“พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง”
“พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง”
“พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง ฉะนั้น จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า.” —1 โกรินโธ 6:20, ฉบับแปล 2002.
1, 2. (ก) ตามพระบัญญัติของโมเซ ทาสชาวอิสราเอลจะต้องได้รับการปฏิบัติเช่นไร? (ข) ทาสที่รักนายของตนมีทางเลือกอะไร?
“การใช้แรงงานทาสมีอยู่ทั่วไปและเป็นที่ยอมรับในโลกยุคโบราณ” พจนานุกรมคัมภีร์ไบเบิลที่มีภาพประกอบของฮอลมัน (ภาษาอังกฤษ) กล่าวไว้เช่นนั้น. หนังสือนี้กล่าวด้วยว่า “ระบบเศรษฐกิจของอียิปต์, กรีซ, และโรม อาศัยแรงงานทาส. ในยุคคริสเตียนช่วงศตวรรษแรก หนึ่งในสามคนในอิตาลี และหนึ่งในห้าคนในที่อื่น ๆ เป็นทาส.”
2 แม้ว่าในอิสราเอลโบราณก็มีระบบทาสเช่นกัน แต่พระบัญญัติของโมเซคุ้มครองทาสชาวฮีบรู. ตัวอย่างเช่น พระบัญญัติกำหนดว่าชาวอิสราเอลคนใด ๆ จะรับใช้เป็นทาสได้ไม่เกินหกปี. ในปีที่เจ็ด “เขาจะได้เป็นอิสระโดยไม่ต้องเสียค่าไถ่.” แต่บทบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิบัติต่อทาสนั้นยุติธรรมและมีมนุษยธรรมถึงขนาดที่มีการจัดเตรียมต่อไปนี้: “ถ้าทาสนั้นมากล่าวเป็นที่เข้าใจชัดเจนว่า ‘ข้าพเจ้ารักนายและลูกเมียของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่อยากออกไปเป็นไท’ ให้นายพาทาสนั้นไปเฝ้าพระเจ้า พาเขาไปที่ประตูหรือไม้วงกบประตู แล้วให้นายเจาะหูเขาด้วยเหล็กหมาด เขาก็จะอยู่ปรนนิบัตินายต่อไปจนชีวิตหาไม่.”—เอ็กโซโด 21:2-6, ฉบับแปลใหม่; เลวีติโก 25:42, 43; พระบัญญัติ 15:12-18.
3. (ก) คริสเตียนศตวรรษแรกยอมรับเอาสภาพทาสแบบใด? (ข) อะไรกระตุ้นเราให้รับใช้พระเจ้า?
3 การจัดเตรียมเรื่องการเป็นทาสด้วยใจสมัครให้ภาพล่วงหน้าของการเป็นทาสรูปแบบหนึ่งที่คริสเตียนแท้อยู่ในฐานะนั้น. ตัวอย่างเช่น เปาโล, ยาโกโบ, เปโตร, และยูดา ติโต 1:1; ยาโกโบ 1:1; 2 เปโตร 1:1; ยูดา 1) เปาโลเตือนใจคริสเตียนในเมืองเทสซาโลนิเกว่า พวกเขาได้ “หันจากรูปเคารพ [ของพวกเขา] มาหาพระเจ้าเพื่อเป็นทาสรับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่และเที่ยงแท้.” (1 เธซะโลนิเก 1:9, ล.ม.) อะไรที่กระตุ้นคริสเตียนเหล่านั้นให้เต็มใจเป็นทาสพระเจ้า? ก็อะไรล่ะที่เป็นแรงกระตุ้นในกรณีของทาสชาวอิสราเอลซึ่งสละสิทธิ์ของเขาที่จะได้เป็นอิสระ? นั่นคือความรักที่เขามีต่อผู้เป็นนายมิใช่หรือ? การยอมเป็นทาสของคริสเตียนก็เกิดจากความรักที่มีต่อพระเจ้า. เมื่อเราได้มารู้จักและรักพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงพระชนม์อยู่ เราถูกกระตุ้นใจให้อยากรับใช้พระองค์ “ด้วยสุดจิตต์สุดใจ [ของเรา].” (พระบัญญัติ 10:12, 13) แต่การมาเป็นทาสของพระเจ้าและของพระคริสต์เกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง? การเป็นทาสดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของเราอย่างไร?
ผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิล กล่าวถึงตัวเองว่าเป็นทาสของพระเจ้าและของพระคริสต์. (“จงกระทำทุกสิ่งให้เป็นที่ถวายเกียรติยศแก่พระเจ้า”
4. เรากลายมาเป็นทาสของพระเจ้าและพระคริสต์อย่างไร?
4 ทาสได้รับการนิยามว่าเป็น “บุคคลที่มีคนอื่นเป็นเจ้าของอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเขามีพันธะต้องเชื่อฟังทุกประการ.” พระยะโฮวาเป็นเจ้าของตัวเราอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อเราอุทิศชีวิตของเราแด่พระองค์และรับบัพติสมา. อัครสาวกเปาโลอธิบายว่า “ท่านทั้งหลายไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง เพราะว่าพระเจ้าทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง.” (1 โกรินโธ 6:19, 20, ฉบับแปล 2002) แน่นอน ราคาสูงที่ว่านั้นก็คือเครื่องบูชาไถ่ของพระเยซูคริสต์ เนื่องจากโดยอาศัยค่าไถ่นี้เองที่พระเจ้าทรงรับเราเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่ว่าเราเป็นคริสเตียนผู้ถูกเจิมหรือเป็นสหายของพวกเขาที่มีความหวังทางแผ่นดินโลก. (เอเฟโซ 1:7; 2:13; วิวรณ์ 5:9) ด้วยเหตุนี้ นับตั้งแต่ตอนที่เรารับบัพติสมา “เรา . . . เป็นของพระยะโฮวา.” (โรม 14:8, ล.ม.) เนื่องจากเราถูกซื้อไว้แล้วด้วยพระโลหิตอันมีค่ามากของพระเยซูคริสต์ เราจึงเป็นทาสของพระองค์ด้วยและมีพันธะต้องเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์.—1 เปโตร 1:18, 19.
5. ฐานะทาสของพระยะโฮวา เรามีพันธะสำคัญอะไรเป็นอันดับแรก และเราจะทำให้สำเร็จโดยวิธีใด?
5 ทาสต้องเชื่อฟังนายของตน. เรายอมตัวเป็นทาสด้วยใจสมัคร และเพราะมีความรักต่อพระผู้เป็นนาย. หนึ่งโยฮัน 5:3 กล่าวว่า “นี่แหละเป็นความรักพระเจ้า, คือว่าให้เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระ บัญญัติของพระองค์หาหนักใจไม่.” ดังนั้นแล้ว สำหรับเรา การเชื่อฟังพระองค์จึงเป็นหลักฐานพิสูจน์ถึงความรักและการยอมอยู่ใต้อำนาจ. สิ่งนี้ปรากฏในทุกสิ่งที่เราทำ. เปาโลกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจะกินจะดื่มก็ดี, หรือจะทำประการใดก็ดี, จงกระทำทุกสิ่งให้เป็นที่ถวายเกียรติยศแก่พระเจ้า.” (1 โกรินโธ 10:31) ในชีวิตประจำวัน แม้ในเรื่องเล็กน้อย เราต้องการจะแสดงให้เห็นว่าเรา “รับใช้พระยะโฮวาอย่างขยันขันแข็ง.”—โรม 12:11, ล.ม.
6. การเป็นทาสของพระเจ้ามีผลกระทบเช่นไรต่อการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ของชีวิต? จงยกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงเรื่องนี้.
