จงทำตามแบบอย่างที่พระเยซูทรงวางไว้
จงทำตามแบบอย่างที่พระเยซูทรงวางไว้
“เราได้วางแบบอย่างให้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว, เพื่อให้ท่านทำเหมือนที่เราได้กระทำแก่ท่าน.” —โยฮัน 13:15.
1. เพราะเหตุใดพระเยซูจึงเป็นแบบอย่างที่เหมาะสมให้คริสเตียนเลียนแบบ?
ตลอดประวัติศาสตร์มนุษย์ มีเพียงคนเดียวที่ทั้งชีวิตไม่เคยทำบาปเลย. ผู้นั้นคือพระเยซู. นอกจากพระองค์แล้ว “ไม่มีมนุษย์สักคนหนึ่งซึ่งมิได้กระทำบาป.” (1 กษัตริย์ 8:46, ฉบับแปลใหม่; โรม 3:23) ด้วยเหตุนี้ คริสเตียนแท้จึงถือเอาพระเยซูเป็นแบบอย่างอันสมบูรณ์พร้อมสำหรับเลียนแบบ. จริง ๆ แล้ว ในวันที่ 14 ไนซาน ส.ศ. 33 ไม่นานก่อนการสิ้นพระชนม์ พระเยซูบอกสาวกให้เลียนแบบพระองค์. พระองค์ตรัสว่า “เราได้วางแบบอย่างให้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว, เพื่อให้ท่านทำเหมือนที่เราได้กระทำแก่ท่าน.” (โยฮัน 13:15) ในคืนสุดท้ายนั้น พระเยซูได้กล่าวถึงหลายวิธีที่คริสเตียนควรพยายามเป็นเหมือนพระองค์. ในบทความนี้ เราจะพิจารณาวิธีดังกล่าวบางวิธี.
ความถ่อมใจเป็นสิ่งจำเป็น
2, 3. พระเยซูเป็นแบบอย่างอันสมบูรณ์พร้อมเรื่องความถ่อมใจในทางใดบ้าง?
2 เมื่อพระเยซูกระตุ้นสาวกให้ทำตามแบบอย่างของพระองค์ พระองค์กล่าวเป็นพิเศษถึงความถ่อมใจ. มีหลายโอกาสที่พระองค์แนะนำสาวกให้มีความถ่อมใจ และในคืนวันที่ 14 ไนซานนั้น พระองค์แสดงให้เห็นความถ่อมพระทัยของพระองค์เองด้วยการล้างเท้าให้เหล่าอัครสาวก. หลังจากนั้น พระเยซูตรัสว่า “ถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและอาจารย์ได้ล้างเท้าของท่านทั้งหลาย ๆ ควรจะล้างเท้าซึ่งกันและกัน.” (โยฮัน 13:14) ถัดจากนั้น พระองค์ก็บอกให้เหล่าอัครสาวกทำตามแบบอย่างของพระองค์. ช่างเป็นแบบอย่างอันยอดเยี่ยมจริง ๆ ในเรื่องความถ่อมใจ!
3 อัครสาวกเปาโลบอกเราว่า ก่อนเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระเยซู “ทรงสภาพของพระเจ้า.” กระนั้น พระองค์สละพระองค์เองลงมาเป็นมนุษย์ผู้ต่ำต้อย. ยิ่งไปกว่านั้น “พระองค์ได้ทรงถ่อมพระองค์ลง, ยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา, กะทั่งความมรณาที่กางเขนนั้น [“บนหลักทรมาน,” ล.ม.].” (ฟิลิปปอย 2:6-8) ลองคิดดูเรื่องนี้. พระเยซู ผู้มีฐานะตำแหน่งใหญ่เป็นอันดับสองในเอกภพ ยอมลงมาอยู่ต่ำกว่าทูตสวรรค์ บังเกิดเป็นทารกที่ช่วยตัวเองไม่ได้ เจริญวัยขึ้นภายใต้การเลี้ยงดูของบิดามารดาที่เป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์ แล้วในที่สุดก็สิ้นพระชนม์เยี่ยงอาชญากรที่ต่ำช้า. (โกโลซาย 1:15, 16; เฮ็บราย 2:6, 7) ช่างถ่อมพระทัยอะไรเช่นนั้น! เป็นไปได้ไหมที่จะเลียนแบบ “น้ำใจ” และปลูกฝังความ “ใจถ่อม” อย่างนั้น? (ฟิลิปปอย 2:3-5) เป็นไปได้ แต่ก็ไม่ง่าย.
