คำถามจากผู้อ่าน
คำถามจากผู้อ่าน
คำทูลขอของซะเตฟาโนที่กิจการ 7:59 บ่งชี้ไหมว่า คำอธิษฐานควรจะมุ่งไปที่พระเยซู?
กิจการ 7:59 (ฉบับแปล 2002) กล่าวว่า “ขณะที่พวกเขาเอาหินขว้างสเทเฟน [ซะเตฟาโน] อยู่นั้น ท่านร้องทูลว่า ‘ข้าแต่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย.’ ” ถ้อยคำเหล่านั้นได้ทำให้บางคนนึกสงสัย เพราะคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า พระยะโฮวาทรงเป็น “ผู้สดับคำอธิษฐาน.” (บทเพลงสรรเสริญ 65:2) ซะเตฟาโนอธิษฐานถึงพระเยซูจริง ๆ ไหม? หากเป็นเช่นนั้นจริง นี่จะเป็นการบ่งชี้ไหมว่าพระเยซูทรงเป็นองค์เดียวกันกับพระยะโฮวา?
พระคัมภีร์ไทยฉบับแปลเก่ากล่าวว่า ซะเตฟาโน “กำลังอ้อนวอนพระเจ้า.” เป็นที่เข้าใจได้ว่า ในตอนนั้น หลายคนลงความเห็นเหมือนแมตทิว เฮนรี ผู้ให้อรรถาธิบายคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งกล่าวว่า “ในที่นี้ ซะเตฟาโนอธิษฐานถึงพระคริสต์ และเราต้องทำเช่นเดียวกัน.” แต่ทัศนะดังกล่าวไม่ถูกต้อง. เพราะเหตุใด?
หนังสือข้อสังเกตของบานส์เรื่องพันธสัญญาใหม่ (ภาษาอังกฤษ) ยอมรับอย่างจริงใจว่า “คำว่าพระเจ้าไม่ได้อยู่ในต้นฉบับ และจึงไม่ควรมีอยู่ในฉบับแปล. ไม่มีคำนี้ใน [สำเนาต้นฉบับ] หรือฉบับแปลต่าง ๆ ในสมัยโบราณ.” มีการเติมคำว่า “พระเจ้า” ลงไปในข้อนั้นได้อย่างไร? ผู้คงแก่เรียนเอบิเอล แอบบอต ลิเวอร์มอร์ เรียกการทำอย่างนั้นว่า “ตัวอย่างการแปลตามความเชื่อทางนิกายศาสนาของผู้แปล.” ด้วยเหตุนี้ ฉบับแปลสมัยใหม่ส่วนใหญ่จึงตัดเอาการอ้างถึงพระเจ้าอย่างไม่ถูกต้องนี้ออกไป.
ถึงกระนั้น ฉบับแปลหลายฉบับกล่าวว่า ซะเตฟาโน “อธิษฐาน” ถึงพระเยซู. และที่เชิงอรรถในฉบับแปลโลกใหม่แสดงว่า คำ “ร้องทูล” ยังอาจหมายถึง “การวิงวอน; การอธิษฐาน.” นั่นเป็นการบ่งบอกมิใช่หรือว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ? เปล่าเลย. พจนานุกรมอธิบายศัพท์พันธสัญญาเดิมและใหม่ของไวน์ (ภาษาอังกฤษ) อธิบายว่า ในเรื่องนี้ คำเอพิคาเลโอ ซึ่งเป็นคำดั้งเดิมในภาษากรีก หมายถึง “อ้อนวอน, วิงวอน; . . . ร้องทูลหรืออุทธรณ์ต่อผู้มีอำนาจ.” เปาโลได้ใช้คำเดียวกันนี้เมื่อท่านประกาศว่า “ข้าพเจ้าขออุทธรณ์ถึงกายะซา.” (กิจการ 25:11) ด้วยเหตุนี้ นับว่าเหมาะที่ฉบับแปล 2002 กล่าวว่า ซะเตฟาโน “ร้องทูล” ต่อพระเยซู.
อะไรกระตุ้นซะเตฟาโนให้ร้องทูลดังกล่าว? ตามที่กล่าวไว้ในกิจการ 7:55, 56 ซะเตฟาโน “ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เขม้นดูสวรรค์เห็นรัศมีของพระเจ้า, และพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ [“พระเจ้า,” ล.ม.].” ตามปกติแล้ว ซะเตฟาโนคงจะกล่าวคำอ้อนวอนของท่านต่อพระยะโฮวาในพระนามของพระเยซู. แต่เมื่อเห็นพระเยซูผู้คืนพระชนม์แล้วในนิมิต ดูเหมือนว่า ซะเตฟาโนรู้สึกเป็นอิสระที่จะร้องทูลพระองค์โดยตรง โดยกล่าวว่า “ข้าแต่พระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงรับจิตวิญญาณของข้าพระองค์ด้วย.” ซะเตฟาโนรู้ว่าพระเยซูได้รับอำนาจในการปลุกคนตาย. (โยฮัน 5:27-29) ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงขอพระเยซูให้คุ้มครองวิญญาณ หรือพลังชีวิตของท่าน จนกว่าจะถึงวันที่พระเยซูจะปลุกท่านสู่ชีวิตอมตะในสวรรค์.
ถ้อยคำที่รวบรัดของซะเตฟาโนเป็นการวางแบบอย่างให้อธิษฐานถึงพระเยซูไหม? ไม่เลย. เหตุผลหนึ่งก็คือ ซะเตฟาโนแยกพระเยซูออกจากพระยะโฮวาอย่างชัดเจน เพราะบันทึกนั้นกล่าวว่า ท่านเห็นพระเยซู “ยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ [“พระเจ้า,” ล.ม.].” นอกจากนั้น สภาพการณ์เหล่านี้เป็นกรณีพิเศษ. มีอีกกรณีเดียวเท่านั้นที่มีการพูดในลักษณะเช่นนั้นกับพระเยซู คือกรณีของอัครสาวกโยฮัน ซึ่งท่านได้พูดกับพระเยซูโดยตรงคล้าย ๆ กันนั้น ตอนที่ท่านเห็นพระองค์ในนิมิต.—วิวรณ์ 22:16, 20.
แม้ว่าคริสเตียนในทุกวันนี้กล่าวคำอธิษฐานทั้งหมดของพวกเขาถึงพระยะโฮวาพระเจ้าโดยตรงอย่างเหมาะสม พวกเขาก็มีความเชื่อที่ไม่สั่นคลอนเช่นกันที่ว่า พระเยซูทรงเป็น “การกลับเป็นขึ้นจากตายและเป็นชีวิต.” (โยฮัน 11:25, ล.ม.) ความเชื่อในพระปรีชาสามารถของพระเยซูที่จะปลุกเหล่าผู้ติดตามพระองค์ให้เป็นขึ้นจากตายนั้นจะช่วยเหลือและค้ำจุนเราในยามยากลำบาก เช่นเดียวกับที่ได้ช่วยค้ำจุนซะเตฟาโน.