6 ตัวอย่างเช่น เมื่อเราตัดสินใจ เราปรารถนาจะคำนึงถึงอย่างจริงจังในเรื่องพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา นายของเราทางภาคสวรรค์. (มาลาคี 1:6) การตัดสินใจที่ยากอาจทดสอบว่าเราเชื่อฟังพระเจ้าหรือไม่. ในกรณีนั้น เราจะเชื่อฟังคำแนะนำของพระองค์แทนที่จะทำตามความโน้มเอียงของหัวใจเราซึ่ง “ทรยศ” และ “สิ้นคิด” ไหม? (ยิระมะยา 17:9, ล.ม.) หลังจากเมลิซาซึ่งเป็นคริสเตียนโสดรับบัพติสมาได้ไม่นาน ก็มีชายหนุ่มมาสนใจเธอ. เขาดูเป็นคนดี และก็กำลังศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวาอยู่แล้ว. กระนั้น ผู้ปกครองคนหนึ่งพูดกับเมลิซาถึงแนวทางแห่งสติปัญญาของการทำตามพระบัญชาของพระยะโฮวาที่ให้สมรส “เฉพาะในองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น.” (1 โกรินโธ 7:39, ล.ม.; 2 โกรินโธ 6:14) เมลิซายอมรับว่า “การทำตามคำแนะนำนั้นไม่ง่ายเลย. แต่ฉันตัดสินใจว่าเนื่องจากได้อุทิศตัวแด่พระเจ้าเพื่อทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์แล้ว ฉันจะเชื่อฟังคำชี้นำที่ชัดเจนจากพระองค์.” เมื่อคิดถึงสิ่งที่ได้เกิดขึ้น เธอกล่าวว่า “ฉันดีใจมากที่ได้ทำตามคำแนะนำนั้น. ไม่นานชายคนนั้นก็เลิกศึกษา. หากฉันคบหากับเขาต่อไป ตอนนี้ฉันคงแต่งงานกับคนที่ไม่เชื่อไปแล้ว.”
7, 8. (ก) ทำไมเราไม่ควรเป็นห่วงเกินไปในเรื่องการทำให้มนุษย์ชอบใจ? (ข) จงยกตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าจะเอาชนะความกลัวมนุษย์ได้อย่างไร.
7 ฐานะที่เป็นทาสของพระเจ้า เราต้องไม่กลายเป็นทาสของมนุษย์. (1 โกรินโธ 7:23) จริงอยู่ ไม่มีใครในพวกเราอยากเป็นคนที่ไม่เป็นที่นิยมชมชอบ แต่เราก็ต้องไม่ลืมว่าคริสเตียนมีมาตรฐานต่างจากโลก. เปาโลถามว่า “ข้าพเจ้าอุตส่าห์เอาใจมนุษย์หรือ?” ข้อสรุปของท่านคือ “ถ้าข้าพเจ้ากำลังเอาใจมนุษย์อยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ทาสของพระคริสต์.” (ฆะลาเตีย 1:10, ฉบับแปล 2002) เราจะจำนนต่อความกดดันจากคนรอบข้างและกลายเป็นคนประจบเอา ใจมนุษย์ไม่ได้. ถ้าอย่างนั้น เราจะทำอะไรได้บ้างเมื่อเผชิญความกดดันให้ยอมตาม?
8 ขอพิจารณาตัวอย่างของเอเลนา เยาวชนคริสเตียนในประเทศสเปน. เธอมีเพื่อนร่วมชั้นหลายคนที่บริจาคโลหิต. เพื่อน ๆ รู้ว่าเอเลนาเป็นพยานพระยะโฮวา และจะไม่บริจาคเลือดหรือรับการถ่ายเลือด. เมื่อมีโอกาสที่จะได้อธิบายจุดยืนของเธอแก่นักเรียนทั้งห้อง เอเลนาสมัครที่จะรายงานหน้าชั้น. เอเลนาอธิบายว่า “บอกตามตรงว่าหนูรู้สึกประหม่ามากในเรื่องนี้ แต่หนูก็เตรียมตัวอย่างดี และผลที่ออกมาก็น่าประหลาดใจ. หนูได้รับความนับถือจากเพื่อนนักเรียนหลายคน และครูบอกหนูว่าเขาชื่นชมงานประกาศที่หนูทำอยู่. ที่สำคัญที่สุด หนูรู้สึกอิ่มใจที่ได้ปกป้องพระนามพระยะโฮวาและสามารถอธิบายเหตุผลได้อย่างชัดเจนสำหรับจุดยืนตามหลักพระคัมภีร์ของหนู.” (เยเนซิศ 9:3, 4; กิจการ 15:28, 29) ถูกแล้ว ฐานะทาสของพระเจ้าและของพระคริสต์ เราแตกต่างจากคนอื่น. อย่างไรก็ตาม เราอาจได้รับความนับถือจากคนอื่นหากเราพร้อมจะปกป้องความเชื่อของเราด้วยความนับถือ.—1 เปโตร 3:15.
9. เราเรียนอะไรจากทูตสวรรค์ที่ปรากฏแก่อัครสาวกโยฮัน?