4. มีสิ่งใดบ้างที่ทำให้มนุษย์หยิ่งทะนง เหตุใดความหยิ่งทะนงจึงเป็นอันตราย?
4 สิ่งที่ตรงข้ามกับความถ่อมใจคือความหยิ่งทะนง. สุภาษิต 6:16-19) ความหยิ่งทะนงทำให้ซาตานตกต่ำลง. (1 ติโมเธียว 3:6) ความหยิ่งทะนงเพาะขึ้นในหัวใจมนุษย์ได้ง่าย และเมื่อฝังรากแล้ว ก็ยากจะขจัดออกไป. ผู้คนอาจหยิ่งทะนงเนื่องจากลำพองใจในประเทศชาติ, เชื้อชาติ, ทรัพย์สมบัติ, การศึกษา, ความสำเร็จในงานอาชีพ, ฐานะทางสังคม, รูปร่างหน้าตา, ความสามารถในการกีฬา, และอื่น ๆ นานัปการ. กระนั้น ไม่มีสักอย่างเดียวในสิ่งเหล่านี้ที่มีความสำคัญสำหรับพระยะโฮวา. (1 โกรินโธ 4:7) และถ้าสิ่งเหล่านี้ทำให้เราหยิ่งทะนง มันก็จะก่อความเสียหายต่อสัมพันธภาพระหว่างเรากับพระองค์. “แม้ว่าพระยะโฮวาผู้เป็นใหญ่ยิ่ง, พระองค์ยังทรงระลึกถึงคนต่ำต้อย; แต่คนจองหองนั้นพระองค์ทรงรู้จักแต่เผิน ๆ.”—บทเพลงสรรเสริญ 138:6; สุภาษิต 8:13.
(ความถ่อมใจท่ามกลางพี่น้องของเรา
5. เหตุใดจึงสำคัญยิ่งที่ผู้ปกครองจะเป็นคนถ่อมใจ?
5 แม้แต่การที่เรามีส่วนและประสบผลสำเร็จในงานรับใช้พระยะโฮวาก็ไม่ควรเป็นเหตุให้เราทะนงตน; การมีหน้าที่รับผิดชอบในประชาคมก็ไม่ควรทำให้เราทะนงตนเช่นกัน. (1 โครนิกา 29:14; 1 ติโมเธียว 6:17, 18) ที่จริง ยิ่งเรามีหน้าที่รับผิดชอบมากขึ้นเท่าไร เราก็ยิ่งจำเป็นต้องถ่อมใจมากขึ้นเท่านั้น. อัครสาวกเปโตรแนะนำบรรดาผู้ปกครองไม่ให้ “เป็นเจ้านายที่ข่มขี่ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ, แต่ [ให้] เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะ.” (1 เปโตร 5:3) ผู้ปกครองได้รับการแต่งตั้งให้รับใช้และเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่เป็นนาย.—ลูกา 22:24-26; 2 โกรินโธ 1:24.
6. ในแง่มุมใดบ้างของชีวิตคริสเตียนที่เราต้องมีความถ่อมใจ?
