ลูกกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งได้พบบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก
เรื่องราวชีวิตจริง
ลูกกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งได้พบบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก
เล่าโดยดิมิทริส ซิดิโรพูลอส
“ไปสิ เอาปืนนี้ไป แล้วยิงเลย” นายทหารตวาดพร้อมกับยื่นปืนไรเฟิลมาให้ผม. ผมนิ่งเฉยไม่ยอมรับ. พวกทหารต่างก็ตกใจเมื่อปืนในมือนายทหารลั่นเปรี้ยง กระสุนเฉียดหัวไหล่ผมไป. ผมหวิดตาย. น่ายินดี ผมรอดชีวิตมาได้. แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชีวิตของผมตกอยู่ในอันตราย.
พ่อแม่ผมเป็นคนกรีก อาศัยอยู่ใกล้เคเซรี ในมณฑลกัปปะโดเกีย ประเทศตุรกี. ดูเหมือนว่าบางคนจากดินแดนแถบนี้ได้เข้ามาเป็นคริสเตียนในศตวรรษแรก. (กิจการ 2:9) อย่างไรก็ดี พอมาถึงต้นศตวรรษที่ 20 สิ่งต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง.
จากผู้ลี้ภัยกลายมาเป็นเด็กกำพร้า
เพียงสองสามเดือนหลังจากผมเกิดเมื่อปี 1922 มีการสู้รบระหว่างชาติพันธุ์เป็นเหตุให้ครอบครัวของเรากลายเป็นผู้ลี้ภัยไปอยู่ในประเทศกรีซ. ด้วยความตกใจกลัวจนทำอะไรไม่ถูก พ่อแม่ผมทิ้งบ้านช่อง ไม่เอาอะไรไปด้วยนอกจากลูกน้อยอายุไม่กี่เดือนคือตัวผมนี้แหละ. หลังจากฟันฝ่าความทุกข์ยากแสนสาหัส ทั้งสองในสภาพน่าสงสารก็มาถึงหมู่บ้านคีเรียใกล้เมืองดรามา ภาคเหนือของกรีซ.
พอผมอายุสี่ขวบ และหลังจากน้องชายผมเกิด พ่อก็มาด่วนจากไป. พ่ออายุแค่ 27 ปี แต่เนื่องจากความทุกข์ยากในช่วงที่ลำบากมาก สุขภาพของพ่อจึงทรุดโทรม. แม่อยู่อย่างอัตคัดขัดสน และไม่นานต่อมาแม่ก็ตายด้วย. ท่านไม่มีวัตถุปัจจัยที่จำเป็นเหลือไว้ให้ผมและน้องชายเลย. เราสองคนถูกส่งไปอยู่ในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งแล้วแห่งเล่า แล้วลงเอย
ที่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้าในเมืองเทสซาโลนิเกเมื่อผมอายุ 12 ปี ที่นั่นผมเป็นลูกมือฝึกหัดงานเป็นช่างเครื่อง.ขณะที่ผมเติบโตอยู่แต่ในโรงเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งไม่มีน้ำใจให้กัน ผมสงสัยว่าทำไมบางคนประสบความทุกข์และความอยุติธรรมมากเหลือเกิน. ผมถามตัวเอง ไฉนหนอพระเจ้ายอมให้สภาพน่าสลดใจเช่นนี้มีอยู่. ในชั่วโมงวิชาศีลธรรม เขาสอนเราว่าพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์ทุกประการ แต่ไม่มีการอธิบายด้วยเหตุด้วยผลว่าทำไมความชั่วจึงมีอยู่อย่างแพร่หลาย. บทเพลงสวดอันเป็นที่นิยมกันมีถ้อยคำที่ว่าคริสตจักรกรีกออร์โทด็อกซ์เป็นศาสนาที่ดีเยี่ยม. เมื่อผมถามว่า “ถ้านิกายออร์โทด็อกซ์ดีที่สุด ไฉนผู้คนไม่เข้าเป็นออร์โทด็อกซ์กันทุกคนล่ะ?” ผมไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ.