9 การระลึกว่าเราเป็นทาสของพระเจ้ายังช่วยเราให้รักษาความถ่อมใจด้วย. ในโอกาสหนึ่ง อัครสาวกโยฮันประทับใจกับนิมิตอันงดงามตระการตาของเยรูซาเลมฝ่ายสวรรค์จนถึงกับทรุดตัวลงนมัสการแทบเท้าทูตสวรรค์ที่เป็นผู้แจ้งข่าวของพระเจ้านั้น. ทูตสวรรค์บอกท่านว่า “จงระวัง อย่าทำเช่นนั้น! ข้าพเจ้าเป็นแค่เพื่อนทาสของท่านและของพวกพี่น้องของท่านซึ่งเป็นผู้พยากรณ์และของคนเหล่านั้นซึ่งปฏิบัติตามถ้อยคำแห่งหนังสือม้วนนี้. จงนมัสการพระเจ้าเถิด.” (วิวรณ์ 22:8, 9, ล.ม.) นี่เป็นตัวอย่างที่ดีเยี่ยมจริง ๆ ซึ่งทูตสวรรค์วางแบบอย่างไว้สำหรับทาสทั้งมวลของพระเจ้า! คริสเตียนบางคนอาจอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ที่มีความรับผิดชอบพิเศษในประชาคม. ถึงกระนั้น พระเยซูตรัสว่า “ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ก็ให้ผู้นั้นเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย. ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้นก็ให้ผู้นั้นเป็นทาสของพวกท่าน.” (มัดธาย 20:26, 27) ในฐานะสาวกของพระเยซู เราทุกคนเป็นทาส.
“ข้าพเจ้าได้กระทำตามหน้าที่ซึ่งข้าพเจ้าควรกระทำเท่านั้น”
10. จงให้ตัวอย่างจากพระคัมภีร์เพื่อแสดงว่า ไม่ง่ายเสมอไปสำหรับผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าที่จะทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์.
10 การทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าไม่ง่ายเสมอไปสำหรับมนุษย์ไม่สมบูรณ์. ผู้พยากรณ์โมเซลังเลที่จะรับเอางานมอบหมายเมื่อพระยะโฮวาใช้ท่านไปนำชาวอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์. (เอ็กโซโด 3:10, 11; 4:1, 10) เมื่อได้รับงานมอบหมายให้ไปแจ้งข่าวสารการพิพากษาแก่ชาวเมืองนีเนเวห์ โยนา “ได้ลุกขึ้นหนีไปยังเมืองธาระซิศเพื่อให้พ้นจากพระพักตร์พระยะโฮวา.” (โยนา 1:2, 3) บารุค เลขานุการของผู้พยากรณ์ยิระมะยา โอดครวญเรื่องความเหน็ดเหนื่อยของท่าน. (ยิระมะยา 45:2, 3, ล.ม.) เราควรตอบสนองเช่นไรเมื่อความปรารถนาหรือความชอบส่วนตัวของเราขัดแย้งกับการทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า? อุปมาเรื่องหนึ่งของพระเยซูให้คำตอบ.
11, 12. (ก) จงเล่าอุปมาของพระเยซูที่บันทึกในลูกา 17:7-10 อย่างย่อ ๆ. (ข) เราเรียนอะไรจากอุปมาของพระเยซู?
11 พระเยซูตรัสเรื่องทาสซึ่งดูแลฝูงแกะของนายทั้งวันในทุ่ง. เมื่อทาสซึ่งเหน็ดเหนื่อยจากงานหนักมาตลอด 12 ชั่วโมงกลับมาถึงเรือน นายไม่ได้เชิญเขานั่งลงกินอาหารเย็นมื้ออร่อย. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น นายสั่งว่า “จงหาให้เรากิน, และคาดเอวไว้ปรนนิบัติเราจนเราจะกินและดื่มอิ่มลูกา 17:7-10.