6 ไม่เฉพาะแต่ผู้ปกครองเท่านั้นที่ต้องถ่อมใจ. เมื่อแนะนำคนที่อายุน้อยกว่า ซึ่งอาจภูมิใจที่ตนมีกำลังเรี่ยวแรงเหนือกว่าและความคิดฉับไวกว่าผู้สูงอายุ เปโตรเขียนดังนี้: “จง . . . คาดเอวไว้ด้วยความถ่อมใจ, ในการปฏิบัติต่อกันและกัน ด้วยว่าพระเจ้าทรงต่อสู้คนเหล่านั้นที่ถือตัวจองหอง, แต่พระองค์ทรงประทานพระคุณแก่คนทั้งหลายที่ถ่อมใจลง.” (1 เปโตร 5:5) ใช่แล้ว ความถ่อมใจแบบพระคริสต์เป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับเราทุกคน. เราต้องถ่อมใจเพื่อจะประกาศข่าวดี โดยเฉพาะเมื่อเผชิญความไม่แยแสหรือท่าทีที่เป็นปฏิปักษ์. เราต้องถ่อมใจเพื่อจะยอมรับคำแนะนำหรือปรับเปลี่ยนชีวิตให้เรียบง่ายขึ้นเพื่อขยายขอบเขตในงานรับใช้ของเรา. นอกจากนี้ เราต้องมีความถ่อมใจ อีกทั้งความเชื่อที่ไม่หวั่นไหว ขณะที่อดทนกับการแพร่ข่าวในแง่ลบ, การเล่นงานทางกฎหมาย, หรือการกดขี่ข่มเหงอย่างรุนแรง.—1 เปโตร 5:6.
7, 8. เราจะปลูกฝังความถ่อมใจได้โดยทางใดบ้าง?
7 คนเราจะเอาชนะความหยิ่งทะนงและประพฤติตนอย่างที่มี “ใจถ่อมลง ถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว” ได้อย่างไร? (ฟิลิปปอย 2:3) เขาจำเป็นต้องมองตนเองอย่างที่พระยะโฮวาทรงมองเขา. พระเยซูทรงอธิบายทัศนะที่เหมาะสมเช่นนั้นเมื่อตรัสว่า “เมื่อท่านทั้งหลายได้กระทำสิ่งสารพัตรซึ่งทรงบัญชาไว้แก่ท่านนั้น, ก็คงพูดด้วยว่า, ‘ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบ่าวที่ไม่มีบุญคุณต่อนาย, ข้าพเจ้าได้กระทำตามหน้าที่ซึ่งข้าพเจ้าควรกระทำเท่านั้น?’ ” (ลูกา 17:10) จำไว้ว่าไม่มีสิ่งใดที่เราทำไปจะเทียบได้กับสิ่งที่พระเยซูทำ. แม้กระนั้น พระเยซูก็ทรงถ่อมพระทัย.
8 นอกจากนี้ เราสามารถขอพระยะโฮวาช่วยเราให้มองตนเองอย่างเหมาะสม. เช่นเดียวกับผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญ เราสามารถทูลอธิษฐานว่า “ขอทรงสอนความดีแก่ข้าพเจ้า ความมีเหตุผลและความรู้เช่นนั้นแหละ เพราะข้าพเจ้าได้สำแดงความเชื่อในข้อบัญญัติของพระองค์.” บทเพลงสรรเสริญ 119:66, ล.ม.) พระยะโฮวาจะช่วยเราให้มองตัวเองอย่างสมดุลและมีเหตุผล และพระองค์จะอวยพรเราที่มีเจตคติที่ถ่อมใจ. (สุภาษิต 18:12) พระเยซูตรัสว่า “ผู้ใดจะยกตัวขึ้น ผู้นั้นคงจะถูกเหยียดลง, ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นคงจะถูกยกขึ้น.”—มัดธาย 23:12.
(ทัศนะอันเหมาะสมต่อสิ่งถูกและสิ่งผิด
9. พระเยซูมีทัศนะเช่นไรต่อสิ่งถูกและสิ่งผิด?
