอย่างสุขุม. อนึ่ง ท่านพิจารณาเกี่ยวกับสติปัญญาในเรื่องการละมรดกไว้ให้ลูกหลานของเรา ทั้งการอบรมตีสอนลูกด้วยความรักอีกด้วย.
ความเข้าใจที่ลึกซึ้งทำให้เป็นที่โปรดปราน
ซะโลโมกล่าวว่า “ความเข้าใจที่ลึกซึ้งทำให้เป็นที่โปรดปราน แต่ทางของคนทรยศย่อมขรุขระ.” (สุภาษิต 13:15, ล.ม.) แหล่งอ้างอิงแหล่งหนึ่งบอกว่า คำภาษาเดิมที่ใช้ได้แปล “ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง” หรือความเข้าใจที่ดีนั้น “พรรณนาคุณสมบัติในแง่ความรอบคอบ, การตัดสินที่ถูกต้อง, และความคิดที่สุขุม.” บุคคลที่มีคุณสมบัติต่าง ๆ ดังกล่าวย่อมไม่รู้สึกยากที่จะทำตนเป็นที่โปรดปรานของผู้อื่น.
ขอพิจารณาวิธีปฏิบัติของอัครสาวกเปาโลอย่างที่แสดงความเข้าใจฟิเลโมนเพื่อนคริสเตียน คราวที่ท่านส่งโอเนซิโมทาสที่หลบหนี ซึ่งตอนหลังได้เข้ามาเป็นคริสเตียนให้กลับไปฟิเลโมน 8-21.
หาฟิเลโมน. เปาโลแนะนำฟิเลโมนให้รับโอเนซิโมไว้เหมือนเดิม อย่างที่เขาอาจต้อนรับท่านอัครสาวกนั่นเอง. อันที่จริง เปาโลได้เสนอจะใช้หนี้แทนโอเนซิโมหากเขายังเป็นหนี้ฟิเลโมนอยู่บ้าง. ใช่แล้ว เปาโลอาจใช้อำนาจของท่านสั่งการให้ฟิเลโมนทำสิ่งที่ถูกต้องก็ได้. แต่ท่านอัครสาวกใช้วิธีจัดการเรื่องราวอย่างผ่อนหนักผ่อนเบาและด้วยความรัก. เมื่อทำเช่นนั้น เปาโลรู้สึกมั่นใจว่าท่านจะได้รับความร่วมมือจากฟิเลโมน จนเขาอาจทำมากกว่าที่ได้ขอร้องเสียด้วยซ้ำ. สมควรที่เราพึงกระทำเช่นเดียวกันกับพี่น้องร่วมความเชื่อมิใช่หรือ?—ในทางตรงกันข้าม ทางของคนทรยศย่อม “ขรุขระ.” ในแง่ไหน? ผู้คงแก่เรียนคนหนึ่งบอกว่าคำนี้ใช้หมายถึง “แข็งหรือแน่วแน่ พาดพิงการประพฤติแข็งกระด้างของคนชั่ว. . . . คนที่แน่วแน่ในทางชั่วเป็นคนแข็งกระด้างและไม่แยแสจะรับคำแนะนำที่ดีรอบคอบของผู้อื่น เขาอยู่บนเส้นทางสู่หายนะ.”
ซะโลโมกล่าวต่อดังนี้: “คนที่เฉลียวฉลาดทุกคนทำงานด้วยใช้ความรู้; แต่คนโฉดเขลาเผยแพร่ความโง่ของตน.” (สุภาษิต 13:16) คนเฉลียวฉลาดที่ว่านี้ไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์. ความเฉลียวฉลาด ณ ที่นี้เกี่ยวข้องกับความรู้และเกี่ยวเนื่องกับคนมีปัญญา ผู้ซึ่งคิดอ่านรอบคอบก่อนลงมือทำ. เมื่อประสบการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่เป็นธรรมหรือถูกสบประมาท คนฉลาดจะระงับคำพูดของตน. เขาทูลอธิษฐานขอพระเจ้าช่วยเขาสำแดงผลแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อเขาจะไม่โกรธหรือหัวเสียจนเกินเหตุ. (ฆะลาเตีย 5:22, 23) คนมีปัญญาจะไม่ปล่อยให้คนอื่นหรือยอมให้สถานการณ์ใด ๆ ควบคุมเขา. แต่เขาสงบอารมณ์ควบคุมตัวเอง และหลีกเลี่ยงการต่อสู้กันซึ่งบ่อยครั้งเกิดขึ้นกับคนที่ฉุนเฉียวโกรธง่ายเมื่อถูกทำให้ขุ่นเคือง.