แล้ว, และภายหลังเจ้าจึงค่อยกินและดื่ม.” ทาสจะเอาใจใส่ความต้องการของตนได้ก็ต่อเมื่อปรนนิบัตินายเสร็จแล้ว. พระเยซูสรุปอุปมานี้โดยกล่าวว่า “ฉันใดก็ดี, เมื่อท่านทั้งหลายได้กระทำสิ่งสารพัตรซึ่งทรงบัญชาไว้แก่ท่านนั้น, ก็คงพูดด้วยว่า, ‘ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบ่าวที่ไม่มีบุญคุณต่อนาย, ข้าพเจ้าได้กระทำตามหน้าที่ซึ่งข้าพเจ้าควรกระทำเท่านั้น.’ ”—12 พระเยซูไม่ได้กล่าวอุปมานี้เพื่อแสดงว่าพระยะโฮวาไม่หยั่งรู้ค่าสิ่งที่เราทำในการรับใช้พระองค์. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างชัดเจนว่า “พระเจ้าไม่ใช่อธรรมที่จะทรงลืมการงานของท่านและความรักที่ท่านได้สำแดงต่อพระนามของพระองค์.” (เฮ็บราย 6:10) แทนที่จะเป็นอย่างนั้น จุดสำคัญของอุปมาของพระเยซูคือ ทาสไม่อาจทำอะไรได้ตามใจชอบหรือให้ความสำคัญที่สุดกับความสะดวกสบายของตัวเอง. เมื่อเราอุทิศตัวแด่พระเจ้าและเลือกเป็นทาสของพระองค์ เราตกลงปลงใจที่จะให้พระทัยประสงค์ของพระองค์มาก่อนของเราเอง. เราต้องให้ความประสงค์ของเราอยู่รองจากพระทัยประสงค์ของพระเจ้า.
13, 14. (ก) มีกรณีใดบ้างที่เราอาจต้องเอาชนะแนวโน้มของตัวเราเอง? (ข) ทำไมเราควรให้การทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าอยู่เหนือสิ่งอื่นใด?
13 การศึกษาพระคำของพระเจ้าและสรรพหนังสือจาก “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” เป็นประจำอาจต้องใช้ความพยายามมากสำหรับเรา. (มัดธาย 24:45, ล.ม.) อาจเป็นอย่างนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าการอ่านเป็นเรื่องยากสำหรับเราเสมอมา หรือหากมีการพิจารณา “สิ่งลึกซึ้งของพระเจ้า” ในหนังสือนั้น. (1 โกรินโธ 2:10, ล.ม.) ถึงกระนั้น เราก็ควรจัดเวลาไว้สำหรับการศึกษาส่วนตัวมิใช่หรือ? เราอาจต้องใช้วินัยกับตัวเองเพื่อนั่งลงและใช้เวลากับเนื้อหาที่ศึกษานั้น. แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้ว เราจะพัฒนาความปรารถนาที่จะรับ “อาหารแข็ง [ที่] เป็นของผู้อาวุโส” ได้อย่างไรกัน?—เฮ็บราย 5:14, ล.ม.
14 แล้วถ้าเรากลับมาถึงบ้านด้วยความเหนื่อยอ่อนหลังจากทำงานมาทั้งวันล่ะ? เราอาจต้องออกแรงพยายามเพื่อไปเข้าร่วมการประชุมคริสเตียน. หรือการประกาศกับคนแปลกหน้าก็อาจไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ. เปาโลเองก็ยอมรับว่ามีบางครั้งที่เราประกาศข่าวดีอย่าง “ขืนใจทำ.” (1 โกรินโธ 9:17) กระนั้น เราทำสิ่งเหล่านี้เพราะพระยะโฮวา—นายของเราในสวรรค์ ผู้ซึ่งเรารัก—บอกว่านั่นเป็นสิ่งที่เราควรทำ. และเราก็รู้สึกอิ่มใจพอใจและสดชื่นมิใช่หรือหลังจากได้ใช้ความพยายามในการศึกษาพระคัมภีร์, เข้าร่วมประชุมคริสเตียน, และออกประกาศ?—บทเพลงสรรเสริญ 1:1, 2; 122:1; 145:10-13.
อย่าหันกลับไปมองดู “สิ่งที่อยู่เบื้องหลัง”
15. พระเยซูวางแบบอย่างไว้อย่างไรในเรื่องการยินดีเชื่อฟังพระเจ้า?
15 พระเยซูคริสต์เป็นแบบอย่างล้ำเลิศที่แสดงถึงการยินดีเชื่อฟังพระบิดาของพระองค์ผู้สถิตอยู่ในสวรรค์. พระเยซูบอกเหล่าสาวกว่า “เราได้ลงมาจากสวรรค์มิใช่เพื่อจะทำตามความประสงค์ของเราเอง, แต่เพื่อจะทำตามความประสงค์ของพระองค์ที่ทรงใช้เรามา.” (โยฮัน 6:38) ขณะทุกข์พระทัยอยู่ในสวนเกทเซมาเน พระองค์ทูลอธิษฐานว่า “โอพระบิดาของข้าพเจ้า ถ้าเป็นได้ขอให้จอกนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพเจ้าเถิด, แต่อย่างไรก็ดีอย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพเจ้า แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์.”—มัดธาย 26:39.