9 แม้ว่าดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่สมบูรณ์เป็นเวลา 33 ปี พระเยซูก็ยังคง “ปราศจากความบาป.” (เฮ็บราย 4:15) อันที่จริง เมื่อพยากรณ์เกี่ยวกับพระมาซีฮา ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญกล่าวว่า “พระองค์ทรงรักความชอบธรรมและทรงเกลียดความชั่ว.” (บทเพลงสรรเสริญ 45:7, ล.ม.; เฮ็บราย 1:9) ในแง่มุมนี้ก็เช่นกัน คริสเตียนพยายามเลียนแบบพระเยซู. พวกเขาไม่เพียงแต่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่พวกเขาเกลียดสิ่งผิดและรักสิ่งถูกด้วย. (อาโมศ 5:15) นี่ช่วยพวกเขาเอาชนะความโน้มเอียงในทางบาปของพวกเขาที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด.—เยเนซิศ 8:21; โรม 7:21-25.
10. หากเราประพฤติ “ชั่ว” โดยไม่กลับใจ เรากำลังเผยให้เห็นเจตคติแบบใด?
10 พระเยซูตรัสกับฟาริซายชื่อนิโกเดโมว่า “ทุกคนที่ประพฤติชั่วก็ย่อมชังความสว่าง, และไม่ได้มาถึงความสว่าง, กลัวเกลือกว่าการของตนจะปรากฏ. แต่ทุกคนที่ประพฤติตามความจริงย่อมมาถึงความสว่าง, เพื่อจะให้การของตนปรากฏว่าได้กระทำการนั้นโดยพึ่งพระเจ้า.” (โยฮัน 3:20, 21) ขอให้คิดในเรื่องนี้: โยฮันระบุว่าพระเยซูเป็น “ความสว่างแท้ . . . ซึ่งส่องสว่างถึงทุกคน.” (โยฮัน 1:9, 10) กระนั้น พระเยซูตรัสว่าหากเราประพฤติ “ชั่ว” คือกระทำบาปที่พระเจ้าไม่อาจยอมรับได้ เราก็ชังความสว่าง. คุณนึกออกไหมถึงการชังพระเยซูและมาตรฐานศีลธรรมของพระองค์? แต่นั่นเป็นสิ่งที่ผู้ทำบาปโดยไม่กลับใจกระทำกัน. คนเหล่านั้นอาจไม่คิดว่าตนเองชังพระเยซูกับมาตรฐานศีลธรรมของพระองค์ แต่เห็นได้ชัดว่าพระเยซูคิดเช่นนั้น.
วิธีพัฒนาทัศนะต่อสิ่งถูกและสิ่งผิดแบบเดียวกับพระเยซู
11. เราต้องทำอะไรเพื่อพัฒนาทัศนะต่อสิ่งถูกและสิ่งผิดแบบเดียวกับพระเยซู?
11 เราต้องเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าอะไรถูกอะไรผิดในมุมมองของพระยะโฮวา. เราได้รับความเข้าใจนี้โดยการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลพระคำของพระองค์เท่านั้น. ขณะที่เราศึกษา เราต้องอธิษฐานอย่างที่ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญทูลว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา, ขอทรงโปรดให้ข้าพเจ้ารู้ทางของพระองค์, ขอทรงฝึกสอนข้าพเจ้าให้ดำเนินในพระมรคาของพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 25:4) แต่ขออย่าลืมว่าซาตานเป็นผู้หลอกลวง. (2 โกรินโธ 11:14) มันสามารถทำให้สิ่งผิดดูเหมือนเป็นสิ่งที่ยอมรับได้สำหรับคริสเตียนที่ไม่ระวังตัว. ฉะนั้น เราจำเป็นต้องคิดรำพึงอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่เราเรียนรู้ และเอาใจใส่คำแนะนำของ “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” อย่างถี่ถ้วน. (มัดธาย 24:45-47, ล.ม.) การศึกษา, การอธิษฐาน, และการคิดรำพึงในสิ่งที่เราเรียนรู้ จะช่วยเราเติบโตสู่ความอาวุโส และเป็นผู้ที่ “ฝึกหัดความคิดของเขาจนสังเกตได้ว่าไหนดีไหนชั่ว.” (เฮ็บราย 5:14) เมื่อทำอย่างนั้น เราจะมีแนวโน้มที่จะเกลียดสิ่งผิดและรักสิ่งถูก.