เช่นเดียวกัน คนเฉลียวฉลาดปฏิบัติสอดคล้องกับความรู้เมื่อทำการตัดสินใจ. เขารู้ว่าการกระทำด้วยความรอบคอบไม่ค่อยจะเกิดจากการเดาสุ่ม, การทำด้วยอารมณ์รู้สึก, หรือแค่ทำตามคนหมู่มาก. ดังนั้น เขาจึงใช้เวลาพิจารณาตรวจสอบสภาพการณ์รอบข้าง. เขาพิจารณาข้อเท็จจริงทุกอย่างที่ได้มาและพิจารณาดูว่ามีทางเลือกอะไรบ้างที่อาจเลือกได้. ครั้นแล้ว เขาจะค้นหาข้อคัมภีร์และตัดสินใจว่าข้อบัญญัติหรือหลักการในคัมภีร์ไบเบิลข้อใดบ้างอาจใช้ให้เป็นประโยชน์กับสภาพการณ์ของตนได้. หนทางของคนแบบนั้นจะตรงอยู่เสมอ.—สุภาษิต 3:5, 6.
“ทูตที่ซื่อสัตย์นำการรักษามาให้”
ในฐานะที่เป็นพยานพระยะโฮวา พวกเราได้รับมอบหมายให้ประกาศข่าวสารที่พระเจ้ามอบไว้กับเรา. ข้อความในสุภาษิตถัดจากนั้นช่วยเราธำรงความซื่อสัตย์เพื่อทำงานมอบหมายของเราให้สำเร็จผล. ข้อนั้นบอกว่า “ผู้สื่อสารไม่ดีก็เอาคนจุ่มลงไปในความลำบาก แต่ทูตที่ซื่อสัตย์นำการรักษามาให้.”—สุภาษิต 13:17, ฉบับแปลใหม่.
ข้อนี้เน้นความสำคัญของคุณสมบัติผู้สื่อสาร. จะว่าอย่างไรถ้าผู้สื่อสารชั่วได้บิดเบือนหรือเปลี่ยนแปลงข่าวให้ผิดเพี้ยนจากเดิม? เขาจะถูกตัดสินลงโทษร้ายแรงมิใช่หรือ? ขอให้นึกถึงตัวอย่างของเฆฮะซีคนใช้ของผู้พยากรณ์อะลีซา ซึ่งโดยความ2 กษัตริย์ 5:20-27) จะเกิดอะไรขึ้นล่ะถ้าทูตกลับไม่สัตย์ซื่อและไม่ทำงานประกาศข่าวสารเลย? คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “[ถ้า] ท่านมิได้กล่าวเตือนสติคนชั่วนั้นจากทางของเขา, คนชั่วนั้นจะตายในบาปโทษของตน, แต่โลหิตของเขาเรา [ยะโฮวา] จะเรียกเอาจากมือของท่าน.”—ยะเอศเคล 33:8.
โลภได้นำข่าวเท็จไปแจ้งนามานแม่ทัพชาวซุเรีย. โรคเรื้อนจากนามานผู้ซึ่งได้รับการรักษาให้หายดีแล้วกลับมาติดเฆฮะซี. (อีกด้านหนึ่ง ทูตที่สัตย์ซื่อย่อมเยียวยารักษาตัวเองและรักษาคนเหล่านั้นที่ฟังเขาด้วย. เปาโลแนะนำติโมเธียวดังนี้: “จงระวังตัวและคำสอนของท่านให้ดี. จงเอาใจจดจ่ออยู่กับการเหล่านี้ เพราะว่าเมื่อกระทำอย่างนี้, ท่านจะช่วยทั้งตัวของท่านและคนทั้งปวงที่ฟังท่านให้รอดได้.” (1 ติโมเธียว 4:16) ขอให้คิดถึงสัมฤทธิผลของการเยียวยาเนื่องจากการประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรอย่างซื่อสัตย์. ข่าวราชอาณาจักรปลุกผู้คนที่มีสภาพหัวใจถูกต้องให้ตื่นและชักนำเขาให้รู้จักความจริงซึ่งทำให้เขาเป็นอิสระ. (โยฮัน 8:32) ถึงแม้ผู้คนไม่ฟังข่าวสารก็ตาม แต่ผู้สื่อสารที่สัตย์ซื่อ ‘จะทำชีวิตของเขาเองให้รอด.’ (ยะเอศเคล 33:9) ขออย่าได้ละเลยงานมอบหมายที่ให้เราประกาศ. (1 โกรินโธ 9:16) และให้เราเฝ้าระวังอยู่เสมอในการ “ประกาศพระคำ” โดยไม่ลดคุณค่าความสำคัญแห่งข่าวสารของคัมภีร์ไบเบิล หรือยอมประนีประนอมเพียงเพื่อจะดึงดูดใจผู้คน.—2 ติโมเธียว 4:2.
