ข้ามไปยังเนื้อหา

ข้ามไปยังสารบัญ

แม้จะอ่อนแอ แต่ก็แข็งแรง

แม้จะอ่อนแอ แต่ก็แข็งแรง

เรื่อง​ราว​ชีวิต​จริง

แม้​จะ​อ่อนแอ แต่​ก็​แข็งแรง

เล่า​โดย​เลโอโพลท์ เองไลท์เนอร์

นาย​ทหาร​หน่วย​เอสเอส​ชัก​ปืน​ออก​มา​จ่อ​ที่​หัว​ผม แล้ว​ถาม​ว่า “แก​พร้อม​จะ​ตาย​หรือ​ยัง? ฉัน​จะ​ยิง​แก​ซะ เพราะ​ยัง​ไง​แก​ก็​ไม่​รอด​อยู่​แล้ว.” “ผม​พร้อม​แล้ว” ผม​ตอบ​เขา​โดย​พยายาม​ไม่​ให้​เสียง​สั่น. ผม​หลับ​ตา​พร้อม​จะ​ตาย และ​รอ​ให้​เขา​ลั่น​ไก แต่​ก็​ไม่​มี​อะไร​เกิด​ขึ้น. นาย​ทหาร​คน​นั้น​ตะโกน​ว่า “แก​มัน​โง่​เกิน​กว่า​จะ​ตาย​ด้วย​ซ้ำ!” แล้ว​ก็​เอา​ปืน​ออก​จาก​ขมับ​ผม. ผม​ตก​อยู่​ใน​สถานการณ์​อันตราย​เช่น​นี้​ได้​อย่าง​ไร?

ผม​เกิด​วัน​ที่ 23 กรกฎาคม ปี 1905 ที่​เมือง​ไอเกน-โฟกล์ฮุบ ใน​เทือก​เขา​แอลป์​ประเทศ​ออสเตรีย. ผม​เป็น​ลูก​ชาย​คน​โต​ของ​คน​งาน​โรง​เลื่อย​กับ​ลูก​สาว​ชาว​นา​ใน​เมือง​นั้น. พ่อ​แม่​ของ​ผม​ยาก​จน​แต่​ก็​ขยัน​ทำ​งาน. ผม​ใช้​ชีวิต​วัย​เด็ก​อยู่​ที่​เมือง​บาท อิชเชล ใกล้​กับ​เมือง​ซาลซ์บูร์ก ท่ามกลาง​ทะเลสาบ​น้อย​ใหญ่​ที่​งดงาม​และ​ยอด​เขา​สวย​งาม​น่า​ทึ่ง.

เมื่อ​ผม​เป็น​เด็ก ผม​มัก​จะ​คิด​ถึง​ความ​อยุติธรรม​ใน​ชีวิต​อยู่​บ่อย ๆ เพราะ​ครอบครัว​ของ​ผม​ยาก​จน และ​ตัว​ผม​เอง​ก็​ทุกข์​ทรมาน​กับ​กระดูก​สัน​หลัง​ที่​คด​งอ​มา​ตั้ง​แต่​เกิด. โรค​นี้​ทำ​ให้​ผม​ปวด​หลัง​จน​แทบ​จะ​ยืน​ตัว​ตรง​ไม่​ได้. ที่​โรง​เรียน ผม​ไม่​ได้​รับ​อนุญาต​ให้​เล่น​ยิมนาสติก เพื่อน​ร่วม​ชั้น​จึง​รุม​หัวเราะ​เยาะ​ผม.

เมื่อ​สงคราม​โลก​ครั้ง​ที่ 1 ยุติ ก่อน​ผม​อายุ​ครบ 14 ปี​ไม่​นาน ผม​ตัดสิน​ใจ​จะ​หา​งาน​ทำ​เพื่อ​หนี​ความ​ยาก​จน. ความ​หิว​อัน​แสน​ทรมาน​เป็น​เพื่อน​คู่​ทุกข์​คู่​ยาก​ของ​ผม แถม​ร่าง​กาย​ผม​ยัง​อ่อนแอ​เพราะ​พิษ​ไข้หวัด​ใหญ่​สเปน​ซึ่ง​คร่า​ชีวิต​ผู้​คน​ไป​แล้ว​หลาย​ล้าน​คน. เมื่อ​ผม​ไป​ขอ​ใคร​ทำ​งาน ชาว​นา​ส่วน​ใหญ่​มัก​พูด​ว่า “คน​ขี้​โรค​อย่าง​นาย​จะ​ทำ​อะไร​ได้?” แต่​ก็​มี​ชาว​นา​ใจ​ดี​คน​หนึ่ง​จ้าง​ผม.

ตื่นเต้น​ยินดี​กับ​ความ​รัก​ของ​พระเจ้า

แม้​ว่า​แม่​จะ​เป็น​คาทอลิก​ที่​เคร่ง แต่​ผม​แทบ​ไม่​ได้​ไป​โบสถ์​เลย สาเหตุ​หลัก​ก็​เพราะ​พ่อ​ของ​ผม​มี​ทัศนะ​ที่​เปิด​กว้าง​ใน​เรื่อง​ศาสนา. ส่วน​ผม​เอง​ก็​ไม่​ชอบ​การ​นมัสการ​รูป​เคารพ​ซึ่ง​ทำ​กัน​อย่าง​แพร่​หลาย​ใน​คริสตจักร​โรมัน​คาทอลิก.

วัน​หนึ่ง​ใน​เดือน​ตุลาคม ปี 1931 เพื่อน​คน​หนึ่ง​ชวน​ผม​ไป​เป็น​เพื่อน​เขา​ที่​การ​ประชุม​ทาง​ศาสนา​ซึ่ง​จัด​โดย​กลุ่ม​นัก​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล ซึ่ง​เป็น​ชื่อ​เรียก​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ใน​ขณะ​นั้น. ที่​การ​ประชุม​นั้น ผม​ได้​รับ​คำ​ตอบ​สำหรับ​คำ​ถาม​สำคัญ ๆ เช่น พระเจ้า​ทรง​พอ​พระทัย​กับ​การ​นมัสการ​รูป​เคารพ​ไหม? (เอ็กโซโด 20:4, 5) ไฟ​นรก​มี​จริง​ไหม? (ท่าน​ผู้​ประกาศ 9:5) คน​ตาย​จะ​ถูก​ปลุก​ให้​มี​ชีวิต​อีก​ไหม?—โยฮัน 5:28, 29.