กระนั้น ครูของเรานับถือพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้ง ทั้งตอกย้ำให้เรารู้ว่าไบเบิลเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์. ผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็มีทัศนะอย่างเดียวกัน แต่โดยเหตุผลไม่แน่ชัดบางอย่าง เขาละเว้นการร่วมชุมนุมนมัสการทางศาสนา. เมื่อผมสอบถามก็ได้คำตอบว่าครั้งหนึ่งเขาเคยศึกษากับพยานพระยะโฮวา ซึ่งเป็นศาสนาที่ผมไม่รู้จัก.
ผมจบการศึกษาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เทสซาโลนิเกเมื่ออายุ 17 ปี. สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เริ่มขึ้น และประเทศกรีซตกอยู่ภายใต้การครอบครองของนาซี. ประชาชนอดอยากล้มตายบนท้องถนน. เพื่อจะรอดชีวิต ผมหลบไปอยู่บ้านนอก ทำงานรับค่าจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ.
คัมภีร์ไบเบิลมีคำตอบให้ผม
เมื่อผมกลับมาที่เมืองเทสซาโลนิเกในเดือนเมษายน 1945 พี่สาวเพื่อนของผมสมัยเด็กที่เคยอยู่ด้วยกันในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหลายแห่งได้แวะมาเยี่ยมผม. พาชาลีอาเล่าว่าน้องชายของเธอหายสาบสูญ และถามผมว่ารู้ข่าวคราวเขาบ้างไหม. ระหว่างพูดคุยกัน เธอบอกว่าเธอเป็นพยานพระยะโฮวา และยังได้พูดเรื่องความสนพระทัยที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์.
ด้วยความขัดเคือง ผมยกข้ออ้างมากมายขึ้นมาค้าน. ทำไมผมถึงได้ทนทุกข์ลำบากมาตั้งแต่วัยเด็ก? ทำไมผมถูกทิ้งให้เป็นลูกกำพร้า? พระเจ้าอยู่ที่ไหนเมื่อเราต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์มากที่สุด? เธอตอบว่า “คุณแน่ใจหรือว่าพระเจ้าควรถูกตำหนิเพราะสถานการณ์เหล่านี้?” เธออ่านข้อคัมภีร์และชี้แจงว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นต้นเหตุทำให้มนุษย์ทนทุกข์. เธอช่วยผมให้มองเห็นว่าพระผู้สร้างทรงรักมนุษย์และในไม่ช้าจะทรงปรับปรุงส่งเสริมสิ่งต่าง ๆ ให้ดีขึ้น. เธอใช้ข้อคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น ยะซายา 35:5-7 และ วิวรณ์ 21:3, 4 และชี้ให้เห็นว่าอีกไม่นาน สงคราม, การต่อสู้กัน, การเจ็บไข้, และความตายจะไม่มีอีกเลย และปวงประชาที่ซื่อสัตย์จะอยู่อาศัยตลอดไปบนแผ่นดินโลก.
ผมได้พบครอบครัวอุปถัมภ์
ผมได้มารู้ว่าน้องชายของพาชาลีอาเสียชีวิตระหว่างการสู้รบของฝ่ายกองโจร. ผมไปเยี่ยมครอบครัวของเธอเพื่อให้การปลอบประโลม แต่พวกเขาต่างหากได้ปลอบโยนผมโดยการใช้ข้อคัมภีร์ต่าง ๆ. แล้วผมก็กลับไปที่บ้านนั้นอีกเพื่อรับความคิดที่ให้การปลอบประโลมมากขึ้นจากพระคัมภีร์ และในไม่ช้าผมก็ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเล็ก ๆ ของพยานพระยะโฮวาซึ่งร่วมประชุมศึกษาและนมัสการด้วยกันอย่างลับ ๆ. แม้เหล่าพยานฯ จะถูกชิงชังรังเกียจ ผมได้ตั้งใจแน่วแน่จะสมาคมคบหากับพวกเขาต่อไป.