16, 17. (ก) เราควรมีทัศนะเช่นไรต่อสิ่งที่เราทิ้งไว้เบื้องหลัง? (ข) จงแสดงให้เห็นว่าเปาโลมีทัศนะที่ตรงกับความเป็นจริงอย่างไรที่ตีค่าโอกาสที่ท่านจะก้าวหน้าฝ่ายโลกว่าเป็นเหมือน “หยากเยื่อ.”
16 พระเยซูคริสต์ต้องการให้เราซื่อสัตย์ต่อการตัดสินใจของเราที่ได้เลือกเป็นทาสของพระเจ้า. พระองค์ตรัสว่า “ไม่มีคนใดที่ได้เอามือจับคันไถแล้วและมองดูสิ่งที่อยู่เบื้องหลังจะเหมาะสมกับราชอาณาจักรของพระเจ้า.” (ลูกา 9:62, ล.ม.) การครุ่นคิดถึงสิ่งที่เราทิ้งไว้เบื้องหลังไม่ใช่สิ่งเหมาะสมอย่างแน่นอนเมื่อเป็นทาสรับใช้พระเจ้า. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราควรทะนุถนอมสิ่งที่เราได้รับจากการเลือกเป็นทาสของพระเจ้า. เปาโลเขียนถึงคริสเตียนในเมืองฟิลิปปีว่า “แท้จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัตรเป็นที่ไร้ประโยชน์เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์เจ้าของข้าพเจ้า. เพราะเหตุพระองค์นั้นข้าพเจ้าได้ยอมสละ สิ่งสารพัตร, และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์.”—ฟิลิปปอย 3:8.
17 ขอคิดถึงสิ่งสารพัดที่เปาโลถือว่าเป็นหยากเยื่อและละทิ้งเพื่อจะได้บำเหน็จฝ่ายวิญญาณในฐานะทาสของพระเจ้า. ไม่เพียงชีวิตสะดวกสบายฝ่ายโลกเท่านั้นที่ท่านทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่ยังรวมถึงโอกาสในอนาคตที่จะได้เป็นผู้นำคนหนึ่งในลัทธิยูดายด้วย. หากเปาโลยังถือลัทธิยูดายอยู่ ท่านอาจขึ้นมาอยู่ในระดับเดียวกับสิเมโอนบุตรชายฆามาลิเอล ผู้เป็นอาจารย์ของเปาโล. (กิจการ 22:3; ฆะลาเตีย 1:14) สิเมโอนกลายมาเป็นผู้นำคนหนึ่งของพวกฟาริซายและมีบทบาทสำคัญ—แม้ว่าไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง—ในการกบฏต่อโรมในช่วงปี ส.ศ. 66-70. เขาเสียชีวิตในการกบฏครั้งนั้นด้วยน้ำมือของชาวยิวหัวรุนแรงหรือไม่ก็กองทัพโรมัน.
18. จงยกตัวอย่างที่แสดงว่าการบรรลุเป้าหมายฝ่ายวิญญาณให้ผลตอบแทนอย่างไร.
18 พยานพระยะโฮวาหลายคนติดตามตัวอย่างของเปาโล. จีนเล่าว่า “ไม่กี่ปีหลังจากเรียนจบ ฉันได้งานเป็นเลขานุการของทนายความชื่อดังคนหนึ่งในลอนดอน. ฉันสนุกกับงานและรายได้ก็ดี แต่ในใจก็รู้ว่าตัวเองทำได้มากกว่านี้เพื่อรับใช้พระยะโฮวา. ในที่สุด ฉันขอยื่นใบลาออกและเริ่มเป็นไพโอเนียร์. ฉันดีใจจริง ๆ ที่ทำเช่นนั้นเมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว! งานรับใช้เต็มเวลาทำให้ชีวิตฉันมีความหมายยิ่งกว่างานเลขานุการใด ๆ. ไม่มีอะไรจะก่อความอิ่มใจมากไปกว่าการได้เห็นว่าพระคำของพระยะโฮวาสามารถเปลี่ยนชีวิตของผู้คนอย่างไร. การมีส่วนช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนเช่นนั้นเป็นเรื่องที่วิเศษ. สิ่งที่เราทำเพื่อพระยะโฮวานั้นเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เราได้รับจากพระองค์.”