สิ่ง​ที่​ทำ​ให้​ผม​ประทับใจ​มาก​ที่​สุด​คือ​ความ​จริง​ที่​ว่า พระเจ้า​ไม่​ทรง​เห็น​ชอบ​กับ​สงคราม​กระหาย​เลือด​ของ​มนุษย์ แม้​จะ​เป็น​สงคราม​ที่​อ้าง​ว่า​ทำ​กัน​ใน​นาม​ของ​พระองค์​ก็​ตาม. ผม​ได้​เรียน​รู้​ว่า “พระเจ้า​ทรง​เป็น​ความ​รัก” และ​พระองค์​ทรง​มี​พระ​นาม​สูง​ส่ง คือ ยะโฮวา. (1 โยฮัน 4:8; บทเพลง​สรรเสริญ 83:18) ผม​ตื่นเต้น​ยินดี​ที่​รู้​ว่า​ราชอาณาจักร​ของ​พระ​ยะโฮวา​จะ​ทำ​ให้​มนุษย์​มี​ชีวิต​อยู่​ตลอด​ไป​ใน​สภาพ​เปี่ยม​สุข​ใน​อุทยาน​ซึ่ง​จะ​มี​ขึ้น​ทั่ว​ทั้ง​แผ่นดิน​โลก. ผม​ยัง​ได้​เรียน​รู้​ว่า​มนุษย์​ไม่​สมบูรณ์​บาง​คน​ซึ่ง​ได้​รับ​การ​ทรง​เรียก​จาก​พระเจ้า​จะ​มี​ความ​หวัง​อัน​ยอด​เยี่ยม​ได้​ร่วม​ปกครอง​กับ​พระ​เยซู​ใน​ราชอาณาจักร​ฝ่าย​สวรรค์​ของ​พระเจ้า. ผม​พร้อม​จะ​ทุ่มเท​สุด​ตัว​เพื่อ​จะ​ได้​เข้า​ใน​ราชอาณาจักร​นั้น. ดัง​นั้น ใน​เดือน​พฤษภาคม ปี 1932 ผม​ได้​รับ​บัพติสมา​และ​มา​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา​คน​หนึ่ง. การ​ทำ​เช่น​นี้​ต้อง​ใช้​ความ​กล้า​มาก​ที​เดียว เพราะ​มี​อคติ​ทาง​ศาสนา​แพร่​หลาย​อยู่​ใน​ออสเตรีย​ซึ่ง​ขณะ​นั้น​เป็น​ประเทศ​คาทอลิก​ที่​เคร่งครัด.

ถูก​ดูหมิ่น​และ​ต่อ​ต้าน

พ่อ​แม่​ของ​ผม​ตกใจ​และ​โกรธ​มาก​ที่​ผม​ลา​ออก​จาก​โบสถ์ ส่วน​บาทหลวง​ก็​รีบ​ประกาศ​จาก​ธรรมาสน์​ให้​รู้​ทั่ว​กัน. เพื่อน​บ้าน​แสดง​อาการ​ดูถูก​ด้วย​การ​ถ่ม​น้ำลาย​ลง​พื้น​ต่อ​หน้า​ผม. อย่าง​ไร​ก็​ตาม ผม​ตั้งใจ​แล้ว​ว่า​จะ​เข้า​ร่วม​กับ​กลุ่ม​ผู้​รับใช้​เต็ม​เวลา และ​ผม​ได้​เริ่ม​เป็น​ไพโอเนียร์​ใน​เดือน​มกราคม ปี 1934.

สถานการณ์​ทาง​การ​เมือง​เริ่ม​ตึงเครียด​ขึ้น เนื่อง​จาก​พรรค​นาซี​มี​อิทธิพล​มาก​ขึ้น​ใน​เมือง​ของ​เรา. ระหว่าง​ที่​ผม​เป็น​ไพโอเนียร์​ใน​เขต​สตีเรียน แวลลีย์ แถบ​แม่น้ำ​เอนส์ ตำรวจ​ติด​ตาม​ผม​ทุก​ฝี​ก้าว ผม​จึง​ต้อง​เป็น “คน​ฉลาด​เหมือน​งู.” (มัดธาย 10:16) ตั้ง​แต่​ปี 1934 จน​ถึง​ปี 1938 ผม​เจอ​การ​ข่มเหง​ไม่​เว้น​แต่​ละ​วัน. แม้​จะ​ตก​งาน แต่​ผม​ก็​ไม่​ได้​รับ​เงิน​ชดเชย​สำหรับ​คน​ว่าง​งาน ซ้ำ​ยัง​ถูก​จำ​คุก​ระยะ​สั้น ๆ หลาย​ครั้ง​และ​ระยะ​ยาว​อีก​สี่​ครั้ง เนื่อง​จาก​ทำ​งาน​ประกาศ.