ในกลุ่มคริสเตียนที่มีใจถ่อมนั้น ผมได้พบบรรยากาศที่อบอุ่นและเปี่ยมด้วยความรักแบบครอบครัว ซึ่งผมรู้สึกว่าขาดไป. พวกเขาเกื้อหนุนและช่วยเหลือผมด้านวิญญาณซึ่งผมต้องการเหลือเกิน. ผมพบว่าพวกเขาเป็นมิตร ไม่เห็นแก่ตัวและเอื้ออาทร พร้อมช่วยเหลือด้วยความเต็มใจและคอยปลอบโยนผม. (2 โกรินโธ 7:5-7) สำคัญกว่านั้น พวกเขาช่วยผมให้เข้าใกล้พระยะโฮวา ซึ่งตอนนั้นผมถือว่าเป็นบิดาผู้สถิตในสวรรค์องค์เปี่ยมด้วยความรัก. ผมรู้สึกประทับใจคุณลักษณะของพระองค์เกี่ยวเนื่องกับความรัก, ความเมตตาสงสาร, และความห่วงใยอย่างล้ำลึก. (บทเพลงสรรเสริญ 23:1-6) ในที่สุด ผมก็ได้พบครอบครัวฝ่ายวิญญาณและบิดาที่มีความรัก! ผมซาบซึ้งตรึงใจเสียจริง ๆ. ต่อมาไม่นาน ผมเกิดแรงบันดาลใจจะอุทิศตัวแด่พระยะโฮวา และจึงได้รับบัพติสมาเดือนกันยายน ปี 1945.
การที่ผมเข้าร่วมการประชุมคริสเตียนไม่ใช่เพียงแต่เพิ่มเติมความรู้ แต่ทำให้ความเชื่อของผมลึกซึ้งยิ่งขึ้น. เนื่องจากไม่มีพาหนะรับส่งผู้โดยสาร พวกเราหลายคนมักจะเดินเท้าระยะทางห้ากิโลเมตรจากหมู่บ้านที่เราอยู่ถึงที่ประชุม ระหว่างการเดินทางก็ได้สนทนาเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ฝ่ายวิญญาณซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่อาจลืมเสียได้. ช่วงปลายปี 1945 เมื่อผมรู้ว่ามีโอกาสจะร่วมงานเผยแพร่เต็มเวลา ผมจึงเริ่มงานไพโอเนียร์. ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพระยะโฮวาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไม่ช้าความเชื่อและความซื่อสัตย์มั่นคงของผมจะถูกทดสอบอย่างหนักหน่วง.
การขัดขวางก่อผลตรงกันข้าม
บ่อยครั้งตำรวจเอาปืนจี้พวกเราขณะบุกเข้าตรวจค้นสถานประชุม. ประเทศอยู่ภายใต้กฎอัยการศึกเนื่องจากเกิดสงครามกลางเมืองในกรีซ. กลุ่มต่าง ๆ ที่เป็นปฏิปักษ์กันต่อสู้กันเนื่องด้วยความเกลียดชัง. นักเทศน์นักบวชพากันฉวยโอกาสจากสถานการณ์ยุยงเจ้าหน้าที่ให้ปักใจเชื่อว่าพวกเราพยานฯ เป็นคอมมิวนิสต์และมุ่งร้ายจะข่มเหงพวกเรา.