12. คำแนะนำอะไรในคัมภีร์ไบเบิลช่วยเราไม่ให้ประพฤติการอธรรม?
12 หากเราเกลียดสิ่งผิด เราจะไม่ยอมให้ความปรารถนาสิ่งผิดพัฒนาขึ้นในหัวใจของเรา. ผ่านไปหลายปีหลังจากพระเยซูสิ้นพระชนม์ อัครสาวกโยฮันเขียนว่า “อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก. ถ้าคนใดรักโลก, ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย. เพราะว่าสารพัตรซึ่งมีอยู่ในโลก, คือความใคร่ของเนื้อหนังและความใคร่ของตาและการอวดอ้างถือตัวในชาตินี้ไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา, แต่เกิดมาจากโลก.”—1 โยฮัน 2:15, 16.
13, 14. (ก) เหตุใดความรักต่อสิ่งต่าง ๆ ในโลกเป็นอันตรายสำหรับคริสเตียน? (ข) เราจะหลีกเลี่ยงการพัฒนาความรักต่อสิ่งต่าง ๆ ในโลกได้อย่างไร?
1 ติโมเธียว 6:9, 10) นอกจากนี้ หลายสิ่งในโลกที่แท้แล้วเป็นสิ่งชั่วร้ายและอาจทำให้เราเสื่อมทรามได้. หากเราชมภาพยนตร์หรือรายการโทรทัศน์ที่มุ่งเน้นความรุนแรง, การนิยมวัตถุ, หรือการทำผิดศีลธรรมทางเพศ สิ่งเหล่านั้นอาจกลายเป็นที่ยอมรับได้สำหรับเรา และล่อใจเราให้กระทำผิดในที่สุด. ถ้าเราคลุกคลีกับคนที่ความสนใจหลักของพวกเขาอยู่ที่การทำให้รูปแบบชีวิตดีขึ้น หรือการแสวงหาลู่ทางในการทำธุรกิจ สิ่งเหล่านี้ก็อาจกลายเป็นเรื่องหลักที่เราให้ความสำคัญเช่นกัน.—มัดธาย 6:24; 1 โกรินโธ 15:33.
13 บางคนอาจคิดหาเหตุผลว่าไม่ใช่ทุกสิ่งในโลกจะผิดเสมอไป. แม้ว่าเป็นเช่นนั้นจริง แต่โลกกับสิ่งชวนตาชวนใจของโลกก็อาจทำให้เราเขวจากการรับใช้พระยะโฮวาได้ง่าย. และไม่มีสิ่งใดที่โลกเสนอให้จะมีจุดประสงค์เพื่อชักนำเราเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น. ฉะนั้น หากเราพัฒนาความรักต่อสิ่งต่าง ๆ ในโลก แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นในตัวมันเองอาจไม่ผิดเสมอไป เราก็อยู่ในแนวทางที่อันตราย. (14 ในทางตรงข้าม หากเรามีความยินดีในพระคำของพระยะโฮวา “ความใคร่ของเนื้อหนังและความใคร่ของตาและการอวดอ้างถือตัวในชาตินี้” จะไม่เป็นที่ดึงดูดใจเรา. นอกจากนี้ หากเราคบหากับผู้ที่ให้ผลประโยชน์แห่งราชอาณาจักรอยู่ในอันดับแรก เราก็จะเป็นเหมือนพวกเขา รักสิ่งที่พวกเขารักและหลีกเลี่ยงสิ่งที่พวกเขาหลีกเลี่ยง.—บทเพลงสรรเสริญ 15:4; สุภาษิต 13:20.