กองทัพ​ฮิตเลอร์​ยึด​ออสเตรีย

ใน​เดือน​มีนาคม ปี 1938 กองทัพ​ของ​ฮิตเลอร์​เคลื่อน​พล​เข้า​ยึด​ออสเตรีย. ภาย​ใน​เวลา​ไม่​กี่​วัน ประชาชน​กว่า 90,000 คน (ประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์​ของ​ประชากร​วัย​ผู้​ใหญ่) ถูก​จับ​กุม​และ​ถูก​ส่ง​ตัว​ไป​ยัง​เรือน​จำ​และ​ค่าย​กัก​กัน​ด้วย​ข้อ​กล่าวหา​ว่า​ได้​ต่อ​ต้าน​ระบอบ​นาซี. เหตุ​การณ์​นี้​เป็น​เหมือน​การ​เตรียม​พยาน​พระ​ยะโฮวา​ไว้​สำหรับ​สิ่ง​ที่​จะ​เกิด​ขึ้น​ใน​อนาคต. ใน​ฤดู​ร้อน​ปี 1937 พี่​น้อง​หลาย​คน​ใน​ประชาคม​ที่​ผม​เคย​สบ​ทบ​ด้วย​ใน​ตอน​แรก​ได้​เดิน​ทาง​โดย​จักรยาน​เป็น​ระยะ​ทาง 350 กิโลเมตร เพื่อ​เข้า​ร่วม​การ​ประชุม​นานา​ชาติ​ที่​กรุง​ปราก. ที่​การ​ประชุม​นั้น พวก​เขา​ได้​ยิน​เรื่อง​การ​ปฏิบัติ​อย่าง​โหด​เหี้ยม​ทารุณ​กับ​เพื่อน​ผู้​เชื่อถือ​ของ​เรา​ใน​เยอรมนี. เห็น​ได้​ชัด​ว่า​ถึง​คราว​เรา​ถูก​ข่มเหง​บ้าง​แล้ว.

ตั้ง​แต่​วัน​ที่​กอง​กำลัง​ของ​ฮิตเลอร์​เหยียบ​ย่าง​เข้า​มา​ใน​ออสเตรีย พยาน​พระ​ยะโฮวา​ต้อง​จัด​การ​ประชุม​และ​ทำ​งาน​ประกาศ​กัน​อย่าง​ลับ ๆ. แม้​จะ​มี​การ​ลักลอบ​นำ​สรรพหนังสือ​เกี่ยว​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล​เข้า​มา​ทาง​ชายแดน​ด้าน​สวิตเซอร์แลนด์ แต่​หนังสือ​เหล่า​นั้น​ก็​ไม่​เพียง​พอ​สำหรับ​ทุก​คน. ดัง​นั้น เพื่อน​คริสเตียน​ใน​เวียนนา​จึง​ผลิต​สรรพหนังสือ​กัน​อย่าง​ลับ ๆ. บ่อย​ครั้ง​ผม​เป็น​คน​นำ​หนังสือ​ไป​ส่ง​ให้​แก่​เหล่า​พี่​น้อง​พยาน​ฯ.

ถูก​ส่ง​ตัว​ไป​ยัง​ค่าย​กัก​กัน

ใน​วัน​ที่ 4 เมษายน ปี 1939 ผม​กับ​พี่​น้อง​สาม​คน​ถูก​เกสตาโป​จับ ขณะ​กำลัง​ประชุม​เพื่อ​ระลึก​ถึง​การ​วาย​พระ​ชนม์​ของ​พระ​เยซู​กัน​ที่​บาท อิชเชล. พวก​เรา​ทั้ง​หมด​ถูก​นำ​ตัว​ขึ้น​รถ​ไป​ยัง​กอง​บัญชา​การ​ตำรวจ​ที่​เมือง​ลินซ์. นั่น​เป็น​ครั้ง​แรก​ที่​ผม​ได้​นั่ง​รถยนต์ แต่​ผม​กังวล​เกิน​กว่า​จะ​รู้สึก​สนุก. ที่​เมือง​ลินซ์ ผม​ถูก​สอบสวน​อย่าง​โหด​ร้าย​ทารุณ​ครั้ง​แล้ว​ครั้ง​เล่า แต่​ผม​ไม่​ยอม​ปฏิเสธ​ความ​เชื่อ. ห้า​เดือน​ต่อ​มา ผม​ถูก​นำ​ตัว​ไป​รัฐ​ออสเตรีย​ตอน​บน​เพื่อ​ให้​การ​ต่อ​หน้า​ผู้​พิพากษา​ไต่สวน. โดย​ไม่​คาด​หมาย ไม่​มี​การ​ดำเนิน​คดี​กับ​ผม​อีก​ต่อ​ไป แต่​การ​ทดลอง​แสน​สาหัส​สากรรจ์​ยัง​ไม่​จบ​สิ้น. ใน​ระหว่าง​นั้น พี่​น้อง​อีก​สาม​คน​ถูก​ส่ง​ตัว​ไป​ยัง​ค่าย​กัก​กัน และ​ได้​เสีย​ชีวิต​ที่​นั่น​หลัง​จาก​รักษา​ความ​ซื่อ​สัตย์​จน​ถึง​ที่​สุด.

ผม​ถูก​ควบคุม​ตัว และ​ใน​วัน​ที่ 5 ตุลาคม ปี 1939 ผม​ได้​รับ​แจ้ง​ว่า​จะ​ถูก​นำ​ตัว​ไป​ยัง​ค่าย​กัก​กัน​บูเคนวาลด์​ใน​เยอรมนี. รถไฟ​ขบวน​พิเศษ​รอ​พวก​เรา​ที่​เป็น​นัก​โทษ​อยู่​ที่​สถานี​ลินซ์. ตู้​โดยสาร​ถูก​แบ่ง​เป็น​ห้อง ๆ ห้อง​หนึ่ง​สำหรับ​สอง​คน. ผู้​ชาย​ที่​อยู่​ใน​ห้อง​เดียว​กับ​ผม​ไม่​ใช่​ใคร​อื่น เขา​คือ ดร. ไฮน์ริค ไกลซ์เนอร์ อดีต​ผู้​ว่า​การ​รัฐ​ออสเตรีย​ตอน​บน.