ในช่วงสองปี เราถูกจับหลายครั้ง และมีหกครั้งที่ถูกตัดสินจำคุกนานถึงสี่เดือน. อย่างไรก็ดี มีนักโทษการเมืองติดคุกอยู่แน่นเรือนจำ ดังนั้น เขาจึงได้ปล่อยพวกเราเป็นอิสระ. เราใช้อิสรภาพที่ได้มาโดยไม่คาดหมายนี้ทำงานประกาศต่อไป แต่ยังไม่ทันไรก็ถูกจับอีก—สามครั้งในสัปดาห์เดียว. เรารู้ข่าวพี่น้องหลายคนถูกเนรเทศไปยังหมู่เกาะทุรกันดาร. ความเชื่อของผมจะมั่นคงพอไหมเมื่อต้องเผชิญการทดสอบเช่นนั้น?
สถานการณ์ย่ำแย่มากเมื่อผมต้องไปรายงานตัวที่สถานีตำรวจทุกวันจนกว่าพ้นกำหนดการวางโทษ. เพราะผมจะต้องอยู่ในสายตาของตำรวจ เจ้าหน้าที่จึงส่งผมไปที่หมู่บ้านเอฟออสมอส ใกล้ ๆ เมืองเทสซาโลนิเก ซึ่งที่นั่นมีสถานีตำรวจ. ผมเช่าห้องอยู่ไม่ไกล และเริ่มทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยการทำงานที่ใช้ฝีมือ จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง โดยรับขัดหม้อและกระทะทองแดง. ขณะเป็นไพโอเนียร์ทำงานในหมู่บ้านที่อยู่รอบ ๆ อาชีพนี้ช่วยผมเข้าถึงหลายบ้านในพื้นที่ได้ง่าย โดยไม่เป็นที่ระแวงสงสัยของตำรวจ. ผลคือ หลายคนได้ฟังข่าวดีแล้วตอบรับอย่างดี. ในที่สุด มีชายหญิงสิบกว่าคนในพื้นที่นั้นได้เข้ามาเป็นผู้นมัสการที่อุทิศตัวแด่พระยะโฮวา.
สิบปีเข้าเรือนจำแปดแห่ง
ผมยังคงอยู่ภายใต้การเฝ้าดูของตำรวจกระทั่งปลายปี 1949 ครั้นแล้วผมได้กลับมาเทสซาโลนิเก มุ่งมั่นจะรับใช้เต็มเวลาต่อไป. ในปี 1950 ณ ตอนนั้นทีเดียวที่ผมกำลังคิดว่าความเหนื่อยยากลำบากของผมผ่านไปแล้ว แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีคำสั่งมาถึงผมให้ไปเป็นทหาร. เนื่องจากผมต้องการรักษาความเป็นกลางในฐานะคริสเตียน ผมตั้งใจแน่วแน่จะไม่ “ศึกษายุทธศาสตร์.” (ยะซายา 2:4) ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการเริ่มต้นบนเส้นทางที่ยาวไกลและทุกข์ทรมานของการเป็นนักโทษ ซึ่งทำให้ผมเข้าคุกบางแห่งที่อื้อฉาวที่สุดในประเทศกรีซ.
ทุกอย่างเริ่มขึ้นที่เมืองดรามา. ในช่วงการติดคุกสัปดาห์แรกที่นั่น เขาให้ทหารเกณฑ์ใหม่เริ่มฝึกซ้อมยิงปืน. วันหนึ่ง ผมถูกพาตัวไปที่สนามยิงเป้า. นายทหารคนหนึ่งยื่นปืนไรเฟิลมาให้ผมแล้วสั่งให้ยิง. ครั้นผมไม่ทำตามคำสั่ง เขาก็เริ่มยิงผม. เมื่อนายทหารบางคนเห็นผมไม่ยอมอะลุ่มอล่วย พวกเขาลงมือต่อยผมอย่างโหดร้าย. เขาจุดบุหรี่แล้วบี้บุหรี่บนฝ่ามือทั้งสองข้างของผม. หลังจากนั้น ผมถูกขังเดี่ยวสามวัน. ความปวดแสบจากการถูกไฟบุหรี่จี้นั้นแสนทรมาน รอยแผลเป็นบนฝ่ามือยังมีให้เห็นนานหลายปี.