19. อะไรควรเป็นความตั้งใจของเรา และเพราะเหตุใด?
19 สภาพการณ์ของเราอาจเปลี่ยนไปตามกาลเวลา. แต่การอุทิศตัวของเราแด่พระเจ้ายังเหมือนเดิม. เรายังคงเป็นทาสของพระยะโฮวา และพระองค์ปล่อยให้เราตัดสินใจเองว่าจะใช้เวลา, พลังงาน, ความสามารถพิเศษ, และทรัพย์สินอื่น ๆ ของเราอย่างไรให้ดีที่สุด. ดังนั้น การตัดสินใจของเราในเรื่องนี้จึงสามารถสะท้อนให้เห็นความรักที่เรามีต่อพระเจ้า. การตัดสินใจที่เราทำลงไปยังเผยให้เห็นด้วยว่าเราเต็มใจเสียสละถึงขีดไหน. (มัดธาย 6:33) ไม่ว่าสภาพการณ์ของเราเป็นเช่นไร เราควรตั้งใจจะถวายสิ่งที่ดีที่สุดของเราแด่พระยะโฮวามิใช่หรือ? เปาโลเขียนว่า “ถ้ามีน้ำใจพร้อมอยู่ก่อนแล้ว, พระเจ้าก็พอพระทัยที่จะทรงโปรดรับไว้ตามซึ่งทุกคนมีอยู่, มิใช่ตามซึ่งเขาไม่มี.”—2 โกรินโธ 8:12.
“พวกท่านจึงเกิดผล”
20, 21. (ก) ทาสของพระเจ้าเกิดผลอะไร? (ข) พระยะโฮวาประทานบำเหน็จอย่างไรแก่ผู้ถวายสิ่งที่ดีที่สุดของตนแด่พระองค์?
20 การเป็นทาสของพระเจ้าไม่ใช่การถูกกดขี่. ตรงกันข้าม การเป็นทาสของพระเจ้าทำให้เราหลุดพ้นจากการเป็นทาสที่ถูกกดขี่รูปแบบหนึ่งซึ่งพรากความสุขของเราไป. เปาโลเขียนว่า “พวกท่านได้รับการปลดปล่อยจากบาปแล้ว . . . พวกท่านจึงเกิดผลเป็นความบริสุทธิ์ และผลบั้นปลายคือชีวิตนิรันดร์.” (โรม 6:22, ล.ม.) การเป็นทาสของพระเจ้าเกิดผลเป็นความบริสุทธิ์ในแง่ที่ว่าเราได้ประโยชน์จากความประพฤติที่บริสุทธิ์หรือสะอาดด้านศีลธรรม. ยิ่งกว่านั้น การเป็นทาสของพระเจ้าจะนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ในอนาคต.
21 พระยะโฮวาทรงมีพระทัยกว้างต่อทาสของพระองค์. เมื่อเราทำอย่างดีที่สุดในการรับใช้พระองค์ พระองค์จะทรง “เปิดบัญชรท้องฟ้า” และ “เทพรให้แก่ [เรา] จนเกินความต้องการ.” (มาลาคี 3:10) ช่างจะเป็นความยินดีไม่รู้สิ้นสุดเสียจริง ๆ ที่จะรับใช้เป็นทาสของพระยะโฮวาไปตลอดชั่วนิรันดร์!
คุณจำได้ไหม?
• เหตุใดเราจึงมาเป็นทาสของพระเจ้า?
• เราจะแสดงอย่างไรว่าเรายินดีทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า?
• ทำไมเราควรเต็มใจให้พระทัยประสงค์ของพระยะโฮวามาก่อนของเราเอง?
• ทำไมเราไม่ควรหันกลับไป “มองดูสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง”?
[คำถาม]
[ภาพหน้า 16, 17]
การจัดเตรียมเรื่องการเป็นทาสด้วยใจสมัครในชาติอิสราเอลเป็นภาพล่วงหน้าของการที่คริสเตียนยอมตัวเป็นทาส
[ภาพหน้า 17]
เรากลายมาเป็นทาสของพระเจ้าเมื่อเรารับบัพติสมา
[ภาพหน้า 17]
คริสเตียนให้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าอยู่ในอันดับแรก
[ภาพหน้า 18]
โมเซลังเลที่จะรับงานมอบหมาย