ดร. ไกลซ์เนอร์​กับ​ผม​เริ่ม​คุย​กัน. เขา​สนใจ​อย่าง​จริง​ใจ​กับ​สภาพ​ที่​ผม​เผชิญ​อยู่ และ​ตกใจ​มาก​ที่​รู้​ว่า แม้​แต่​ใน​ระหว่าง​ที่​เขา​ดำรง​ตำแหน่ง​อยู่​นั้น พยาน​พระ​ยะโฮวา​ได้​ประสบ​ปัญหา​ด้าน​กฎหมาย​นับ​ครั้ง​ไม่​ถ้วน​ใน​เขต​ที่​เขา​ดู​แล. เขา​บอก​ผม​ด้วย​ความ​เสียใจ​ว่า “คุณ​เองไลท์เนอร์ ผม​ไม่​สามารถ​แก้ไข​ความ​ผิด​เหล่า​นั้น​ได้ แต่​ผม​อยาก​จะ​ขอ​โทษ. ดู​เหมือน​รัฐบาล​ของ​เรา​เป็น​ฝ่าย​ผิด​ที่​ตัดสิน​อย่าง​ไม่​ยุติธรรม. ถ้า​คุณ​ต้องการ​ความ​ช่วยเหลือ​อะไร ผม​ยินดี​จะ​ช่วย​คุณ​เต็ม​ที่.” เรา​พบ​กัน​อีก​ครั้ง​หลัง​สงคราม. เขา​ช่วย​ให้​ผม​ได้​รับ​เงิน​บำนาญ​สำหรับ​ผู้​ที่​เคย​ถูก​ข่มเหง​โดย​ระบอบ​นาซี.

“ฉัน​จะ​ยิง​แก”

ผม​มา​ถึง​ค่าย​กัก​กัน​บูเคนวาลด์​ใน​วัน​ที่ 9 ตุลาคม ปี 1939. หลัง​จาก​นั้น​ไม่​นาน ผู้​คุม​เรือน​จำ​ก็​ได้​รับ​รายงาน​ว่า​มี​พยาน​ฯ คน​หนึ่ง​อยู่​ใน​กลุ่ม​นัก​โทษ​ที่​มา​ใหม่ แล้ว​ผม​ก็​กลาย​เป็น​คน​ที่​เขา​ให้​ความ​สนใจ​เป็น​พิเศษ. เขา​ตี​ผม​อย่าง​ไร้​ความ​ปรานี. และ​เมื่อ​เห็น​ว่า​ไม่​สามารถ​ทำ​ให้​ผม​ปฏิเสธ​ความ​เชื่อ​ได้ เขา​ก็​พูด​ว่า “ฉัน​จะ​ยิง​แก เองไลท์เนอร์. แต่​ก่อน​ที่​ฉัน​จะ​ยิง ฉัน​จะ​ให้​โอกาส​แก​เขียน​จดหมาย​ลา​พ่อ​แม่​ของ​แก​ก่อน.” ผม​คิด​ว่า​จะ​พูด​ปลอบโยน​พ่อ​แม่​อย่าง​ไร แต่​ทุก​ครั้ง​ที่​ผม​จรด​ปากกา​ลง​บน​กระดาษ เขา​ก็​ตี​ที่​ข้อ​ศอก​ขวา​ของ​ผม ทำ​ให้​ผม​ต้อง​รีบ​เขียน​หวัด ๆ ไป. แล้ว​เขา​ก็​พูด​เย้ย​ว่า “โง่​อะไร​อย่าง​นี้! แม้​แต่​จะ​เขียน​หนังสือ​ให้​ตรง​สัก​สอง​บรรทัด​เขา​ก็​ยัง​ทำ​ไม่​ได้. แต่​ก็​ไม่​ได้​หมาย​ความ​ว่า​เขา​จะ​อ่าน​ไบเบิล​ไม่​ได้​นี่ ใช่​ไหม?”

แล้ว​ผู้​คุม​ก็​ชัก​ปืน​ออก​มา​จ่อ​หัว​ผม ทำ​ให้​ผม​เชื่อ​ว่า​เขา​จะ​ยิง​ผม​แน่ อย่าง​ที่​ผม​เล่า​ไป​เมื่อ​ตอน​ต้น​เรื่อง. หลัง​จาก​นั้น​เขา​ก็​จับ​ผม​ยัด​เข้า​ห้อง​ขัง​เล็ก ๆ ที่​เต็ม​ไป​ด้วย​นัก​โทษ. ผม​ต้อง​ยืน​ตลอด​คืน. ถึง​อย่าง​ไร​ผม​ก็​นอน​ไม่​ได้​อยู่​ดี​เพราะ​ปวด​ร้าว​ไป​ทั้ง​ตัว. “คำ​ปลอบโยน” อย่าง​เดียว​ที่​ผม​ได้​รับ​จาก​เพื่อน​ร่วม​ห้อง​ขัง​ก็​คือ​คำ​พูด​ที่​ว่า “ไม่​มี​ประโยชน์​เลย​สัก​นิด​ที่​ต้อง​มา​ตาย​เพราะ​ศาสนา​โง่ ๆ!” ดร. ไกลซ์เนอร์ อยู่​ใน​ห้อง​ขัง​ข้าง ๆ. เขา​ได้​ยิน​ว่า​เกิด​อะไร​ขึ้น​กับ​ผม จึง​พูด​อย่าง​เข้าใจ​ว่า “การ​ข่มเหง​คริสเตียน​โผล่​หัว​ที่​น่า​เกลียด​ออก​มา​ให้​เห็น​อีก​แล้ว!”