ก่อนที่ผมจะถูกส่งขึ้นศาลทหาร เขาย้ายผมไปไว้ในค่ายทหารที่อิราคลีโอน บนเกาะครีต. ที่นั่น ด้วยความพยายามยิระมะยา 1:19 ที่ว่า “เขาเหล่านั้นจะรบต่อสู้เจ้า, แต่เขาจะไม่ชนะแก่เจ้า, เพราะเราอยู่ด้วยเจ้าเพื่อจะให้เจ้ารอด, พระยะโฮวาได้ตรัส.” “สันติสุขแห่งพระเจ้า” ซึ่งยังใจให้สงบทำให้ผมสงบและสบายใจจริง ๆ. ผมเข้าใจแล้วว่าสติปัญญาอยู่ที่การวางใจเต็มที่ในพระยะโฮวา.—ฟิลิปปอย 4:6, 7; สุภาษิต 3:5.
จะทำลายความซื่อสัตย์มั่นคงของผม พวกเขาเฆี่ยนผมอย่างสาหัส. เนื่องจากคิดวิตกไปว่าตัวเองอาจยอมอะลุ่มอล่วย ผมจึงทูลอธิษฐานด้วยใจแรงกล้า ขอพระบิดาทางภาคสวรรค์ประทานพลังเข้มแข็งแก่ผม. ผมนึกถึงถ้อยคำในณ การพิจารณาคดีครั้งต่อมา ผมถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต. ทางการถือว่าพยานพระยะโฮวาเป็น “ศัตรูของรัฐ.” การตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเริ่มที่อิทซีดิน เรือนจำสำหรับอาชญากร อยู่นอกเมืองท่าคาเนีย ผมถูกขังเดี่ยวที่นั่น. อิทซีดินเป็นปราสาทเก่าแก่ ห้องขังที่ผมอยู่นั้นมีหนูวิ่งพลุกพล่านไปทั่ว. ผมเอาผ้าห่มเก่าขาด ๆ คลุมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ป้องกันหนูที่ไต่ไปมาบนร่างจะได้ไม่แทะเนื้อผม. ผมป่วยหนักด้วยโรคปอดอักเสบ. แพทย์บอกว่าผมจะต้องนั่งตากแดด และด้วยเหตุนี้ ผมจึงมีโอกาสพูดคุยกับนักโทษหลายคนตามลานคุก. อย่างไรก็ตาม สภาพร่างกายผมย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ และภายหลังมีอาการเลือดออกในปอดอย่างรุนแรง ผมถูกย้ายเข้าโรงพยาบาลอิราคลีโอน.
อีกครั้งหนึ่ง บรรดาเพื่อนคริสเตียนในครอบครัวฝ่ายวิญญาณอยู่พร้อมให้ความช่วยเหลือในยามที่ผมต้องการพวกเขา. (โกโลซาย 4:11) พี่น้องในเมืองอิราคลีโอนได้เยี่ยมผมเป็นประจำ ปลอบโยนและให้กำลังใจ. ผมบอกเขาว่าผมต้องการสรรพหนังสือเพื่อใช้ในการให้คำพยานแก่คนสนใจ. เขานำกระเป๋าเสื้อผ้ามาให้ แต่ก้นกระเป๋าด้านในนั้นถูกทำเป็นหลืบซ้อนกันเพื่อซุกซ่อนหนังสือไว้มิดชิด. ผมสุขใจเพียงใดที่ได้ช่วยนักโทษร่วมคุกอย่างน้อยหกคนเข้ามาเป็นคริสเตียนแท้ ในช่วงที่ผมย้ายเรือนจำหลายแห่ง!