15. เช่นเดียวกับกรณีของพระเยซู การรักความชอบธรรมและเกลียดการอธรรมจะช่วยเสริมความเข้มแข็งแก่เราอย่างไร?
15 การเกลียดการอธรรมและรักความชอบธรรมช่วยพระเยซูเพ่งมองไปยัง “ความยินดีที่มีอยู่ตรงหน้า.” (เฮ็บราย 12:2) การทำอย่างนั้นช่วยเราได้เช่นกัน. เรารู้ว่า “โลกนี้กับความใคร่ของโลกกำลังผ่านพ้นไป.” ความพึงพอใจที่โลกนี้เสนอให้ดำรงอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น. แต่ “ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าคงจะตั้งอยู่เป็นนิตย์.” (1 โยฮัน 2:17) เนื่องจากพระเยซูกระทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า พระองค์จึงเปิดทางแก่มนุษย์ที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์. (1 โยฮัน 5:13) ขอให้เราทุกคนเลียนแบบพระองค์และได้ประโยชน์จากการที่พระองค์รักษาความซื่อสัตย์มั่นคง.
เผชิญการข่มเหง
16. เหตุผลที่พระเยซูกระตุ้นสาวกของพระองค์ให้รักกันและกันคืออะไร?
16 พระเยซูระบุอีกสิ่งหนึ่งที่สาวกควรเลียนแบบพระองค์ เมื่อตรัสว่า “นี่แหละเป็นบัญญัติของเรา, คือให้ท่านทั้งหลายรักกันและกันเหมือนเราได้รักท่าน.” (โยฮัน 15:12, 13, 17) มีหลายเหตุผลที่คริสเตียนควรรักพี่น้องของตน. ในเวลานั้น เรื่องหลักที่อยู่ในความคิดของพระเยซูคือความเกลียดชังจากโลกที่พวกสาวกจะประสบ. พระองค์ตรัสว่า “ถ้าโลกนี้ชังท่านทั้งหลาย ๆ ก็รู้ว่าเขาได้ชังเราก่อน. . . . บ่าวจะเป็นใหญ่กว่านายหามิได้ ถ้าเขาข่มเหงเราแล้ว, เขาคงจะข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย.” (โยฮัน 15:18, 20) ถูกแล้ว แม้ในเรื่องถูกข่มเหง คริสเตียนก็เป็นเหมือนพระเยซู. พวกเขาจำเป็นต้องสร้างความผูกพันรักใคร่อันแน่นแฟ้นต่อกัน ซึ่งจะช่วยพวกเขาให้ทนรับความเกลียดชังเช่นนั้นได้.
17. เหตุใดโลกจึงเกลียดชังคริสเตียนแท้?
17 ทำไมโลกถึงเกลียดชังคริสเตียน? ก็เนื่องจากพวกเขา “ไม่เป็นส่วนของโลก” เช่นเดียวกับพระเยซู. (โยฮัน 17:14, 16, ล.ม.) พวกเขาวางตัวเป็นกลางในเรื่องสงครามและการเมืองของโลก; พวกเขาปฏิบัติตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิล; พวกเขานับถือความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตและยึดมั่นกับมาตรฐานอันสูงส่งด้านศีลธรรม. (กิจการ 15:28, 29; ) เป้าหมายหลักของพวกเขาเป็นฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ฝ่ายวัตถุ. พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกนี้ก็จริง แต่อย่างที่เปาโลได้เขียนไว้ พวกเขา ‘มิได้ใช้โลกนี้อย่างเต็มที่.’ ( 1 โกรินโธ 6:9-111 โกรินโธ 7:31) จริงอยู่ มีบางคนแสดงความชื่นชมมาตรฐานอันสูงส่งของพยานพระยะโฮวา. แต่พยานพระยะโฮวาไม่อะลุ่มอล่วยเพื่อจะได้รับการชื่นชมหรือการยอมรับ. คนส่วนใหญ่ในโลกจึงไม่เข้าใจพวกเขา และหลายคนเกลียดชังพวกเขา.