ใน​ฤดู​ร้อน​ปี 1940 มี​คำ​สั่ง​ให้​นัก​โทษ​ทุก​คน​ไป​รายงาน​ตัว​เพื่อ​ทำ​งาน​ที่​เหมือง​ใน​วัน​อาทิตย์​วัน​หนึ่ง แม้​ว่า​ตาม​ปกติ​แล้ว​เรา​ไม่​ต้อง​ทำ​งาน​วัน​อาทิตย์. นี่​เป็น​มาตรการ​ตอบ​โต้​สำหรับ “ความ​ผิด​เล็ก ๆ น้อย ๆ” ของ​ผู้​ต้อง​ขัง​บาง​คน. เรา​ถูก​สั่ง​ให้​ขน​หิน​ก้อน​ใหญ่ ๆ จาก​เหมือง​ไป​ที่​ค่าย. นัก​โทษ​สอง​คน​พยายาม​วาง​หิน​ก้อน​มหึมา​บน​หลัง​ผม ผม​แทบ​จะ​ทรุด​เพราะ​น้ำหนัก​ของ​มัน. แต่​แล้ว​โดย​ไม่​คาด​หมาย อาร์ทูร์ เริดเดล ผู้​ดู​แล​ค่าย​ซึ่ง​เป็น​ที่​เกรง​ขาม​ก็​เข้า​มา​ช่วย​ผม​ไว้. เขา​เห็น​ผม​พยายาม​แบก​หิน​ด้วย​ความ​ทุกข์​ทรมาน จึง​บอก​ผม​ว่า “นาย​ไม่​มี​ทาง​แบก​หิน​นั่น​กลับ​ค่าย​ได้​แน่! วาง​มัน​ลง​เดี๋ยว​นี้!” ผม​ทำ​ตาม​คำ​สั่ง​ด้วย​ความ​โล่ง​อก. แล้ว​เริดเดล​ก็​ชี้​ไป​ที่​หิน​ก้อน​หนึ่ง​ซึ่ง​เล็ก​กว่า​มาก และ​พูด​ว่า “ยก​หิน​นั้น​ไป​ที่​ค่าย. มัน​แบก​ง่าย​กว่า​กัน​เยอะ!” หลัง​จาก​นั้น​เขา​ก็​หัน​ไป​สั่ง​ผู้​คุม​ของ​เรา​ว่า “ให้​พวก​นัก​ศึกษา​คัมภีร์​ไบเบิล​กลับ​ค่าย​ได้​แล้ว. พวก​เขา​ทำ​งาน​มาก​พอ​แล้ว​สำหรับ​หนึ่ง​วัน!”

ทุก​วัน​หลัง​เลิก​งาน ผม​มี​ความ​สุข​เสมอ​ที่​ได้​อยู่​กับ​ครอบครัว​ฝ่าย​วิญญาณ. เรา​จัด​ให้​มี​วิธี​แจก​จ่าย​อาหาร​ฝ่าย​วิญญาณ. พี่​น้อง​ชาย​คน​หนึ่ง​จะ​เขียน​ข้อ​คัมภีร์​หนึ่ง​ข้อ​ใน​เศษ​กระดาษ​และ​ส่ง​ต่อ​ให้​คน​อื่น ๆ. ก่อน​หน้า​นี้​มี​การ​แอบ​นำ​คัมภีร์​ไบเบิล​เข้า​มา​ใน​ค่าย. เรา​ฉีก​แบ่ง​พระ​คัมภีร์​ออก​เป็น​พระ​ธรรม​ต่าง ๆ. ผม​ได้​รับ​มอบหมาย​ให้​เก็บ​ส่วน​ที่​เป็น​พระ​ธรรม​โยบ​อยู่​สาม​เดือน. ผม​ซ่อน​มัน​ไว้​ใน​ถุง​เท้า. เรื่อง​ราว​ใน​พระ​ธรรม​โยบ​ช่วย​ให้​ผม​รักษา​ความ​มั่นคง​เอา​ไว้.

ใน​ที่​สุด ผม​ถูก​ส่ง​ตัว​ไป​ยัง​ค่าย​กัก​กัน​นีเดอฮาเกน​พร้อม​กับ​ขบวน​คุ้ม​กัน​กลุ่ม​ใหญ่ ใน​วัน​ที่ 7 มีนาคม ปี 1941. สุขภาพ​ของ​ผม​ทรุดโทรม​ลง​ทุก​วัน. วัน​หนึ่ง ผม​กับ​พี่​น้อง​ชาย​สอง​คน​ได้​รับ​คำ​สั่ง​ให้​เก็บ​เครื่อง​มือ​ใส่​ใน​ลัง. เมื่อ​ทำ​งาน​เสร็จ เรา​ก็​กลับ​ไป​ที่​ค่าย​พร้อม​กับ​นัก​โทษ​อีก​กลุ่ม​หนึ่ง. ทหาร​หน่วย​เอสเอส​นาย​หนึ่ง​สังเกต​เห็น​ว่า​ผม​เดิน​ช้า​กว่า​คน​อื่น ๆ. เขา​โกรธ​มาก ถึง​กับ​เตะ​ผม​อย่าง​แรง​จาก​ด้าน​หลัง​โดย​ที่​ผม​ไม่​ทัน​รู้​ตัว ทำ​ให้​ผม​บาดเจ็บ​สาหัส. ผม​เจ็บ​ปวด​ทรมาน​มาก แต่​วัน​รุ่ง​ขึ้น​ผม​ก็​ยัง​ไป​ทำ​งาน.

ถูก​ปล่อย​ตัว​โดย​ไม่​ได้​คาด​หมาย

ใน​ที่​สุด ค่าย​นีเดอฮาเกน​ก็​ถูก​รื้อ​ใน​เดือน​เมษายน ปี 1943. หลัง​จาก​นั้น ผม​ถูก​ย้าย​ไป​ยัง​ค่าย​มรณะ​ที่​ราเฟนส์บรึค. ต่อ​มา ใน​เดือน​มิถุนายน ปี 1943 ผม​มี​โอกาส​จะ​ได้​รับ​การ​ปล่อย​ตัว​จาก​ค่าย​กัก​กัน​โดย​ไม่​คาด​หมาย. คราว​นี้​เงื่อนไข​ไม่​ใช่​การ​ปฏิเสธ​ความ​เชื่อ. ผม​เพียง​แต่​ต้อง​ยอม​ทำ​งาน​หนัก​ใน​ฟาร์ม​ตลอด​ชีวิต​ที่​เหลือ​อยู่. ผม​เต็ม​ใจ​รับ​ข้อ​เสนอ​นั้น​เพื่อ​จะ​ได้​ไป​จาก​ค่าย​ที่​น่า​กลัว​นี้. ผม​ไป​หา​หมอ​ประจำ​ค่าย​เพื่อ​ให้​เขา​ตรวจ​ร่าง​กาย​เป็น​ครั้ง​สุด​ท้าย. หมอ​แปลก​ใจ​ที่​เห็น​ผม. เขา​อุทาน​ออก​มา​ว่า “นาย​ยัง​เป็น​พยาน​พระ​ยะโฮวา​อยู่​อีก​หรือ​นี่!” ผม​ตอบ​ว่า “ครับ คุณ​หมอ.” “ถ้า​อย่าง​นั้น​ผม​ก็​ไม่​เห็น​ความ​จำเป็น​ที่​เรา​ต้อง​ปล่อย​ตัว​นาย​ไป. แต่​ก็​ดี​เหมือน​กัน โล่ง​ใจ​จริง ๆ ที่​กำจัด​คน​น่า​สมเพช​อย่าง​นาย​ไป​ซะ​ได้.”