“คนใดที่เคารพต่อคำตักเตือนจะเป็นที่น่านับถือ”
คนเฉลียวฉลาดน่าจะรู้สึกขุ่นเคืองไหมเมื่อเขาได้รับคำแนะนำใด ๆ ที่เป็นประโยชน์? สุภาษิต 13:18 แถลงดังนี้: “คนใดที่ไม่ยอมรับคำสั่งสอนคงจะเป็นคนยากจนข้นแค้นและอับอายขายหน้า; คนใดที่เคารพต่อคำตักเตือนจะเป็นที่น่านับถือ.” นับว่าเป็นการฉลาดที่เรารับเอาคำตักเตือนทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ร้องขอ. คำแนะนำที่มีเหตุผลอาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อเราไม่ตระหนักว่าเราจำเป็นต้องใช้. การเอาใจใส่คำแนะนำดังกล่าวอาจบรรเทาความปวดร้าวและช่วยเราหลีกพ้นความหายนะได้. การไม่ใส่ใจฟังคำตักเตือนย่อมนำไปสู่ความอัปยศ.
การพูดชมเชยตราบที่เห็นสมควรจะเสริมสร้างเรา และเป็นการหนุนกำลังใจอย่างแท้จริง. แต่เราก็ต้องคาดหมายและรับเอาคำตักเตือนเช่นกัน. ให้เราพิจารณาจดหมายสองฉบับซึ่งอัครสาวกเปาโลเขียนถึงติโมเธียว. ขณะที่กล่าวชมเชยติโมเธียวเนื่องด้วยความซื่อสัตย์มั่นคง กระนั้น ในจดหมายเหล่านั้นมีคำแนะนำมากมายที่ให้แก่ติโมเธียว. เปาโลกล่าวแนะนำอย่างไม่อั้นแก่ชายที่อายุอ่อนกว่าท่านให้ยึดความเชื่อไว้ให้มั่นและรักษาสติรู้สึกผิดชอบอันดีไว้, วิธีติดต่อเกี่ยวข้องกับคนอื่น ๆ ในประชาคม, การพัฒนาความ
เลื่อมใสพระเจ้าและการอยู่อย่างสันโดษ, การแนะนำสั่งสอนคนอื่น, การต้านทานการออกหาก, และการทำงานรับใช้ให้สำเร็จ. สมาชิกประชาคมที่อยู่ในวัยหนุ่มสาวสมควรสืบเสาะหาคำแนะนำและยินดีรับคำแนะนำจากผู้มีประสบการณ์มากกว่า.‘จงดำเนินกับคนมีปัญญา’
กษัตริย์ที่ฉลาดสุขุมกล่าวว่า “การที่สำเร็จตามความปรารถนาเป็นรสหวานสำหรับจิตต์ใจนั้น; แต่ที่จะละจากความชั่วนั้นเป็นการสะอิดสะเอียนแก่คนโฉด.” (สุภาษิต 13:19) เกี่ยวกับความหมายของสุภาษิตข้อนี้ หนังสืออ้างอิงเล่มหนึ่งชี้แจงดังนี้: “ครั้นบรรลุเป้าหมายแล้ว หรือเมื่อได้สมความปรารถนา ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกพอใจ . . . เนื่องจากการทำให้สำเร็จตามจุดหมายเป็นประสบการณ์น่ายินดีอย่างยิ่งของคนเรา ด้วยเหตุนั้น ที่จะละจากความชั่วนั้นจึงต้องเป็นการสะอิดสะเอียนแก่คนโฉด. ทางเดียวเท่านั้นที่คนโฉดจะได้สมความปรารถนาของตนคือด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่ชั่วร้าย และหากเขาจะละทิ้งความชั่วร้าย เขาก็คงไม่ประสบความพอใจยินดีเมื่อได้สมตามปรารถนา.” สำคัญเพียงใดที่เราพึงปลูกฝังความปรารถนาที่ถูกต้อง!