ในระหว่างนั้น สงครามกลางเมืองได้ยุติลง และเวลาที่ผมต้องโทษลดเหลือสิบปี. ช่วงที่เหลือนั้นผมถูกคุมขังในเรือนจำเรทีมโน, เกนเทคูเล, และคะซันดรา. หลังการใช้เวลาเกือบสิบปีในเรือนจำแปดแห่ง ผมก็ได้รับอิสรภาพ และกลับมาเมืองเทสซาโลนิเก ที่นั่น พี่น้องคริสเตียนผู้เป็นที่รักของผมได้ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น.
รุ่งเรืองฝ่ายวิญญาณด้วยการช่วยเหลือของพี่น้องคริสเตียน
ในเวลานั้นที่ผมได้รับการปล่อยตัว พยานพระยะโฮวาในกรีซค่อนข้างมีเสรีภาพพอสมควรในการนมัสการ. ผมฉวยโอกาสทันทีและกลับไปรับใช้เต็มเวลาดังเดิม. หลังจากนั้น มีพระพรเพิ่มขึ้นอีกประการหนึ่ง เมื่อผมได้มารู้จักซิสเตอร์บทเพลงสรรเสริญ 5:11.
คาทีนา คริสเตียนที่ซื่อสัตย์ภักดี เธอรักพระยะโฮวาและขยันขันแข็งทำงานประกาศ. เราแต่งงานกันในเดือนตุลาคม 1959. การที่เราได้ลูกสาวชื่ออะกาเป และการมีครอบครัวแบบคริสเตียนจึงเป็นส่วนช่วยรักษาบาดแผลในใจผมที่เคยเป็นเด็กกำพร้า. สำคัญอย่างยิ่ง ครอบครัวของเราอิ่มใจที่ได้ทำงานรับใช้ภายใต้ความอารักขาของพระยะโฮวา พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์องค์เปี่ยมด้วยความรัก.—เนื่องจากสภาพทางการเงินฝืดเคือง ผมจำใจต้องยุติงานไพโอเนียร์ แต่ก็ได้สนับสนุนภรรยาในขณะที่เธอยังคงรับใช้เต็มเวลา. ชีวิตคริสเตียนของผมมีเหตุการณ์สำคัญในปี 1969 เมื่อพยานพระยะโฮวาได้จัดการประชุมนานาชาติที่เมืองนือเรมแบร์ก ประเทศเยอรมนี. ระหว่างเตรียมตัวเดินทางไปที่นั่น ผมได้ยื่นคำร้องขอทำหนังสือเดินทาง. เมื่อภรรยาผมไปที่สถานีตำรวจเพื่อถามถึงสาเหตุที่ผมยังไม่ได้หนังสือเดินทาง ทั้ง ๆ ที่เวลาผ่านไปตั้งสองเดือนแล้ว เจ้าหน้าที่ดึงแฟ้มเอกสารหนาปึกจากลิ้นชักและพูดว่า “คุณมาขอหนังสือเดินทางให้บุคคลผู้นี้เพื่อเขาจะไปทำให้คนในเยอรมนีเปลี่ยนศาสนาหรือ? ไม่มีทาง! เขาเป็นบุคคลอันตราย.”
ด้วยการสงเคราะห์ของพระยะโฮวาและความช่วยเหลือจากพี่น้องบางคน ผมถูกนับรวมอยู่ในกลุ่มที่ขอหนังสือเดินทางเป็นหมู่คณะ และด้วยเหตุนั้นผมจึงสามารถเข้าร่วมการประชุมใหญ่ที่น่าตื่นเต้นครั้งนั้น. ยอดจำนวนผู้ร่วมประชุมมีมากกว่า 150,000 คน และผมเห็นชัดแจ้งว่าพระวิญญาณของพระยะโฮวาชี้นำและรวมครอบครัวฝ่ายวิญญาณนานาชาติเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน. ในช่วงชีวิตต่อมา ผมยิ่งรู้สึกหยั่งรู้ค่าภราดรภาพของคริสเตียนมากขึ้น.