หมอ​ไม่​ได้​พูด​เกิน​จริง​เลย. สุขภาพ​ของ​ผม​แย่​เอา​มาก ๆ. ตัว​หมัด​กัด​กิน​ผิวหนัง​ของ​ผม, หู​ข้าง​หนึ่ง​หนวก​เพราะ​ถูก​ตี, และ​ตาม​เนื้อ​ตัว​เต็ม​ไป​ด้วย​ตุ่ม​หนอง. หลัง​จาก​ระยะ​เวลา 46 เดือน​ที่​ถูก​กัก​กัน ทั้ง​ต้อง​เผชิญ​ความ​หิว​โหย​ตลอด​เวลา​และ​ทำ​งาน​หนัก น้ำหนัก​ผม​เหลือ​เพียง 28 กิโลกรัม. ผม​ถูก​ปล่อย​ตัว​จาก​ค่าย​ที่​ราเฟนส์บรึค​ใน​สภาพ​เช่น​นั้น เมื่อ​วัน​ที่ 15 กรกฎาคม ปี 1943.

ผม​ถูก​ส่ง​ตัว​ขึ้น​รถไฟ​กลับ​ไป​ยัง​บ้าน​เกิด​โดย​ไม่​มี​ทหาร​คุม และ​ได้​ไป​รายงาน​ตัว​ที่​กอง​บัญชา​การ​ของ​เกสตาโป​ที่​เมือง​ลินซ์. เจ้าหน้าที่​เกสตาโป​ออก​เอกสาร​การ​ปล่อย​ตัว​ให้​ผม​แล้ว​เตือน​ว่า “ถ้า​แก​คิด​ว่า​เรา​ปล่อย​ตัว​แก​เพื่อ​ให้​กลับ​ไป​ทำ​งาน​ลับ ๆ อย่าง​เดิม​ละ​ก็ แก​คิด​ผิด​แล้ว! ถ้า​เรา​เจอ​แก​ประกาศ​อยู่​เมื่อ​ไร​ละ​ก็ แก​ตาย​แน่.”

ใน​ที่​สุด​ผม​ก็​ได้​กลับ​บ้าน! แม่​ไม่​ได้​เปลี่ยน​อะไร​ใน​ห้อง​ผม​เลย​ตั้ง​แต่​ที่​ผม​ถูก​จับ​ครั้ง​แรก​เมื่อ​วัน​ที่ 4 เมษายน ปี 1939. แม้​แต่​พระ​คัมภีร์​ของ​ผม​ก็​ยัง​วาง​เปิด​อยู่​บน​โต๊ะ​ข้าง​เตียง! ผม​คุกเข่า​ลง​อธิษฐาน​ขอบพระคุณ​พระเจ้า​ด้วย​ความ​รู้สึก​จาก​ใจ.

ไม่​ช้า​ผม​ก็​ได้​รับ​คำ​สั่ง​ให้​ไป​ทำ​งาน​ที่​ฟาร์ม​แห่ง​หนึ่ง​บน​เขา. เจ้าของ​ฟาร์ม​ซึ่ง​เป็น​เพื่อน​สมัย​เด็ก​จ่าย​เงิน​เดือน​ให้​ผม​เล็ก​น้อย แม้​ว่า​ตาม​จริง​แล้ว​เขา​ไม่​ต้อง​ทำ​เช่น​นั้น. ก่อน​เกิด​สงคราม​เพื่อน​คน​นี้​เคย​อนุญาต​ให้​ผม​ซ่อน​สรรพหนังสือ​เกี่ยว​กับ​คัมภีร์​ไบเบิล​ไว้​ใน​ฟาร์ม​ของ​เขา. ผม​ดีใจ​มาก​ที่​ได้​ใช้​ประโยชน์​จาก​คลัง​สรรพหนังสือ​เล็ก ๆ นี้​เพื่อ​เสริม​กำลัง​ทาง​ฝ่าย​วิญญาณ​ให้​กับ​ตัว​เอง. ผม​มี​ทุก​สิ่ง​ที่​จำเป็น​แล้ว และ​ผม​ตั้งใจ​จะ​ทำ​งาน​ใน​ฟาร์ม​นี้​จน​กว่า​สงคราม​จะ​ยุติ.

ซ่อน​ตัว​ใน​ภูเขา

อย่าง​ไร​ก็​ตาม ช่วง​เวลา​ที่​สงบ​สุข​และ​มี​อิสรภาพ​นั้น​สั้น​เหลือ​เกิน. พอ​ถึง​กลาง​เดือน​สิงหาคม ปี 1943 ผม​ก็​ถูก​สั่ง​ให้​ไป​รายงาน​ตัว​กับ​หมอ​คน​หนึ่ง​ของ​กองทัพ​เพื่อ​ตรวจ​ร่าง​กาย. ที​แรก เขา​บอก​ว่า​ผม​ไม่​แข็งแรง​พอ​ที่​จะ​เป็น​ทหาร เพราะ​หลัง​ของ​ผม​แย่​มาก. แต่​หลัง​จาก​นั้น​หนึ่ง​สัปดาห์​หมอ​คน​เดิม​ก็​กลับ​คำ​รายงาน​ของ​เขา และ​เขียน​ว่า “แข็งแรง​พอ​ที่​จะ​ร่วม​รบ​ใน​แนว​หน้า.” กองทัพ​หา​ตัว​ผม​ไม่​เจอ​อยู่​ระยะ​หนึ่ง แต่​พวก​เขา​ก็​ตาม​ผม​เจอ​ใน​ที่​สุด ใน​วัน​ที่ 17 เมษายน ปี 1945 ก่อน​จะ​สิ้น​สงคราม​ไม่​นาน. ผม​ถูก​เกณฑ์​ให้​ไป​รบ​ใน​แนว​หน้า.