ผู้ที่เราสมาคมคบหามีผลกระทบที่ทรงพลังมากเพียงใดต่อความคิด, ความชอบ, และความไม่ชอบของเรา! ซะโลโมแถลงความจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเมื่อตรัสว่า “บุคคลที่ดำเนินกับคนมีปัญญาก็จะเป็นคนมีปัญญา แต่คนที่คบกับคนโฉดเขลาย่อมจะรับความเสียหาย.” (สุภาษิต 13:20, ล.ม.) แน่นอน การคบหาสมาคมของเรา แม้จะคบกันทางการบันเทิง, ทางอินเทอร์เน็ต, และสิ่งที่เราอ่าน ล้วนมีผลต่อพฤติกรรมของเราทั้งในตอนนี้และวันข้างหน้าด้วย. นับว่าสำคัญเพียงใดที่เราจะเลือกการคบหาสมาคมอย่างฉลาดสุขุม!
“ละมรดกไว้”
กษัตริย์ของชาติอิสราเอลแถลงดังนี้: “ภัยอันตรายติดตามคนบาปทั้งหลาย; แต่คนชอบธรรมจะได้ความดีมาตอบแทน.” (สุภาษิต 13:21) การแสวงความชอบธรรมย่อมได้ผลดีตอบแทน เพราะพระยะโฮวาทรงใฝ่พระทัยคนชอบธรรม. (บทเพลงสรรเสริญ 37:25) อย่างไรก็ตาม เราจำต้องสำนึกว่า “วาระและเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดล่วงหน้า” มาถึงเราทุกคน. (ท่านผู้ประกาศ 9:11, ล.ม.) เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อเตรียมตัวรับเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง?
ซะโลโมแถลงดังนี้: “คนดีนั้นละมรดกไว้แก่หลานเหลนของตน.” (สุภาษิต 13:22ก) นับเป็นมรดกที่มีค่าอะไรเช่นนั้นที่บิดามารดาละไว้เมื่อพวกเขาช่วยบุตรหลานรับเอาความรู้เกี่ยวกับพระยะโฮวาและพัฒนาสัมพันธภาพที่ดีกับพระองค์! แต่คงจะเป็นความสุขุมด้วยมิใช่หรือเมื่อมีช่องทางเป็นไปได้ที่จะเตรียมสิ่งจำเป็นด้านวัตถุเผื่อครอบครัวหากบิดามารดาเสียชีวิตโดยปัจจุบันทันด่วน? ในหลายประเทศ ประมุขครอบครัวอาจทำประกันชีวิต, ประกันภัย, ทำพินัยกรรม, เก็บออมเงินไว้ต่างหากเผื่อใช้ในวันข้างหน้า.
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับมรดกของคนชั่ว? ซะโลโมกล่าวต่อไปว่า “ทรัพย์สมบัติของคนบาปนั้นจะกลับไปตกเป็นของคนชอบธรรม.” (สุภาษิต 13:22ข) นอกเหนือจากประโยชน์ในปัจจุบันแล้ว ยังจะเป็นประโยชน์อีกด้วยเมื่อพระยะโฮวาทรงทำตามคำสัญญาที่จะสร้าง “ฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่” ซึ่งที่นั่น “ความชอบธรรมจะดำรงอยู่.” (2 เปโตร 3:13, ล.ม.) ตอนนั้นแหละ คนชั่วถูกขจัดหมดสิ้นแล้ว และ “คนทั้งหลายที่มีใจถ่อมลงจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก”—บทเพลงสรรเสริญ 37:11.
คนเฉลียวฉลาดปฏิบัติสอดคล้องกับความรู้ แม้ว่าเขามีทรัพย์สมบัติไม่มาก. สุภาษิต 13:23 กล่าวว่า “ไร่นาของคนจนก็ยังมีอาหารบริบูรณ์; แต่ทรัพย์สมบัติที่ได้มาจากการทุจริตจะพินาศไป.” คนยากจนจะได้รับผลอุดมเนื่องด้วยความขยันและพระเจ้าทรงอวยพรเขา. อย่างไรก็ตาม เมื่อขาดความยุติธรรมการตัดสินที่ไม่สุขุมอาจกวาดล้างเอาความมั่งคั่งไปหมด.
“ย่อมเฆี่ยนตีสั่งสอน”
คนไม่สมบูรณ์จำเป็นต้องรับการตีสอน และการตีสอนต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็กเรื่อยมา. กษัตริย์แห่งอิสราเอลตรัสว่า “บุคคลผู้ไม่ยอมใช้ไม้เรียวก็เป็นผู้ที่ชังบุตรของตน; แต่บุคคลผู้รักบุตรย่อมเฆี่ยนตีสั่งสอน.”—สุภาษิต 13:24.