18, 19. คริสเตียนทำตามแบบอย่างของพระเยซูอย่างไรเมื่อเผชิญหน้าการต่อต้านและการข่มเหง?
18 อัครสาวกของพระเยซูเป็นประจักษ์พยานถึงความเกลียดชังของโลกเมื่อพระเยซูถูกจับกุมและถูกตัดสินโทษประหาร และพวกเขาได้เห็นว่าพระเยซูเผชิญหน้าความเกลียดชังนั้นอย่างไร. ในสวนเกทเซมาเน ศัตรูทางศาสนาของพระเยซูมาจับกุมพระองค์. เปโตรพยายามปกป้องพระองค์ด้วยดาบ แต่พระเยซูตรัสแก่เปโตรว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย ด้วยว่าบรรดาผู้ถือดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ.” (มัดธาย 26:52; ลูกา 22:50, 51) ยุคก่อนหน้านั้น ชาวอิสราเอลสู้รบกับศัตรูด้วยดาบ. แต่มาบัดนี้ สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไป. ราชอาณาจักรของพระเจ้า “มิได้เป็นส่วนของโลกนี้” และไม่มีอาณาเขตที่จะต้องคอยป้องกันการรุกราน. (โยฮัน 18:36, ล.ม.) ในอีกไม่ช้าหลังจากนี้ เปโตรจะเป็นส่วนหนึ่งของชาติฝ่ายวิญญาณ ซึ่งสมาชิกของชาตินี้มีฐานะเป็นพลเมืองในสวรรค์. (ฆะลาเตีย 6:16; ฟิลิปปอย 3:20, 21) ฉะนั้น นับแต่นี้ไป สาวกของพระเยซูจะเผชิญหน้าความเกลียดชังและการข่มเหงอย่างที่พระเยซูทำ นั่นคือ กล้าหาญเด็ดเดี่ยว แต่ก็รักษาสันติ. พวกเขาละผลที่จะเกิดขึ้นไว้ในพระหัตถ์ของพระยะโฮวาด้วยความมั่นใจ และพึ่งอาศัยกำลังจากพระองค์เพื่อจะทนได้.—ลูกา 22:42.
19 หลายปีต่อมา เปโตรเขียนว่า “พระคริสต์ได้ทรงรับทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย ให้เป็นแบบอย่างแก่ท่าน, เพื่อท่านจะได้ตามรอยพระบาทของพระองค์. . . . ครั้นเขากล่าวคำหยาบคายต่อพระองค์, พระองค์ไม่ได้กล่าวคำหยาบคายตอบแทนเลย เมื่อพระองค์ได้ทรงทนเอาการร้ายเช่นนั้น, พระองค์ไม่ได้ขู่ตวาด แต่ทรงฝากความของพระองค์ไว้แก่พระเจ้าผู้ทรงพิพากษาโดยชอบธรรม.” (1 เปโตร 2:21-23) เป็นจริงอย่างที่พระเยซูเตือนไว้ล่วงหน้า คริสเตียนประสบการกดขี่อย่างโหดร้ายมาตลอดเวลาหลายปี. คริสเตียนทั้งในศตวรรษแรกและปัจจุบันทำตามแบบอย่างของพระเยซู และสร้างประวัติอันยอดเยี่ยมเรื่องความอดทนอย่างซื่อสัตย์ และแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นผู้รักษาความซื่อสัตย์มั่นคงที่รักสันติ. (วิวรณ์ 2:9, 10) ขอเราแต่ละคนทำอย่างเดียวกับพวกเขาหากเผชิญสภาพการณ์เช่นนั้น.—2 ติโมเธียว 3:12.