ผม​ไป​หา​ที่​ซ่อน​ตัว​อยู่​ใน​ภูเขา​ใกล้ ๆ โดย​มี​ข้าวของ​จำเป็น​ไม่​กี่​อย่าง​กับ​พระ​คัมภีร์​เล่ม​หนึ่ง. ที​แรก ผม​สามารถ​นอน​กลางแจ้ง​ได้ แต่​แล้ว​อากาศ​ก็​เลว​ร้าย​ลง​และ​มี​หิมะ​ตก​หนา​ครึ่ง​เมตร. ผม​เปียก​โชก​ไป​หมด​ทั้ง​ตัว. ผม​เดิน​ไป​ถึง​บ้าน​เล็ก ๆ หลัง​หนึ่ง​ใน​ภูเขา​ซึ่ง​อยู่​สูง​เหนือ​ระดับ​น้ำ​ทะเล​เกือบ 1,200 เมตร. ขณะ​ที่​เนื้อ​ตัว​สั่น​เทา ผม​จุด​ไฟ​ที่​เตา​ผิง แล้ว​ก็​ผิง​ไฟ​จน​ตัว​อุ่น​และ​เสื้อ​ผ้า​แห้ง. ด้วย​ความ​เหนื่อย​อ่อน ผม​หลับ​ไป​บน​ม้า​นั่ง​ยาว​หน้า​เตา​ผิง. ไม่​นาน​ผม​ก็​สะดุ้ง​ตื่น​เพราะ​เจ็บ​แปลบ​อย่าง​รุนแรง. มี​ไฟ​ลุก​บน​ตัว​ผม! ผม​กลิ้ง​ตัว​ไป​มา​บน​พื้น​เพื่อ​ดับ​ไฟ. หลัง​ของ​ผม​มี​แผล​พุพอง​เต็ม​ไป​หมด.

แม้​จะ​เสี่ยง​กับ​การ​ถูก​จับ ผม​แอบ​กลับ​ไป​ที่​ฟาร์ม​บน​เขา​ก่อน​รุ่ง​เช้า แต่​ภรรยา​เจ้าของ​ไร่​กลัว​มาก เธอ​ไล่​ผม​และ​บอก​ว่า​มี​คน​ตาม​หา​ตัว​ผม​อยู่. ผม​จึง​กลับ​ไป​หา​พ่อ​แม่. ตอน​แรก แม้​แต่​พ่อ​แม่​ผม​ก็​ยัง​ไม่​กล้า​ให้​ผม​เข้า​บ้าน แต่​ใน​ที่​สุด​พวก​เขา​ก็​ยอม​ให้​ผม​นอน​ใน​ที่​เก็บ​ฟาง​ใน​โรง​นา และ​แม่​ก็​ทำ​แผล​ให้​ผม. แต่​เมื่อ​ผ่าน​ไป​ได้​สอง​วัน พ่อ​แม่​ก็​เริ่ม​กังวล​มาก ผม​จึง​ตัดสิน​ใจ​กลับ​ไป​ซ่อน​ตัว​ใน​ภูเขา​อีก.

วัน​ที่ 5 พฤษภาคม 1945 ผม​ตื่น​ขึ้น​เพราะ​มี​เสียง​ดัง. ผม​เห็น​เครื่องบิน​ฝ่าย​พันธมิตร​บิน​อยู่​ใน​ระดับ​ต่ำ. ทันใด​นั้น​ผม​ก็​รู้​ว่า​ระบอบ​นาซี​ถูก​โค่น​แล้ว! พระ​วิญญาณ​ของ​พระ​ยะโฮวา​ได้​ช่วย​ผม​ให้​อด​ทน​กับ​ประสบการณ์​ที่​แสน​ทรมาน​ซึ่ง​ไม่​น่า​เชื่อ​ว่า​จะ​เกิด​ขึ้น​ได้. ผม​ได้​ประสบ​กับ​ความ​เป็น​จริง​ของ​ถ้อย​คำ​ซึ่ง​บันทึก​ไว้​ที่​บทเพลง​สรรเสริญ 55:22 ซึ่ง​ได้​ปลอบโยน​ผม​อย่าง​มาก​ตั้ง​แต่​เริ่ม​ถูก​ข่มเหง. ผม​ได้ ‘ทอด​ภาระ​ของ​ผม​ไว้​กับ​พระ​ยะโฮวา’ และ​แม้​ว่า​ร่าง​กาย​ผม​จะ​อ่อนแอ แต่​พระองค์​ก็​ค้ำจุน​ผม​ขณะ​ที่​ผม​เดิน​ไป​ตาม “หว่าง​เขา​อัน​มัว​มืด​แห่ง​ความ​ตาย.”—บทเพลง​สรรเสริญ 23:4.

ฤทธิ์​ของ​พระ​ยะโฮวา “ถูก​ทำ​ให้​สมบูรณ์​ใน​ความ​อ่อนแอ”

หลัง​สงคราม ชีวิต​ของ​ผม​ค่อย ๆ กลับ​สู่​ภาวะ​ปกติ. ตอน​แรก​ผม​ทำ​งาน​เป็น​ลูกจ้าง​ใน​ฟาร์ม​ของ​เพื่อน​ซึ่ง​อยู่​บน​เขา. เมื่อ​กองทัพ​สหรัฐ​เข้า​แทรกแซง​ใน​เดือน​เมษายน ปี 1946 ผม​จึง​พ้น​จาก​ข้อ​บังคับ​ที่​ให้​ทำ​งาน​หนัก​ใน​ฟาร์ม​ตลอด​ชีวิต.