ปี 1977 ผมสูญเสียภรรยาสุดที่รัก อีกทั้งเป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์มั่นคง. ผมพยายามเลี้ยงลูกสาวสุดความสามารถตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิล กระนั้น ก็ใช่ว่าผมถูกละให้อยู่ตามลำพัง. อีกครั้งหนึ่ง ครอบครัวฝ่ายวิญญาณได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือ. ผมสำนึกบุญคุณพวกพี่น้องอยู่เสมอในการค้ำชูอุดหนุนผมในยามตกระกำลำบาก. บางคนถึงกับย้ายมาอยู่ที่บ้านของเราชั่วคราวเพื่อช่วยเลี้ยงลูกสาว. ผมจะไม่มีวันลืมความรักอย่างเสียสละของเขา.—โยฮัน 13:34, 35.
เมื่ออะกาเปโตเป็นผู้ใหญ่แล้วก็แต่งงานกับบราเดอร์คนหนึ่งชื่ออีเลียส. เขามีลูกชายสี่คน ทุกคนอยู่ในความจริง. มาในปีหลัง ๆ นี้ ผมเป็นลมหลายครั้งเนื่องจากเส้นโลหิตในสมองแตก และสุขภาพทรุดโทรมลงเรื่อย ๆ. ลูกสาวและครอบครัวของเธอเอาใจใส่ผมเป็นอย่างดี. แม้ร่างกายไม่แข็งแรง ผมยังคงมีเหตุผลมากมายที่จะชื่นชม. ผมนึกถึงสมัยที่มีพี่น้องราว ๆ หนึ่งร้อยคนเท่านั้นในเทสซาโลนิเกแอบประชุมกันอย่างลับ ๆ ในบ้านของพี่น้อง. ตอนนี้มีพยานฯ ที่ทำงานอย่างขันแข็งประมาณห้าพันคนในพื้นที่นั้น. (ยะซายา 60:22) ณ คราวการประชุมใหญ่ พี่น้องชายวัยหนุ่มเข้ามาทักทายถามผมว่า “บราเดอร์จำได้ไหมที่คุณเคยนำวารสารไปส่งให้เราที่บ้าน?” ถึงแม้พ่อแม่อาจไม่ได้อ่านวารสารเหล่านั้น แต่ลูก ๆ ของเขาอ่าน และพวกเขาก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ!
ขณะที่ผมเฝ้าสังเกตความเจริญเติบโตในองค์การของพระยะโฮวา ผมรู้สึกว่าคุ้มค่าจริง ๆ เมื่อเทียบกับความยากลำบากทั้งสิ้นที่ผมสู้ทนเอา. ผมบอกบรรดาลูกหลานของผมและหนุ่มสาวบางคนเสมอว่าในวัยหนุ่มสาวนั้นจงระลึกถึงพระบิดาของเขาที่สถิตในสวรรค์ และพระองค์จะไม่ละทิ้งเขา. (ท่านผู้ประกาศ 12:1) พระยะโฮวาทรงพิสูจน์แล้วว่าพระองค์ทำตามคำตรัส โดยทรงเป็น “พระบิดาของลูกกำพร้า” อย่างผม. (บทเพลงสรรเสริญ 68:5) แม้เคยเป็นลูกกำพร้าถูกทอดทิ้งตั้งแต่อายุยังน้อย ในที่สุดผมก็ได้พบบิดาที่ใฝ่ใจดูแล!
[ภาพหน้า 22]
ผมเป็นพ่อครัวทำกับข้าวในเรือนจำดรามา
[ภาพหน้า 23]
กับคาทีนาในวันสมรสของเรา ปี 1959
[ภาพหน้า 23]
การประชุมในป่าใกล้เมืองเทสซาโลนิเก ช่วงปลายทศวรรษ 1960
[ภาพหน้า 24]
กับลูกสาวของเรา ปี 1967