ไม้เรียวเป็นสัญลักษณ์หมายถึงอำนาจ. ที่สุภาษิต 13:24 ไม้เรียวหมายถึงอำนาจของบิดามารดา. การนำเอาไม้เรียวมาใช้ในท้องเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าต้องตีเด็กทุกครั้งไป. ทว่า หมายถึงวิธีแก้ไข ไม่ว่าอาจจะใช้วิธีไหนก็ตาม. ในบางกรณี เพียงการว่ากล่าวบุตรอย่างกรุณาก็อาจจะพอสำหรับการแก้ไขความประพฤติที่ไม่เหมาะสม. เด็กบางคนอาจจะต้องได้รับการว่ากล่าวแรงกว่านั้น. “คนที่เข้าใจเมื่อถูกว่ากล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ซึมทราบยิ่งกว่าคนโฉดเขลาที่ถูกโบยสักร้อยราย” ดังกล่าวในสุภาษิต 17:10.
การตีสอนจากบิดามารดาควรกระทำด้วยความรักและความรอบคอบเพื่อประโยชน์ของบุตร. บิดามารดาที่เปี่ยมด้วยความรักย่อมไม่มองข้ามความผิดของบุตร. ในทางตรงกันข้าม เขาจะหาความผิดให้พบเพื่อถอนทิ้งเสียก่อนที่ความผิดนั้นจะหยั่งรากลึกเกินแก้ไข. แน่นอน บิดามารดาที่มีความรักย่อมเอาใจใส่คำตักเตือนของเปาโลที่ว่า “ท่านทั้งหลายผู้เป็นบิดาอย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ แต่จงอบรมด้วยการตีสอนและการเตือนสติขององค์พระผู้เป็นเจ้า.”—เอเฟโซ 6:4.
ถ้าบิดาหรือมารดาตามใจบุตรและไม่ได้ว่ากล่าวแก้ไขตามความจำเป็นล่ะ? ทีหลัง บุตรจะสำนึกบุญคุณบิดามารดาไหมเพราะเขาได้ปล่อยบุตรทำตามอำเภอใจ? ไม่เลย! (สุภาษิต 29:21) คัมภีร์ไบเบิลแถลงว่า “เด็กที่ถูกปล่อยตามใจจะเป็นเหตุให้มารดาของตนอับอาย.” (สุภาษิต 29:15, ล.ม.) การยับยั้งไม่ใช้อำนาจในฐานะเป็นบิดามารดาแสดงถึงความเพิกเฉยหรือขาดความรัก. แต่การใช้อำนาจด้วยความกรุณาและเด็ดเดี่ยวสะท้อนถึงความความรักความห่วงใย.
คนเฉลียวฉลาดและซื่อตรงซึ่งปฏิบัติสอดคล้องกับความรู้แท้จะได้รับบำเหน็จ. ซะโลโมรับรองเราดังนี้: “คนชอบธรรมรับประทานได้จนพอใจ แต่ท้องของคนชั่วร้ายก็หิว.” (สุภาษิต 13:25, ฉบับแปลใหม่) พระยะโฮวาทรงทราบว่าอะไรเป็นประโยชน์สำหรับเราไม่ว่าจะเป็นด้านใด ๆ ของชีวิต เป็นต้นว่า เรื่องครอบครัว, ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับคนอื่น, งานรับใช้, หรือเมื่อรับการตีสอน. และโดยการนำเอาคำแนะนำที่ได้จากพระคำของพระองค์ไปใช้ด้วยความรอบคอบ แน่นอน เราจะดำเนินในแนวทางชีวิตที่ดีที่สุด.
[เชิงอรรถ]
^ วรรค 3 สำหรับการพิจารณาสุภาษิต 13:1-14 เชิญดูวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 กันยายน 2003 หน้า 21-25.
[ภาพหน้า 28]
เมื่อประสบการวิพากษ์วิจารณ์อย่างไม่เป็นธรรม คนฉลาดจะระงับคำพูดของตน
[ภาพหน้า 29]
ผู้ประกาศสัตย์ซื่อแห่งราชอาณาจักรสำเร็จผลในสิ่งดีมากมาย
[ภาพหน้า 30]
ในขณะที่คำพูดชมเชยให้กำลังใจ แต่เราต้องยินดีรับการแก้ไข
[ภาพหน้า 31]
บิดามารดาที่มีความรักย่อมไม่มองข้ามความผิดพลาดของบุตร