เมื่อ​สงคราม​ยุติ พี่​น้อง​คริสเตียน​ใน​บาท อิชเชล​และ​ใน​เขต​ใกล้ ๆ เริ่ม​จัด​การ​ประชุม​กัน​เป็น​ประจำ. พวก​เขา​เริ่ม​ประกาศ​ด้วย​เรี่ยว​แรง​ที่​กลับ​คืน​มา​อีก​ครั้ง. มี​คน​เสนอ​งาน​ให้​ผม​เป็น​ยาม​กะ​กลางคืน​ใน​โรง​งาน​แห่ง​หนึ่ง ซึ่ง​ทำ​ให้​ผม​สามารถ​เป็น​ไพโอเนียร์​ต่อ​ไป​ได้. ใน​ที่​สุด ผม​ก็​ตั้ง​รกราก​อยู่​ใน​เขต​ซังท์ โวล์ฟกัง และ​ใน​ปี 1949 ผม​ได้​สมรส​กับ​เทเรเซีย คูรทซ์ เธอ​มี​ลูก​สาว​คน​หนึ่ง​จาก​สามี​คน​ก่อน. เรา​ใช้​ชีวิต​ร่วม​กัน 32 ปี จน​กระทั่ง ภรรยา​ที่​รัก​ของ​ผม​เสีย​ชีวิต​ใน​ปี 1981. ผม​ได้​ดู​แล​เธอ​อยู่​กว่า​เจ็ด​ปี.

หลัง​จาก​เทเรเซีย​เสีย​ชีวิต ผม​ก็​เริ่ม​งาน​ไพโอเนียร์​อีก​ครั้ง และ​งาน​นี้​ช่วย​ให้​ผม​คลาย​เศร้า​จาก​การ​สูญ​เสีย​ที่​ใหญ่​หลวง​นี้. ขณะ​นี้​ผม​รับใช้​เป็น​ไพโอเนียร์​และ​ผู้​ปกครอง​ใน​ประชาคม​ของ​ผม​ที่​เมือง​บาท อิชเชล. เนื่อง​จาก​ผม​ต้อง​นั่ง​เก้าอี้​ล้อ ผม​จึง​เสนอ​สรรพหนังสือ​อธิบาย​คัมภีร์​ไบเบิล​และ​พูด​คุย​กับ​ผู้​คน​เกี่ยว​กับ​ความ​หวัง​เรื่อง​ราชอาณาจักร​ที่​สวน​บาท อิชเชล หรือ​ไม่​ก็​ที่​หน้า​บ้าน​ของ​ผม​เอง. สิ่ง​ที่​ทำ​ให้​ผม​มี​ความ​สุข​มาก​คือ​การ​ได้​สนทนา​เรื่อง​คัมภีร์​ไบเบิล​กับ​คน​ที่​สนใจ.

เมื่อ​มอง​ย้อน​กลับ​ไป ผม​ยืน​ยัน​ได้​ว่า​ประสบการณ์​อัน​น่า​กลัว​ที่​ผม​ต้อง​ทน​ทรมาน​เมื่อ​ครั้ง​อดีต​นั้น​ไม่​ได้​ทำ​ให้​ผม​รู้สึก​ขมขื่น. แน่นอน​ว่า​บาง​ครั้ง​บาง​คราว​ผม​รู้สึก​ซึมเศร้า​เนื่อง​จาก​การ​ทดลอง​ต่าง ๆ ใน​อดีต. แต่​การ​มี​สัมพันธภาพ​ที่​ใกล้​ชิด​กับ​พระ​ยะโฮวา​พระเจ้า​ช่วย​ให้​ผม​รับมือ​กับ​ช่วง​เวลา​ที่​รู้สึก​เช่น​นั้น​ได้. คำ​กระตุ้น​เตือน​ของ​องค์​พระ​ผู้​เป็น​เจ้า​ที่​ตรัส​กับ​เปาโล​ว่า “ฤทธิ์​ของ​เรา​จะ​ถูก​ทำ​ให้​สมบูรณ์​ใน​ความ​อ่อนแอ” พิสูจน์​แล้ว​ว่า​เป็น​จริง​ใน​ชีวิต​ของ​ผม​ด้วย. (2 โกรินโธ 12:9, ล.ม.) บัด​นี้ ขณะ​ที่​อายุ​เกือบ 100 ปี​แล้ว ผม​สามารถ​กล่าว​ได้​เช่น​เดียว​กับ​อัครสาวก​เปาโล​ว่า “ข้าพเจ้า​จึง​ชื่น​ใจ​ใน​ความ​อ่อนแอ​ของ​ข้าพเจ้า, ใน​เหตุ​ร้าย​ต่าง ๆ, ใน​การ​ยาก​ลำบาก, ใน​การ​ถูก​ข่มเหง, ใน​ความ​อับจน, เพราะ​เห็น​แก่​พระ​คริสต์ ด้วย​ว่า​ข้าพเจ้า​อ่อนแอ​เมื่อ​ใด, ข้าพเจ้า​จึง​แข็งแรง​มาก​เมื่อ​นั้น.”—2 โกรินโธ 12:10.

[ภาพ​หน้า 25]

ถูก​เกสตาโป​จับ​ใน​เดือน​เมษายน ปี 1939

เอกสาร​แจ้ง​ข้อ​กล่าวหา​จาก​หน่วย​เกสตาโป​พฤษภาคม 1939

[ที่​มา​ของ​ภาพ]

Both images: Privatarchiv; B. Rammerstorfer

[ภาพ​หน้า 26]

ภูเขา​ที่​อยู่​ใกล้ ๆ เป็น​ที่​หลบ​ภัย​ของ​ผม

[ที่​มา​ของ​ภาพ​หน้า 23]

Foto Hofer, Bad Ischl, Austria