“จงสวมบุคลิกของพระเยซูคริสต์เจ้า”
20-22. คริสเตียน “สวมบุคลิกของพระเยซูคริสต์เจ้า” ในทางใด?
20 เปาโลเขียนถึงประชาคมในกรุงโรมว่า “ท่านทั้งหลายจงประดับตัวด้วย [“สวมบุคลิกของ,” ล.ม.] พระเยซูคริสต์เจ้า, และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำเรอเนื้อหนัง, เพื่อจะให้สำเร็จตามความปรารถนาของเนื้อหนังนั้น.” (โรม 13:14) คริสเตียนสวมบุคลิกของพระเยซู ประหนึ่งสวมเสื้อผ้า. พวกเขาพยายามเลียนแบบคุณลักษณะและการกระทำของพระองค์ถึงขั้นที่พวกเขาเป็นภาพสะท้อนนายของพวกเขา แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ก็ตาม.—1 เธซะโลนิเก 1:6.
21 เราจะ “สวมบุคลิกของพระเยซูคริสต์เจ้า” ได้ หากเราคุ้นเคยกับชีวิตของนายของเราและพยายามดำเนินชีวิตอย่างที่พระองค์ทรงดำเนิน. เราเลียนแบบพระองค์ในเรื่องความถ่อมใจ, ความรักต่อความชอบธรรม, ความเกลียดต่อการอธรรม, ความรักต่อพี่น้อง, การไม่เป็นส่วนของโลก, และความเพียรอดทนต่อความทุกข์. เราไม่ “จัดเตรียมอะไรไว้บำเรอเนื้อหนัง” กล่าวคือ เราจะไม่ยอมให้การบรรลุเป้าหมายทางโลกหรือการสนองความปรารถนาของเนื้อหนังเป็นจุดมุ่งหมายหลักในชีวิตของเรา. แทนที่จะทำอย่างนั้น
เมื่อตัดสินใจหรือจัดการกับปัญหาใด ๆ เราจะถามว่า ‘พระเยซูจะทำอย่างไรในสภาพการณ์เช่นนี้? พระองค์ปรารถนาจะให้ฉันทำอย่างไร?’22 ประการสุดท้าย เราเลียนแบบพระเยซูด้วยการ “ประกาศข่าวดี” อย่างแข็งขันอยู่เสมอ. (มัดธาย 4:23, ล.ม.; 1 โกรินโธ 15:58) ในวิธีนี้ก็เช่นกัน คริสเตียนทำตามที่พระเยซูได้วางแบบอย่างไว้ และบทความถัดไปจะพิจารณาว่าพวกเขาทำอย่างไร.
คุณอธิบายได้ไหม?
• เหตุใดความถ่อมใจเป็นคุณลักษณะที่สำคัญยิ่งสำหรับคริสเตียน?
• เราจะพัฒนาทัศนะที่เหมาะสมต่อสิ่งถูกและสิ่งผิดได้อย่างไร?
• คริสเตียนเลียนแบบพระเยซูในทางใดเมื่อเผชิญหน้าการต่อต้านและการข่มเหง?
• เป็นไปได้อย่างไรที่จะ “สวมบุคลิกของพระเยซูคริสต์เจ้า”?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 7]
พระเยซูวางแบบอย่างที่สมบูรณ์พร้อมเรื่องความถ่อมใจ
[ภาพหน้า 8]
เราต้องมีความถ่อมใจในทุกแง่มุมของชีวิตคริสเตียน รวมถึงการประกาศสั่งสอนด้วย
[ภาพหน้า 9]
ซาตานสามารถทำให้ความบันเทิงที่ไม่เหมาะสมดูเหมือนเป็นที่ยอมรับได้สำหรับคริสเตียน
[ภาพหน้า 10]
ความรักต่อพี่น้องจะเสริมกำลังเราเมื่อเผชิญการต่อต้าน